Previous Prev Day Next DayNext

Chronological

Read the Bible in the chronological order in which its stories and events occurred.
Duration: 365 days
Thai New Contemporary Bible (TNCV)
Version
1 ซามูเอล 28-31

ซาอูลและคนทรงแห่งเอนโดร์

28 ครั้งนั้นชาวฟีลิสเตียระดมกำลังมาสู้รบกับอิสราเอล อาคีชตรัสกับดาวิดว่า “เจ้ารู้ใช่ไหมว่าเจ้ากับพวกจะต้องไปร่วมรบกับเรา”

ดาวิดทูลว่า “พระเจ้าข้า แล้วฝ่าพระบาทจะทรงเห็นว่าผู้รับใช้ของฝ่าพระบาทสามารถทำสิ่งใดได้บ้าง”

อาคีชตอบว่า “ดีมาก เราจะให้เจ้าเป็นองครักษ์ของเราตลอดชีวิต”

ฝ่ายซามูเอลสิ้นชีวิตไปแล้ว และคนอิสราเอลทั้งปวงพากันไว้อาลัยให้เขา เขาถูกฝังไว้ที่รามาห์ซึ่งเป็นบ้านเกิด ซาอูลได้ทรงกำจัดคนทรงและหมอดูทั้งหมดไปจากแผ่นดิน

ชาวฟีลิสเตียรวมพลมาตั้งค่ายที่ชูเนม ส่วนซาอูลรวมพลอิสราเอลทั้งหมดและตั้งค่ายอยู่ที่กิลโบอา เมื่อซาอูลทอดพระเนตรเห็นกองทัพฟีลิสเตียก็ทรงหวาดกลัวยิ่งนัก และทูลถามองค์พระผู้เป็นเจ้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ทรงตอบเลย ไม่ว่าทางความฝัน ทางอูริม หรือทางผู้เผยพระวจนะ ซาอูลจึงตรัสสั่งมหาดเล็กว่า “จงไปตามหาหญิงคนทรงเพื่อเราจะได้ไปถามนาง”

พวกเขากล่าวว่า “มีอยู่คนหนึ่งในเอนโดร์”

ซาอูลจึงปลอมพระองค์โดยสวมเสื้อผ้าของผู้อื่นไปที่บ้านของหญิงคนทรงในเวลากลางคืน มีผู้ติดตามสองคน ซาอูลตรัสว่า “เราอยากจะพูดกับวิญญาณผู้ตายคนหนึ่ง จงเรียกเขามาตามที่เราเอ่ยชื่อ”

แต่หญิงนั้นกล่าวว่า “ท่านย่อมทราบดีว่าซาอูลได้ทรงทำอะไร พระองค์ทรงกวาดล้างคนทรงกับหมอดูให้หมดแผ่นดิน ทำไมท่านจึงวางกับดักเพื่อฆ่าดิฉัน”

10 ซาอูลสาบานแก่นางโดยอ้างองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด เจ้าจะไม่ถูกลงโทษเพราะเรื่องนี้ฉันนั้น”

11 หญิงนั้นจึงถามว่า “จะให้เรียกใครขึ้นมา?”

ซาอูลตรัสว่า “ให้เรียกซามูเอลขึ้นมา”

12 เมื่อหญิงนั้นเห็นซามูเอล ก็ร้องเสียงหลงและกล่าวกับซาอูลว่า “เหตุใดฝ่าพระบาทจึงทรงหลอกหม่อมฉัน? ฝ่าพระบาทคือซาอูล!”

13 กษัตริย์ตรัสว่า “อย่ากลัวไปเลย เจ้าเห็นอะไรบ้าง?”

นางทูลว่า “หม่อมฉันเห็นวิญญาณดวงหนึ่ง[a]ขึ้นมาจากแผ่นดิน”

14 ซาอูลตรัสถามว่า “หน้าตาท่าทางเป็นยังไง?”

