Previous Prev Day Next DayNext

Chronological

Read the Bible in the chronological order in which its stories and events occurred.
Duration: 365 days
Thai New Contemporary Bible (TNCV)
Version
2 ซามูเอล 13-15

อัมโนนและทามาร์

13 ฝ่ายอัมโนนราชโอรสของดาวิดหลงรักทามาร์น้องสาวผู้เลอโฉมของอับซาโลมราชโอรสอีกองค์หนึ่งของดาวิด

อัมโนนทรมานใจเพราะหลงรักนางจนล้มป่วย นางเป็นหญิงพรหมจารี และดูเหมือนว่าอัมโนนจะทำอะไรไม่ได้เลย

แต่อัมโนนมีสหายเป็นคนเจ้าปัญญา เป็นญาติชื่อโยนาดับบุตรชิเมอาห์ พี่ชายของดาวิด เขาถามอัมโนนว่า “มีเรื่องทุกข์ร้อนอะไรหรือ? ทำไมท่านซึ่งเป็นลูกกษัตริย์ถึงดูหม่นหมองทุกๆ เช้าอย่างนี้? ท่านบอกเราได้ไหม?”

อัมโนนตอบว่า “เราหลงรักทามาร์น้องสาวของอับซาโลมน้องชายของเรา”

โยนาดับทูลว่า “ท่านก็แกล้งทำเป็นนอนป่วยสิ เมื่อราชบิดาทรงมาเยี่ยมก็ทูลขอว่า ‘ข้าพระบาทอยากให้ทามาร์น้องสาวของข้าพระบาทมาเยี่ยมและมาดูแลเรื่องอาหาร ให้เธอจัดเตรียมอาหารต่อหน้าข้าพระบาท เพื่อข้าพระบาทจะได้มองดูเธอและรับประทานอาหารจากมือของเธอ’ ”

อัมโนนจึงทำทีเป็นนอนป่วย เมื่อกษัตริย์เสด็จมาเยี่ยม อัมโนนก็ทูลว่า “ข้าพระบาทอยากให้ทามาร์น้องสาวของข้าพระบาทมาเตรียมอาหารพิเศษให้ต่อหน้าข้าพระบาท ข้าพระบาทจะได้รับประทานอาหารจากมือของเธอ”

ดาวิดทรงส่งข่าวไปเรียกตัวทามาร์จากวังว่า “จงไปที่บ้านอัมโนนพี่ชายของเจ้าและเตรียมอาหารให้เขา” ทามาร์จึงมายังตำหนักของอัมโนนพี่ชายซึ่งนอนอยู่ เธอนวดแป้งทำขนมต่อหน้าอัมโนนแล้วปิ้งขนม จากนั้นก็ยกกระทะขนมมาให้แต่อัมโนนไม่ยอมแตะต้อง

เขาสั่งบริวารว่า “ออกไปให้หมดทุกคน” ทุกคนก็ออกไป 10 อัมโนนบอกทามาร์ว่า “ยกอาหารเข้ามาในห้องนอน มาป้อนพี่หน่อย” ทามาร์ก็นำขนมปังที่เตรียมไว้เข้าไปให้พี่ชายของนางในห้องนอน 11 แต่เมื่อเธอส่งอาหารให้ อัมโนนก็ยึดตัวเธอไว้และบอกว่า “มานอนกับพี่เถิด”

12 ทามาร์กล่าวกับเขาว่า “อย่าเลยพี่ชาย! อย่าบังคับน้อง ไม่ควรทำสิ่งเลวร้ายเช่นนี้ในอิสราเอล! อย่าทำชั่วแบบนี้ 13 แล้วน้องจะเป็นอย่างไร? จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน? แล้วพี่จะเป็นอย่างไร? พี่เองก็จะได้ชื่อว่าวายร้ายหน้าโง่คนหนึ่งในอิสราเอล ได้โปรดเถิด เพียงแต่ทูลขอ เสด็จพ่อก็จะทรงยกน้องให้แต่งงานกับพี่” 14 แต่อัมโนนไม่ฟัง และเนื่องจากแข็งแรงกว่าจึงใช้กำลังขืนใจเธอ

15 ต่อมาความรักก็แปรเปลี่ยนเป็นความเกลียดชัง อัมโนนกลับเกลียดชังเธอยิ่งกว่าที่เคยหลงรักเธอ จึงตะคอกว่า “ลุกขึ้น แล้วไปให้พ้นจากที่นี่!”

