Print Page Options Listen to Amos 1-5
Previous Prev Day Next DayNext

Chronological

Read the Bible in the chronological order in which its stories and events occurred.
Duration: 365 days
Thai New Contemporary Bible (TNCV)
Version
อาโมส 1-5

ถ้อยคำของอาโมส คนเลี้ยงแกะคนหนึ่งในเทโคอา สิ่งที่อาโมสได้เห็นเกี่ยวกับอิสราเอลสองปีก่อนที่จะเกิดแผ่นดินไหว เมื่อครั้งอุสซียาห์เป็นกษัตริย์ยูดาห์ และเยโรโบอัมบุตรเยโฮอาช[a]เป็นกษัตริย์อิสราเอล

อาโมสกล่าวว่า

องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเปล่งพระสุรเสียงกึกก้องจากศิโยน
ทรงเปล่งพระสุรเสียงจากเยรูซาเล็ม
แล้วทุ่งหญ้าของคนเลี้ยงแกะก็เหี่ยวเฉา[b]
และยอดเขาคารเมลก็เหี่ยวแห้งไป”

คำพิพากษาบรรดาเพื่อนบ้านของอิสราเอล

องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า

“เนื่องจากดามัสกัสทำบาปซ้ำแล้วซ้ำเล่าสามสี่ครั้ง
เราจึงไม่หายโกรธ
เพราะมันนวดกิเลอาดด้วยเลื่อน
ซึ่งมีฟันเป็นเหล็ก
เราจะส่งไฟมายังบ้านของฮาซาเอล
ซึ่งจะเผาผลาญป้อมต่างๆ ของเบนฮาดัด
เราจะทลายประตูเมืองดามัสกัส
เราจะทำลายล้างกษัตริย์ซึ่งอยู่ใน[c]หุบเขาอาเวน[d]
และทำลายผู้ถือคทาในเบธเอเดน
ชาวอารัมจะถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลยที่เมืองคีร์”
            องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนั้น

องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า

“เนื่องจากกาซาทำบาปซ้ำแล้วซ้ำเล่าสามสี่ครั้ง
เราจึงไม่หายโกรธ
เพราะเขากวาดต้อนคนทั้งชุมชนไปเป็นเชลย
และขายให้แก่เอโดม
เราจะส่งไฟมายังกำแพงเมืองกาซา
ซึ่งจะเผาผลาญป้อมต่างๆ ของมัน
เราจะทำลายกษัตริย์แห่ง[e]อัชโดด
และทำลายผู้ถือคทาในอัชเคโลน
เราจะตวัดมือฟาดเอโครน
จวบจนชาวฟีลิสเตียคนสุดท้ายตายไป”
            พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตตรัสดังนั้น

องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า

“เนื่องจากไทระทำบาปซ้ำแล้วซ้ำเล่าสามสี่ครั้ง
เราจึงไม่หายโกรธ
เพราะเขาขายเชลยทั้งชุมชนให้แก่เอโดม
ไม่คำนึงถึงสัญญาไมตรีฉันพี่น้อง
10 เราจะส่งไฟมายังกำแพงเมืองไทระ
ซึ่งจะเผาผลาญป้อมต่างๆ ของมัน”

11 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า

“เนื่องจากเอโดมทำบาปซ้ำแล้วซ้ำเล่าสามสี่ครั้ง
เราจึงไม่หายโกรธ
เพราะเขาถือดาบตามล่าน้องชาย
โดยไม่ปรานี[f]
เพราะโทสะของเขาพลุ่งพล่านอยู่ตลอดเวลา
และเกรี้ยวกราดไม่ได้หยุดหย่อน
12 เราจะส่งไฟมายังเทมาน
ซึ่งจะเผาผลาญป้อมต่างๆ ของโบสราห์”