หญิงนั้นทูลว่า “ชายชราสวมเสื้อคลุมคนหนึ่งกำลังขึ้นมา”

ซาอูลจึงทรงทราบว่าเป็นซามูเอล และหมอบกราบซบพระพักตร์ลงกับพื้น

15 ซามูเอลถามว่า “ทำไมท่านจึงมารบกวนและเรียกเรากลับมาอีก?”

ซาอูลตรัสตอบว่า “ข้าพเจ้ากำลังเดือดร้อนมาก ชาวฟีลิสเตียรบกับข้าพเจ้าอยู่ และพระเจ้าทรงละทิ้งข้าพเจ้า พระองค์ไม่ทรงตอบเลย ไม่ว่าทางผู้เผยพระวจนะหรือความฝัน ข้าพเจ้าจึงเรียกท่านมาเพื่อถามว่าควรทำอย่างไร”

16 ซามูเอลกล่าวว่า “ทำไมจึงมาปรึกษาเรา ในเมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงหันพระพักตร์หนีและกลายเป็นศัตรูกับเจ้า? 17 องค์พระผู้เป็นเจ้าก็ทรงกระทำตามที่ได้พยากรณ์ตรัสไว้ผ่านทางเรา องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงริบอาณาจักรจากมือของเจ้าและมอบให้ดาวิดเพื่อนบ้านของเจ้า 18 เนื่องจากเจ้าไม่เชื่อฟังองค์พระผู้เป็นเจ้าหรือสนองพระพิโรธของพระองค์ที่มีต่อชาวอามาเลข วันนี้องค์พระผู้เป็นเจ้าจึงทรงกระทำกับเจ้าเช่นนี้ 19 องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงมอบทั้งเจ้าและอิสราเอลแก่ชาวฟีลิสเตีย พรุ่งนี้เจ้ากับลูกๆ จะมาอยู่กับเรา องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงมอบกองทัพอิสราเอลแก่ฟีลิสเตียด้วย”

20 ซาอูลทรงล้มลงเหยียดยาวบนพื้นทันที รู้สึกตกพระทัยกลัวยิ่งนักเพราะถ้อยคำของซามูเอล ทั้งทรงหมดแรงเพราะความหิว เนื่องจากไม่ได้เสวยสิ่งใดเลยตลอดทั้งวันทั้งคืน

21 เมื่อหญิงนั้นเห็นว่าซาอูลหวาดวิตกยิ่งนัก จึงทูลว่า “ข้าแต่ฝ่าพระบาท หม่อมฉันหญิงรับใช้ได้ยอมเสี่ยงชีวิตทำตามพระดำรัส 22 บัดนี้โปรดทำตามคำของหม่อมฉันบ้าง และทรงอนุญาตให้หม่อมฉันนำอาหารมาให้เสวย เพื่อจะทรงมีกำลังขึ้น แล้วเดินทางกลับไปได้”

23 แต่พระองค์ปฏิเสธว่า “เราจะไม่กิน”

ผู้ติดตามทั้งสองคนจึงสนับสนุนคำของหญิงนั้น และคะยั้นคะยอจนในที่สุดซาอูลก็ยอมเสด็จขึ้นประทับบนเตียง

24 หญิงนั้นมีลูกวัวขุนตัวหนึ่ง ก็ออกไปฆ่าเพื่อนำมาปรุงอาหาร และนวดแป้งอบขนมปังไม่ใส่เชื้อ 25 นางนำอาหารมาถวายแด่กษัตริย์และให้แก่ผู้ติดตามรับประทาน ในคืนนั้นเองพวกเขาก็เดินทางจากไป

อาคีชส่งดาวิดกลับไปศิกลาก

29 ชาวฟีลิสเตียระดมกำลังทั้งหมดที่อาเฟค ส่วนอิสราเอลตั้งค่ายอยู่ที่ริมธารน้ำพุในยิสเรเอล เมื่อขุนพลฟีลิสเตียยกขบวนออกไปเป็นกองร้อยและกองพัน ดาวิดและพรรคพวกก็ร่วมขบวนเป็นกองหลังพร้อมกับอาคีช ขุนพลฟีลิสเตียทูลถามว่า “คนฮีบรูพวกนี้มาทำอะไรอยู่ที่นี่?”