16 ทามาร์กล่าวว่า “พี่ไล่น้องอย่างนี้ก็เลวร้ายยิ่งกว่าสิ่งที่พี่ได้ทำกับน้อง”

แต่อัมโนนไม่ฟัง 17 กลับเรียกมหาดเล็กเข้ามาสั่งว่า “ไล่ผู้หญิงคนนี้ออกไป แล้วปิดประตูลงกลอนเสีย” 18 ดังนั้นมหาดเล็กก็ไล่เธอออกไปข้างนอกและลงกลอนประตู ทามาร์นั้นสวมเสื้อคลุมที่ตกแต่งอย่างงดงาม[a]ตามธรรมเนียมพระราชธิดาพรหมจารี 19 เธอก็โปรยขี้เถ้าบนศีรษะและฉีกเสื้อคลุมที่ตกแต่งอย่างงดงามนั้นขาด เอามือปิดหน้า ร้องไห้เสียงดังออกไป

20 เมื่ออับซาโลมพี่ชายเห็นเข้าก็บอกเธอว่า “จริงหรือที่อัมโนนข่มเหงน้อง? น้องเอ๋ย นิ่งเสียเถิด เขาเป็นพี่ อย่าจำเรื่องนี้ให้รกใจเลย” ทามาร์จึงอาศัยอยู่ที่ตำหนักของอับซาโลมอย่างเดียวดาย

21 เมื่อดาวิดทรงทราบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็กริ้วนัก 22 อับซาโลมไม่ได้พูดอะไรสักคำเดียวกับอัมโนนไม่ว่าดีหรือร้าย เขาเกลียดชังอัมโนนเข้ากระดูกที่ย่ำยีทามาร์น้องสาวของเขา

อับซาโลมฆ่าอัมโนน

23 สองปีต่อมา เมื่อมีการตัดขนแกะของอับซาโลมที่บาอัลฮาโซร์ใกล้เขตแดนเอฟราอิม อับซาโลมเชิญราชโอรสทุกองค์ของกษัตริย์มายังงานฉลองครั้งนี้ 24 อับซาโลมเข้าเฝ้าดาวิดและทูลว่า “ผู้รับใช้ของฝ่าพระบาทมีงานฉลองตัดขนแกะ พระองค์และข้าราชบริพารจะมาร่วมงานด้วยได้หรือไม่?”

25 ดาวิดตรัสว่า “อย่าเลยลูก ถ้าเราไปกันทั้งหมด จะเป็นภาระแก่ลูกเกินไป” อับซาโลมทูลคะยั้นคะยอ ดาวิดทรงยืนกรานไม่ไป แต่ทรงอวยพรให้

26 อับซาโลมจึงทูลว่า “หากเสด็จไปไม่ได้ ขอทรงโปรดให้พี่อัมโนนไปกับเหล่าข้าพระบาท”

ดาวิดตรัสถามว่า “ทำไมต้องให้อัมโนนไปด้วย?” 27 อับซาโลมอ้อนวอนจนกษัตริย์ทรงอนุญาตให้ราชโอรสทุกพระองค์รวมทั้งอัมโนนไปร่วมในงาน

28 อับซาโลมสั่งคนของตนไว้ว่า “รอจนอัมโนนเมาเหล้าองุ่น และเราพูดกับเจ้าว่า ‘ฆ่าอัมโนนเสีย’ จากนั้นก็จงฆ่าเขา อย่ากลัวเลย เราเป็นผู้บงการเอง จงเข้มแข็งและกล้าหาญเถิด” 29 ดังนั้นคนของอับซาโลมจึงจัดการกับอัมโนนตามคำสั่งของนาย ราชโอรสองค์อื่นๆ ของดาวิดก็รีบขึ้นขี่ล่อหนีไป