13 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า

“เนื่องจากอัมโมนทำบาปซ้ำแล้วซ้ำเล่าสามสี่ครั้ง
เราจึงไม่หายโกรธ
เพราะเขาผ่าท้องหญิงมีครรภ์ในกิเลอาด
เพื่อขยายเขตแดน
14 เราจะส่งไฟลงมายังกำแพงเมืองรับบาห์
ซึ่งจะเผาผลาญป้อมต่างๆ ของมัน
ท่ามกลางเสียงโห่ร้องคะนองศึกในวันสงคราม
ท่ามกลางสายลมปั่นป่วนในวันที่มีพายุจัด
15 กษัตริย์[g]ของอัมโมนกับเหล่าข้าราชบริพาร
จะตกเป็นเชลย”
            องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนั้น

องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า

“เนื่องจากโมอับทำบาปซ้ำแล้วซ้ำเล่าสามสี่ครั้ง
เราจึงไม่หายโกรธ
เพราะเขาเผากระดูกกษัตริย์เอโดม
ราวกับจะให้เป็นปูน
เราจะส่งไฟมายังโมอับ
ซึ่งจะเผาผลาญป้อมต่างๆ ของเคริโอท[h]
โมอับจะล่มจมท่ามกลางความโกลาหลวุ่นวาย
ท่ามกลางเสียงโห่ร้องออกศึกและเสียงแตรดังสนั่น
เราจะทำลายผู้ปกครอง
และฆ่าบรรดาข้าราชบริพารไปพร้อมกับเขาด้วย”
            องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนั้น

องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า

“เนื่องจากยูดาห์ทำบาปซ้ำแล้วซ้ำเล่าสามสี่ครั้ง
เราจึงไม่หายโกรธ
เพราะเขาละทิ้งบทบัญญัติขององค์พระผู้เป็นเจ้า
และไม่ได้ประพฤติตามกฎหมายของพระองค์
เพราะพระเท็จเทียมทั้งหลายได้ชักนำพวกเขาให้หลงเตลิดไป
บรรดาพระ[i]ซึ่งบรรพบุรุษของเขาหลงตามไป
เราจะส่งไฟมายังยูดาห์
ซึ่งจะเผาผลาญป้อมต่างๆ ของเยรูซาเล็ม”

คำพิพากษาอิสราเอล

องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า

“เนื่องจากอิสราเอลทำบาปซ้ำแล้วซ้ำเล่าสามสี่ครั้ง
เราจึงไม่หายโกรธ
เขาขายผู้ชอบธรรมแลกกับเงิน
และขายคนขัดสนแลกกับรองเท้าคู่เดียว
เขาเหยียบย่ำศีรษะของผู้ยากไร้
เหมือนเดินย่ำฝุ่น
และไม่ยอมให้ความยุติธรรมแก่ผู้ถูกกดขี่
พ่อลูกเข้าหาผู้หญิงคนเดียวกัน
เป็นเหตุให้นามอันศักดิ์สิทธิ์ของเราถูกลบหลู่ดูหมิ่น
เขาเอนตัวลงนอนข้างแท่นบูชาทุกแท่น
สวมเสื้อผ้าที่ยึดมาเป็นของประกัน
และเขาดื่มเหล้าองุ่นซึ่งยึดมาเป็นค่าปรับ
ในวิหารพระของเขา

“เราได้ทำลายชาวอาโมไรต์ต่อหน้าเขา
ทั้งๆ ที่อาโมไรต์สูงตระหง่านเหมือนสนซีดาร์
และแข็งแกร่งเหมือนต้นโอ๊ก
เราทำลายผลซึ่งอยู่ข้างบน
และรากเหง้าซึ่งอยู่ข้างล่าง
10 เราพาเจ้าออกมาจากอียิปต์
และนำเจ้าผ่านถิ่นกันดารตลอดสี่สิบปี
เพื่อยกดินแดนของชาวอาโมไรต์ให้แก่เจ้า

11 “ทั้งเราได้ตั้งบุตรชายบางคนของพวกเจ้าให้เป็นผู้เผยพระวจนะ
และเลือกสรรคนหนุ่มบางคนของพวกเจ้าให้เป็นนาศีร์
นี่เป็นความจริงไม่ใช่หรือ ประชากรอิสราเอลเอ๋ย?”
            องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น
12 “แต่เจ้าก็บังคับให้นาศีร์ดื่มเหล้าองุ่น
และสั่งผู้เผยพระวจนะไม่ให้เผยพระวจนะ

