Chronological
ศาสนาจอมปลอมอันไร้ค่า
7 พระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาถึงเยเรมีย์ว่า 2 “จงยืนที่ทางเข้าพระนิเวศขององค์พระผู้เป็นเจ้าและประกาศว่า
“‘ชนยูดาห์ทั้งปวงซึ่งผ่านเข้าประตูเหล่านี้เพื่อนมัสการองค์พระผู้เป็นเจ้า จงฟังพระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้า 3 พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสดังนี้ว่า จงแก้ไขความประพฤติและวิถีทางของเจ้าเสียใหม่ แล้วเราจะอนุญาตให้เจ้าอาศัยอยู่ที่นี่ 4 อย่าไปเชื่อคำหลอกลวงและพูดว่า “นี่คือพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้า พระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้าพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้า!” 5 หากเจ้าแก้ไขความประพฤติและวิถีทางต่างๆ อย่างจริงจัง และปฏิบัติต่อกันอย่างยุติธรรม 6 หากเจ้าไม่ข่มเหงคนต่างด้าว ลูกกำพร้าพ่อ หรือหญิงม่าย ไม่ทำให้ผู้บริสุทธิ์ต้องหลั่งเลือดที่นี่ หากเจ้าไม่ติดตามพระอื่นๆ ให้เจ้าเองได้รับอันตราย 7 เมื่อนั้นเราจะอนุญาตให้เจ้าอาศัยอยู่ในที่แห่งนี้ ในแผ่นดินซึ่งเรายกให้แก่บรรพบุรุษของเจ้าตลอดไปเป็นนิตย์ 8 แต่ดูสิ เจ้ากำลังเชื่อคำหลอกลวงที่ไร้ค่า
9 “ ‘เจ้าจะลักขโมย ฆ่าคน ล่วงประเวณี และสาบานเท็จ[a]เผาเครื่องหอมถวายพระบาอัลและติดตามพระอื่นๆ ซึ่งเจ้าไม่เคยรู้จักมาก่อน 10 แล้วก็เข้ามายืนอยู่ต่อหน้าเราในนิเวศแห่งนี้ซึ่งใช้ชื่อของเรา แล้วเจ้าก็พูดว่า “เราปลอดภัย” ปลอดภัยเพื่อจะทำสิ่งที่น่าเกลียดชังทั้งปวงเหล่านี้หรือ? 11 นิเวศแห่งนี้ซึ่งใช้ชื่อของเรากลายเป็นซ่องโจรสำหรับเจ้าแล้วหรือ? เรากำลังจับตาดูอยู่! องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น
12 “ ‘บัดนี้จงไปที่ชิโลห์ ซึ่งแรกเริ่มเดิมทีเราใช้เป็นที่สถาปนานามของเรา ไปดูซิว่าเราทำอะไรกับที่แห่งนั้นเนื่องด้วยความชั่วร้ายของชนอิสราเอลประชากรของเรา 13 องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า ขณะที่เจ้าทำทุกสิ่งทุกอย่างนี้ เราได้พูดกับเจ้าครั้งแล้วครั้งเล่า แต่เจ้าไม่ยอมฟัง เราได้เรียกเจ้า แต่เจ้าไม่ตอบ 14 ฉะนั้นเราได้ทำแก่ชิโลห์อย่างไร บัดนี้เราจะทำอย่างนั้นแก่นิเวศซึ่งใช้ชื่อของเรา แก่พระวิหารซึ่งเจ้าไว้วางใจ แก่สถานที่ซึ่งเรายกให้แก่เจ้าและบรรพบุรุษของเจ้าอย่างนั้น 15 เราจะเหวี่ยงเจ้าไปให้พ้นหน้าเรา เหมือนที่เราได้ทำแก่ชนเอฟราอิมพี่น้องของเจ้า’
16 “ดังนั้นอย่าอธิษฐานเผื่อชนชาตินี้ อย่าอ้อนวอนหรือทูลขอเพื่อพวกเขาอีกต่อไป อย่าร้องทูลเราเพราะเราจะไม่ฟังเจ้า 17 เจ้าไม่เห็นหรือว่าพวกเขากำลังทำอะไรกันอยู่ทั่วหัวเมืองทั้งหลายของยูดาห์และตามถนนหนทางในเยรูซาเล็ม? 18 พวกเด็กๆ เก็บฟืนมา แล้วผู้เป็นพ่อก็ก่อไฟ ส่วนพวกผู้หญิงนวดแป้งทำขนมเพื่อถวายเทวีแห่งสวรรค์ พวกเขาเทเครื่องดื่มบูชาถวายพระอื่นๆ เพื่อยั่วโทสะเรา 19 แต่เราคือผู้ที่เขากำลังยั่วยุหรือ? องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนี้ พวกเขากำลังทำร้ายตัวเอง สร้างความอัปยศอดสูแก่ตัวเองมากกว่าไม่ใช่หรือ?
