Chronological
บทคร่ำครวญแด่ฟาโรห์
32 ในวันที่หนึ่งเดือนที่สิบสองปีที่สิบสอง พระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาถึงข้าพเจ้าว่า 2 “บุตรมนุษย์เอ๋ย จงเปล่งบทคร่ำครวญเกี่ยวกับฟาโรห์กษัตริย์แห่งอียิปต์ และกล่าวแก่เขาว่า
“ ‘เจ้าเป็นเหมือนสิงโตในหมู่ประชาชาติ
เหมือนสัตว์ร้ายในทะเล
เจ้าฟาดหางไปมาอยู่ในห้วงน้ำ
เอาเท้ากวนน้ำให้กระเพื่อม
และทำให้ลำธารต่างๆ ขุ่น
3 “ ‘พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตตรัสดังนี้ว่า
“ ‘เราจะกางตาข่ายของเราคลุมเจ้า
โดยกลุ่มชนหมู่ใหญ่
พวกเขาจะลากเจ้าขึ้นมาด้วยอวนของเรา
4 เราจะเหวี่ยงเจ้าลงบนดิน
จับเจ้าฟาดลงบนทุ่งโล่ง
เราจะให้มวลนกในอากาศมาอาศัยอยู่บนเจ้า
และสัตว์โลกทั้งปวงจะเขมือบเจ้าจนอิ่ม
5 เราจะโปรยเนื้อของเจ้ากระจายบนภูเขาต่างๆ
และถมหุบเขาทั้งหลายด้วยซากของเจ้า
6 เราจะทำให้เลือดของเจ้าไหลนองเต็มแผ่นดิน
ตลอดทางสู่ภูเขาต่างๆ
และให้เนื้อของเจ้าอยู่เต็มลำห้วยทั้งหลาย
7 เมื่อเราทำให้เจ้าแตกดับ เราจะปกคลุมฟ้าสวรรค์
และให้ดวงดาวทั้งหลายมืดมน
เราจะคลุมดวงอาทิตย์ด้วยเมฆ
และดวงจันทร์จะไม่ส่องแสง
8 แสงสว่างสุกใสทั้งปวงในฟ้าสวรรค์นั้น
เราจะทำให้มืดมิดเหนือเจ้า
เราจะนำความมืดมนมาเหนือดินแดนของเจ้า
พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตประกาศดังนั้น
9 เราจะทำให้จิตใจของชนชาติทั้งหลายทุกข์ร้อน
เมื่อเรานำหายนะมาสู่เจ้าท่ามกลางชนชาติต่างๆ
ท่ามกลาง[a]ดินแดนทั้งหลายซึ่งเจ้าไม่รู้จัก
10 เราจะทำให้บรรดาชนชาติตกตะลึงเพราะเจ้า
และบรรดากษัตริย์ของพวกเขาจะสั่นสะท้านด้วยความสยดสยองเนื่องจากเจ้า
เมื่อเรากวัดแกว่งดาบของเราต่อหน้าพวกเขา
ในวันที่เจ้าล่มจม
เขาแต่ละคนจะสั่นสะท้านทุกขณะจิต
เพราะห่วงชีวิตของตน
11 “ ‘เพราะพระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตตรัสดังนี้ว่า
“ ‘ดาบของกษัตริย์บาบิโลน
จะมาห้ำหั่นเจ้า
12 เราจะทำให้กองกำลังต่างๆ ของเจ้าล้มตาย
ด้วยดาบของเหล่าผู้เกรียงไกร
ผู้อำมหิตที่สุดในมวลประชาชาติ
คนเหล่านั้นจะเหยียบย่ำศักดิ์ศรีของอียิปต์
และกองกำลังทั้งปวงของอียิปต์จะถูกล้มล้าง
13 เราจะทำลายล้างฝูงสัตว์ทั้งปวงของอียิปต์
จากริมน้ำอันอุดมสมบูรณ์
ซึ่งจะไม่ถูกเท้ามนุษย์กวนให้ขุ่น
หรือถูกกีบเท้าสัตว์กวนให้เป็นโคลนขุ่นอีกต่อไป
14 เมื่อนั้นเราจะทำให้ห้วงน้ำทั้งหลายสงบ
และทำให้ลำธารสายต่างๆ ไหลรินเหมือนน้ำมัน
พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตประกาศดังนั้น
15 เมื่อเราทำให้อียิปต์เริศร้าง
และริบทุกสิ่งที่มีไปจากดินแดนนั้น
เมื่อเราทำลายล้างคนทั้งปวงซึ่งอาศัยอยู่ที่นั่น
