Chronological
[a]1 โอ กรุงที่เคยมีพลเมืองหนาแน่น
กลับอ้างว้างเสียแล้ว!
กรุงที่เคยยิ่งใหญ่ในหมู่ประชาชาติ
กลับเป็นเหมือนหญิงม่ายเสียแล้ว!
กรุงซึ่งเคยเป็นราชินีในหมู่แว่นแคว้นต่างๆ
กลับตกเป็นทาสเสียแล้ว
2 ยามค่ำคืนเธอร่ำไห้อย่างขมขื่น
น้ำตาไหลอาบแก้ม
ในบรรดาคนรักของเธอ
ไม่มีสักคนที่ปลอบโยนเธอ
สหายทั้งปวงก็ทรยศเธอ
พวกเขากลับกลายเป็นศัตรูของเธอ
3 หลังจากทุกข์ลำเค็ญและกรำงานหนัก
ยูดาห์ก็ตกเป็นเชลย
เธอไปอยู่ท่ามกลางประชาชาติต่างๆ
ไม่พบที่พักพิง
บรรดาผู้ตามล่าเธอก็ไล่ทันเธอ
ในยามที่เธอทุกข์เข็ญ
4 ถนนหนทางสู่ศิโยนคร่ำครวญหวนไห้
เพราะไม่มีใครมางานเทศกาลตามกำหนด
ประตูเมืองทั้งหมดก็เริศร้าง
บรรดาปุโรหิตของเธอทอดถอนใจ
บรรดาหญิงสาวของเธอก็โศกเศร้า
ตัวเธอเองก็ทุกข์ทรมานขมขื่น
5 ศัตรูของเธอกลับกลายเป็นนาย
อริทั้งหลายของเธอเบิกบานสำราญใจ
เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงนำความทุกข์ระทมมาให้เธอ
เพราะบาปมากมายของเธอ
ลูกเล็กเด็กแดงของเธอ
ตกไปเป็นเชลยต่อหน้าศัตรู
6 ความโอ่อ่าตระการทั้งปวง
พรากไปจากธิดาแห่งศิโยน[b]เสียแล้ว
เจ้านายของเธอเป็นเหมือนกวาง
ที่หาทุ่งหญ้าไม่ได้
ต้องหนีไปต่อหน้านักล่า
อย่างอ่อนแรง
7 ในยามทุกข์ลำเค็ญและต้องระหกระเหิน
เยรูซาเล็มก็หวนระลึกถึงสิ่งเลอเลิศ
ที่เธอเคยมีในวันเก่าก่อน
เมื่อพลเมืองของเธอตกอยู่ในเงื้อมมือของศัตรู
ไม่มีใครช่วยเหลือเธอ
เหล่าศัตรูมองดูเธอ
และหัวเราะเยาะความย่อยยับของเธอ
8 เยรูซาเล็มได้ทำบาปอย่างใหญ่หลวง
ดังนั้นเธอจึงแปดเปื้อนมลทิน
บรรดาคนที่เคยยกย่องเธอก็เหยียดหยามเธอ
เพราะเห็นความเปลือยเปล่าของเธอ
เธอเองสะอื้นไห้
และหันหน้าหนี
9 ความโสโครกฝังแน่นในอาภรณ์ของเธอ
เธอไม่ใส่ใจอนาคตของเธอ
ความล่มจมของเธอน่าใจหาย
ไม่มีใครปลอบโยนเธอ
“ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า โปรดทอดพระเนตรความทุกข์ลำเค็ญของข้าพระองค์
เพราะศัตรูชนะเสียแล้ว”
10 ศัตรูฉวยสิ่งล้ำค่า
ของเธอไปหมด
เธอเห็นคนต่างชาติบุกเข้ามา
ในสถานนมัสการของเธอ
ล้วนแต่เป็นชนชาติต่างๆ ซึ่งพระองค์สั่งห้าม
ไม่ให้เข้ามาท่ามกลางชุมนุมประชากรของพระองค์
11 พลเมืองของเธอสะอื้นไห้
ขณะเสาะหาอาหาร
เอาของมีค่าออกมาแลกอาหาร
เพื่อประทังชีวิต
“ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า โปรดทอดพระเนตรและทรงใคร่ครวญดูเถิด
เพราะข้าพระองค์ถูกเหยียดหยาม”
12 “พวกท่านที่ผ่านไปผ่านมา ไม่รู้สึกรู้สาอะไรบ้างเลยหรือ?