20 “ ‘ฉะนั้นพระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตตรัสดังนี้ว่า เราจะระบายความโกรธและความเกรี้ยวกราดของเราเหนือที่แห่งนี้ เหนือมนุษย์และสัตว์ เหนือต้นไม้ในท้องทุ่ง เหนือพืชผลทั้งปวงบนแผ่นดิน เป็นไฟโทสะอันเผาผลาญซึ่งไม่มีใครดับได้
21 “ ‘พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสดังนี้ว่า ไปเลย ไปเพิ่มเครื่องเผาบูชานอกเหนือจากเครื่องบูชาทั้งหลายอีก และเอาเนื้อมากินเสียเอง! 22 เพราะเมื่อเราพาบรรพบุรุษของเจ้าออกมาจากอียิปต์และพูดกับเขา เราไม่ได้สั่งเรื่องเครื่องเผาบูชาและของถวายต่างๆ เท่านั้น 23 แต่เรายังสั่งพวกเขาว่า จงเชื่อฟังเรา แล้วเราจะเป็นพระเจ้าของเจ้าและเจ้าจะเป็นประชากรของเรา จงดำเนินตามวิถีทางทั้งปวงซึ่งเราสั่งเจ้า แล้วเจ้าจะอยู่เย็นเป็นสุข 24 แต่พวกเขาไม่ฟังและไม่ใส่ใจ กลับทำตามใจชั่วร้ายที่มักจะดื้อดึงของตน เขาถอยหลังเข้าคลองแทนที่จะรุดไปข้างหน้า 25 นับตั้งแต่เมื่อครั้งบรรพบุรุษของเจ้าออกจากอียิปต์จวบจนบัดนี้ เราส่งผู้เผยพระวจนะผู้รับใช้ของเรามาหาพวกเจ้าวันแล้ววันเล่า ครั้งแล้วครั้งเล่า 26 แต่พวกเขาไม่ยอมฟังเรา ไม่ยอมใส่ใจ พวกเขาเป็นคนหัวแข็ง ชั่วร้ายยิ่งกว่าบรรพบุรุษของพวกเขาเสียอีก’
27 “เมื่อเจ้าบอกพวกเขาทุกอย่างตามนี้แล้ว พวกเขาจะไม่ฟังเจ้า เมื่อเจ้าร้องเรียก พวกเขาจะไม่ตอบ 28 ฉะนั้นจงกล่าวกับพวกเขาว่า ‘นี่เป็นชนชาติที่ไม่ยอมเชื่อฟังพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเขา ไม่ยอมรับการตักเตือนแก้ไข ความจริงพินาศไปแล้ว สูญสิ้นไปจากริมฝีปากของพวกเขา
29 “ ‘จงโกนผมและโยนทิ้งไป จงคร่ำครวญโศกเศร้าบนที่สูงอันโล่งเตียน เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงปฏิเสธและละทิ้งคนในชั่วอายุนี้ ซึ่งตกอยู่ภายใต้พระพิโรธของพระองค์
หุบเขาแห่งการประหัตประหาร
30 “ ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า ชนยูดาห์ทำชั่วในสายตาของเรา พวกเขาได้ตั้งเทวรูปอันน่าชิงชังในนิเวศซึ่งใช้ชื่อของเรา และทำให้ที่นั่นเป็นมลทิน 31 พวกเขาได้สร้างสถานบูชาบนที่สูงต่างๆ ของโทเฟทขึ้นในหุบเขาเบนฮินโนม เพื่อเผาลูกชายลูกสาวของตนเป็นเครื่องบูชายัญ นี่เป็นสิ่งที่เราไม่เคยสั่ง ไม่เคยเข้ามาในความคิดของเราเลย 32 องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า ดังนั้นจงระวัง เพราะจะถึงเวลาที่ผู้คนจะไม่เรียกหุบเขาแห่งนั้นว่าโทเฟทหรือหุบเขาเบนฮินโนมอีกต่อไป แต่เรียกว่า “หุบเขาแห่งการเข่นฆ่า” เพราะพวกเขาจะฝังคนตายในโทเฟทจนไม่มีที่เหลืออีก 33 แล้วซากศพของชนชาตินี้จะเป็นอาหารของนกในอากาศและสัตว์ต่างๆ บนพื้นดิน และไม่มีใครมาไล่พวกมันไป 34 เราจะหยุดเสียงรื่นเริงบันเทิงใจ เสียงสุขหรรษาของเจ้าบ่าวและเจ้าสาวในเมืองทั้งหลายของยูดาห์ และตามถนนหนทางในเยรูซาเล็ม เพราะดินแดนแห่งนี้จะกลายเป็นที่ร้าง
8 “‘องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่าเมื่อถึงเวลานั้นกระดูกของบรรดากษัตริย์และขุนนางของยูดาห์ กระดูกของเหล่าปุโรหิตและผู้เผยพระวจนะ และกระดูกของชาวเยรูซาเล็มจะถูกขุดออกมาจากหลุมฝังศพ 2 และถูกทิ้งกระจัดกระจายไว้กลางแจ้งภายใต้ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และมวลหมู่ดาวแห่งฟ้าสวรรค์ซึ่งพวกเขารักและปรนนิบัติ ติดตามขอคำปรึกษาและนมัสการ กระดูกของพวกเขาจะไม่ถูกเก็บรวบรวมขึ้นมาอีกหรือถูกฝังไว้ แต่จะเป็นเหมือนขยะที่ทิ้งไว้บนพื้น 3 และบรรดาผู้ที่ยังเหลือรอดอยู่ในหมู่ประชาชาติชั่วร้ายนี้ จะเรียกหาความตายมากกว่ามีชีวิตอยู่ในที่ซึ่งเราจะเนรเทศพวกเขาไปนั้น พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ประกาศดังนี้’
บาปและโทษทัณฑ์
4 “จงไปบอกพวกเขาว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้
“ ‘เมื่อคนล้มลง เขาจะไม่ลุกขึ้นหรือ?
เมื่อเขาไปผิดทาง เขาจะไม่ย้อนกลับมาหรือ?
5 แล้วทำไมประชากรเหล่านี้หันไปทางอื่น?
เหตุใดเยรูซาเล็มจึงหันไปทางอื่นเสมอ?
พวกเขายึดติดกับความหลอกลวง
พวกเขาไม่ยอมหันกลับมา
6 เราตั้งใจฟัง
แต่พวกเขาไม่ได้พูดสิ่งที่ถูกต้อง
ไม่มีใครกลับตัวกลับใจจากความชั่วร้ายของตน
และกล่าวว่า “ข้าได้ทำอะไรลงไป?”
แต่ละคนไปตามทางของตนเอง
เหมือนม้าทะยานออกศึก
7 แม้แต่นกกระสาในท้องฟ้า
ยังรู้กำหนดฤดูกาล
เช่นเดียวกับนกพิราบ นกกระเรียน และนกนางแอ่น
ยังรู้จักสังเกตว่าได้เวลาอพยพ
แต่ประชากรของเรา
ไม่รู้ข้อกำหนดต่างๆ ขององค์พระผู้เป็นเจ้า
8 “ ‘เจ้าพูดออกมาได้อย่างไรว่า “เราเฉลียวฉลาด
เพราะเรามีบทบัญญัติขององค์พระผู้เป็นเจ้า”
ในเมื่อปากกามุสาของเหล่าอาลักษณ์
ได้บิดเบือนบทบัญญัตินั้น?