13 “ฉะนั้นบัดนี้เราจะขยี้เจ้า
เหมือนเกวียนที่บรรทุกข้าวเต็มบดขยี้
14 คนที่ว่องไวจะหนีไม่พ้น
คนที่แข็งแรงจะไม่อาจฮึดสู้
และนักรบก็จะเอาชีวิตไม่รอด
15 พลธนูจะไม่อาจยืนหยัดอยู่ได้
ทหารราบจะหนีไปไม่พ้น
และพลม้าจะเอาชีวิตไม่รอด
16 แม้แต่นักรบกล้าหาญที่สุด
ก็จะหนีตัวล่อนจ้อนไปในวันนั้น”
            องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น

เรียกพยานมากล่าวโทษอิสราเอล

ประชากรอิสราเอลเอ๋ย จงฟังพระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้าที่ต่อว่าพวกเจ้า ต่อว่าครอบครัวทั้งหมดที่เรานำออกมาจากอียิปต์ ความว่า

“เจ้าเท่านั้นที่เราได้เลือกสรรไว้
จากเผ่าพันธุ์ทั้งปวงในโลก
ฉะนั้นเราจะลงโทษเจ้า
เนื่องด้วยบาปทั้งสิ้นของเจ้า”

สองคนจะเดินไปด้วยกันได้หรือ?
หากทั้งคู่ไม่ได้ตกลงกันไว้ก่อน
เมื่อสิงโตล่าเหยื่อไม่ได้
มันจะคำรามลั่นป่าหรือ?
เมื่อมันจับสัตว์อะไรไม่ได้
มันจะร้องครวญครางอยู่ในถ้ำหรือ?
เมื่อไม่ได้วางเหยื่อล่อไว้
นกจะตกลงในกับดักซึ่งวางอยู่ที่พื้นดินได้หรือ?
หากไม่มีอะไรไปติด
กับดักจะลั่นขึ้นได้หรือ?
เมื่อเสียงแตรดังขึ้นในเมือง
ผู้คนจะไม่ตกใจหรือ?
เมื่อเกิดภัยพิบัติในเมืองใด
องค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้ทรงเป็นผู้บันดาลหรือ?

แน่ทีเดียว พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตจะไม่ทรงกระทำสิ่งใด
โดยไม่เปิดเผยแผนการของพระองค์
ให้บรรดาผู้เผยพระวจนะซึ่งเป็นผู้รับใช้ของพระองค์ได้รู้

เมื่อสิงโตคำราม
ใครบ้างจะไม่กลัว?
เมื่อพระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตตรัสแล้ว
ใครเล่าจะไม่เผยพระวจนะ?

จงป่าวร้องแก่ป้อมแห่งอัชโดด
และแก่ป้อมแห่งอียิปต์ว่า
“จงมาชุมนุมกันบนภูเขาของสะมาเรีย
มาดูความโกลาหลวุ่นวายในเมืองนั้น
และดูการกดขี่ข่มเหงท่ามกลางประชากรของเมืองนั้น”

10 องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า “บรรดาผู้สะสมของริบของปล้นไว้ในป้อมต่างๆ
ไม่รู้จักทำสิ่งที่ถูกต้อง”

11 ฉะนั้น พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตตรัสว่า

“ศัตรูจะมาล้างผลาญแผ่นดินนั้น
เขาจะทลายที่มั่น
และปล้นป้อมปราการต่างๆ ของเจ้า”

12 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า

“เหมือนคนเลี้ยงแกะช่วยแกะออกมาจากปากสิงโต
ได้แค่กระดูกขาสองชิ้นและเศษหูชิ้นเดียวฉันใด
ชาวอิสราเอลจะได้รับการช่วยเหลือแบบเดียวกันฉันนั้น
คือคนเหล่านั้นที่นั่งอยู่บนขอบเตียงของพวกเขา ในสะมาเรีย
และนั่งอยู่บนเก้าอี้ในดามัสกัส[j]

13 องค์พระผู้เป็นเจ้า พระยาห์เวห์พระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์ประกาศว่า “จงฟัง แล้วไปกล่าวโทษพงศ์พันธุ์ยาโคบว่า