อาคีชตรัสตอบว่า “นี่ไงดาวิด อดีตทหารของกษัตริย์ซาอูลแห่งอิสราเอล เขามาอยู่กับเราปีกว่าแล้ว เราไม่พบข้อเสียของเขาเลยตั้งแต่เขาจากซาอูลมา”

แต่ขุนพลฟีลิสเตียพากันโกรธจัด และทูลว่า “ส่งเขากลับไปเถิด เขาจะได้กลับไปยังสถานที่ซึ่งพระองค์ทรงกำหนดให้ ห้ามเขาไปช่วยเรารบเด็ดขาด มิฉะนั้นเขาจะทรยศเราและไปเข้าข้างนายเดิม ลองคิดดูสิว่าเขาจะได้รับความโปรดปรานสักเพียงใดจากการนำศีรษะของพวกเราไปถวาย? ดาวิดคนนี้ไม่ใช่หรือที่พวกเขาร้องรำทำเพลงว่า

“ ‘ซาอูลฆ่าศัตรูนับพัน
และดาวิดฆ่าศัตรูนับหมื่น’”

อาคีชจึงทรงเรียกดาวิดมาและตรัสกับดาวิดว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด เจ้าเป็นคนที่น่าเชื่อถือ และเราจะดีใจมากถ้าได้เจ้าเข้ามาร่วมกองทัพกับเราฉันนั้น ตั้งแต่วันที่เจ้ามาหาเราจนถึงวันนี้ เราไม่พบข้อเสียในตัวเจ้าเลย แต่พวกผู้นำไม่ยอมรับเจ้า จงกลับไปอย่างสันติ อย่าทำอะไรให้เหล่าผู้นำฟีลิสเตียไม่พอใจเลย”

ดาวิดทูลว่า “ข้าพระบาททำอะไรหรือ? นับแต่วันที่ข้าพระบาทมาเข้าเฝ้าฝ่าพระบาทจนบัดนี้ ฝ่าพระบาททรงพบสิ่งใดไม่ดีในตัวข้าพระบาทหรือ? ทำไมข้าพระบาทออกไปสู้รบกับศัตรูของฝ่าพระบาทไม่ได้?”

อาคีชตรัสว่า “เรารู้ว่าเจ้าเป็นที่ชื่นชอบในสายตาของเราเหมือนทูตของพระเจ้า แต่ขุนพลฟีลิสเตียกล่าวว่า ‘ห้ามเขาไปช่วยเรารบเด็ดขาด’ 10 เจ้ากับบริวารของนายเจ้าจงตื่นขึ้นแต่เช้าและกลับไปทันทีเมื่อฟ้าสาง”

11 ดาวิดกับพวกจึงตื่นขึ้นแต่เช้าตรู่และกลับไปยังดินแดนฟีลิสเตีย ส่วนกองทัพฟีลิสเตียเคลื่อนสู่ยิสเรเอล

ดาวิดทำลายคนอามาเลข

30 ดาวิดและพรรคพวกมาถึงศิกลากในวันที่สาม ฝ่ายชาวอามาเลขได้มาปล้นเนเกบและเมืองศิกลาก พวกเขาโจมตีและเผาเมืองศิกลาก จับผู้หญิงและทุกคนที่อยู่ในเมืองทั้งเด็กและผู้ใหญ่ไปเป็นเชลยโดยไม่ได้ฆ่าใคร แต่กวาดต้อนไปพร้อมกับพวกเขาด้วย

