Chronological
บาป การสารภาพ และการไถ่
59 แน่ทีเดียว พระกรขององค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้สั้นเกินกว่าจะช่วยให้รอด
ทั้งพระกรรณของพระองค์ก็ไม่ได้ตึงเกินกว่าจะได้ยิน
2 แต่ความชั่วช้าของเจ้าต่างหาก
ที่ได้แยกเจ้าออกจากพระเจ้าของเจ้า
บาปของเจ้าทำให้พระองค์ทรงซ่อนพระพักตร์จากเจ้า
พระองค์จึงไม่สดับฟัง
3 มือของเจ้าเกรอะกรังไปด้วยเลือด
นิ้วของเจ้าเปรอะเปื้อนความผิด
ริมฝีปากของเจ้าพูดโกหก
ลิ้นของเจ้าพึมพำสิ่งชั่วร้าย
4 ไม่มีใครเรียกร้องให้มีความยุติธรรม
ไม่มีใครดำเนินคดีด้วยความสัตย์สุจริต
พวกเขาวางใจในการโต้แย้งอันไร้สาระและพูดโกหก
ก่อความเดือดร้อนและให้กำเนิดความชั่วร้าย
5 เขาฟักไข่งูพิษ
และทอใยแมงมุม
ใครกินไข่ของเขาก็จะตาย
และเมื่อไข่ฟองไหนแตก งูพิษก็เลื้อยออกมา
6 ใยแมงมุมที่พวกเขาทอขึ้นมาก็ใช้ประโยชน์เป็นเสื้อผ้าไม่ได้
เขาไม่สามารถปกคลุมตัวเองด้วยสิ่งที่ตนทำขึ้น
การกระทำของเขาชั่วร้าย
มือของเขาพร้อมที่จะก่อความรุนแรง
7 เท้าของเขาถลันเข้าหาบาป
และพวกเขารีบเร่งจะเอาชีวิตผู้บริสุทธิ์
ความคิดคำนึงของเขาล้วนแล้วแต่ชั่ว
วิถีทางของเขามีการทำลายล้างผลาญ
8 เขาไม่รู้จักทางแห่งสันติภาพ
ไม่มีความยุติธรรมในหนทางของเขา
เขาผันแปรมันให้เป็นถนนที่คดเคี้ยว
ไม่มีใครที่ดำเนินในทางนั้นจะรู้จักสันติสุข
9 ฉะนั้นความยุติธรรมจึงห่างไกลจากพวกเรา
และความชอบธรรมไม่ได้มาถึงเรา
เรามองหาความสว่าง ก็พบแต่ความมืดมน
เรามองหาความสดใส แต่เราก็เดินอยู่ในเงามืดมิด
10 เราคลำสะเปะสะปะไปตามกำแพงเหมือนคนตาบอด
คลำหาทางเหมือนคนไม่มีตา
กลางวันแสกๆ เราก็ล้มลุกคลุกคลานเหมือนยามสนธยา
เราจึงเป็นเหมือนคนตายในหมู่คนเข้มแข็ง
11 เราทุกคนครางเหมือนหมี
โอดครวญเสียงเศร้าสร้อยเหมือนนกพิราบ
เรามองหาความยุติธรรมแต่ไม่พบเลย
มองหาการช่วยกู้แต่ก็อยู่ไกลลิบ
12 เพราะการละเมิดของเรามากมายนักในสายพระเนตรของพระองค์
บาปทั้งหลายของเราฟ้องร้องเรา
การละเมิดของเราอยู่กับเราเสมอ
และเรายอมรับความชั่วช้าของเรา
13 เรากบฏทรยศต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า
หันหลังให้พระเจ้าของเรา
เราก่อการกดขี่ข่มเหงและการกบฏ
กล่าวคำโกหกซึ่งเราคิดไว้ในใจ
14 ดังนั้นความยุติธรรมจึงถดถอย
ความชอบธรรมหลีกห่าง
ความจริงสะดุดกลางถนน
ความซื่อสัตย์ไม่อาจเข้ามาได้
15 หาความจริงไม่พบเลยไม่ว่าที่ไหน
ผู้ที่หลีกหนีจากความชั่วกลับตกเป็นเหยื่อ
องค์พระผู้เป็นเจ้าทอดพระเนตรแล้วก็ไม่พอพระทัย
เนื่องจากไม่มีความยุติธรรมเลย
16 พระองค์ทรงเห็นว่าไม่มีใครเลย
และตกพระทัยที่ไม่มีใครก้าวเข้ามาช่วย
