Chronological
ผู้รับใช้ขององค์พระผู้เป็นเจ้า
49 จงฟังข้าพเจ้าเถิด บรรดาเกาะแก่งทั้งหลายเอ๋ย
ชนชาติไกลโพ้นทั้งหลาย ฟังทางนี้
องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสเรียกข้าพเจ้าตั้งแต่ข้าพเจ้ายังไม่เกิด
ทรงเอ่ยชื่อข้าพเจ้าตั้งแต่ข้าพเจ้าถือกำเนิด
2 พระองค์ทรงทำให้ปากของข้าพเจ้าเหมือนดาบคมกริบ
ทรงซ่อนข้าพเจ้าไว้ในร่มเงาแห่งพระหัตถ์
ทรงทำให้ข้าพเจ้าเป็นลูกธนูคมปลาบ
และทรงเก็บข้าพเจ้าไว้ในแล่งธนูของพระองค์
3 พระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “อิสราเอล เจ้าเป็นผู้รับใช้ของเรา
เราจะสำแดงเกียรติบารมีของเราในตัวเจ้า”
4 แต่ข้าพเจ้ากล่าวว่า “ข้าพเจ้าตรากตรำไปอย่างไร้จุดหมาย
ลงแรงไปโดยเปล่าประโยชน์และไร้ค่า
ถึงกระนั้นสิ่งที่ข้าพเจ้าควรได้ก็อยู่ในพระหัตถ์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า
บำเหน็จของข้าพเจ้าอยู่ที่พระเจ้าของข้าพเจ้า”
5 และบัดนี้องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า
พระองค์ผู้ทรงสร้างข้าพเจ้าในครรภ์มารดา เพื่อให้เป็นผู้รับใช้ของพระองค์
เพื่อนำยาโคบกลับมายังพระองค์
และรวบรวมอิสราเอลมายังพระองค์เอง
เพราะข้าพเจ้ามีเกียรติในสายพระเนตรขององค์พระผู้เป็นเจ้า
และพระเจ้าทรงเป็นพละกำลังของข้าพเจ้า
6 พระองค์ตรัสว่า
“เป็นการเล็กน้อยเกินไปที่จะให้เจ้าเป็นผู้รับใช้ของเรา
เพื่อฟื้นฟูชนเผ่าต่างๆ ของยาโคบให้กลับสู่สภาพเดิม
และนำชนอิสราเอลเหล่านั้นซึ่งเราสงวนไว้กลับมาหาเรา
เราจะให้เจ้าเป็นแสงสว่างสำหรับชนต่างชาติด้วย
เพื่อเจ้าจะนำความรอดของเราไปจนถึงสุดปลายแผ่นดินโลก”
7 พระยาห์เวห์ พระผู้ไถ่
องค์บริสุทธิ์แห่งอิสราเอล
ตรัสแก่ผู้นั้นซึ่งเป็นที่รังเกียจเดียดฉันท์ของชาติ
ผู้เป็นคนรับใช้ของบรรดาผู้ครอบครองนั้นว่า
“กษัตริย์ทั้งหลายจะเห็นเจ้าแล้วยืนขึ้น
เจ้านายทั้งปวงจะเห็นเจ้าแล้วหมอบกราบ
เนื่องด้วยองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงซื่อสัตย์
องค์บริสุทธิ์แห่งอิสราเอลผู้ทรงเลือกสรรเจ้า”
การกอบกู้อิสราเอล
8 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า
“ในเวลาแห่งความโปรดปราน เราจะตอบเจ้า
และในวันแห่งความรอด เราจะช่วยเจ้า
เราจะปกป้องเจ้า
และทำให้เจ้าเป็นพันธสัญญาแก่เหล่าประชากร
เพื่อให้ดินแดนนั้นกลับคืนสู่ปกติสุข
และรื้อฟื้นกรรมสิทธิ์ซึ่งถูกทิ้งร้างขึ้นมาใหม่
9 เพื่อกล่าวแก่เชลยว่า ‘ออกมาเถิด’
และกล่าวแก่ผู้อยู่ในความมืดมนว่า ‘จงเป็นอิสระ!’