เมื่อดาวิดกับพวกมาถึงก็พบว่าเมืองศิกลากถูกเผาวอดวาย และภรรยากับบุตรชายบุตรสาวถูกจับตัวไปเป็นเชลย ทั้งดาวิดและพวกก็ร้องไห้เสียงดังจนไม่เหลือแรงที่จะร้องไห้อีก ภรรยาทั้งสองคนของดาวิดก็ตกเป็นเชลยด้วยคืออาหิโนอัมแห่งยิสเรเอล และอาบีกายิลภรรยาม่ายของนาบาลแห่งคารเมล ดาวิดทุกข์ใจมากเพราะพรรคพวกพูดกันว่าจะเอาหินขว้างดาวิด พวกเขาต่างก็ขมขื่นรันทดใจด้วยเรื่องบุตรชายบุตรสาว แต่ดาวิดได้รับกำลังในพระยาห์เวห์พระเจ้าของเขา

ดาวิดจึงพูดกับปุโรหิตอาบียาธาร์บุตรอาหิเมเลคว่า “โปรดนำเอโฟดมา” อาบียาธาร์ก็นำมา ดาวิดทูลถามองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า “ข้าพระองค์ควรไล่ตามกองโจรนี้ไปหรือไม่? จะตามทันหรือไม่?”

พระเจ้าตรัสว่า “จงตามพวกเขาไปเถิด เจ้าจะตามทันและช่วยผู้คนได้สำเร็จ”

ดาวิดกับพรรคพวกหกร้อยคนมาถึงลำธารเบโสร์ ซึ่งบางคนหยุดพักอยู่ที่นั่น 10 เพราะมีสองร้อยคนหมดแรง ข้ามลำธารไปไม่ไหว แต่ดาวิดกับอีกสี่ร้อยคนยังคงตามล่าต่อไป

11 พวกเขาพบชายอียิปต์คนหนึ่งกลางทุ่ง จึงนำตัวมาพบดาวิด พวกเขาเอาน้ำดื่มและอาหารมาให้คนนั้น 12 คือมะเดื่ออัดจำนวนเล็กน้อยและขนมลูกเกดสองก้อน เขารับประทานแล้วค่อยมีกำลังวังชาขึ้นเพราะไม่ได้กินดื่มอะไรมาสามวันสามคืนแล้ว

13 ดาวิดถามว่า “เจ้าเป็นคนของใครและมาจากไหน?”

เขาตอบว่า “ข้าพเจ้าเป็นชาวอียิปต์ เป็นทาสของชาวอามาเลขคนหนึ่ง นายทิ้งข้าพเจ้าไว้สามวันแล้วเพราะข้าพเจ้าไม่สบาย 14 เราได้ปล้นเนเกบของพวกเคเรธีกับพรมแดนที่เป็นของยูดาห์ และเนเกบของคาเลบ แล้วเราเผาเมืองศิกลาก”

15 ดาวิดถามว่า “เจ้านำทางเราลงไปถึงกองโจรนั้นได้หรือไม่?”

เขาตอบว่า “หากท่านสาบานในพระนามของพระเจ้าว่าจะไม่ฆ่าข้าพเจ้าหรือส่งตัวกลับไปให้นาย ข้าพเจ้าจะนำทางท่านไปหาพวกนั้น”

16 เขานำดาวิดลงไปที่นั่น พวกอามาเลขกระจายกันอยู่เต็มทุ่ง กินดื่มกันอย่างสนุกสนาน และชื่นชมกับทรัพย์มากมายที่ยึดมาได้จากแดนฟีลิสเตียและจากยูดาห์ 17 เย็นวันนั้นดาวิดสู้รบกับพวกเขาจนถึงเย็นวันรุ่งขึ้น ไม่มีใครหนีรอดไปได้เว้นแต่ชายหนุ่มสี่ร้อยคนซึ่งขี่อูฐหนีไป 18 ดาวิดได้ของทุกอย่างที่พวกอามาเลขริบไปคืนมาทั้งหมด รวมทั้งภรรยาสองคน 19 ไม่มีสิ่งใดขาดหายไป ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ เด็กชายเด็กหญิง ของที่ถูกปล้นหรือสิ่งที่ถูกริบไป ดาวิดได้คืนมาทั้งหมด 20 เขายึดฝูงสัตว์ทั้งหมดและคนของเขาก็กวาดต้อนมาข้างหน้าอีกฝูงหนึ่งบอกว่า “นี่เป็นของที่ดาวิดยึดมา”