30 ขณะที่ราชโอรสทั้งหลายกำลังกลับมา มีคนมาทูลดาวิดว่า “อับซาโลมสังหารราชโอรสทั้งหมดไม่เหลือรอดสักองค์เดียว” 31 ดาวิดทรงลุกขึ้น ฉีกฉลองพระองค์ออกและทอดพระกายลงกับพื้น ข้าราชบริพารของดาวิดต่างก็ฉีกเสื้อผ้าของตน

32 แต่โยนาดับบุตรชิเมอาห์ พี่ชายของดาวิดทูลว่า “ขอฝ่าพระบาทอย่าได้ทรงคิดว่าราชโอรสสิ้นชีวิตทุกพระองค์ มีอัมโนนเพียงพระองค์เดียวที่สิ้นชีวิต อับซาโลมวางแผนนี้ตั้งแต่วันที่อัมโนนข่มขืนทามาร์น้องสาวของเขา 33 ขอฝ่าพระบาทอย่าได้ใส่พระทัยกับข่าวที่ว่าราชโอรสทุกพระองค์ถูกสังหาร มีเพียงอัมโนนที่สิ้นชีวิต”

34 ขณะเดียวกันอับซาโลมก็หนีไป

ฝ่ายยามที่ยืนรักษาการณ์ เห็นคนกลุ่มใหญ่กำลังมุ่งหน้ามาทางทิศตะวันตกของเขา ตามเส้นทางข้างเนินเขา ยามจึงเข้าทูลรายงานกษัตริย์ว่า “ข้าพระบาทเห็นคนกลุ่มใหญ่มาจากเมืองโฮโรนาอิม ทางข้างเนินเขา”

35 โยนาดับทูลว่า “โปรดทอดพระเนตรเถิด ราชโอรสทั้งหลายของกษัตริย์กำลังมาแล้ว อย่างที่ผู้รับใช้ของฝ่าพระบาทกราบทูล”

36 กล่าวยังไม่ทันขาดคำ ราชโอรสทั้งหลายก็มาถึงและพากันร่ำไห้เสียงดัง กษัตริย์ดาวิดทรงกันแสง และข้าราชบริพารก็ร่ำไห้อย่างทุกข์ใจนัก

37 อับซาโลมหนีไปเข้าเฝ้าทัลมัยราชโอรสของกษัตริย์อัมมีฮูดแห่งเกชูร์ ส่วนดาวิดทรงคร่ำครวญถึงอัมโนนทุกวัน

38 หลังจากอับซาโลมหนีไปยังเกชูร์ก็อาศัยอยู่ที่นั่นเป็นเวลาสามปี 39 เมื่อดาวิดทรงคลายความเศร้าโศกเนื่องจากการตายของอัมโนน พระองค์ก็ทรงระลึกถึงอับซาโลม

อับซาโลมกลับมาเยรูซาเล็ม

14 ครั้นโยอาบบุตรนางเศรุยาห์ทราบว่ากษัตริย์ทรงคิดถึงอับซาโลมมาก เขาจึงใช้คนไปตามตัวหญิงฉลาดคนหนึ่งจากเทโคอาให้มาพบและกล่าวกับนางว่า “จงแกล้งทำเป็นว่าเจ้าไว้ทุกข์อยู่ สวมเสื้อผ้าไว้ทุกข์ ไม่ใช้เครื่องประทินโฉม ทำทีว่าเจ้าเศร้าโศกเสียใจอย่างหนักมาหลายวันเพราะคนตาย แล้วไปเข้าเฝ้ากษัตริย์ กราบทูลตามที่เราสั่ง” แล้วโยอาบก็สอนคำพูดให้หญิงนั้น

เมื่อหญิงจากเทโคอามาเข้าเฝ้าดาวิด ก็หมอบซบลงที่พื้นถวายคำนับและทูลว่า “ข้าแต่กษัตริย์โปรดทรงช่วยหม่อมฉันด้วยเถิด”

กษัตริย์ตรัสถามว่า “เจ้ามีเรื่องทุกข์ร้อนอะไรหรือ?”