เมื่อนั้นพวกเขาจะรู้ว่าเราคือพระยาห์เวห์’
16 “นี่คือบทคร่ำครวญซึ่งคนทั้งหลายจะร้องเพื่ออียิปต์ ธิดาของชนชาติต่างๆ จะร้องขับขานให้อียิปต์และกองกำลังต่างๆ ของมัน พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตประกาศดังนั้น”
17 วันที่สิบห้าของเดือนนั้นในปีที่สิบสอง พระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาถึงข้าพเจ้าว่า 18 “บุตรมนุษย์เอ๋ย จงร่ำไห้ให้แก่กองกำลังต่างๆ ของอียิปต์ และส่งอียิปต์กับบรรดาธิดาแห่งประชาชาติอันเกรียงไกรลงสู่โลกเบื้องล่างพร้อมกับคนที่ลงไปแดนผู้ตาย 19 จงกล่าวแก่พวกเขาว่า ‘เจ้าเป็นที่โปรดปรานยิ่งกว่าคนอื่นๆ หรือ? จงลงไป ไปนอนอยู่กับบรรดาผู้ไม่ได้เข้าสุหนัต’ 20 พวกเขาจะล้มลงในหมู่คนที่ตายด้วยดาบ ดาบถูกชักออกจากฝักแล้ว จงลากอียิปต์ลงไปพร้อมกับกองกำลังทั้งสิ้นของมัน 21 บรรดาผู้นำที่เกรียงไกรจะกล่าวกับอียิปต์และเหล่าพันธมิตรจากหลุมฝังศพว่า ‘พวกเขาลงมากันแล้ว มานอนอยู่กับคนไม่ได้เข้าสุหนัตกับคนที่ถูกฆ่าด้วยดาบ’
22 “อัสซีเรียและกองทัพของมันทั้งหมดอยู่ที่นั่นแล้ว รายล้อมด้วยหลุมฝังศพของคนที่ถูกเข่นฆ่าทั้งหมดของมัน คนเหล่านั้นทุกคนล้มตายด้วยดาบ 23 หลุมฝังศพของคนเหล่านั้นอยู่ในห้วงลึกของแดนผู้ตาย และกองทัพอัสซีเรียนอนตายรายรอบหลุมฝังศพของมัน ทุกคนซึ่งครั้งหนึ่งเคยแพร่ความหวาดกลัวในแดนของคนที่มีชีวิต บัดนี้ถูกเข่นฆ่าล้มตายด้วยดาบ
24 “เอลามอยู่ที่นั่นและเหล่าทหารทั้งหมดของมันนอนตายรายรอบหลุมฝังศพของมัน เขาทั้งหมดถูกเข่นฆ่าล้มตายด้วยดาบ ทุกคนซึ่งครั้งหนึ่งเคยแพร่ความหวาดกลัวทั่วแดนของคนที่มีชีวิตได้ลงสู่โลกเบื้องล่างโดยไม่ได้เข้าสุหนัต พวกเขาได้รับความอัปยศร่วมกับบรรดาคนที่ลงสู่แดนผู้ตาย 25 เอลามนอนอยู่ในหมู่คนที่ถูกฆ่าและเหล่าทหารทั้งหมดของมันนอนตายรายรอบหลุมฝังศพของมัน พวกเขาล้วนแต่ไม่ได้เข้าสุหนัต และถูกเข่นฆ่าล้มตายด้วยดาบ เพราะพวกเขาแพร่ความหวาดกลัวไปทั่วแดนของคนที่มีชีวิต เขาจึงต้องอัปยศอดสูร่วมกับบรรดาคนที่ลงสู่แดนผู้ตายและนอนอยู่ในหมู่คนที่ถูกสังหาร
26 “เมเชคและทูบัลอยู่ที่นั่นและทหารทั้งหมดของพวกมันนอนตายรายรอบหลุมฝังศพของพวกมัน พวกเขาล้วนไม่ได้เข้าสุหนัต ถูกเข่นฆ่าด้วยดาบ เพราะพวกเขาแพร่ความหวาดกลัวไปทั่วแดนของคนที่มีชีวิต 27 พวกเขาไม่ได้นอนลงกับนักรบอื่นๆ คนที่ไม่ได้เข้าสุหนัตซึ่งตายแล้วหรอกหรือ? คนเหล่านี้ลงสู่หลุมฝังศพพร้อมทั้งอาวุธของเขา ดาบวางอยู่ใต้ศีรษะ แม้นักรบเหล่านี้เคยแพร่ความหวาดกลัวไปทั่วแดนของคนที่มีชีวิต กระนั้นโทษทัณฑ์ของบาปของพวกเขาก็ตกอยู่กับกระดูกของพวกเขา
28 “ฟาโรห์เอ๋ย เจ้าก็เช่นกัน เจ้าจะแหลกลาญและนอนตายอยู่ในหมู่คนที่ไม่ได้เข้าสุหนัตซึ่งถูกเข่นฆ่าด้วยดาบ