21 แล้วดาวิดกลับมาหาสองร้อยคนที่หมดแรงติดตามไปไม่ไหว ซึ่งรออยู่ที่ลำธารเบโสร์ พวกเขาออกมาพบดาวิดกับพวก 22 แต่บรรดาอันธพาลและคนชั่วในหมู่ผู้ติดตามของดาวิดกล่าวว่า “เราจะไม่แบ่งของที่ยึดคืนมาได้ให้พวกเขา เพราะเขา ไม่ได้ไปกับเรา แต่ให้เขาเอาภรรยาเอาลูกคืนไป แล้วไปเสีย”

23 ดาวิดตอบว่า “อย่าเลยพี่น้องเอ๋ย พวกท่านอย่าทำเช่นนั้นกับสิ่งที่องค์พระผู้เป็นเจ้าประทานแก่เรา พระองค์ทรงปกป้องเราและทรงมอบกองกำลังต่างๆ ที่มาโจมตีเรานั้นแก่เรา 24 ใครจะเห็นด้วยกับสิ่งที่ท่านพูด? เราจะแบ่งให้เท่าๆ กัน ทั้งคนที่ออกรบและคนที่คอยดูแลสัมภาระ” 25 ดาวิดจึงตั้งเป็นกฎเกณฑ์และข้อปฏิบัติสำหรับอิสราเอลตั้งแต่วันนั้นจนถึงบัดนี้ 26 เมื่อดาวิดมาถึงเมืองศิกลาก ก็ส่งของที่ยึดมาได้บางส่วนไปให้บรรดาผู้อาวุโสของยูดาห์ที่เป็นสหายของเขาและแจ้งว่า “นี่คือของกำนัลสำหรับท่าน ได้มาจากการปล้นศัตรูขององค์พระผู้เป็นเจ้า”

27 เขาส่งของกำนัลเหล่านี้ไปยังบรรดาผู้นำในเบธเอล ราโมท เนเกบ และยัททีร์ 28 ในอาโรเออร์ สิฟโมท เอชเทโมอา 29 และราคาล ในหัวเมืองต่างๆ ของวงศ์เยราห์เมเอลและวงศ์เคไนต์ 30 ในโฮรมาห์ โบร์อาชาน อาธาค 31 และเฮโบรน และในที่ต่างๆ ซึ่งดาวิดกับคนของเขาเคยเดินทางไปมา

ซาอูลฆ่าตัวตาย(A)

31 ฝ่ายอิสราเอลสู้รบกับฟีลิสเตียและแตกหนี ผู้คนมากมายล้มตายบนภูเขากิลโบอา ทหารฟีลิสเตียประชิดตัวซาอูลกับโอรส และได้สังหารโอรสทั้งสามคือ โยนาธาน อาบีนาดับ และมัลคีชูวา การรบเป็นไปอย่างดุเดือด ทหารฟีลิสเตียยิงธนูเข้าใส่ซาอูล พระอาการสาหัส

ซาอูลตรัสกับผู้เชิญอาวุธว่า “จงชักดาบออกมาแทงทะลุร่างของเรา มิฉะนั้นพวกไม่ได้เข้าสุหนัตเหล่านี้จะมาฆ่าเราและนำความอัปยศมาให้เรา”

แต่ผู้เชิญอาวุธไม่กล้าทำ ฉะนั้นซาอูลจึงโถมพระกายลงบนดาบของพระองค์เอง เมื่อผู้เชิญอาวุธเห็นว่าซาอูลสิ้นพระชนม์แล้ว ก็ทุ่มกายลงบนดาบของตนตายตามไป เป็นอันว่าซาอูล โอรสทั้งสาม ผู้เชิญอาวุธ และคนทั้งหมดของซาอูลสิ้นชีวิตในวันเดียวกัน