ดังนั้นพระกรของพระองค์เองจึงนำความรอดมา
และความชอบธรรมของพระองค์ก็ค้ำจุนพระองค์ไว้
17 พระองค์ทรงสวมความชอบธรรมเป็นเสื้อเกราะ
และทรงสวมหมวกเหล็กแห่งความรอดไว้บนพระเศียร
ทรงฉลองพระองค์ด้วยเสื้อคลุมแห่งการแก้แค้น
และทรงห่มความกระตือรือร้นเหมือนห่มเสื้อคลุม
18 พระองค์จะทรงตอบแทนศัตรูทั้งหลายของพระองค์ด้วยพระพิโรธ
และจะทรงแก้แค้นบรรดาปฏิปักษ์ของพระองค์ให้สาสมกับการกระทำของพวกเขา
พระองค์จะทรงตอบแทนเกาะแก่งต่างๆ ตามที่มันสมควรจะได้รับ
19 ผู้คนจากตะวันตกจะยำเกรงพระนามของพระยาห์เวห์
และจากที่พระอาทิตย์ขึ้น พวกเขาจะยกย่องพระเกียรติสิริของพระองค์
เพราะพระองค์จะเสด็จมาเหมือนกระแสน้ำเชี่ยว
ซึ่งขับเคลื่อนด้วยลมปราณขององค์พระผู้เป็นเจ้า[a]
20 “พระผู้ไถ่จะเสด็จมายังศิโยน
มายังคนในวงศ์วานยาโคบที่กลับใจจากบาปของพวกเขา”
องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น
21 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “ส่วนเรา นี่เป็นพันธสัญญาของเรากับพวกเขา จิตวิญญาณของเราซึ่งอยู่กับเจ้าและถ้อยคำของเราซึ่งเราใส่ไว้ในปากของเจ้าจะไม่พรากไปจากปากของเจ้า หรือจากปากลูกๆ ของเจ้า หรือจากปากลูกหลานของพวกเขานับแต่บัดนี้จวบจนนิรันดร์” องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนั้น
ศักดิ์ศรีของศิโยน
60 “เยรูซาเล็มเอ๋ย จงลุกขึ้นส่องสว่าง
เพราะว่าความสว่างของเจ้ามาแล้ว
และพระเกียรติสิริขององค์พระผู้เป็นเจ้าปรากฏขึ้นเหนือเจ้า
2 ดูเถิด ความมืดปกคลุมโลก
ความมืดมิดอยู่เหนือบรรดาประชาชาติ
แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงปรากฏขึ้นเหนือเจ้า
พระเกียรติสิริของพระองค์ปรากฏขึ้นเหนือเจ้า
3 ประชาชาติทั้งหลายจะมายังแสงสว่างของเจ้า
บรรดากษัตริย์จะมายังความเจิดจ้าดั่งรุ่งอรุณของเจ้า
4 “จงเงยหน้าขึ้นและมองไปรอบๆ
ทุกคนรวมตัวกันและมาหาเจ้า
ลูกชายทั้งหลายของเจ้ามาจากแดนไกลโพ้น
และลูกสาวทั้งหลายของเจ้ามีคนอุ้มมา
5 เจ้าจะเห็นแล้วแช่มชื่น
จิตใจเบิกบานตื่นเต้นยินดี
ความมั่งคั่งแห่งท้องทะเลจะถูกนำมามอบให้เจ้า
ทรัพย์สมบัติของประชาชาติต่างๆ จะมาถึงเจ้า
6 ฝูงอูฐปกคลุมทั่วดินแดนของเจ้า
อูฐหนุ่มจากมีเดียนและเอฟาห์
และอูฐทั้งปวงจากเชบาก็จะมา
บรรทุกทองและเครื่องหอม
และป่าวร้องคำสรรเสริญองค์พระผู้เป็นเจ้า
7 ฝูงแพะแกะทั้งปวงแห่งเคดาร์จะถูกรวบรวมมายังเจ้า
แกะผู้ทั้งหลายแห่งเนบาโยทจะรับใช้เจ้า
พวกมันจะได้รับการยอมรับ เป็นเครื่องบูชาบนแท่นของเรา
เราจะตกแต่งวิหารอันมีสง่าราศีของเรา
8 “และนี่ใครกันหนอพากันเคลื่อนมาดั่งเมฆ
เหมือนนกพิราบบินกลับรัง?