จงมองไปรอบๆ เถิด
มีความทุกข์ใดบ้างเหมือนทุกข์
ที่เกิดแก่ข้าพเจ้า
ทุกข์ซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบันดาลแก่ข้าพเจ้าในวันแห่งพระพิโรธอันรุนแรง?
13 “พระองค์ทรงส่งไฟลงมาจากเบื้องบน
ไฟนั้นแผดเผาอยู่ในกระดูกของข้าพเจ้า
พระองค์ทรงวางตาข่ายดักเท้าของข้าพเจ้า
และทำให้ข้าพเจ้าหันกลับ
พระองค์ทรงทิ้งข้าพเจ้าไว้
ให้ระบมไข้และอ่อนระโหยโรยแรงวันยังค่ำ
14 “พระองค์ทรงถักบาปของข้าพเจ้า
เป็นเชือกมัดข้าพเจ้าเข้ากับแอกของการเป็นเชลย[c]
บาปเหล่านั้นอยู่ที่คอของข้าพเจ้า
และองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกระทำให้กำลังวังชาของข้าพเจ้าเหือดหาย
พระองค์ทรงมอบข้าพเจ้าไว้ในมือของคนเหล่านั้น
ซึ่งข้าพเจ้าไม่อาจต่อกรได้
15 “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงทอดทิ้งนักรบทั้งปวง
ที่อยู่ท่ามกลางข้าพเจ้า
พระองค์ทรงระดมพลมาต่อสู้ข้าพเจ้า
เพื่อ[d]บดขยี้พวกคนหนุ่มของข้าพเจ้า
องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเหยียบย่ำธิดาพรหมจารีแห่งยูดาห์[e]
ดั่งองุ่นในบ่อย่ำองุ่น
16 “ด้วยเหตุนี้ ข้าพเจ้าจึงร่ำไห้
น้ำตาหลั่งริน
ไม่มีใครอยู่ใกล้ๆ คอยปลอบโยน
ไม่มีใครช่วยกู้ดวงวิญญาณของข้าพเจ้า
ลูกๆ ของข้าพเจ้าสิ้นเนื้อประดาตัว
เพราะศัตรูชนะเขา”
17 ศิโยนยื่นมือออก
แต่ไม่มีใครปลอบโยนเธอ
องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชายาโคบไว้แล้วว่า
ให้เพื่อนบ้านของเขากลายเป็นศัตรู
เยรูซาเล็มกลายเป็น
ของโสโครกในหมู่พวกเขา
18 “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงชอบธรรม
กระนั้นข้าพเจ้าก็กบฏต่อพระบัญชาของพระองค์
ฟังเถิด ประชาชาติทั้งปวง
จงมองดูความทุกข์ลำเค็ญของข้าพเจ้า
คนหนุ่มสาวของข้าพเจ้า
ตกไปเป็นเชลย
19 “ข้าพเจ้าร้องเรียกบรรดาพันธมิตรของข้าพเจ้า
แต่พวกเขาก็ทรยศหักหลังข้าพเจ้า
บรรดาปุโรหิตและผู้อาวุโสทั้งหลายของข้าพเจ้า
พินาศย่อยยับในกรุง
ขณะพวกเขาค้นหาอาหาร
เพื่อประทังชีวิต
20 “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า โปรดทอดพระเนตรเถิด
ว่าข้าพระองค์ทุกข์ยากมากเพียงไร!