เมื่อชาวอิสราเอลตามหุบเขาและอีกฟากหนึ่งของแม่น้ำจอร์แดนเห็นว่ากองทัพอิสราเอลแตกหนี และเห็นว่าซาอูลกับโอรสสิ้นพระชนม์ ก็พากันละทิ้งบ้านเมืองหนีไป ชาวฟีลิสเตียก็เข้ายึดครอง

วันรุ่งขึ้นเมื่อชาวฟีลิสเตียออกมาปลดของมีค่าจากศพ ก็พบร่างของซาอูลและโอรสทั้งสามบนภูเขากิลโบอา พวกเขาตัดพระเศียรซาอูลและปลดยุทธภัณฑ์ออก แล้วส่งผู้สื่อสารไปทั่วแดนฟีลิสเตียเพื่อแจ้งข่าวในวิหารแห่งเทวรูปของพวกเขาและในหมู่ประชาชน 10 ยุทธภัณฑ์ของซาอูลถูกเก็บไว้ในวิหารของพระอัชโทเรท ส่วนพระศพถูกมัดเข้ากับกำแพงเมืองเบธชาน

11 เมื่อชาวยาเบชกิเลอาดได้ยินสิ่งที่ชาวฟีลิสเตียทำต่อซาอูล 12 ผู้กล้าหาญจากเมืองนั้นก็เดินทางตลอดคืนไปถึงเมืองเบธชาน พวกเขาปลดพระศพของซาอูลกับโอรสลงจากกำแพงเมือง แล้วเชิญพระศพกลับมาถวายพระเพลิงที่เมืองยาเบช 13 จากนั้นก็นำพระอัฐิไปฝังไว้ใต้ต้นสนหมอกที่ยาเบช แล้วพากันถืออดอาหารเป็นเวลาเจ็ดวัน

สดุดี 18

(A)(ถึงหัวหน้านักร้อง บทสดุดีของดาวิดผู้รับใช้ขององค์พระผู้เป็นเจ้า ทรงขับร้องถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า เมื่อครั้งองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกอบกู้พระองค์จากศัตรูทั้งสิ้น รวมทั้งซาอูลด้วย)

18 ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงเป็นกำลังของข้าพระองค์ ข้าพระองค์รักพระองค์

องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นศิลา เป็นป้อมปราการ และผู้กอบกู้ของข้าพเจ้า
พระเจ้าของข้าพเจ้าทรงเป็นศิลาที่ข้าพเจ้าเข้าไปลี้ภัย
ทรงเป็นโล่ เป็นกำลัง[a]แห่งความรอดและเป็นที่มั่นของข้าพเจ้า

ข้าพเจ้าร้องทูลต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า ผู้ทรงสมควรแก่การสรรเสริญ
แล้วข้าพเจ้าก็ได้รับการช่วยให้รอดพ้นจากเหล่าศัตรู
บ่วงแห่งความตายพันธนาการข้าพเจ้าไว้
กระแสแห่งความหายนะท่วมท้นข้าพเจ้า
บ่วงแห่งแดนผู้ตายรัดรอบตัวข้าพเจ้า
บ่วงแร้วแห่งความตายอยู่ตรงหน้าข้าพเจ้า