“พวกเขาจะเลี้ยงชีพอยู่ริมทาง
และพบทุ่งหญ้าบนเนินเขาแห้งแล้งทุกแห่ง
10 เขาจะไม่หิวหรือกระหาย
แสงอาทิตย์แรงกล้าและลมทะเลทรายอันร้อนระอุจะไม่แผดเผาเขาอีกต่อไป
พระองค์ผู้ทรงเอ็นดูสงสารเขาจะนำเขา
และพาเขามายังริมธารน้ำพุ
11 เราจะเปลี่ยนภูเขาทุกลูกของเราให้เป็นทางเรียบ
และทางหลวงของเราจะถูกยกขึ้น
12 ดูเถิด พวกเขาจะมาจากแดนไกล
บางคนมาจากทางเหนือ บางคนมาจากทางตะวันตก
บางคนก็มาจากอัสวาน[a]”
13 ฟ้าสวรรค์เอ๋ย จงโห่ร้องยินดี
โลกเอ๋ย จงเปรมปรีดิ์
ภูเขาทั้งหลายเอ๋ย จงเปล่งเสียงร้องเพลง!
เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงปลอบโยนประชากรของพระองค์
และจะทรงเอ็นดูสงสารผู้ที่ทุกข์ทรมานของพระองค์
14 แต่ศิโยนกล่าวว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าทอดทิ้งข้าแล้ว
องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงลืมข้าไปแล้ว”
15 “แม่จะลืมลูกน้อยในอก
และจะไม่เอ็นดูสงสารลูกที่นางให้กำเนิดได้หรือ?
แม้นางอาจจะลืมได้
แต่เราจะไม่ลืมเจ้า!
16 ดูเถิด เราได้สลักชื่อของเจ้าไว้บนฝ่ามือของเรา
กำแพงของเจ้าอยู่ตรงหน้าเราเสมอ
17 ลูกๆ ของเจ้ารีบรุดมา
และบรรดาผู้ที่ทำให้เจ้าเริศร้างก็ไปจากเจ้า
18 เงยหน้าขึ้นมองไปรอบๆ เถิด
ลูกๆ ทั้งหมดของเจ้าพากันมาหาเจ้า”
องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “เรามีชีวิตอยู่แน่ฉันใด
พวกเขาจะเป็นเครื่องประดับตกแต่งของเจ้าฉันนั้น
เจ้าจะเหมือนเจ้าสาว มีพวกเขาเป็นอาภรณ์ประดับ
19 “ถึงแม้ว่าเจ้าถูกทำให้เป็นซากปรักหักพังและเริศร้าง
ดินแดนของเจ้าถูกทิ้งร้าง
แต่บัดนี้เจ้าจะกลับคับแคบเกินไปสำหรับประชากรของเจ้า
และผู้ที่ล้างผลาญเจ้าจะไปไกลลิบลับ
20 ลูกหลานซึ่งเกิดในช่วงที่เจ้าเป็นเชลย
จะพูดให้เจ้าได้ยินว่า
‘ที่นี่คับแคบเกินไปสำหรับเรา
ขอที่อาศัยกว้างขวางกว่านี้เถิด’
21 แล้วเจ้าจะรำพึงว่า
‘ใครหนอได้ให้กำเนิดคนทั้งหมดนี้แก่เรา?
เราถูกพลัดพรากและเป็นหมัน
ตกเป็นเชลยและถูกทอดทิ้ง
ใครหนอเลี้ยงดูคนเหล่านี้ขึ้นมา?