14 “ในวันที่เราลงโทษอิสราเอลเพราะบาปทั้งหลายของพวกเขา
เราจะทำลายแท่นบูชาแห่งเบธเอล
เชิงงอนแท่นจะถูกเฉือนออก
และร่วงหล่นลงกับพื้น
15 เราจะทลายตำหนักฤดูหนาว
พร้อมทั้งตำหนักฤดูร้อน
บ้านต่างๆ ที่ตกแต่งด้วยงาช้างจะถูกทำลาย
คฤหาสน์ทั้งหลายจะสูญสิ้นไป”
            องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น

อิสราเอลไม่ได้หันกลับมาหาพระเจ้า

ฟังเถิด บรรดาแม่วัวแห่งบาชานบนภูเขาสะมาเรีย
คือพวกผู้หญิงที่กดขี่คนยากไร้และเหยียบย่ำคนขัดสน
คนที่พูดกับสามีว่า “ช่วยเอาเครื่องดื่มมาให้หน่อย!”
พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตทรงปฏิญาณโดยความบริสุทธิ์ของพระองค์ว่า
“เวลานั้นจะมาถึงอย่างแน่นอน
เมื่อเจ้าจะถูกลากไปด้วยขอเกี่ยว
พวกสุดท้ายจะถูกลากไปด้วยเบ็ด
เจ้าแต่ละคนจะตรงออกไป
ผ่านรอยแตกของกำแพง
และเจ้าจะถูกเหวี่ยงออกไปยังฮารโมน[k]
            องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น
“จงไปยังเบธเอลและทำบาป
จงไปยังกิลกาลและทำบาปยิ่งขึ้นไปอีก
เอาเครื่องบูชาไปถวายทุกเช้า
เอาสิบลดไปถวายทุกสามปี[l]
เอาขนมปังใส่เชื้อมาเผาถวายเป็นเครื่องบูชาขอบพระคุณ
และโอ้อวดเครื่องบูชาตามความสมัครใจ
โอ้อวดเข้าไปเถิด อิสราเอลเอ๋ย
ในเมื่อเจ้ารักที่จะทำเช่นนั้น”
            พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตประกาศดังนั้น

“เราให้เจ้าท้องกิ่วไส้แห้ง[m]ในทุกๆ นคร
ไม่มีอาหารกินในทุกๆ เมือง
ถึงกระนั้นเจ้าก็ไม่ยอมกลับมาหาเรา”
            องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น

“เรางดให้ฝนแก่เจ้าด้วย
สามเดือนก่อนถึงฤดูเก็บเกี่ยว
เราให้ฝนตกในเมืองหนึ่ง
แต่ไม่ให้ฝนตกในอีกเมืองหนึ่ง
นาหนึ่งมีฝน
อีกนาไม่มีและข้าวจะเหี่ยวเฉาไป
ผู้คนโซซัดโซเซจากเมืองหนึ่งไปอีกเมืองหนึ่งเพื่อหาน้ำ
แต่ก็ได้ไม่พอดื่ม
ถึงกระนั้นเจ้าก็ไม่ยอมกลับมาหาเรา”
            องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น

“หลายครั้งที่เราโจมตีไร่นาและสวนองุ่นของเจ้า
ให้พืชผลถูกทำลายและขึ้นรา
มีตั๊กแตนกัดกินต้นมะเดื่อและต้นมะกอกของเจ้า
ถึงกระนั้นเจ้าก็ไม่ยอมกลับมาหาเรา”
            องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น

10 “เราส่งภัยพิบัติต่างๆ มาท่ามกลางพวกเจ้า
เหมือนที่เราทำแก่อียิปต์
เราฆ่าหนุ่มฉกรรจ์ของเจ้าด้วยดาบ
ฆ่าพร้อมกับม้าที่เจ้ายึดมาได้
เราทำให้กลิ่นเหม็นที่ตลบไปทั้งค่ายโชยคลุ้งเข้าจมูกเจ้า
ถึงกระนั้นเจ้าก็ไม่ยอมกลับมาหาเรา”
            องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น