9 แน่ทีเดียว เกาะแก่งทั้งหลายมองมายังเรา
ที่แล่นนำหน้ามาคือกองเรือของเมืองทารชิช[b]
นำลูกๆ ของเจ้ามาจากแดนไกล
พร้อมด้วยเงินและทองของพวกเขา
เพื่อพระเกียรติสิริของพระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้า
องค์บริสุทธิ์แห่งอิสราเอล
เพราะพระองค์ประทานความรุ่งโรจน์แก่เจ้า
10 “ชาวต่างชาติจะสร้างกำแพงของเจ้าขึ้นใหม่
บรรดากษัตริย์ของพวกเขาจะรับใช้เจ้า
แม้ยามโกรธเราได้ลงโทษเจ้า
แต่ในความโปรดปราน เราจะสำแดงความเมตตาแก่เจ้า
11 ประตูทั้งหลายของเจ้าจะเปิดไว้ตลอด
ไม่ปิดเลยทั้งกลางวันกลางคืน
เพื่อคนเหล่านั้นจะนำความมั่งคั่งของบรรดาประชาชาติมาให้เจ้า
ซึ่งบรรดากษัตริย์ของพวกเขาเป็นผู้นำขบวนฉลองชัย
12 เพราะประชาชาติหรืออาณาจักรใดไม่ยอมรับใช้เจ้าจะพินาศ
มันจะถูกทำลายล้างราบคาบ
13 “ศักดิ์ศรีแห่งเลบานอนจะมายังเจ้า
ทั้งต้นสน ต้นเฟอร์ และต้นไซเปรส
เพื่อตกแต่งสถานนมัสการของเรา
และเราจะเชิดชูที่วางเท้าของเรา
14 บุตรทั้งหลายของผู้ที่กดขี่ข่มเหงเจ้าจะมาหมอบกราบตรงหน้าเจ้า
คนทั้งปวงที่เหยียดหยามเจ้าจะหมอบแทบเท้าเจ้า
และจะเรียกเจ้าว่า ‘นครขององค์พระผู้เป็นเจ้า’
‘ศิโยนขององค์บริสุทธิ์แห่งอิสราเอล’
15 “แม้ว่าเจ้าเคยถูกทอดทิ้งและเกลียดชัง
ไม่มีใครเดินทางผ่าน
เราก็จะทำให้เจ้าเป็นเกียรติภูมินิรันดร์
และเป็นความชื่นชมยินดีของคนทุกชั่วอายุ
16 เจ้าจะดื่มนมของประชาชาติต่างๆ
และเจ้าจะได้รับการฟูมฟักจากอกของเจ้านาย
เมื่อนั้นเจ้าจะรู้ว่า เรา พระยาห์เวห์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเจ้า
เป็นพระผู้ไถ่ของเจ้า เป็นองค์ทรงฤทธิ์ของยาโคบ
17 เราจะนำทองคำมาให้เจ้าแทนทองสัมฤทธิ์
นำเงินมาแทนเหล็ก
เรานำทองสัมฤทธิ์มาให้เจ้าแทนไม้
และนำเหล็กมาแทนหิน
เราจะทำให้สันติสุขเป็นเจ้าเมืองของเจ้า
และความชอบธรรมเป็นผู้ปกครองของเจ้า
18 จะไม่ได้ยินเรื่องโหดร้ายทารุณในดินแดนของเจ้าอีก
ไม่มีหายนะหรือการทำลายล้างในเขตแดนของเจ้า
แต่เจ้าจะเรียกกำแพงของเจ้าว่า ‘ความรอด’
และประตูของเจ้าว่า ‘สรรเสริญ’
19 เจ้าจะไม่ต้องอาศัยแสงอาทิตย์ยามกลางวัน
หรือความสุกใสของดวงจันทร์อีกต่อไป
เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นความสว่างนิรันดร์สำหรับเจ้า
และพระเจ้าของเจ้าจะเป็นศักดิ์ศรีของเจ้า
20 ดวงตะวันของเจ้าจะไม่ลับไปอีกเลย
และดวงจันทร์ของเจ้าก็จะไม่มีข้างแรม
องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงเป็นความสว่างนิรันดร์สำหรับเจ้า