เราถูกทิ้งไว้เดียวดาย
แล้วคนเหล่านี้มาจากไหนกัน?’ ”
22 พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตตรัสว่า
“ดูเถิด เราจะส่งสัญญาณแก่บรรดาชนชาติต่างๆ
เราจะชูธงของเราให้ชนชาติทั้งหลาย
พวกเขาจะอุ้มลูกชายของเจ้าไว้ในอ้อมแขนพากลับมาหาเจ้า
ส่วนลูกสาวของเจ้าจะให้ขี่คอเขามา
23 กษัตริย์ทั้งหลายจะเป็นพ่อบุญธรรมของเจ้า
และราชินีทั้งหลายเป็นแม่ผู้เลี้ยงดูเจ้า
พวกเขาจะหมอบกราบซบหน้าลงที่พื้นตรงหน้าเจ้า
เขาจะเลียธุลีแทบเท้าเจ้า
เมื่อนั้นเจ้าจะรู้ว่าเราคือพระยาห์เวห์
ผู้ที่หวังในเราจะไม่ผิดหวัง”
24 จะแย่งชิงเหยื่อไปจากนักรบ
หรือจะช่วยเชลยจากบรรดาผู้ดุร้าย[b]ได้หรือ?
25 แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า
“เชลยจะถูกริบคืนจากนักรบ
สิ่งที่ถูกปล้นจะถูกริบคืนจากผู้ดุร้าย
เราจะต่อสู้กับบรรดาผู้ที่ต่อสู้เจ้า
และเราจะช่วยลูกๆ ของเจ้าให้รอด
26 เราจะทำให้ผู้ที่กดขี่ข่มเหงเจ้ากินเนื้อของตนเอง
พวกเขาจะเมาด้วยเลือดของตนเองเหมือนเมาเหล้าองุ่น
และมวลมนุษยชาติจะรู้ว่า
เรา พระยาห์เวห์ คือพระผู้ช่วยให้รอดของเจ้า
เป็นพระผู้ไถ่ของเจ้า องค์ทรงฤทธิ์ของยาโคบ”
บาปของอิสราเอลและการเชื่อฟังของผู้รับใช้
50 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า
“หนังสือหย่าของแม่เจ้าที่เราใช้ไล่นางไป
อยู่ที่ไหน?
หรือเราขายเจ้าไป
ให้เจ้าหนี้คนไหน?
ที่แท้เจ้าถูกขายไปเพราะบาปของเจ้า
แม่ของเจ้าถูกไล่ออกไปเพราะการล่วงละเมิดของเจ้า
2 เมื่อเรามาถึง ทำไมจึงไม่มีใครสักคน?
เมื่อเราเรียก ทำไมไม่มีใครตอบ?
แขนของเราสั้นเกินกว่าที่จะไถ่เจ้าหรือ?
เราขาดกำลังที่จะช่วยเจ้าให้รอดหรือ?
เราสั่งเพียงคำเดียว ทะเลก็แห้งเหือด
เราทำให้แม่น้ำกลับกลายเป็นทะเลทราย
ปลาของพวกเขาเน่าเหม็นเพราะขาดน้ำ
และตายเพราะความกระหาย
3 เราเอาความมืดห่อหุ้มท้องฟ้า
เอาผ้ากระสอบคลุมมันเสีย”
4 พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตประทานลิ้นที่ฝึกปรือแล้วแก่ข้าพเจ้า
เพื่อจะรู้จักถ้อยคำซึ่งช่วยค้ำชูผู้อ่อนระโหย
ทุกๆ เช้าพระองค์ทรงปลุกข้าพเจ้า
ทรงปลุกหูของข้าพเจ้าให้รับฟังอย่างผู้ที่พระองค์ทรงสอน
5 พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตทรงเปิดหูของข้าพเจ้า
และข้าพเจ้าไม่ได้ขัดขืน
หรือถอยหนี
6 ข้าพเจ้ายอมหันหลังให้แก่ผู้ที่โบยตีข้าพเจ้า
และเอียงแก้มให้แก่ผู้ที่ทึ้งเคราของข้าพเจ้า
ข้าพเจ้าไม่ได้หันหน้าหนี
จากผู้ที่เย้ยหยันและถ่มน้ำลายรด
7 เพราะพระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตทรงช่วยข้าพเจ้า
ข้าพเจ้าจะไม่อัปยศอดสู
ฉะนั้นข้าพเจ้าจึงตั้งหน้าไว้ประหนึ่งหินเหล็กไฟ
และรู้ว่าตัวเองจะไม่ต้องอับอาย
8 พระองค์ผู้ทรงพิสูจน์ว่าข้าพเจ้าเป็นฝ่ายถูกนั้นอยู่ใกล้
แล้วใครจะมาฟ้องร้องข้าพเจ้า?