29 “เอโดมอยู่ที่นั่น ทั้งๆ ที่เก่งกล้า กษัตริย์และเจ้านายทั้งปวงของเอโดมก็ถูกทิ้งให้นอนตายอยู่กับบรรดาคนที่ถูกเข่นฆ่าด้วยดาบ พวกเขานอนตายกับบรรดาคนที่ไม่ได้เข้าสุหนัต คือกับคนเหล่านั้นที่ลงสู่แดนผู้ตาย
30 “บรรดาเจ้านายของฝ่ายเหนือและชาวไซดอนทั้งปวงอยู่ที่นั่น แม้พวกเขาเคยใช้อำนาจก่อความหวาดกลัว พวกเขาก็ลงไปอยู่ร่วมกับคนที่ถูกเข่นฆ่าอย่างอัปยศ พวกเขานอนตายโดยไม่ได้เข้าสุหนัตกับบรรดาคนที่ถูกเข่นฆ่าด้วยดาบ และรับความอัปยศกับคนที่ลงสู่แดนผู้ตาย
31 “ฟาโรห์กับกองทัพทั้งปวงจะเห็นคนเหล่านั้นและได้รับการปลอบประโลม เนื่องจากกองกำลังทั้งหมดของเขาถูกเข่นฆ่าด้วยดาบ พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตประกาศดังนี้ 32 แม้เราเคยให้เขาแพร่ความหวาดกลัวไปทั่วดินแดนของคนที่มีชีวิต แต่ฟาโรห์กับเหล่าทหารทั้งสิ้นของเขาก็จะถูกทิ้งให้นอนตายอยู่ท่ามกลางคนที่ไม่ได้เข้าสุหนัต คนที่ถูกเข่นฆ่าด้วยดาบ พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตประกาศดังนั้น”
เอเสเคียลเป็นยามรักษาการณ์
33 พระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาถึงข้าพเจ้าว่า 2 “บุตรมนุษย์เอ๋ย จงกล่าวแก่พี่น้องร่วมชาติของเจ้าว่า ‘เมื่อเรานำดาบมาสู้กับดินแดนหนึ่ง และชาวดินแดนนั้นได้เลือกชายคนหนึ่งขึ้นมาเป็นยามรักษาการณ์ 3 เมื่อเขาเห็นข้าศึกมาก็เป่าแตรเพื่อเตือนประชาชน 4 หากผู้หนึ่งผู้ใดได้ยินเสียงแตร แต่ไม่ใส่ใจฟังคำเตือนและข้าศึกปลิดชีวิตเขา ที่เขาตายก็เป็นความผิดของเขาเอง 5 เนื่องจากเขาได้ยินเสียงแตร แต่ไม่ใส่ใจฟังคำเตือน ที่เขาตายเป็นความผิดของเขาเอง หากเขาเชื่อคำเตือนก็คงจะรักษาชีวิตตัวเองไว้ได้ 6 แต่หากยามรักษาการณ์เห็นศัตรูมา แล้วไม่ได้เป่าแตรเตือนประชาชน และศัตรูมาปลิดชีวิตคนหนึ่งคนใดไป คนนั้นจะถูกคร่าชีวิตไปเพราะบาปของตน แต่เราจะให้ยามนั้นรับผิดชอบความตายของคนนั้น’
7 “เช่นนี้แหละบุตรมนุษย์เอ๋ย เราตั้งเจ้าให้เป็นยามรักษาการณ์สำหรับพงศ์พันธุ์อิสราเอล ฉะนั้นจงฟังถ้อยคำของเราและแจ้งคำเตือนของเราแก่พวกเขา 8 เมื่อเรากล่าวแก่คนชั่วร้ายว่า ‘คนชั่วเอ๋ย เจ้าจะตายแน่’ แล้วเจ้าไม่ได้พูดตักเตือนเขาให้หันจากวิถีความประพฤติ คนชั่วนั้นจะตายเนื่องจาก[b]บาปของตน และเราจะให้เจ้ารับผิดชอบความตายของคนนั้น 9 แต่หากเจ้าเตือนคนชั่วนั้นให้หันจากวิถีทางของตน แล้วเขาไม่ยอมทำตาม เขาจะตายเพราะบาปของตน ส่วนเจ้าจะรักษาชีวิตของตนไว้ได้