วันคืนอันทุกข์โศกของเจ้าจะสิ้นสุดลง
21 เมื่อนั้นประชากรทั้งปวงของเจ้าจะเป็นคนชอบธรรม
เขาจะครอบครองดินแดนตลอดไป
พวกเขาเป็นต้นอ่อนที่เราได้ปลูกไว้
เป็นผลงานจากน้ำมือของเรา
เพื่อสำแดงความรุ่งโรจน์ของเรา
22 ผู้ที่เล็กที่สุดของเจ้าจะกลายเป็นพัน
และผู้เล็กน้อยที่สุดจะเป็นชาติที่ยิ่งใหญ่
เราคือพระยาห์เวห์
เมื่อถึงเวลา เราก็จะทำสิ่งนี้อย่างรวดเร็ว”
ปีแห่งความโปรดปรานขององค์พระผู้เป็นเจ้า
61 พระวิญญาณของพระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตทรงอยู่เหนือข้าพเจ้า
เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเจิมตั้งข้าพเจ้าไว้
ให้ประกาศข่าวดีแก่ผู้ยากไร้
พระองค์ทรงใช้ข้าพเจ้ามาปลอบโยนผู้ชอกช้ำระกำใจ
ให้ประกาศอิสรภาพแก่บรรดาเชลย
และปลดปล่อยนักโทษ[c]จากความมืด
2 ให้ประกาศปีแห่งความโปรดปรานขององค์พระผู้เป็นเจ้า
และวันแห่งการแก้แค้นของพระเจ้าของเรา
ให้ปลอบโยนทุกคนที่คร่ำครวญหวนไห้
3 และมอบมงกุฎแห่งความงามแทนขี้เถ้า
แก่ผู้ที่ทุกข์โศกในศิโยน
มอบน้ำมันแห่งความยินดี
แทนการคร่ำครวญ
และเครื่องนุ่งห่มแห่งคำสรรเสริญ
แทนดวงใจที่ท้อแท้สิ้นหวัง
พวกเขาจะได้ชื่อว่าต้นโอ๊กแห่งความชอบธรรม
เป็นต้นไม้ที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงปลูกไว้
เพื่อสำแดงความรุ่งโรจน์ของพระองค์
4 พวกเขาจะปฏิสังขรณ์ซากโบราณที่ปรักหักพัง
บูรณะสถานที่ต่างๆ ซึ่งถูกทำลายเมื่อนานมาแล้ว
พวกเขาจะฟื้นฟูเมืองปรักหักพังทั้งหลาย
ซึ่งถูกทำลายล้างมาหลายชั่วอายุ
5 คนต่างด้าวจะเลี้ยงดูฝูงแกะของเจ้า
คนต่างชาติจะทำงานในทุ่งนาและในสวนองุ่นของเจ้า
6 และเขาจะเรียกเจ้าว่าปุโรหิตขององค์พระผู้เป็นเจ้า
เจ้าจะได้ชื่อว่าเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้าของเรา
เจ้าจะอิ่มหมีพีมันด้วยทรัพย์สมบัติของประชาชาติต่างๆ
และจะอวดความมั่งคั่งของพวกเขา
7 ประชากรของเราจะได้รับส่วนแบ่งเป็นสองเท่า
แทนความอัปยศอดสูของพวกเขา
พวกเขาจะชื่นชมยินดีในมรดกของตน
แทนความอับอายขายหน้า
เพราะฉะนั้น พวกเขาจะได้รับส่วนแบ่งเป็นสองเท่าในแผ่นดินของพวกเขา
และได้รับความชื่นชมยินดีนิรันดร์
8 “เพราะเรา พระยาห์เวห์ รักความยุติธรรม
เราเกลียดการปล้นชิงและความชั่วช้า
เราจะปูนบำเหน็จอย่างซื่อสัตย์แก่เขา
และจะทำพันธสัญญานิรันดร์กับเขา
9 ลูกหลานของเขาจะเป็นที่รู้จักในหมู่ประชาชาติ
และวงศ์วานของเขาจะเป็นที่รู้จักท่ามกลางชนชาติทั้งหลาย
ทุกคนที่เห็นพวกเขาจะตระหนักว่า