นางทูลว่า “หม่อมฉันเป็นม่าย สามีตายไปแล้ว มีลูกชายสองคน เขาทะเลาะกันที่กลางทุ่ง เนื่องจากไม่มีคนคอยห้ามเขา คนหนึ่งก็เลยถูกฆ่าตาย ตอนนี้ญาติพี่น้องทั้งหมดเรียกร้องให้หม่อมฉันมอบตัวลูกชายเพื่อนำตัวไปประหารโทษฐานฆ่าคน จะได้กำจัดทายาทไป พวกเขาจะดับถ่านไฟก้อนเดียวที่หม่อมฉันเหลืออยู่ เห็นทีสามีหม่อมฉันจะไร้ผู้สืบสกุลเป็นแน่”

ดาวิดตรัสกับหญิงนั้นว่า “จงกลับไปบ้าน เราจะสั่งการให้เจ้า”

แต่หญิงจากเทโคอาทูลว่า “ข้าแต่กษัตริย์ เจ้านายของหม่อมฉันขอให้คำตำหนิตกอยู่ที่หม่อมฉันและครอบครัวของบิดาของหม่อมฉัน ส่วนกษัตริย์และราชบัลลังก์ขอให้พ้นมลทินทั้งปวง”

10 ดาวิดตรัสว่า “หากผู้ใดกล่าวอะไรกับเจ้า จงนำตัวเขามาพบเรา เขาจะไม่มากวนใจเจ้าอีกเลย”

11 นางทูลว่า “ขอฝ่าพระบาทตรัสในพระนามพระยาห์เวห์พระเจ้าของเขา อย่าให้มีการสูญเสียเลือดเนื้ออีกนอกเหนือจากที่ได้สูญเสียไปแล้ว ลูกชายของหม่อมฉันจะได้ไม่ต้องเสียชีวิต”

ดาวิดตรัสว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด ผมสักเส้นบนหัวลูกชายของเจ้า เราก็จะไม่ยอมให้ตกถึงดินฉันนั้น”

12 นางทูลว่า “โปรดทรงอนุญาตให้หม่อมฉันทูลสักคำ”

ดาวิดตรัสตอบว่า “พูดมาเถิด”

13 หญิงนั้นทูลว่า “ก็แล้วทำไมฝ่าพระบาททรงทำเช่นนี้ต่อประชากรของพระเจ้า? เมื่อฝ่าพระบาทตรัสเช่นนี้ เท่ากับตัดสินว่าฝ่าพระบาทเองเป็นฝ่ายผิด เพราะฝ่าพระบาทไม่ทรงยอมให้ราชโอรสที่ถูกเนรเทศไปนั้นกลับมา 14 คนเราล้วนต้องตายไปเหมือนน้ำหกรดแผ่นดิน จะรวบรวมคืนมาอีกไม่ได้ แต่พระเจ้าไม่ได้ทรงริบเอาชีวิตไป แต่ทรงคิดหาหนทางไม่ให้คนที่ถูกเนรเทศไปต้องถูกตัดขาดจากพระองค์

15 “ที่หม่อมฉันมาทูลฝ่าพระบาทก็เพราะมีคนมาข่มขู่ หม่อมฉันบอกตัวเองว่า ‘หม่อมฉันจะทูลกษัตริย์ บางทีพระองค์อาจจะทำตามที่ผู้รับใช้ทูลขอ 16 บางทีกษัตริย์อาจจะทรงเห็นชอบที่จะช่วยผู้รับใช้ของพระองค์ให้พ้นจากมือของคนที่พยายามตัดหม่อมฉันกับลูกจากมรดกที่พระเจ้าประทานแก่พวกหม่อมฉัน’