10 “บุตรมนุษย์เอ๋ย จงกล่าวแก่พงศ์พันธุ์อิสราเอลว่า ‘พวกเจ้ากล่าวว่า “การล่วงละเมิดและบาปของเราก็หนักอึ้งทับถมเรา เรากำลังย่อยยับไปเพราะ[c]บาปนั้น เราจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร?” ’ 11 จงบอกเขาว่า ‘พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตประกาศว่าเรามีชีวิตอยู่แน่ฉันใด เราไม่อยากให้คนชั่วต้องตายฉันนั้น แต่อยากให้เขาหันกลับจากทางชั่วและมีชีวิตอยู่ จงหันเสียจากทางชั่วเถิด! จะตายทำไมเล่า พงศ์พันธุ์อิสราเอลเอ๋ย?’
12 “ฉะนั้นบุตรมนุษย์เอ๋ย จงกล่าวกับพี่น้องร่วมชาติของเจ้าว่า ‘ความชอบธรรมของคนชอบธรรม จะไม่ช่วยเขาหากเขาไม่เชื่อฟัง และความชั่วของคนชั่วจะไม่ทำให้เขาล้มลงหากเขาหันจากความชั่วนั้น หากคนชอบธรรมทำบาป จะไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้โดยอาศัยความชอบธรรมแต่เดิม’ 13 หากเราบอกคนชอบธรรมว่า เขาจะมีชีวิตอยู่แน่นอน แต่แล้วเขาก็วางใจในความชอบธรรมของตนและทำชั่ว การประพฤติชอบธรรมใดๆ ของเขาจะไม่อยู่ในความทรงจำอีก เขาจะตายเพราะความชั่วที่เขาได้ทำ 14 และหากเราบอกคนชั่วว่า ‘เจ้าจะตายแน่’ แต่ถ้าเขาได้หันจากความชั่ว ทำสิ่งที่ถูกต้องและยุติธรรม 15 หากเขาคืนของที่ยึดมาค้ำประกัน หรือสิ่งที่ตนขโมยมา ทำตามกฎหมายต่างๆ ซึ่งทำให้มีชีวิตอยู่และไม่ทำชั่ว เขาจะมีชีวิตอยู่แน่นอน เขาจะไม่ตาย 16 เราจะไม่จดจำบาปใดๆ ที่เขาทำไปแล้วมาปรับโทษเขาอีกเลย เขาได้ทำสิ่งที่ถูกต้องและยุติธรรม เขาจะมีชีวิตอยู่แน่นอน
17 “ถึงกระนั้นพี่น้องร่วมชาติของเจ้าก็ยังกล่าวว่า ‘วิถีทางขององค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ยุติธรรม’ วิถีทางของพวกเขาต่างหากที่ไม่ยุติธรรม 18 หากคนชอบธรรมหันจากความชอบธรรมไปทำชั่ว เขาจะตายเพราะความชั่ว 19 และหากคนชั่วหันจากความชั่วไปทำสิ่งที่ถูกต้องและยุติธรรม เขาจะมีชีวิตอยู่เนื่องด้วยเหตุนั้น 20 ถึงกระนั้นพงศ์พันธุ์อิสราเอลเอ๋ย เจ้าก็กล่าวว่า ‘วิธีการขององค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ยุติธรรม’ แต่เราจะพิพากษาเจ้าแต่ละคนตามแนวการประพฤติของเจ้า”
เหตุที่เยรูซาเล็มแตก
21 ในวันที่ห้าเดือนที่สิบปีที่สิบสองของการตกเป็นเชลย ชายคนหนึ่งซึ่งหนีมาจากเยรูซาเล็มมาบอกข้าพเจ้าว่า “กรุงนั้นแตกแล้ว!” 22 เย็นวันก่อนที่ชายคนนั้นจะมาถึง พระหัตถ์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าอยู่เหนือข้าพเจ้าและทรงรักษาข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจึงหายเป็นใบ้และพูดได้อีก