จิตใจร้อนรุ่ม ดวงใจสับสนวุ่นวายอยู่ภายใน
เพราะข้าพระองค์ได้กบฏอย่างที่สุด
นอกบ้านมีแต่คมดาบคร่าชีวิตลูกหลาน
ในบ้านมีแต่ความตาย
21 “ผู้คนได้ยินเสียงครวญครางของข้าพระองค์
แต่ไม่มีใครปลอบโยนข้าพระองค์
ศัตรูทั้งปวงได้ยินถึงความทุกข์ยากลำเค็ญของข้าพระองค์
ก็กระหยิ่มลิงโลดในสิ่งที่พระองค์ได้ทรงทำ
ขอทรงนำวันนั้นที่ทรงประกาศไว้มาถึง
เพื่อพวกเขาจะได้เป็นเหมือนข้าพระองค์
22 “ขอให้ความชั่วร้ายของพวกเขามาอยู่ต่อหน้าพระองค์
ขอทรงจัดการกับพวกเขา
อย่างที่พระองค์ได้ทรงจัดการกับข้าพระองค์
เพราะบาปทั้งสิ้นของข้าพระองค์
เสียงครวญครางของข้าพระองค์มากมายนัก
และดวงใจของข้าพระองค์อ่อนระโหยไป”
[f]2 โอ เมฆแห่งพระพิโรธขององค์พระผู้เป็นเจ้า
ปกคลุมเหนือธิดาแห่งศิโยน![g]
พระองค์ทรงเหวี่ยงความโอ่อ่าตระการของอิสราเอล
จากฟ้าลงดิน
ในวันแห่งพระพิโรธ
พระองค์ไม่ได้ทรงระลึกถึงแท่นรองพระบาทของพระองค์
2 องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงทำลาย
ที่อาศัยทุกแห่งของยาโคบอย่างไร้ความปรานี
พระองค์ทรงทลายที่มั่นทั้งหลายของธิดาแห่งยูดาห์[h]
ด้วยพระพิโรธของพระองค์
ทรงนำอาณาจักรและเหล่าเจ้านายของยูดาห์
ตกต่ำลงมาถึงดินอย่างน่าอัปยศอดสู
3 พระองค์ทรงล้มล้างอำนาจทั้งสิ้น[i]ของอิสราเอล
ด้วยพระพิโรธอันรุนแรงของพระองค์
พระองค์ทรงเพิกถอนการปกป้องรักษา
เมื่อศัตรูรุกเข้ามาโจมตี
ทรงเผาผลาญยาโคบเหมือนเปลวไฟลุกโชน
ซึ่งแผดเผาทุกสิ่งที่อยู่รอบๆ มัน
4 พระองค์ทรงน้าวคันศรเหมือนทรงเป็นศัตรู
พระหัตถ์ขวาของพระองค์เตรียมพร้อมจะปล่อยลูกศร
ทรงประหารทุกคนผู้เป็นที่ชื่นตาชื่นใจ
เหมือนทรงเป็นศัตรู
ทรงระบายพระพิโรธเหมือนไฟ
แผดเผาเต็นท์ของธิดาแห่งศิโยน
5 องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นเหมือนศัตรู
พระองค์ทรงกลืนกินอิสราเอลให้สิ้นไป
ทรงกวาดล้างปราสาทราชวัง
และทรงทำลายที่มั่นต่างๆ ในอิสราเอล
ทรงทำให้การร้องไห้คร่ำครวญทวีเพิ่มขึ้น
สำหรับธิดาแห่งยูดาห์
6 พระองค์ทรงทิ้งที่ประทับของพระองค์ให้รกร้างดั่งสวนร้าง
ทรงทำลายสถานนมัสการของพระองค์
องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงทำให้ศิโยนหลงลืม
เทศกาลตามกำหนดและสะบาโตทั้งหลาย
พระองค์ทรงเขี่ยทั้งกษัตริย์และปุโรหิตทิ้ง
ด้วยพระพิโรธอันรุนแรงของพระองค์
7 องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงปฏิเสธแท่นบูชา
และทอดทิ้งสถานนมัสการของพระองค์
พระองค์ทรงมอบกำแพงปราสาทราชวัง
ไว้ในมือของศัตรู
เหล่าศัตรูส่งเสียงโห่ร้องในพระนิเวศขององค์พระผู้เป็นเจ้า
ราวกับวันฉลองตามเทศกาล
8 องค์พระผู้เป็นเจ้าตั้งพระทัย
ที่จะทลายกำแพงล้อมรอบธิดาแห่งศิโยน
พระองค์ทรงพิจารณาโทษอย่างถี่ถ้วน[j]