17 “และบัดนี้ผู้รับใช้ของฝ่าพระบาทขอทูลว่า ‘พระดำรัสของฝ่าพระบาททำให้หม่อมฉันสบายใจ เพราะฝ่าพระบาทเป็นเสมือนทูตของพระเจ้าที่แยกแยะความดีจากความชั่ว ขอพระยาห์เวห์พระเจ้าของฝ่าพระบาทสถิตกับฝ่าพระบาทเถิด’ ”

18 แล้วกษัตริย์ตรัสกับหญิงนั้นว่า “อย่าปิดบัง เราจะถามอะไรเจ้าสักอย่างหนึ่ง”

นางทูลว่า “โปรดตรัสเถิด”

19 ดาวิดตรัสว่า “ทั้งหมดนี้โยอาบเป็นผู้หนุนหลังเจ้าใช่หรือไม่?”

หญิงนั้นทูลว่า “ข้าแต่กษัตริย์ เจ้านายของหม่อมฉัน ฝ่าพระบาททรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด ไม่มีใครสามารถพลิกซ้ายหันขวาจากสิ่งใดๆ ที่ฝ่าพระบาทตรัสได้ฉันนั้น ถูกแล้วโยอาบผู้รับใช้ของฝ่าพระบาทคือผู้สอนให้หม่อมฉันทำตามนี้ และแนะนำทุกถ้อยคำที่ออกจากปากของหม่อมฉัน 20 โยอาบผู้รับใช้ของฝ่าพระบาททำเช่นนี้เพื่อพลิกสถานการณ์ ฝ่าพระบาททรงพระปรีชาเสมือนทูตของพระเจ้า และทรงทราบเหตุการณ์ทุกอย่างในแผ่นดิน”

21 กษัตริย์จึงตรัสกับโยอาบว่า “ดีมาก เราจะทำตามนั้น จงไปรับตัวอับซาโลมชายหนุ่มคนนั้นกลับมาเถิด”

22 โยอาบก็หมอบกราบซบหน้าลงกับพื้นถวายคำนับ ถวายพระพรและทูลว่า “บัดนี้ข้าพระบาททราบแล้วว่า ฝ่าพระบาททรงกรุณาข้าพระบาท เพราะทรงให้ตามที่ข้าพระบาททูลขอ”

23 โยอาบจึงไปยังเกชูร์และรับตัวอับซาโลมกลับมายังเยรูซาเล็ม 24 แต่กษัตริย์ตรัสว่า “ให้เขาไปอยู่ที่ตำหนักของเขา อย่ามาให้เราเห็นหน้า” อับซาโลมจึงไปพำนักที่ตำหนักของตนและไม่ได้เข้าเฝ้ากษัตริย์

25 ทั่วอิสราเอลไม่มีใครได้รับคำชมว่าเป็นชายชาตรีรูปงามเท่าอับซาโลม ตั้งแต่เส้นผมจดปลายเท้าไม่มีตำหนิเลยแม้แต่น้อย 26 เมื่อใดที่ผมของเขาหนักมาก เขาก็จะตัดออกมาชั่งดู ผมนั้นหนักประมาณ 2.3 กิโลกรัม[b]

27 อับซาโลมมีบุตรชายสามคนและมีบุตรสาวหนึ่งคนชื่อว่าทามาร์ นางมีรูปโฉมงดงามยิ่งนัก

28 ตลอดสองปีที่อับซาโลมอยู่ในเยรูซาเล็ม เขาไม่ได้เข้าเฝ้ากษัตริย์เลย 29 อับซาโลมจึงให้คนไปตามตัวโยอาบมาเพื่อให้เข้าเฝ้ากษัตริย์แทน แต่โยอาบไม่ยอมมา แม้อับซาโลมให้คนไปตามอีก เขาก็ยังคงไม่มา 30 อับซาโลมจึงสั่งบริวารว่า “ไปจุดไฟเผานาข้าวบาร์เลย์ของโยอาบที่อยู่ถัดจากเราไป” เขาก็ปฏิบัติตาม

31 โยอาบจึงมาพบอับซาโลมที่ตำหนัก และเรียนว่า “เหตุใดบริวารของท่านไปจุดไฟเผานาของข้าพเจ้า?”