23 แล้วพระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาถึงข้าพเจ้าว่า 24 “บุตรมนุษย์เอ๋ย ประชาชนที่อาศัยอยู่ในซากปรักหักพังของดินแดนอิสราเอลกล่าวว่า ‘อับราฮัมตัวคนเดียวแต่ก็ยังได้ครอบครองดินแดน ส่วนเรามีหลายคนด้วยกันย่อมได้รับดินแดนนี้เป็นกรรมสิทธิ์อย่างแน่นอน’ 25 ฉะนั้นจงกล่าวกับพวกเขาว่า ‘พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตตรัสดังนี้ว่า เนื่องจากเจ้ากินเนื้อซึ่งยังมีเลือดค้างอยู่ และหมายพึ่งบรรดารูปเคารพของเจ้า และทำให้โลหิตตก เช่นนี้แล้วควรหรือที่เจ้าจะได้ครอบครองดินแดน? 26 เจ้าพึ่งดาบ เจ้าทำสิ่งที่น่าชิงชัง และย่ำยีภรรยาของเพื่อนบ้าน เช่นนี้แล้วควรหรือที่เจ้าจะได้ครอบครองดินแดน?’
27 “จงกล่าวแก่พวกเขาว่า ‘พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตตรัสดังนี้ว่า เรามีชีวิตอยู่แน่ฉันใด บรรดาคนที่หลงเหลืออยู่ตามซากปรักหักพังจะตายด้วยดาบฉันนั้น ส่วนคนที่อยู่ตามท้องทุ่ง เราจะมอบให้สัตว์ป่าเขมือบกิน และบรรดาคนที่อยู่ตามที่กำบังและถ้ำจะตายด้วยโรคระบาด 28 เราจะทำให้ดินแดนนั้นร้างเปล่า พละกำลังที่น่าภาคภูมิใจของมันจะถึงจุดจบ และภูเขาต่างๆ ของอิสราเอลจะเริศร้างจนไม่มีใครเดินผ่าน 29 แล้วพวกเขาจะรู้ว่าเราคือพระยาห์เวห์เมื่อเราทำให้ดินแดนนั้นเริศร้างว่าง เปล่า เนื่องด้วยสิ่งที่น่าชิงชังทั้งปวงที่พวกเขาได้ทำ’
30 “ส่วนเจ้า บุตรมนุษย์เอ๋ย พี่น้องร่วมชาติของเจ้าพูดคุยกันถึงเจ้าอยู่ข้างกำแพงและที่ประตูบ้าน เขาพูดกันว่า ‘มาเถิด มาฟังพระดำรัสซึ่งมาจากองค์พระผู้เป็นเจ้า’ 31 ประชากรของเรามาหาเจ้าอย่างที่พวกเขามักจะทำ มานั่งอยู่ตรงหน้าเพื่อฟังคำพูดของเจ้า แต่ไม่เคยนำไปปฏิบัติ เขาแสดงความจงรักภักดีด้วยริมฝีปาก แต่จิตใจโลภหวังผลกำไรอธรรม 32 แท้จริง สำหรับเขา เจ้าก็เป็นแค่คนที่ร้องเพลงรักด้วยเสียงไพเราะและเล่นดนตรีเก่งเท่านั้น เพราะเขาฟังคำพูดของเจ้า แต่ไม่ยอมนำไปปฏิบัติ
33 “เมื่อเหตุการณ์ทั้งหมดนี้เป็นจริง ซึ่งจะเป็นเช่นนั้นแน่นอน เมื่อนั้นพวกเขาจะรู้ว่ามีผู้เผยพระวจนะในหมู่พวกเขา”
คนเลี้ยงแกะและแกะ
34 พระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาถึงข้าพเจ้าว่า 2 “บุตรมนุษย์เอ๋ย จงพยากรณ์ประณามบรรดาคนเลี้ยงแกะของอิสราเอล จงพยากรณ์และกล่าวแก่พวกเขาว่า ‘พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตตรัสดังนี้ว่า วิบัติแก่คนเลี้ยงแกะของอิสราเอล ผู้เลี้ยงดูแต่ตนเอง! ไม่ควรหรือที่คนเลี้ยงแกะจะเลี้ยงดูฝูงแกะ? 3 เจ้ากินนมข้น เอาขนแกะห่มกาย และฆ่าสัตว์ตัวที่อ้วนพี แต่เจ้าไม่ดูแลฝูงแกะ 4 เจ้าไม่ได้ทำให้ตัวที่อ่อนแอแข็งแรงขึ้น เจ้าไม่รักษาตัวที่ป่วย เจ้าไม่ได้เอาผ้าพันแผลตัวที่บาดเจ็บ เจ้าไม่ได้ตามตัวที่หลงหายหรือเตลิดไปกลับคืนมา เจ้าปกครองแกะอย่างโหดร้ายทารุณ 5 แกะทั้งหลายจึงกระจัดกระจายไปเพราะไม่มีคนเลี้ยง และเมื่อพลัดฝูงไป ก็ตกเป็นอาหารของบรรดาสัตว์ป่า 6 แกะของเราระเหเร่ร่อนไปตามภูเขาต่างๆ และเนินเขาสูงทุกลูก กระจัดกระจายไปทั่วโลกโดยไม่มีใครเสาะหาหรือเหลียวแล