พวกเขาเป็นประชากรที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอวยพร”
10 ข้าพเจ้าปีติยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างใหญ่หลวง
จิตวิญญาณของข้าพเจ้าชื่นชมยินดีในพระเจ้าของข้าพเจ้า
เพราะพระองค์ทรงสวมเสื้อผ้าแห่งความรอดให้ข้าพเจ้า
และให้ข้าพเจ้าสวมเสื้อคลุมแห่งความชอบธรรม
ดุจเจ้าบ่าวประดับศีรษะคล้ายปุโรหิต
และเหมือนเจ้าสาวประดับกายด้วยเพชรนิลจินดา
11 เพราะพื้นดินทำให้พืชงอกขึ้นมา
และสวนทำให้เมล็ดพันธุ์งอกงามได้ฉันใด
พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตจะทรงให้ความชอบธรรมและการสรรเสริญ
ปรากฏขึ้นต่อหน้ามวลประชาชาติฉันนั้น
นามใหม่ของศิโยน
62 เพื่อเห็นแก่ศิโยน ข้าพเจ้าจะไม่ยอมเงียบ
เพื่อเห็นแก่เยรูซาเล็ม ข้าพเจ้าจะไม่นิ่งเฉย
ตราบจนความชอบธรรมของนครนี้จะฉายแสงดั่งรุ่งอรุณ
และความรอดเจิดจ้าดั่งคบไฟโชติช่วง
2 บรรดาประชาชาติจะเห็นความชอบธรรมของเจ้า
บรรดากษัตริย์จะเห็นศักดิ์ศรีของเจ้า
เจ้าจะได้ชื่อใหม่
ซึ่งพระโอษฐ์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าประทาน
3 เจ้าจะเป็นมงกุฎแห่งความโอ่อ่าตระการในพระหัตถ์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า
เป็นราชมงกุฎในพระหัตถ์พระเจ้าของเจ้า
4 พวกเขาจะไม่เรียกเจ้าว่า ‘ดินแดนที่ถูกทอดทิ้ง’
หรือ ‘ที่ทิ้งร้าง’ อีกต่อไป
แต่เจ้าจะได้ชื่อว่า ‘เราปีติยินดีในตัวเธอ’
และแผ่นดินของเจ้าจะมีชื่อว่า ‘สมรสแล้ว’
เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงปีติยินดีในตัวเจ้า
และดินแดนของเจ้าจะได้แต่งงาน
5 บรรดาบุตรชายของเจ้า[d]จะแต่งงานกับเจ้า
เหมือนชายหนุ่มแต่งงานกับหญิงสาว
พระเจ้าจะทรงปลื้มปีติในตัวเจ้า
เหมือนเจ้าบ่าวชื่นชมในตัวเจ้าสาว
6 เยรูซาเล็มเอ๋ย เราได้ตั้งยามบนกำแพงของเจ้า
พวกเขาจะไม่นิ่งเงียบอยู่ทั้งกลางวันและกลางคืน
เจ้าผู้คอยร้องทูลองค์พระผู้เป็นเจ้า
จงอย่าหยุดพักเลย
7 และอย่าให้พระเจ้าทรงหยุดพักจนกระทั่งพระองค์ได้สถาปนาเยรูซาเล็ม
และทำให้เป็นที่ยกย่องในโลก
8 องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงยกพระหัตถ์ขวาและพระกรอันทรงฤทธิ์ปฏิญาณว่า
“เราจะไม่ยกเมล็ดข้าวของเจ้าให้เป็นอาหารของศัตรูอีกต่อไป
และคนต่างชาติจะไม่ได้ดื่มเหล้าองุ่นใหม่
ซึ่งเป็นน้ำพักน้ำแรงของเจ้าอีกต่อไป
9 แต่ผู้ที่เก็บเกี่ยวจะได้กิน
และสรรเสริญองค์พระผู้เป็นเจ้า
และผู้ที่เก็บองุ่นจะดื่มเหล้าองุ่น
ในลานของสถานนมัสการของเรา”
10 ออกไปเถิด ออกไปทางประตูเถิด!