ให้เรามาประจันหน้ากัน!
ใครเป็นโจทก์ของข้าพเจ้า?
ให้เขามาเผชิญหน้ากับข้าพเจ้า!
9 พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตนี่แหละทรงช่วยข้าพเจ้า
ใครที่ไหนจะตัดสินโทษข้าพเจ้า?
พวกเขาจะเปื่อยยุ่ยไปเหมือนเสื้อผ้า
และถูกตัวแมลงกินหมด
10 ใครบ้างในพวกท่านที่ยำเกรงองค์พระผู้เป็นเจ้า
และเชื่อฟังถ้อยคำผู้รับใช้ของพระองค์?
ผู้ที่ดำเนินในความมืด
ผู้ที่ไม่มีแสงสว่าง
จงวางใจในพระนามของพระยาห์เวห์
และพึ่งพิงพระเจ้าของตน
11 แต่บัดนี้เจ้าทุกคนที่จุดไฟ
ผู้ชูคบไฟลุกโชติช่วงให้ตัวเอง
จงไปเดินอยู่ในแสงสว่างจากไฟของเจ้า
จากคบไฟที่เจ้าจุดโชติช่วง
สิ่งที่เจ้าจะได้รับจากมือของเรา คือ
เจ้าจะนอนลงในความทุกข์ทรมาน
ความรอดนิรันดร์สำหรับศิโยน
51 “จงฟังเราเถิด บรรดาผู้ขวนขวายหาความชอบธรรม
และผู้แสวงหาองค์พระผู้เป็นเจ้า
จงมองดูศิลาที่เจ้าถูกสกัดออกมา
ดูเหมืองหินที่เจ้าถูกขุดออกมา
2 จงมองดูอับราฮัมบรรพบุรุษของเจ้า
และซาราห์ผู้ให้กำเนิดเจ้า
เมื่อครั้งเราเรียกเขา เขามีเพียงตัวคนเดียว
และเราก็อวยพรเขา ทำให้เขามีจำนวนมาก
3 องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงปลอบโยนศิโยนอย่างแน่นอน
และจะทอดพระเนตรซากปรักหักพังทั้งปวงของศิโยนด้วยความเอ็นดูสงสาร
พระองค์จะทรงทำให้ทะเลทรายของศิโยนเป็นเหมือนสวนเอเดน
ที่ทิ้งร้างของเธอเหมือนอุทยานขององค์พระผู้เป็นเจ้า
ที่นั่นจะมีความปลาบปลื้มยินดี
มีการขอบพระคุณพระเจ้าและเสียงเพลงไพเราะ
4 “จงฟังเราเถิด ประชากรของเราเอ๋ย
ฟังเราเถิด ชนชาติของเราเอ๋ย
บทบัญญัติจะออกมาจากเรา
ความยุติธรรมของเราจะเป็นแสงสว่างแก่มวลประชาชาติ
5 ความชอบธรรมของเรารีบรุดเข้ามาใกล้
ความรอดของเรากำลังมาถึงแล้ว
แขนของเราจะนำความยุติธรรมมาให้ชนชาติต่างๆ
เกาะแก่งต่างๆ จะมองดูเรา
และรอคอยด้วยหวังว่าเราจะสำแดงฤทธิ์อำนาจ
6 จงเงยหน้าขึ้นมองฟ้าสวรรค์
และมองดูโลกเบื้องล่าง
ฟ้าสวรรค์จะลับหายไปเหมือนควัน
โลกจะเปื่อยยุ่ยไปเหมือนเสื้อผ้า
และชาวโลกจะตายไปเหมือนแมลงวัน
แต่ความรอดของเราจะดำรงอยู่เป็นนิตย์
ความชอบธรรมของเราจะไม่สิ้นสุดเลย