ไม่ได้ทรงยั้งพระหัตถ์จากการทำลายล้าง
ทรงทำให้เชิงเทินและกำแพง
พังทลายไปด้วยกันต่อหน้าพระองค์
9 ประตูทั้งหลายของเยรูซาเล็มทรุดจมดิน
ลูกกรงประตูทั้งหลายหักทลาย
กษัตริย์และบรรดาเจ้านายตกเป็นเชลยในชาติต่างๆ
บทบัญญัติสูญสิ้นไปแล้ว
และผู้เผยพระวจนะทั้งหลายไม่ได้รับนิมิต
จากองค์พระผู้เป็นเจ้าอีกต่อไป
10 เหล่าผู้อาวุโสของเยรูซาเล็ม
นั่งซึมอยู่ที่พื้นท่ามกลางความเงียบสงัด
โปรยฝุ่นธุลีบนศีรษะ
และนุ่งห่มผ้ากระสอบ
บรรดาหญิงสาวแห่งเยรูซาเล็ม
ซบหน้าลงกับพื้นด้วยความอับอาย
11 นัยน์ตาของข้าพเจ้าหมองช้ำเพราะการร้องไห้
ข้าพเจ้าทุกข์ระทมอยู่ภายใน
ดวงใจของข้าพเจ้าแหลกสลาย
เพราะพี่น้องร่วมชาติของข้าพเจ้าถูกทำลาย
เพราะลูกเล็กเด็กแดงเป็นลม
อยู่ตามถนนหนทางในเมือง
12 “แม่จ๋า ไหนล่ะอาหาร?”
เด็กๆ เอ่ยกับแม่
ขณะหมดแรง
เหมือนคนบาดเจ็บกลางถนน
ขณะชีวิตหลุดลอยไป
จากอ้อมอกแม่
13 ธิดาแห่งเยรูซาเล็มเอ๋ย[k]
เราจะพูดอะไรเพื่อเจ้าได้?
เราจะเปรียบเจ้ากับอะไรหนอ?
ธิดาพรหมจารีแห่งศิโยนเอ๋ย[l]
เราจะเทียบเจ้ากับสิ่งใดดี
เพื่อจะปลอบโยนเจ้าได้?
บาดแผลของเจ้าลึกดั่งทะเล
ใครเล่าจะเยียวยารักษาเจ้าได้?
14 นิมิตของเหล่าผู้เผยพระวจนะของเจ้า
ล้วนจอมปลอมไร้ค่า
พวกเขาไม่ได้ตีแผ่บาปของเจ้า
ทำให้เจ้าต้องตกเป็นเชลยต่อไป
พระดำรัสที่พวกเขาแจ้งเจ้านั้น
จอมปลอมและพาให้หลงผิด
15 คนทั้งปวงที่ผ่านไปมา
ตบมือเยาะเย้ยเจ้า
พวกเขาถากถางและส่ายศีรษะ
สมเพชธิดาแห่งเยรูซาเล็มว่า
“นี่น่ะหรือกรุงที่ได้รับการขนานนาม
ว่างามเพียบพร้อม
เป็นความชื่นชมยินดีของคนทั้งโลก?”
16 ศัตรูทั้งปวงของเจ้า
อ้าปากเย้ยหยันเจ้า
ส่งเสียงเยาะเย้ย ยิงฟันใส่
และกล่าวว่า “ในที่สุดเราก็ทำลายเจ้าลงได้
นี่เป็นวันที่เรารอคอยมานาน
เราอยู่มาจนได้เห็นสิ่งนี้เกิดขึ้น”
17 องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงทำตามที่ดำริไว้
ทรงทำให้สำเร็จตามที่ลั่นวาจาไว้
ซึ่งพระองค์มีประกาศิตไว้เมื่อนานมาแล้ว
พระองค์ทรงล้มเจ้าลงโดยไม่ปรานี
ทรงยอมให้ศัตรูลิงโลดอยู่เหนือเจ้า
พระองค์ทรงเชิดชูพลัง[m]ของศัตรูของเจ้า
18 จิตใจของพวกเขา
ร้องทูลองค์พระผู้เป็นเจ้า
ปราการของธิดาแห่งศิโยนเอ๋ย
ให้น้ำตาของเจ้าหลั่งไหลดั่งแม่น้ำ
ตลอดทั้งวันทั้งคืน
อย่าได้หยุดหย่อน
อย่าให้ตาของเจ้าได้พักเลย
19 จงลุกขึ้นร่ำไห้ในยามค่ำคืน
ตั้งแต่เริ่มมืด
จงระบายความในใจของเจ้าออกมาเหมือนสายน้ำ
ต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้า
จงชูมือขึ้นอ้อนวอนพระองค์
เพื่อชีวิตลูกเล็กเด็กแดงทั้งหลายของเจ้า
ซึ่งเป็นลมไปเพราะความหิวโหย
อยู่ทุกหัวถนน
20 “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าขอทรงทอดพระเนตรและใคร่ครวญเถิด
พระองค์ทรงเคยทำเช่นนี้แก่ใครบ้าง?