จงเตรียมหนทางสำหรับประชากรของเรา
จงสร้างเถิด จงสร้างทางเถิด!
โยนหินระเกะระกะออกไป
จงชูธงขึ้นสำหรับประชาชาติต่างๆ
11 องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงประกาศ
ไปจนสุดปลายแผ่นดินโลกว่า
“จงบอกธิดาแห่งศิโยน[e]ว่า
‘ดูเถิด องค์พระผู้ช่วยให้รอดของเจ้าเสด็จมาแล้ว!
ดูเถิด ทรงนำบำเหน็จรางวัล
และการตอบสนองมาด้วย’ ”
12 พวกเขาจะได้ชื่อว่า “ประชากรผู้บริสุทธิ์”
และ “ผู้ที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงไถ่ไว้”
และเจ้าจะได้ชื่อว่า “เป็นที่ใฝ่หา”
และ “นครที่ไม่ถูกทอดทิ้งอีกต่อไป”
วันแห่งการแก้แค้นและการไถ่ของพระเจ้า
63 นี่ใครหนอที่มาจากเอโดม จากโบสราห์
สวมเครื่องแต่งกายที่เปรอะเปื้อนด้วยสีแดงเข้ม?
นี่ใครหนอผู้ที่ทรงอาภรณ์โอ่อ่าตระการ
รุดหน้าไปด้วยพละกำลังอันยิ่งใหญ่?
“คือเราผู้กล่าวด้วยความชอบธรรม
และมีอานุภาพที่จะช่วยให้รอด”
2 เหตุใดฉลองพระองค์จึงมีสีแดงเข้ม
เหมือนกับเสื้อผ้าของคนที่ย่ำองุ่น?
3 “เราย่ำบ่อองุ่นแต่ลำพัง
ไม่มีใครจากชาติใดๆ อยู่กับเรา
เรากระทืบพวกเขาด้วยความโกรธ
และเหยียบย่ำพวกเขาด้วยความพิโรธ
เลือดของพวกเขาเปรอะเปื้อนเสื้อผ้าของเรา
และเราได้ทำให้เสื้อผ้าของเราเปื้อนไปหมด
4 เพราะเราได้กำหนดวันแก้แค้นไว้ในใจ
และปีแห่งการไถ่ของเราก็มาถึงแล้ว
5 เรามองดูแต่ไม่มีใครมาช่วย
เราตกใจที่ไม่มีผู้ใดสนับสนุน
มือของเราเองจึงนำความรอดมาเพื่อเรา
และความพิโรธของเราเองที่ชูเราไว้
6 เราบดขยี้นานาประชาชาติด้วยความโกรธของเรา
ด้วยความพิโรธของเรา เราทำให้เขามึนเมา
และหลั่งเลือดชโลมดิน”
คำสรรเสริญและคำอธิษฐาน
7 ข้าพเจ้าจะกล่าวถึงพระกรุณาขององค์พระผู้เป็นเจ้า
เล่าถึงพระราชกิจอันควรแก่การสรรเสริญ
ถึงสิ่งทั้งปวงที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงทำเพื่อเรา
สิ่งดีนานัปการที่ทรงทำเพื่อพงศ์พันธุ์อิสราเอล
ตามพระเมตตาและพระกรุณาธิคุณอันเหลือล้นของพระองค์
8 พระองค์ตรัสว่า “แน่นอน พวกเขาเป็นประชากรของเรา
เป็นลูกที่จะไม่ทำผิดต่อเรา”
แล้วพระองค์ก็ทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของพวกเขา
9 พระองค์ทรงทุกข์พระทัยในความทุกข์ใจทั้งสิ้นของพวกเขา
และทูตสวรรค์ที่อยู่ต่อหน้าพระองค์ก็ช่วยพวกเขาให้รอด
พระองค์ทรงไถ่พวกเขาด้วยความรักและความเมตตา
พระองค์ทรงยกพวกเขาขึ้นและอุ้มพวกเขาไว้
ตลอดวันคืนในสมัยก่อน
10 ถึงกระนั้นพวกเขาก็กบฏ
และทำให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์เสียพระทัย
ดังนั้นพระองค์จึงทรงกลับกลายเป็นศัตรูของพวกเขา
และพระองค์เองก็ทรงต่อสู้พวกเขา
11 แล้วเหล่าประชากรของพระองค์ก็หวนระลึกถึง[f]วันคืนแต่เก่าก่อน
สมัยโมเสสและเหล่าประชากรของพระองค์
พระองค์ผู้ทรงนำพวกเขาข้ามทะเล
ด้วยคนเลี้ยงแกะของพระองค์นั้นอยู่ที่ไหน?