7 “ ‘ฉะนั้นเจ้าคนเลี้ยงแกะทั้งหลาย จงฟังพระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้า 8 พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตตรัสดังนี้ว่า เรามีชีวิตอยู่แน่ฉันใด เนื่องจากฝูงแกะของเราขาดคนเลี้ยง จึงถูกปล้นและตกเป็นอาหารของบรรดาสัตว์ป่าทั้งหลาย และเนื่องจากคนเลี้ยงแกะของเราไม่ตามหาฝูงแกะ เอาแต่เลี้ยงดูตนเองแทนที่จะเลี้ยงแกะ 9 ฉะนั้นบรรดาคนเลี้ยงแกะ จงฟังพระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้า 10 พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตตรัสดังนี้ว่าเราเป็นศัตรูกับบรรดาคนเลี้ยงแกะ เราจะให้พวกเขารับผิดชอบสิ่งที่เกิดขึ้นกับฝูงแกะของเรา เราจะปลดพวกเขาจากการดูแลฝูงแกะ พวกเขาจะไม่ได้เลี้ยงตัวเองอีกต่อไป เราจะช่วยฝูงแกะของเราจากปากของพวกเขา เพื่อไม่ให้แกะเป็นอาหารของพวกเขาอีกต่อไป
11 “ ‘เพราะพระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตตรัสดังนี้ว่า เราเองจะตามหาแกะของเราและเลี้ยงดูพวกมัน 12 เราจะดูแลแกะของเราเหมือนคนเลี้ยงแกะดูแลฝูงแกะที่ได้กระจัดกระจายไป เราจะช่วยแกะเหล่านั้นออกจากที่ต่างๆ ซึ่งกระจัดกระจายไปในวันที่เมฆครึ้มและมืดมน 13 เราจะนำแกะทั้งหลายออกมาจากชนชาติต่างๆ รวบรวมมาจากนานาประเทศ แล้วนำพวกเขาเข้าสู่ดินแดนของพวกเขาเอง เราจะพาแกะไปกินหญ้าบนภูเขาต่างๆ ของอิสราเอล ตามลำห้วยและในท้องถิ่นทั้งปวงของดินแดนนั้น 14 เราจะฟูมฟักพวกเขาในทุ่งหญ้าอันอุดมสมบูรณ์ ภูเขาสูงต่างๆ ของอิสราเอลจะเป็นที่เล็มหญ้าของพวกเขา เขาจะนอนลงในทุ่งหญ้าอันอุดมสมบูรณ์ที่นั่น และจะยังชีพอยู่ที่ทุ่งหญ้าเขียวขจีบนภูเขาต่างๆ ของอิสราเอล 15 เราเองจะเลี้ยงดูฝูงแกะของเราและให้พวกเขานอนลง พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตประกาศดังนี้ 16 เราจะเสาะหาแกะตัวที่หลงหายและนำตัวที่เตลิดไปกลับคืนมา เราจะพันแผลให้ตัวที่บาดเจ็บ และทำให้ตัวที่อ่อนแอแข็งแรงขึ้น แต่เราจะทำลายตัวที่แข็งแรงอ้วนพีเสีย เราจะเลี้ยงดูฝูงแกะด้วยความยุติธรรม
17 “ ‘สำหรับพวกเจ้า ฝูงแกะของเรา พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตตรัสดังนี้ว่า เราจะตัดสินระหว่างแกะตัวหนึ่งกับอีกตัวหนึ่ง และระหว่างแกะผู้กับแพะ 18 เจ้าเลี้ยงชีพในทุ่งหญ้าอันอุดมสมบูรณ์แล้วยังไม่หนำใจหรือ? ต้องใช้เท้าเหยียบย่ำทุ่งหญ้าที่เหลืออยู่ด้วยหรือ? เจ้าดื่มน้ำใสสะอาดแล้วยังไม่เพียงพอหรือ? ต้องเอาเท้ากวนน้ำที่เหลืออยู่ให้ขุ่นด้วยหรือ? 19 ฝูงแกะของเราต้องเลี้ยงชีพด้วยสิ่งที่ถูกเจ้าเหยียบย่ำ และดื่มน้ำที่เจ้าเอาเท้ากวนให้ขุ่นหรือ?