11 “เราคว่ำพวกเจ้าบางคนไป
เหมือนที่เรา[n]คว่ำโสโดมและโกโมราห์
เจ้าเหมือนดุ้นฟืนที่ถูกฉวยออกมาจากกองไฟ
ถึงกระนั้นเจ้าก็ไม่ยอมกลับมาหาเรา”
            องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น

12 “ฉะนั้นอิสราเอลเอ๋ย เราจะทำกับเจ้าดังนี้
และเพราะเราจะทำกับเจ้าดังนี้
จงเตรียมตัวพบกับพระเจ้าของเจ้าเถิดอิสราเอลเอ๋ย”

13 พระองค์ผู้ทรงก่อร่างสร้างภูเขา
สร้างลม
และทรงสำแดงพระดำริแก่มนุษย์
พระองค์ผู้ทรงแปรเปลี่ยนรุ่งอรุณให้เป็นความมืดมิด
และทรงดำเนินอยู่บนเบื้องสูงของโลก
พระนามของพระองค์คือพระยาห์เวห์พระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์

คร่ำครวญและเรียกให้กลับใจ

พงศ์พันธุ์อิสราเอลเอ๋ย จงฟังเถิด เราคร่ำครวญถึงเจ้าดังนี้

“อิสราเอลพรหมจารีล้มลงเสียแล้ว
จะไม่ลุกขึ้นมาอีกเลย
ต้องถูกทอดทิ้งในดินแดนของเธอเอง
และไม่มีใครช่วยพยุงขึ้นมาเลย”

พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตตรัสดังนี้ว่า

“เมืองซึ่งส่งชายฉกรรจ์พันคนออกไปรบเพื่ออิสราเอล
จะเหลือกลับมาเพียงร้อยคน
ที่ส่งออกไปร้อยคน
จะเหลือกลับมาเพียงสิบคนเท่านั้น”

องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสแก่พงศ์พันธุ์อิสราเอลว่า

“จงแสวงหาเรา และเจ้าจะมีชีวิตอยู่
อย่าแสวงหาเบธเอล
อย่าไปที่กิลกาล
อย่าเดินทางไปยังเบเออร์เชบา
เพราะกิลกาลจะต้องตกเป็นเชลยอย่างแน่นอน
และเบธเอลจะราบเป็นหน้ากลอง”[o]
จงแสวงหาองค์พระผู้เป็นเจ้าและเจ้าจะมีชีวิตอยู่
มิฉะนั้นแล้วพระองค์จะทรงกวาดพงศ์พันธุ์โยเซฟไป
เหมือนไฟที่เผาผลาญ
และเบธเอลจะหาใครช่วยดับไฟไม่ได้เลย

เจ้าผู้แปรเปลี่ยนความยุติธรรมเป็นความขมขื่น
ผู้เหวี่ยงความชอบธรรมลงกับพื้น

(พระองค์ผู้ทรงสร้างดาวลูกไก่และดาวไถ
ผู้ทรงผันแปรความมืดให้กลายเป็นรุ่งอรุณ
และกลางวันให้กลายเป็นกลางคืนมืดมิด
ผู้ทรงเรียกน้ำทะเลมา
และเทน้ำรดผิวโลก
ทรงพระนามว่าพระยาห์เวห์
ผู้ทรงกระหน่ำหายนะลงเหนือที่มั่น
และให้เมืองป้อมปราการพังพินาศ)

10 เจ้าเกลียดคนที่ต่อสู้เพื่อความยุติธรรมในศาล
และดูหมิ่นคนที่กล่าวความจริง

11 เจ้าเหยียบย่ำคนยากไร้
และรีดไถเอาเมล็ดข้าวจากเขา
ฉะนั้นถึงแม้เจ้าจะสร้างตึกศิลา
เจ้าก็จะไม่ได้อยู่อาศัย
ถึงแม้เจ้าปลูกสวนองุ่นงอกงาม
เจ้าก็จะไม่ได้ดื่มเหล้าองุ่นนั้น
12 เพราะเรารู้ว่าเจ้าล่วงละเมิดมากมายเพียงใด
และบาปต่างๆ ของเจ้าใหญ่หลวงเพียงใด