9 คนฉลาดเหล่านั้นจะต้องอับอายขายหน้า
พวกเขาจะหวาดกลัวท้อแท้และติดกับ
เนื่องจากได้ละทิ้งพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้า
เขามีสติปัญญาประเภทไหนกัน?
10 ฉะนั้นเราจะยกภรรยาของพวกเขาให้ชายอื่น
และยกที่นาของพวกเขาให้เจ้าของคนใหม่
ตั้งแต่ผู้น้อยที่สุดจนถึงผู้ใหญ่ที่สุด
ล้วนโลภมุ่งกำไร
พวกผู้เผยพระวจนะและปุโรหิตก็ไม่ต่างกัน
ล้วนโกหกหลอกลวง
11 พวกเขาทำแผลให้ประชากรของเรา
ราวกับว่าไม่สาหัสรุนแรงเท่าไร
พวกเขากล่าวว่า “สันติสุข สันติสุข”
ทั้งๆ ที่ไม่มีสันติสุข
12 พวกเขาละอายใจในความประพฤติอันน่าขยะแขยงของตนบ้างหรือเปล่า?
เปล่าเลย พวกเขาไม่ละอายสักนิด
ไม่รู้เลยว่าการมียางอายนั้นเป็นอย่างไร
ฉะนั้นพวกเขาจะล้มลงในหมู่ผู้ที่ล้มลง
เขาจะตกต่ำลงเมื่อเราลงโทษเขา
องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนั้น
13 “ ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า
เราจะริบผลิตผลของเขาไป
จะไม่มีผลองุ่นติดอยู่บนเถา
ไม่มีมะเดื่อบนต้น
ใบของมันจะเหี่ยวเฉาไป
อะไรที่เราให้พวกเขาไว้
จะถูกยึดไป[b]’ ”
14 “เราจะมานั่งรอความตายอยู่ที่นี่ทำไม?
มาเถิด ไปด้วยกัน!
ให้เราหนีไปยังหัวเมืองป้อมปราการต่างๆ
ไปตายเสียที่นั่น!
เพราะพระยาห์เวห์พระเจ้าของเราได้กำหนดให้เราพินาศย่อยยับแล้ว
และทรงยื่นถ้วยยาพิษให้เราดื่ม
เพราะเราได้ทำบาปต่อพระองค์
15 เรามุ่งหวังสันติสุข
แต่มันก็ไม่เกิดอะไรขึ้น
เรามุ่งหวังเวลาแห่งการเยียวยารักษา
ก็มีแต่เพียงความสยดสยอง
16 เสียงหายใจฟืดฟาดของม้าฝ่ายศัตรู
ได้ยินมาจากเมืองดาน
ทั่วทั้งดินแดนสั่นสะท้าน
ด้วยเสียงม้าศึก
ศัตรูกำลังมาเขมือบ
ทั้งดินแดนนี้และทุกสิ่งที่นี่
ไม่ว่านครหรือผู้คนที่อาศัยอยู่ในนั้น”
17 “ดูเถิด เราจะส่งงูพิษมาในหมู่พวกเจ้า
งูพิษซึ่งไม่มีใครสะกดได้
จะมาฉกเจ้า”
องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น
18 โอ ข้าแต่องค์ผู้ทรงปลอบโยน[c]ข้าพเจ้าในยามโศกเศร้า
ดวงใจของข้าพเจ้าอ่อนระโหยอยู่ภายในข้าพเจ้า
19 ฟังเสียงร่ำไห้ของพี่น้องร่วมชาติของข้าพเจ้า
จากแดนไกลโพ้นเถิด
พวกเขาถามว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้ประทับอยู่ในศิโยนหรือ?
องค์กษัตริย์แห่งศิโยนไม่ได้อยู่ที่นั่นแล้วหรือ?”
“ทำไมหนอพวกเขาจึงยั่วโทสะเราด้วยรูปเคารพ
และด้วยเหล่าเทวรูปต่างชาติอันไร้ค่า?”
20 “ฤดูเก็บเกี่ยวผ่านพ้นไป
ฤดูร้อนก็หมดไป
และยังไม่มีใครช่วยเราให้รอด”
21 เพราะว่าพี่น้องร่วมชาติของข้าพเจ้าถูกบดขยี้ ดวงใจของข้าพเจ้าจึงแหลกสลาย
ข้าพเจ้าคร่ำครวญอาดูรและความสยดสยองเกาะกุมข้าพเจ้า
22 ในกิเลอาดไม่มียาหรือ?