ในยามทุกข์โศก ข้าพเจ้าร้องทูลองค์พระผู้เป็นเจ้า
ข้าพเจ้าร้องทูลขอความช่วยเหลือจากพระเจ้าของข้าพเจ้า
พระองค์ทรงสดับเสียงของข้าพเจ้าจากพระวิหารของพระองค์
เสียงร่ำร้องของข้าพเจ้าไปถึงพระองค์ ถึงพระกรรณของพระองค์
แผ่นดินโลกสะเทือนเลื่อนลั่น
รากของภูเขาทั้งหลายสั่นคลอน
ภูเขาเหล่านั้นสั่นสะเทือนเพราะพระองค์ทรงพระพิโรธ
ควันพลุ่งออกมาจากพระนาสิก
เปลวไฟเผาผลาญและถ่านไฟลุกโชน
ออกมาจากพระโอษฐ์ของพระองค์
พระองค์ทรงแหวกฟ้าสวรรค์และเสด็จลงมา
เมฆมืดทึบอยู่ใต้พระบาทของพระองค์
10 พระองค์ทรงประทับเหนือเครูบและทะยานมา
เสด็จมาด้วยปีกแห่งกระแสลม
11 พระองค์ทรงให้ความมืดปกคลุมอยู่รายรอบพระองค์
ทรงให้เมฆฝนดำทะมึนในท้องฟ้าอยู่รอบพระองค์
12 แสงสว่างเจิดจ้าแห่งการปรากฏของพระองค์ผ่านหมู่เมฆออกมา
ด้วยสายฟ้าแลบและพายุลูกเห็บ
13 องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเปล่งกัมปนาทจากฟ้าสวรรค์
พระสุรเสียงขององค์ผู้สูงสุดดังก้อง[b]
14 ทรงยิงลูกศรของพระองค์ ทำให้เหล่าศัตรูกระเจิดกระเจิงไป
ทรงส่งฟ้าแลบแวบวาบทำให้พวกเขาแตกพ่ายไป
15 ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า เมื่อพระองค์ทรงกำราบ
เมื่อลมพวยพุ่งออกจากพระนาสิกของพระองค์
หุบเขาในทะเลก็เผยออก
รากฐานของโลกก็ปรากฏ

16 พระองค์ทรงเอื้อมพระหัตถ์จากเบื้องบนลงมายึดข้าพเจ้าไว้
ทรงดึงข้าพเจ้าขึ้นจากห้วงน้ำลึก
17 พระองค์ทรงช่วยข้าพเจ้าให้พ้นจากศัตรูผู้ทรงอำนาจ
จากปฏิปักษ์ผู้แข็งแกร่งกว่าข้าพเจ้า
18 พวกเขาบุกโจมตีในยามที่ข้าพเจ้าประสบภัยพิบัติ
แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงค้ำชูข้าพเจ้าไว้
19 พระองค์ทรงนำข้าพเจ้าออกมายังที่กว้างขวาง
ทรงช่วยข้าพเจ้าไว้เพราะทรงปีติยินดีในตัวข้าพเจ้า

20 องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงตอบแทนข้าพเจ้าตามความชอบธรรมของข้าพเจ้า
ทรงปูนบำเหน็จแก่ข้าพเจ้าเนื่องจากข้าพเจ้าเป็นคนมือสะอาด
21 เพราะข้าพเจ้ารักษาทางขององค์พระผู้เป็นเจ้า
ข้าพเจ้าไม่ได้ทำชั่วโดยหันไปจากพระเจ้าของข้าพเจ้า
22 บทบัญญัติทั้งสิ้นของพระองค์อยู่ต่อหน้าข้าพเจ้า
ข้าพเจ้าไม่ได้หันไปจากกฎหมายของพระองค์
23 ข้าพเจ้าไร้ตำหนิต่อหน้าพระองค์
และได้รักษาตนให้พ้นจากบาป
24 องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงปูนบำเหน็จแก่ข้าพเจ้าตามความชอบธรรมของข้าพเจ้า
ตามที่ทรงเห็นว่าข้าพเจ้าเป็นคนมือสะอาด

25 ต่อผู้ที่ซื่อสัตย์ ทรงสำแดงพระองค์ว่าซื่อสัตย์
ต่อผู้ที่ไร้ที่ติ ทรงสำแดงพระองค์ว่าไร้ที่ติ
26 ต่อผู้ที่บริสุทธิ์ ทรงสำแดงพระองค์ว่าบริสุทธิ์
แต่กับผู้ที่คดโกง ทรงสำแดงพระองค์ว่าฉลาดหลักแหลม
27 พระองค์ทรงช่วยผู้ที่ถ่อมใจให้รอดพ้น
ส่วนผู้ที่หยิ่งผยอง ทรงทำให้ตกต่ำลง
28 ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทรงรักษาประทีปของข้าพระองค์ให้โชติช่วง
พระเจ้าของข้าพระองค์ทรงเปลี่ยนความมืดมนของข้าพระองค์ให้กลายเป็นความสว่าง
29 ข้าพระองค์สามารถตะลุยกองทัพได้[c]ด้วยความช่วยเหลือจากพระองค์
และข้าพระองค์ปีนข้ามกำแพงเมืองได้โดยพระเจ้าของข้าพระองค์