เจ้ากดขี่ข่มเหงคนชอบธรรม เจ้ารับสินบน
ทั้งยังกีดกันความยุติธรรมจากคนยากไร้ในศาล
13 ฉะนั้นคนฉลาดก็นิ่งเสียในยามเช่นนี้
เพราะเป็นยุคแห่งความชั่วร้าย

14 จงแสวงหาความดี ไม่ใช่ความชั่ว
แล้วเจ้าจะมีชีวิตอยู่
แล้วพระยาห์เวห์พระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์จะอยู่กับเจ้า
เหมือนที่เจ้าพูดว่าพระองค์ทรงอยู่กับเจ้า
15 จงเกลียดความชั่ว รักความดี
จงผดุงความยุติธรรมในศาล
บางทีพระยาห์เวห์พระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์จะทรงเมตตา
คนที่เหลืออยู่ของโยเซฟ

16 ฉะนั้นองค์พระผู้เป็นเจ้า พระยาห์เวห์พระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์ตรัสว่า

“ทุกถนนจะมีการร่ำไห้
ย่านชุมชนทุกแห่งจะมีเสียงร้องด้วยความทุกข์โศก
เขาจะเรียกชาวนามาร่วมกันร้องไห้
และเรียกคนที่ไว้ทุกข์มารวมกลุ่มกันร้องไห้คร่ำครวญ
17 จะมีการร้องไห้ในสวนองุ่นทุกแห่ง
เพราะเราจะผ่านไปท่ามกลางเจ้า”
            องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนั้น

วันแห่งองค์พระผู้เป็นเจ้า

18 วิบัติแก่เจ้า
ผู้ปรารถนาวันแห่งองค์พระผู้เป็นเจ้า!
เหตุใดเจ้าจึงปรารถนาวันแห่งองค์พระผู้เป็นเจ้า?
วันนั้นเป็นวันแห่งความมืด ไม่ใช่ความสว่าง
19 เหมือนคนหนีจากสิงโต
แล้วไปพบหมี
เหมือนเข้าไปในบ้าน
เอามือพิงผนัง
ก็ถูกงูกัดเอา
20 วันแห่งองค์พระผู้เป็นเจ้าจะเป็นวันมืดมน ไม่ใช่สว่าง
วันนั้นมืดมิด ไม่มีแสงสว่างเลยสักนิดไม่ใช่หรือ?

21 “เราเกลียด เราชิงชังเทศกาลทางศาสนาของเจ้า
เราเอือมการประชุมของพวกเจ้า
22 แม้เจ้าจะนำเครื่องเผาบูชาและเครื่องธัญบูชามาให้
เราก็จะไม่รับ
แม้เจ้านำเครื่องสันติบูชาอย่างดีมาให้
เราก็จะไม่แยแส
23 ยุติเสียงเพลงของเจ้าเถิด!
เราจะไม่ฟังเสียงบรรเลงพิณของเจ้า
24 แต่จงให้ความยุติธรรมหลั่งไหลมาเหมือนแม่น้ำ
ให้ความชอบธรรมเหมือนธารน้ำไหลไม่ขาดสาย

25 “พงศ์พันธุ์อิสราเอลเอ๋ย ตลอดสี่สิบปีในถิ่นกันดาร
เจ้าได้ถวายเครื่องบูชาและมอบของถวายแก่เราหรือ?
26 เจ้าตั้งสถานศักดิ์สิทธิ์ของกษัตริย์ของเจ้า
ฐานของรูปเคารพของเจ้า
ดวงดาวของเทพเจ้าของเจ้า[p]
ที่เจ้าทำขึ้นเพื่อตนเอง
27 ฉะนั้นเราจะส่งเจ้าไปเป็นเชลยในดินแดนที่ไกลจากดามัสกัสไปอีก”
            องค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงพระนามว่าพระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์ตรัสดังนั้น

Thai New Contemporary Bible (TNCV)

Thai New Contemporary Bible Copyright © 1999, 2001, 2007 by Biblica, Inc.® Used by permission. All rights reserved worldwide.