ควรหรือที่คนเป็นแม่จะกินเลือดเนื้อเชื้อไขของตน
คือบรรดาลูกในไส้ที่ตนฟูมฟักเลี้ยงดูมา?
ควรหรือที่ปุโรหิตและผู้เผยพระวจนะจะถูกฆ่า
ในสถานนมัสการขององค์พระผู้เป็นเจ้า?
21 “ทั้งคนหนุ่มคนแก่ทั้งหลาย
นอนคลุกฝุ่นอยู่ด้วยกันกลางถนน
คนหนุ่มคนสาวของข้าพระองค์
ล้มตายด้วยคมดาบ
พระองค์ทรงประหารพวกเขาในวันแห่งพระพิโรธ
ทรงเข่นฆ่าพวกเขาโดยไม่ปรานี
22 “พระองค์ทรงระดมความอกสั่นขวัญแขวนรอบด้านเข้าใส่ข้าพระองค์
เหมือนเกณฑ์คนมาในวันงานเลี้ยงตามเทศกาล
ในวันแห่งพระพิโรธขององค์พระผู้เป็นเจ้า
ไม่มีใครหนีรอดหรือรอดชีวิตไปได้เลยแม้สักคนเดียว
ศัตรูของข้าพระองค์ได้ทำลายล้าง
บรรดาผู้ที่ข้าพระองค์ฟูมฟักเลี้ยงดูมา”
[n]3 ข้าพเจ้าคือผู้ที่เห็นความทุกข์ลำเค็ญ
จากไม้เรียวแห่งพระพิโรธของพระองค์
2 พระองค์ทรงขับไล่ข้าพเจ้าออกมาเดิน
ในความมืดมนแทนที่จะเดินในความสว่าง
3 อันที่จริงพระองค์ทรงหันมาเล่นงานข้าพเจ้า
ครั้งแล้วครั้งเล่าตลอดวันคืน
4 พระองค์ทรงกระทำให้เนื้อและหนังของข้าพเจ้าเหี่ยวย่นไป
ทรงหักกระดูกของข้าพเจ้า
5 พระองค์ทรงล้อมกรอบข้าพเจ้าไว้
ด้วยความขมขื่นและความทุกข์ลำเค็ญ
6 พระองค์ทรงทำให้ข้าพเจ้าอยู่ในความมืด
เหมือนคนที่ตายไปนานแล้ว
7 พระองค์ทรงล้อมข้าพเจ้าไว้ไม่ให้หนีไปได้
พระองค์ทรงถ่วงข้าพเจ้าด้วยโซ่ตรวน
8 แม้เมื่อข้าพเจ้าทูลวิงวอนขอความช่วยเหลือ
พระองค์ไม่ทรงรับฟังคำอธิษฐานของข้าพเจ้า
9 พระองค์ทรงวางศิลากั้นทางของข้าพเจ้า
ทรงทำให้หนทางของข้าพเจ้าคดเคี้ยว
10 พระองค์ทรงเป็นดั่งหมีที่คอยตะครุบ
ดั่งสิงโตที่ซุ่มอยู่
11 พระองค์ทรงลากข้าพเจ้าออกจากทางและฉีกข้าพเจ้าเป็นชิ้นๆ
แล้วทิ้งข้าพเจ้าโดยไม่มีใครมาช่วย
12 พระองค์ทรงโก่งคันธนู
เล็งข้าพเจ้าเป็นเป้า
13 ลูกธนูจากแล่งธนูของพระองค์
เสียบทะลุหัวใจของข้าพเจ้า
14 ข้าพเจ้าตกเป็นขี้ปากให้พี่น้องร่วมชาติหัวเราะเยาะ
เขาร้องเพลงล้อเลียนข้าพเจ้าวันยังค่ำ
15 พระองค์ทรงให้ข้าพเจ้ากินผักรสขมจนอิ่ม
และทำให้ข้าพเจ้าเข็ดขมด้วยบอระเพ็ด
16 พระองค์ทรงเลาะฟันของข้าพเจ้าด้วยกรวด
ทรงเหยียบย่ำข้าพเจ้าจมฝุ่นธุลี
17 สันติสุขถูกพรากไปจากใจของข้าพเจ้า