7 “จงฟังเราเถิด เจ้าทั้งหลายผู้รู้ว่าอะไรคือความถูกต้อง
ชนชาติผู้ถนอมบทบัญญัติของเราไว้ในใจ
อย่ากลัวการตำหนิติเตียนของมนุษย์
อย่าหวาดหวั่นไปกับคำสบประมาทของพวกเขา
8 เพราะแมลงจะแทะกินเขาเหมือนเสื้อผ้า
หนอนจะกัดกินเขาเหมือนผ้าขนสัตว์
แต่ความชอบธรรมของเราจะดำรงอยู่ตลอดกาล
ความรอดของเราจะยั่งยืนสืบไปทุกชั่วอายุ”
9 จงตื่นเถิด! พระกรขององค์พระผู้เป็นเจ้า
ตื่นเถิด! จงสวมพละกำลัง
จงตื่นขึ้น เหมือนในอดีตที่ผ่านมา
เหมือนในชั่วอายุเก่าก่อน
ไม่ใช่พระองค์หรือที่ฟันราหับออกเป็นชิ้นๆ
และแทงสัตว์ร้ายตัวนั้นทะลุ?
10 ไม่ใช่พระองค์หรือที่ทำให้ทะเลแห้งเหือด?
คือทำให้ห้วงสมุทรอันลึกแห้งไป
ผู้ทรงทำทางไว้ในทะเลลึก
เพื่อผู้ที่พระองค์ทรงไถ่ไว้จะข้ามฟากไปได้
11 ผู้ที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงไถ่ไว้จะกลับมา
พวกเขาจะเดินร้องเพลงเข้าศิโยน
มีความชื่นชมยินดีนิรันดร์เป็นมงกุฎประดับศีรษะ
พวกเขาจะได้รับความยินดีและความเปรมปรีดิ์
ความทุกข์โศกและการทอดถอนใจจะสูญสิ้นไป
12 “เรานี่แหละเป็นผู้ปลอบโยนเจ้า
เจ้าเป็นใครจึงไปกลัวมนุษย์ที่ต้องตาย?
กลัวลูกหลานของมนุษย์ซึ่งเป็นเพียงต้นหญ้า
13 เจ้าเป็นใครจึงลืมพระยาห์เวห์พระผู้สร้างของเจ้า
ผู้คลี่ฟ้าสวรรค์ออกมา
และวางฐานรากของโลก?
เรื่องอะไรเจ้าถึงต้องอกสั่นขวัญแขวนอยู่ทุกวี่ทุกวัน
เพราะความเกรี้ยวกราดของผู้ข่มเหง
ผู้มุ่งสู่หายนะ?
ไหนล่ะความเกรี้ยวกราดของผู้ข่มเหง?
14 ในไม่ช้านักโทษผู้หวาดกลัวจนตัวสั่นจะได้รับการปลดปล่อย
เขาจะไม่ตายในคุก
และจะไม่ขาดอาหาร
15 เพราะเราคือพระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้า
ผู้กวนทะเลทำให้คลื่นคำราม
พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์คือพระนามของพระองค์
16 เราได้ใส่วาจาของเราไว้ในปากของเจ้า
และบังเจ้าไว้ด้วยร่มเงาแห่งมือของเรา
เราเป็นผู้สถาปนาฟ้าสวรรค์ไว้ในที่ของมัน
เป็นผู้วางฐานรากของโลก
และเป็นผู้กล่าวกับศิโยนว่า ‘เจ้าเป็นประชากรของเรา’”
จอกแห่งพระพิโรธขององค์พระผู้เป็นเจ้า
17 ตื่นเถิด ตื่นเถิด!