32 อับซาโลมกล่าวกับโยอาบว่า “เราส่งคนไปหาท่านและกล่าวว่า ‘มาที่นี่เถิด จะได้ให้ท่านช่วยไปทูลถามกษัตริย์ว่า “ทรงรับตัวอับซาโลมกลับมาจากเกชูร์ทำไม เขาอยู่ที่นั่นยังดีเสียกว่า!” ’ เราต้องการเข้าเฝ้ากษัตริย์สักครั้ง หากเราผิดด้วยเรื่องใดก็ให้พระองค์ประหารเราเถิด”

33 โยอาบจึงไปกราบทูลกษัตริย์ตามนี้ ดาวิดจึงทรงเรียกตัวอับซาโลมมาเข้าเฝ้า อับซาโลมเข้ามาหมอบกราบซบหน้าลงถึงพื้นต่อหน้ากษัตริย์และกษัตริย์ทรงจูบอับซาโลม

อับซาโลมกบฏ

15 ต่อมาอับซาโลมได้จัดหารถม้าศึกและมีคนห้าสิบคนคอยวิ่งนำหน้ารถ อับซาโลมจะตื่นแต่เช้ามายืนอยู่ริมทางเข้าประตูเมือง เมื่อใดก็ตามที่มีคนนำเรื่องมาร้องทุกข์เพื่อให้กษัตริย์ตัดสิน อับซาโลมก็จะเรียกคนนั้นมาพบและถามว่า “ท่านมาจากเมืองไหน?” เขาจะตอบว่า “ผู้รับใช้ของท่านมาจากเผ่าหนึ่งในอิสราเอล” อับซาโลมก็จะพูดกับเขาว่า “คำร้องของท่านมีมูลและควรแก่การพิจารณา แต่น่าเสียดายที่กษัตริย์ไม่มีตัวแทนมารับฟังท่าน” แล้วอับซาโลมจะกล่าวเสริมว่า “ถ้าเพียงแต่เราได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้พิพากษาในแผ่นดินนี้! ใครมีคดีความหรือเรื่องร้องทุกข์จะได้มาหาเรา แล้วเราจะให้ความยุติธรรมแก่เขา”

และเมื่อมีใครมาค้อมคำนับอับซาโลม อับซาโลมจะจับมือกับเขา โอบและจูบเขา อับซาโลมทำอย่างนี้กับอิสราเอลทุกคนที่มาขอความยุติธรรมจากกษัตริย์ จึงชนะใจชนอิสราเอลทั้งปวง

สี่ปีผ่านไป[c] อับซาโลมทูลกษัตริย์ว่า “ข้าพระบาทขออนุญาตไปเมืองเฮโบรน เพื่อทำตามที่ได้ถวายปฏิญาณไว้ต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า เมื่อตอนที่ข้าพระบาทอยู่ที่เมืองเกชูร์ในอารัมได้ถวายปฏิญาณไว้ว่า ‘หากองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงนำข้าพระองค์กลับมายังเยรูซาเล็ม ข้าพระองค์จะนมัสการองค์พระผู้เป็นเจ้าที่เมืองเฮโบรน[d]’ ”

กษัตริย์ดาวิดตรัสว่า “ขอให้ไปโดยสวัสดิภาพเถิด” อับซาโลมจึงไปเมืองเฮโบรน

10 จากนั้นอับซาโลมลอบส่งคนไปบอกกับทุกเผ่าในอิสราเอลว่า “ทันทีที่ได้ยินเสียงแตร จงกล่าวว่า ‘อับซาโลมเป็นกษัตริย์ในเมืองเฮโบรน’ ” 11 อับซาโลมได้เชิญคนจากกรุงเยรูซาเล็มสองร้อยคนไปร่วมด้วยในฐานะแขก พวกเขาไม่ระแคะระคายแผนการของอับซาโลม 12 ขณะกำลังถวายเครื่องบูชา อับซาโลมให้คนไปเชิญอาหิโธเฟลชาวกิโลห์ ซึ่งเป็นที่ปรึกษาของดาวิดมาจากกิโลห์บ้านเกิดของเขา ทำให้การสมรู้ร่วมคิดครั้งนี้มีพลังมากยิ่งขึ้น และมีคนมาเป็นพวกอับซาโลมมากขึ้นเรื่อยๆ