ข้าพเจ้าลืมไปแล้วว่าความเจริญรุ่งเรืองเป็นอย่างไร
18 ข้าพเจ้าจึงกล่าวว่า “ศักดิ์ศรีของข้าพเจ้าสูญสิ้นเสียแล้ว
และทุกสิ่งที่ข้าพเจ้าคาดหวังจากองค์พระผู้เป็นเจ้าก็พังทลาย”
19 โปรดระลึกถึงความทุกข์ลำเค็ญและการระหกระเหินของข้าพเจ้า
ระลึกถึงความขมขื่นและบอระเพ็ดที่ข้าพเจ้าได้รับ
20 ข้าพเจ้าจดจำสิ่งเหล่านี้ได้ดี
และจิตใจของข้าพเจ้าก็หดหู่อยู่ภายใน
21 ถึงกระนั้นข้าพเจ้าก็หวนคิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาได้
ข้าพเจ้าจึงมีความหวัง
22 เพราะความรักใหญ่หลวงขององค์พระผู้เป็นเจ้าเราจึงไม่ถูกผลาญทำลายไป
เพราะพระเมตตาของพระองค์ไม่เคยยั้งหยุด
23 มีมาใหม่ทุกเช้า
ความซื่อสัตย์ของพระองค์ยิ่งใหญ่นัก
24 ข้าพเจ้ากล่าวกับตนเองว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นทั้งหมดที่ข้าพเจ้ามี
ฉะนั้นข้าพเจ้าจะรอคอยพระองค์”
25 องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงดีต่อผู้ที่ฝากความหวังไว้กับพระองค์
ทรงดีต่อผู้ที่แสวงหาพระองค์
26 เป็นการดีที่จะสงบรอคอย
ความรอดที่องค์พระผู้เป็นเจ้าประทาน
27 เป็นการดีที่คนเราจะแบกแอกไว้
ขณะยังหนุ่มสาว
28 ให้เขานั่งเงียบๆ อยู่แต่ลำพัง
เพราะพระองค์ทรงวางแอกนั้นไว้บนเขา
29 ให้เขาจำนนซบหน้าลงกับดิน
เพราะอาจยังมีความหวัง
30 ให้เขาเอียงแก้มให้ผู้ที่จะตบเขา
และให้เขายอมรับความอัปยศอดสู
31 เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้า
ไม่ได้ทรงทอดทิ้งมนุษย์ตลอดไป
32 แม้พระองค์ทรงให้เกิดความทุกข์โศก แต่ก็ยังจะทรงสำแดงความเมตตาสงสาร
ตามความรักมั่นคงอันใหญ่หลวงของพระองค์
33 เพราะพระองค์ไม่ได้ทรงเต็มพระทัยที่จะให้เกิดความทุกข์ทรมาน
หรือความโศกเศร้าแก่มนุษย์ทั้งหลาย
34 การเหยียบย่ำ
นักโทษทั้งปวงในดินแดน
35 การตัดสิทธิ์ผู้หนึ่งผู้ใด
ต่อหน้าองค์ผู้สูงสุด
36 การไม่ให้ความยุติธรรมแก่ผู้หนึ่งผู้ใด
องค์พระผู้เป็นเจ้าจะไม่ทรงเห็นสิ่งเหล่านี้หรือ?
Thai New Contemporary Bible Copyright © 1999, 2001, 2007 by Biblica, Inc.® Used by permission. All rights reserved worldwide.