จงลุกขึ้นเถิดเยรูซาเล็มเอ๋ย
เจ้าผู้ได้ดื่มจากจอกแห่งพระพิโรธของพระเจ้า
ซึ่งอยู่ในพระหัตถ์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า
เจ้าดื่มจนถึงตะกอนก้นถ้วย
ซึ่งทำให้ถึงกับซวนเซ
18 ลูกชายทั้งหมดที่นางคลอดออกมา
ไม่มีสักคนเดียวที่จะนำทางนาง
ลูกชายทั้งหมดที่นางเลี้ยงดูมา
ไม่มีสักคนเดียวที่จะจูงนางไป
19 ภัยพิบัติอันกระหน่ำซ้ำเติมนี้เกิดขึ้นแก่เจ้า
ใครเล่าจะสามารถปลอบโยนเจ้าได้?
หายนะและความย่อยยับ การกันดารอาหารและการรบราฆ่าฟัน
ใครเล่าจะสามารถปลอบโยนเจ้าได้?[c]
20 ลูกๆ ของเจ้าเป็นลมไปแล้ว
พวกเขานอนอยู่ที่หัวถนนทุกสาย
ประหนึ่งละมั่งติดอยู่ในตาข่าย
พระพิโรธขององค์พระผู้เป็นเจ้า
และการกำราบจากพระเจ้าของเจ้าท่วมท้นพวกเขา
21 ฉะนั้นจงฟังสิ่งนี้เถิด เจ้าผู้ทุกข์ทรมาน
ผู้มึนเมาแต่ไม่ใช่ด้วยฤทธิ์เหล้าองุ่น
22 พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตพระเจ้าของเจ้า
ผู้ปกป้องประชากรของพระองค์ ตรัสว่า
“ดูเถิด เราได้นำถ้วยซึ่งทำให้เจ้าซวนเซ
ออกไปจากมือของเจ้า
เจ้าจะไม่ต้องดื่มจากถ้วยนั้น
คือถ้วยแห่งพระพิโรธของเราอีกต่อไป
23 เราจะเอาถ้วยนั้นใส่ในมือของบรรดาผู้ทรมานเจ้า
ผู้กล่าวกับเจ้าว่า
‘นอนหมอบราบสิ เราจะได้เดินย่ำเจ้า’
เจ้าได้ทำให้หลังของเจ้าเหมือนพื้นดิน
เหมือนพื้นถนนให้เหยียบย่ำ”
52 ตื่นเถิด ตื่นเถิด ศิโยนเอ๋ย
จงสวมกำลังวังชา
เยรูซาเล็มนครบริสุทธิ์เอ๋ย
จงสวมอาภรณ์งามตระการของเจ้าเถิด
ผู้ไม่ได้เข้าสุหนัตและผู้มีมลทิน
จะไม่เข้ามาในเจ้าอีก
2 จงสะบัดฝุ่นธุลีทิ้งไป
จงลุกขึ้น นั่งบนบัลลังก์เถิด เยรูซาเล็มเอ๋ย
จงปลดโซ่ตรวนที่ล่ามคอของเจ้าเถิด
ธิดาแห่งศิโยน[d]ผู้ตกเป็นเชลย
3 เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า
“เจ้าถูกขายโดยไม่มีราคาค่างวด
เจ้าก็จะได้รับการไถ่คืนมาโดยไม่ต้องจ่ายเงิน”
4 เพราะพระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตตรัสว่า
“เดิมทีประชากรของเราลงไปอาศัยอยู่ที่อียิปต์
บัดนี้อัสซีเรียได้กดขี่ข่มเหงพวกเขา”
5 องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า “และบัดนี้เรามีอะไรที่นี่บ้าง?