ดาวิดหนี

13 มีผู้สื่อสารมาทูลดาวิดว่า “จิตใจชาวอิสราเอลหันไปฝักใฝ่อยู่กับอับซาโลมแล้ว”

14 ดาวิดจึงตรัสกับข้าราชการทั้งปวงที่อยู่ด้วยในเยรูซาเล็มว่า “เราต้องหนีแล้ว มิฉะนั้นจะไม่มีใครสักคนรอดพ้นจากเงื้อมมืออับซาโลม เราต้องหนีทันที มิฉะนั้นเขาจะบุกมาเล่นงานเราอย่างรวดเร็ว ทำให้เราย่อยยับกันหมดและทลายเมืองนี้ลงด้วยคมดาบ”

15 ข้าราชบริพารทั้งหลายกราบทูลว่า “เหล่าผู้รับใช้ของฝ่าพระบาทพร้อมที่จะทำทุกอย่างตามแต่ฝ่าพระบาททรงเห็นชอบ”

16 กษัตริย์และข้าราชสำนักทั้งหมดจึงออกเดินทาง เหลือไว้แต่นางสนมสิบคนคอยดูแลรักษาวัง 17 ดังนั้นกษัตริย์จึงทรงออกเดินทางพร้อมด้วยบรรดาผู้ติดตาม และแวะพักในที่แห่งหนึ่งไกลออกไปพอสมควร 18 คนทั้งหมดของดาวิดเดินขึ้นหน้าไป พร้อมด้วยคนเคเรธีและคนเปเลท และชาวกัทอีกหกร้อยคนซึ่งติดตามดาวิดมาจากเมืองกัทก็เดินนำหน้าไปด้วย

19 ดาวิดตรัสกับอิททัยชาวกัทว่า “เจ้ามากับเราทำไม? จงกลับไปอยู่กับกษัตริย์อับซาโลมเถิด เจ้าเป็นคนต่างด้าวลี้ภัยมาจากบ้านเกิด 20 เจ้าเพิ่งมาเมื่อวาน ควรหรือที่เราจะทำให้เจ้าเร่ร่อนไปกับเราในเมื่อเราก็ยังไม่รู้ว่าจะไปที่ไหน? กลับไปเถิด พาคนของเจ้าไปด้วย ขอความกรุณาและความซื่อสัตย์ดำรงอยู่กับเจ้า”

21 แต่อิททัยกราบทูลว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพระชนม์อยู่และฝ่าพระบาททรงดำรงพระชนม์ชีพอยู่แน่ฉันใด ไม่ว่าฝ่าพระบาทประทับอยู่ที่ไหน และไม่ว่าข้าพระบาทจะต้องเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายประการใด ข้าพระบาทขออยู่กับฝ่าพระบาทฉันนั้น”

22 ดาวิดจึงตรัสว่า “ถ้าเช่นนั้นเดินนำหน้าไปเถิด” อิททัยกับคนทั้งหมดของเขาและครอบครัวจึงเดินหน้าต่อไป

23 ขณะที่กษัตริย์และผู้ตามเสด็จเดินทางผ่านไป ผู้คนก็โศกสลดทั่วทั้งเมือง ดาวิดและผู้ติดตามทั้งหมดก็ข้ามหุบเขาขิดโรนและมุ่งหน้าไปยังถิ่นกันดาร

24 ศาโดกอยู่ที่นั่นด้วย และคนเลวีทั้งหมดที่อยู่ด้วยกับเขาก็ช่วยกันหามหีบพันธสัญญาของพระเจ้า พวกเขาวางหีบพันธสัญญาลงและอาบียาธาร์ถวายเครื่องบูชา[e]จนกระทั่งทุกคนออกจากเมือง