ที่นั่นไม่มีแพทย์เลยหรือ?
ทำไมจึงไม่มีการเยียวยาบาดแผล
ของพี่น้องร่วมชาติของข้าพเจ้าให้หาย?
9 โอ ถ้าศีรษะของข้าพเจ้าเป็นเหมือนแหล่งน้ำ
และตาของข้าพเจ้าเป็นเหมือนบ่อน้ำพุแห่งน้ำตา!
ข้าพเจ้าจะได้ร่ำไห้ทั้งวันทั้งคืน
เพื่อพี่น้องร่วมชาติซึ่งถูกสังหาร
2 โอ ข้าพเจ้าอยากมีที่พักแรม
สำหรับคนเดินทางในถิ่นกันดารนัก
เพื่อข้าพเจ้าจะได้ไปให้พ้น
จากพี่น้องร่วมชาติของข้าพเจ้า
เพราะพวกเขาล้วนเป็นคนล่วงประเวณี
เป็นฝูงชนที่ไม่ซื่อสัตย์
3 “พวกเขาโก่งลิ้นเหมือนคันศร
เพื่อยิงคำโกหกออกมา
ความเท็จจึงมีชัย
เหนือความจริง[d]ในแผ่นดิน
พวกเขาทำบาปอย่างหนึ่ง
แล้วก็แล่นไปสู่บาปอีกอย่างหนึ่ง พวกเขาไม่ยอมรับเรา”
องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น
4 “จงระวังเพื่อนของเจ้า
และอย่าไว้ใจพี่น้องของเจ้า
เพราะว่าพี่น้องทุกคนเป็นคนหลอกลวง[e]
และเพื่อนทุกคนเป็นนักใส่ร้ายป้ายสี
5 เพื่อนหลอกลวงเพื่อน
และไม่มีใครพูดความจริง
พวกเขาฝึกลิ้นตัวเองให้โกหก
ทำให้ตัวเองเหนื่อยล้าด้วยการทำบาป
6 เจ้า[f]อาศัยอยู่ท่ามกลางการหลอกลวง
เพราะความหลอกลวงของพวกเขา พวกเขาจึงไม่ยอมรับเรา”
องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น
7 ฉะนั้นพระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ตรัสว่า
“ดูเถิด เราจะถลุงและทดสอบพวกเขา
เพราะนอกจากนี้เราจะทำสิ่งอื่นใดได้อีก
เนื่องจากบาปที่ประชากรของเราได้ทำ?
8 ลิ้นของพวกเขาเป็นลูกศรคร่าชีวิต
พูดจาตลบตะแลง
ทุกคนพูดอย่างเป็นมิตรกับเพื่อนบ้านของเขา
แต่ในใจคิดวางแผนเล่นงานเขา
9 ไม่ควรหรือที่เราจะลงโทษพวกเขาเพราะเหตุนี้?”
องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น
“ไม่ควรหรือที่เราจะแก้แค้น
ชนชาติที่เป็นเช่นนี้?”
10 ข้าพเจ้าจะร้องไห้คร่ำครวญเพื่อภูเขาทั้งหลาย
และเปล่งคำคร่ำครวญเรื่องทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ที่ถูกทิ้งร้าง
มันถูกทอดทิ้ง ไม่มีใครสัญจรไปมา
ไม่ได้ยินเสียงสัตว์ร้อง
ทั้งนกในอากาศและสัตว์ทั้งปวง
ก็หนีไปหมด
11 “เราจะทำให้เยรูซาเล็มกลายเป็นซากปรักหักพัง
เป็นถิ่นที่อยู่ของหมาใน
และเราจะทำให้หัวเมืองต่างๆ ของยูดาห์เป็นที่รกร้าง
เพื่อจะไม่มีใครอาศัยอยู่ที่นั่น”
12 ใครหนอฉลาดพอที่จะเข้าใจเรื่องทั้งหมดนี้? ใครบ้างที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงสอนและอธิบายได้? เหตุใดดินแดนจึงถูกทำให้ย่อยยับและถูกทิ้งร้างเหมือนถิ่นกันดารที่ไม่มีใครผ่านไปมา?