20 “ ‘ฉะนั้นพระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตตรัสแก่พวกเขาดังนี้ว่า ดูเถิด เราเองจะพิพากษาระหว่างแกะอ้วนพีและแกะผอม 21 เนื่องจากเจ้าเอาไหล่กับสีข้างดันและเอาเขาขวิดไล่แกะที่อ่อนแอไป 22 ฉะนั้นเราจะช่วยฝูงแกะของเราไม่ให้ถูกรังแกอีก เราจะตัดสินระหว่างแกะตัวหนึ่งกับอีกตัวหนึ่ง 23 เราจะตั้งคนเลี้ยงแกะคนหนึ่งเหนือพวกเขาคือดาวิดผู้รับใช้ของเรา เขาจะเลี้ยงดูและทำหน้าที่เป็นคนเลี้ยงแกะของพวกเขา 24 เราผู้เป็นพระยาห์เวห์จะเป็นพระเจ้าของพวกเขา และดาวิดผู้รับใช้ของเราจะเป็นเจ้านายในหมู่พวกเขา เราผู้เป็นพระยาห์เวห์ได้ลั่นวาจาไว้
25 “ ‘เราจะทำพันธสัญญาแห่งสันติภาพกับพวกเขาและจะกำจัดสัตว์ร้ายจากแผ่นดิน เพื่อพวกเขาจะอาศัยอยู่ในถิ่นกันดารและนอนหลับอยู่ในป่าอย่างปลอดภัย 26 เราจะอวยพรพวกเขาและสถานที่ต่างๆ รอบเนินเขาของเรา[d] เราจะให้ฝนตกต้องตามฤดูกาล จะมีพรหลั่งลงมาดั่งสายฝน 27 ต้นไม้ในทุ่งจะเกิดผลและผืนแผ่นดินจะให้พืชผล ผู้คนจะอยู่อย่างปลอดภัยในดินแดนของพวกเขา พวกเขาจะรู้ว่าเราคือพระยาห์เวห์ เมื่อเราหักคานแอกของพวกเขาและช่วยพวกเขาให้พ้นจากเงื้อมมือของคนที่กดขี่ให้พวกเขาเป็นทาส 28 พวกเขาจะไม่ตกเป็นเหยื่อปล้นชิงของชาติต่างๆ อีกต่อไป สัตว์ป่าทั้งหลายจะไม่กัดกินพวกเขา พวกเขาจะยังชีพอยู่ด้วยความปลอดภัย จะไม่มีใครทำให้พวกเขาหวาดกลัว 29 เราจะจัดเตรียมผืนแผ่นดินซึ่งเลื่องลือด้านพืชผลให้แก่พวกเขา และพวกเขาจะไม่ตกเป็นเหยื่อของการกันดารอาหารในดินแดน หรือทนการดูหมิ่นจากชนชาติทั้งหลายอีก 30 เมื่อนั้นพวกเขาจะรู้ว่าเราผู้เป็นพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเขาอยู่กับพวกเขา และรู้ว่าพวกเขาซึ่งเป็นพงศ์พันธุ์อิสราเอลนั้นเป็นประชากรของเรา พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตประกาศดังนั้น 31 พวกเจ้าเป็นแกะของเรา เป็นแกะแห่งทุ่งหญ้าของเรา และเราคือพระเจ้าของเจ้า พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตประกาศดังนั้น’ ”
Thai New Contemporary Bible Copyright © 1999, 2001, 2007 by Biblica, Inc.® Used by permission. All rights reserved worldwide.