25 ดาวิดจึงตรัสกับศาโดกว่า “ขอให้นำหีบพันธสัญญาของพระเจ้ากลับเข้าเมืองเถิด หากองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงโปรดปรานเรา พระองค์จะทรงนำเราให้กลับมาเห็นหีบพันธสัญญาและพระนิเวศของพระองค์อีก 26 แต่หากพระองค์ตรัสว่า ‘เราไม่พอใจเจ้า’ ตัวเราก็พร้อมแล้ว ขอพระองค์ทรงกระทำแก่เราตามแต่ทรงเห็นชอบ”

27 กษัตริย์ตรัสกับปุโรหิตศาโดกอีกว่า “ท่านเป็นผู้ทำนายไม่ใช่หรือ? จงกลับเข้าไปในเมืองโดยสวัสดิภาพพร้อมกับอาหิมาอัสลูกชายของท่านและโยนาธานลูกชายของอาบียาธาร์ ท่านกับอาบียาธาร์พาลูกชายทั้งสองกลับไปเถิด 28 เราจะหยุดอยู่ที่สันดอนในถิ่นกันดาร คอยฟังข่าวจากท่าน” 29 ศาโดกกับอาบียาธาร์จึงอัญเชิญหีบพันธสัญญาของพระเจ้ากลับเข้ากรุงเยรูซาเล็มและพักอยู่ที่นั่น

30 ส่วนดาวิดเสด็จโดยพระบาทเปล่าต่อไปถึงภูเขามะกอกเทศ ทรงกันแสงไปตลอดทาง มีผ้าคลุมพระเศียร ประชากรที่ตามเสด็จก็เอาผ้าคลุมศีรษะและร้องไห้ไปด้วย 31 เมื่อมีผู้กราบทูลดาวิดว่าอาหิโธเฟลร่วมอยู่ในกลุ่มผู้คบคิดกับอับซาโลมด้วย ดาวิดก็อธิษฐานว่า “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าขอ ทรงทำให้คำแนะนำของอาหิโธเฟลกลายเป็นคำแนะนำที่โง่เขลาเถิด”

32 เมื่อดาวิดมาถึงยอดเขาซึ่งเคยเป็นที่นมัสการพระเจ้า ก็พบหุชัยชาวอารคีรอรับเสด็จอยู่ สวมเสื้อผ้าขาดวิ่นและมีฝุ่นธุลีเต็มศีรษะ 33 ดาวิดก็ตรัสกับหุชัยว่า “ถ้าเจ้าไปกับเราก็เป็นภาระเปล่าๆ 34 จงกลับเข้าเมืองเถิด และบอกอับซาโลมว่า ‘ข้าแต่กษัตริย์ ข้าพระบาทเป็นผู้รับใช้ของฝ่าพระบาท ข้าพระบาทเป็นผู้รับใช้ของราชบิดาของฝ่าพระบาทในอดีต แต่บัดนี้ข้าพระบาทจะเป็นผู้รับใช้ของฝ่าพระบาท’ เพื่อเจ้าจะได้ช่วยเราหักล้างคำแนะนำของอาหิโธเฟล 35 ปุโรหิตศาโดกกับอาบียาธาร์อยู่ที่นั่นกับเจ้าไม่ใช่หรือ? มีอะไรที่เจ้าได้ยินจากวังก็จงบอกเขา 36 อาหิมาอัสลูกชายของศาโดกกับโยนาธานลูกชายของอาบียาธาร์ก็อยู่ด้วย เจ้าได้ยินอะไรมาก็ใช้สองคนนี้มาบอกเราเถิด”

37 ฉะนั้นหุชัยสหายของดาวิดจึงกลับไปยังเยรูซาเล็ม พอดีกับที่อับซาโลมกำลังจะเข้ากรุง

Thai New Contemporary Bible (TNCV)

Thai New Contemporary Bible Copyright © 1999, 2001, 2007 by Biblica, Inc.® Used by permission. All rights reserved worldwide.