13 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “ก็เพราะพวกเขาละทิ้งบทบัญญัติของเรา ซึ่งเราตั้งไว้ตรงหน้าพวกเขา พวกเขาไม่ได้เชื่อฟังเรา หรือทำตามบทบัญญัติของเรา 14 พวกเขากลับทำตามใจดื้อดึงของตน เขานมัสการพระบาอัลตามที่บรรพบุรุษสอน” 15 ฉะนั้นพระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสว่า “ดูเถิดเราจะทำให้ชนชาตินี้กินอาหารขมและดื่มน้ำซึ่งมีพิษ 16 เราจะทำให้พวกเขากระจัดกระจายไปตามชนชาติต่างๆ ซึ่งพวกเขาเองหรือบรรพบุรุษไม่เคยรู้จักมาก่อน เราจะถือดาบไล่ล่าพวกเขาจนกว่าเราจะได้ทำลายล้างพวกเขาให้สิ้น”
17 พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ตรัสว่า
“บัดนี้จงพิจารณาดู! จงตามนางร้องไห้มา
เรียกคนที่ชำนาญที่สุดมา
18 จงให้พวกนางรีบมาโดยเร็ว
มาร่ำไห้เพื่อพวกเรา
จนน้ำตาท่วมตาของเรา
และธารน้ำหลั่งรินจากนัยน์ตาของเรา
19 ได้ยินเสียงร่ำไห้ดังจากศิโยนว่า
‘เราพินาศย่อยยับแล้ว!
เราอัปยศอดสูนัก!
เราต้องทิ้งดินแดนไป
เพราะบ้านเรือนของเราปรักหักพัง’ ”
20 บัดนี้ หญิงเอ๋ย จงฟังพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้า
จงเปิดหูฟังพระดำรัสจากพระโอษฐ์ของพระองค์
จงสอนลูกสาวทั้งหลายของเจ้าให้ร่ำไห้
และจงสอนเพลงคร่ำครวญให้เพื่อนบ้านของตน
21 ความตายได้ปีนเข้ามาทางหน้าต่างของเรา
มันทะลวงป้อมต่างๆ เข้ามา
คร่าเอาเด็กๆ ไปจากท้องถนน
และคร่าคนหนุ่มๆ ไปจากลานเมือง
22 จงบอกเขาว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า
“ ‘ซากศพจะระเนระนาดเหมือนขยะอยู่ในทุ่งโล่ง
เหมือนข้าวที่ถูกตัดเก็บไว้ข้างหลังผู้เกี่ยว ไม่มีใครมาเก็บรวบรวม’ ”
23 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า
“คนฉลาด อย่าโอ้อวดสติปัญญาของตน
คนแข็งแรง อย่าโอ้อวดพละกำลังของตน
คนรวยก็อย่าโอ้อวดทรัพย์สมบัติของตน
24 แต่ให้ผู้ที่อวดจงอวดเรื่องนี้
คือที่เขามีความเข้าใจและรู้จักเรา
รู้ว่าเราเป็นพระยาห์เวห์ผู้ผดุงความเมตตากรุณา
ความยุติธรรมและความชอบธรรมในโลกนี้
เพราะเราปีติยินดีในสิ่งเหล่านี้”
องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น
25 องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า “เวลานั้นจะมาถึง เมื่อเราจะลงโทษคนทั้งปวงที่เข้าสุหนัตแต่เพียงทางกาย 26 คือชาวอียิปต์ ชาวยูดาห์ ชาวเอโดม ชาวอัมโมน ชาวโมอับ และคนทั้งปวงที่อาศัยในถิ่นกันดารในที่ห่างไกล[g] เพราะชนชาติทั้งหมดนี้ยังไม่ได้เข้าสุหนัตอย่างแท้จริง และแม้แต่พงศ์พันธุ์ของอิสราเอลก็ไม่ได้เข้าสุหนัตทางใจ”
Thai New Contemporary Bible Copyright © 1999, 2001, 2007 by Biblica, Inc.® Used by permission. All rights reserved worldwide.