“เพราะประชากรของเราถูกพาตัวไปเปล่าๆ
และผู้ครอบครองเขาก็เย้ยหยัน[e]”
องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น
“ตลอดทั้งวัน
นามของเราถูกหมิ่นประมาทอยู่เสมอ
6 ดังนั้นประชากรของเราจะรู้จักนามของเรา
เพราะฉะนั้นในวันนั้นเขาจะรู้ว่า
เราเองเป็นผู้บอกไว้ล่วงหน้า
ใช่ เป็นเราเอง”
7 เท้าของผู้นำข่าวดีมาบนภูเขา
ช่างงดงามยิ่งนัก
ผู้ประกาศสันติภาพ
ผู้แจ้งข่าวดี
ผู้ประกาศความรอด
ผู้กล่าวกับศิโยนว่า
“พระเจ้าของเจ้าทรงครอบครอง!”
8 จงฟังเถิด! พวกยามของเจ้าส่งเสียงร้อง
ร่วมกันโห่ร้องด้วยความชื่นชมยินดี
เมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จกลับมายังศิโยน
พวกเขาจะเห็นกับตา
9 จงร่วมกันเปล่งเสียงร้องเพลงเบิกบานเถิด
ซากปรักหักพังของเยรูซาเล็มเอ๋ย
เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงปลอบโยนประชากรของพระองค์แล้ว
พระองค์ได้ทรงไถ่เยรูซาเล็มแล้ว
10 องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงเผยพระกรอันบริสุทธิ์
ต่อหน้าต่อตาประชาชาติทั้งปวง
ทั่วโลกจะเห็น
ความรอดแห่งพระเจ้าของเรา
11 ไปเถิด ไปเสีย จงออกจากที่นั่น!
อย่าแตะต้องสิ่งมลทิน!
จงออกมาจากที่นั่น และรักษาตัวให้บริสุทธิ์
พวกเจ้าผู้อัญเชิญภาชนะขององค์พระผู้เป็นเจ้า
12 แต่เจ้าจะไม่จากมาด้วยความรีบร้อน
หรือเตลิดหนีมา
เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จนำหน้าเจ้า
พระเจ้าแห่งอิสราเอลจะทรงระวังหลังให้เจ้า
การทนทุกข์และสง่าราศีของผู้รับใช้
13 ดูเถิด ผู้รับใช้ของเราจะทำการอย่างชาญฉลาด[f]
เขาจะได้รับการยกย่องเทิดทูนและสดุดีอย่างสูงส่ง
14 คนเป็นอันมากตื่นตะลึงเพราะเขา[g]
เพราะรูปลักษณ์ของเขาเสียโฉมไปจนไม่มีใครเหมือน
และรูปร่างของเขาก็เสียไปจนดูไม่เหมือนมนุษย์
15 เขาก็จะทำให้หลายประชาชาติตกตะลึง[h]
และเขาจะทำให้บรรดากษัตริย์ปิดปาก
เพราะพวกเขาจะเห็นสิ่งที่ไม่เคยมีใครบอกพวกเขามาก่อน
และจะเข้าใจสิ่งที่ไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อน
53 ใครเล่าได้เชื่อถ้อยคำของเรา
และพระกรขององค์พระผู้เป็นเจ้าได้สำแดงแก่ผู้ใด?