พระองค์ผู้ทรงส่งพระวิญญาณบริสุทธิ์
มาท่ามกลางเขาอยู่ที่ไหน?
12 ผู้ประทานพระกรแห่งฤทธานุภาพอันทรงเกียรติสิริ
มาอยู่ที่มือขวาของโมเสส
ผู้แยกน้ำทะเลต่อหน้าคนเหล่านั้น
ทำให้ทรงเป็นที่เลื่องลือตลอดกาล
13 ผู้นำพวกเขาข้ามห้วงลึก
พวกเขาไม่สะดุดล้ม
เหมือนม้าวิ่งฉิวในทุ่งโล่ง
14 พระวิญญาณขององค์พระผู้เป็นเจ้าทรงให้พวกเขาได้พักสงบ
เหมือนฝูงสัตว์ซึ่งลงไปยังที่ราบ
พระองค์ทรงนำประชากรของพระองค์ไปเช่นนี้
และทำให้พระนามของพระองค์เป็นที่ยกย่อง
15 ขอโปรดทอดพระเนตรจากสวรรค์
และทรงมองดูจากที่ประทับอันสูงส่งบริสุทธิ์และทรงเกียรติสิริ
ความกระตือรือร้นและฤทธานุภาพของพระองค์อยู่ที่ไหน?
ความกรุณาปรานีและความเมตตาสงสารของพระองค์ถูกยับยั้งไปจากข้าพระองค์ทั้งหลายแล้ว
16 แต่พระองค์ทรงเป็นพระบิดาของข้าพระองค์ทั้งหลาย
ถึงแม้อับราฮัมไม่รู้จักพวกข้าพระองค์
หรืออิสราเอลไม่ยอมรับข้าพระองค์ทั้งหลาย
ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าพระองค์ทรงเป็นพระบิดาของข้าพระองค์ทั้งหลาย
ทรงพระนามว่า ‘พระผู้ไถ่ตั้งแต่กาลก่อนของข้าพระองค์ทั้งหลาย’
17 ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า เหตุใดทรงทำให้ข้าพระองค์ทั้งหลายหลงเตลิดจากวิถีทางของพระองค์
และทำให้จิตใจของข้าพระองค์แข็งกระด้างจนไม่ยำเกรงพระองค์?
ขอทรงโปรดกลับมาเพื่อเห็นแก่ผู้รับใช้ของพระองค์
ชนเผ่าซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของพระองค์
18 ประชากรของพระองค์ครอบครองสถานนมัสการของพระองค์อยู่ชั่วระยะหนึ่ง
แต่บัดนี้บรรดาศัตรูของข้าพระองค์ทั้งหลายได้เหยียบย่ำสถานนมัสการของพระองค์แล้ว
19 ข้าพระองค์ทั้งหลายเป็นของพระองค์มาตั้งแต่กาลก่อน
แต่กลับกลายเป็นว่าพระองค์ไม่ได้ทรงปกครองข้าพระองค์ทั้งหลาย
และข้าพระองค์ทั้งหลายก็ไม่ได้รับการเรียกขานตามพระนามของพระองค์[g]
Thai New Contemporary Bible Copyright © 1999, 2001, 2007 by Biblica, Inc.® Used by permission. All rights reserved worldwide.