2 เขาผู้นั้นเจริญขึ้นต่อหน้าพระองค์เหมือนหน่ออ่อน
และเหมือนรากที่โผล่ออกมาบนพื้นดินแห้ง
เขาไม่มีความงามหรือความโอ่อ่าตระการที่จะดึงดูดเรา
รูปลักษณ์ของเขาไม่มีอะไรชวนให้ปรารถนา
3 เขาถูกมนุษย์ดูหมิ่นและทอดทิ้ง
เป็นคนเจ้าทุกข์และคุ้นเคยกับความทุกข์ทรมาน
เป็นคนที่ใครๆ เบือนหน้าหนี
เขาถูกเหยียดหยาม และเราก็ไม่นับถือเขา
4 แน่ทีเดียว เขารับความอ่อนแอทั้งหลายของเรา
และแบกรับความทุกข์โศกของเราไป
ถึงกระนั้นเรากลับถือว่าเขาถูกพระเจ้าตี
คือถูกพระองค์โบยตีและทรมาน
5 แต่เขาถูกแทงเพราะการล่วงละเมิดของเรา
เขาบอบช้ำเพราะความชั่วช้าของเรา
เขารับโทษทัณฑ์เพื่อเราจะมีสันติสุข
บาดแผลของเขาทำให้เราได้รับการรักษาให้หาย
6 เราทุกคนหลงเตลิดไปเหมือนแกะ
แต่ละคนหันไปตามทางของตน
และองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงวางความชั่วช้าของเราทุกคน
ไว้บนตัวเขา
7 เขาถูกกดขี่ข่มเหงและทนทุกข์ทรมาน
แต่ก็ไม่เคยปริปากเลย
เขาถูกนำตัวไปเหมือนลูกแกะที่ถูกนำไปฆ่า
และเหมือนแกะที่เงียบอยู่ต่อหน้าคนตัดขน
เขาก็ไม่ได้ปริปากเช่นกัน
8 เขาถูกนำตัวออกไปโดยการกดขี่ข่มเหง[i]และการพิพากษา
และใครเล่าจะพูดถึงเชื้อสายของเขาได้
เพราะเขาถูกตัดขาดจากดินแดนผู้มีชีวิต
เขาถูกตี[j]เพราะการล่วงละเมิดของประชากรของเรา
9 เขาถูกฝังในหลุมศพร่วมกับคนชั่ว
และฝังร่วมกับเศรษฐีในความตายของเขา[k]
ทั้งๆ ที่เขาไม่เคยทำอะไรรุนแรง
ไม่เคยพูดคำโกหกหลอกลวง
10 ถึงกระนั้นก็เป็นพระประสงค์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าที่จะบดขยี้และทำให้เขาทุกข์ทรมาน
และถึงแม้พระองค์ทรงใช้[l]ชีวิตของเขาเป็นเครื่องบูชาลบความผิด
แต่เขาจะเห็นวงศ์วานของตนและวันคืนของเขายาวนาน
พระประสงค์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าจะเจริญรุ่งเรืองในมือของเขา
11 หลังจากที่ชีวิตจิตใจของเขาต้องทุกข์ทรมานแล้ว
เขาจะได้เห็นแสงสว่างแห่งชีวิต[m]และเขาจะพึงพอใจ[n]
โดยความรู้ของเขา[o]คือผู้รับใช้ที่ชอบธรรมของเราจะทำให้คนเป็นอันมากกลายเป็นผู้ชอบธรรม
และเขาจะแบกความชั่วช้าของคนเหล่านั้น
12 ด้วยเหตุนี้เราจะให้เขามีส่วนแบ่งในหมู่ผู้ยิ่งใหญ่[p]
และเขาจะแบ่งรางวัลกับผู้แข็งแกร่ง[q]
เนื่องจากเขายอมพลีชีวิต
และถูกนับเป็นพวกเดียวกับคนที่ล่วงละเมิด
เพราะเขาแบกรับบาปของคนเป็นอันมาก
และทูลวิงวอนเพื่อคนที่ล่วงละเมิด
Thai New Contemporary Bible Copyright © 1999, 2001, 2007 by Biblica, Inc.® Used by permission. All rights reserved worldwide.