30 สำหรับพระเจ้า วิถีของพระองค์นั้นดีพร้อม
พระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้าไม่มีข้อผิดพลาด
พระองค์ทรงเป็นโล่
สำหรับทุกคนที่เข้าลี้ภัยในพระองค์
31 ใครเล่าเป็นพระเจ้า นอกจากพระยาห์เวห์?
ผู้ใดเล่าคือพระศิลา เว้นแต่พระเจ้าของเรา?
32 พระเจ้านี่แหละ ทรงเป็นผู้ประทานกำลังแก่ข้าพเจ้า
ทรงกระทำให้หนทางของข้าพเจ้าดีพร้อม
33 พระองค์ทรงกระทำให้เท้าของข้าพเจ้าเป็นเหมือนเท้ากวาง
ทรงทำให้ข้าพเจ้ายืนอยู่บนที่สูงได้
34 พระองค์ทรงฝึกมือของข้าพเจ้าให้พร้อมรบ
แขนของข้าพเจ้าจึงสามารถโก่งคันธนูทองสัมฤทธิ์ได้
35 พระองค์ประทานโล่แห่งชัยชนะของพระองค์แก่ข้าพระองค์
และทรงค้ำชูข้าพระองค์ไว้ด้วยพระหัตถ์ขวา
พระองค์ทรงน้อมพระองค์ลงเพื่อกระทำให้ข้าพระองค์ยิ่งใหญ่
36 พระองค์ทรงกระทำให้ทางที่ข้าพระองค์เดินนั้นกว้างขวาง
เพื่อข้าพระองค์จะไม่พลาดล้ม[d]

37 ข้าพระองค์รุกไล่ศัตรูจนทัน
ข้าพระองค์ไม่ได้หันหลังกลับจนกระทั่งพวกเขาถูกทำลาย
38 ข้าพระองค์บดขยี้จนพวกเขาไม่อาจลุกขึ้นมาได้อีก
พวกเขาสยบอยู่ใต้เท้าของข้าพระองค์
39 พระองค์ประทานกำลังให้ข้าพระองค์แข็งแกร่งพร้อมรบ
ทรงกระทำให้บรรดาปฏิปักษ์ของข้าพระองค์หมอบแทบเท้าข้าพระองค์
40 พระองค์ทรงกระทำให้ศัตรูของข้าพระองค์ถอยหนีไป
ข้าพระองค์ทำลายล้างปฏิปักษ์ของข้าพระองค์
41 พวกเขาร้องขอความช่วยเหลือ แต่ไม่มีใครช่วย
เขาร้องทูลต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า แต่พระองค์ไม่ทรงตอบ
42 ข้าพระองค์จึงบดขยี้พวกเขาแหลกละเอียดเป็นผงธุลีฟุ้งไปในสายลม
ข้าพระองค์เหยียบย่ำพวกเขาเหมือนเหยียบโคลนตามถนน
43 พระองค์ทรงช่วยข้าพระองค์จากการโจมตีของฝูงชน
ทรงตั้งข้าพระองค์ให้เป็นประมุขของประชาชาติทั้งหลาย
ผู้คนที่ข้าพระองค์ไม่รู้จักก็มาสวามิภักดิ์ต่อข้าพระองค์
44 ทันทีที่ได้ยินถึงข้าพระองค์ พวกเขาก็เชื่อฟังข้าพระองค์
คนต่างชาติมาสยบต่อข้าพระองค์
45 พวกเขาล้วนเสียขวัญ
ต่างก็ตัวสั่นออกมาจากที่มั่น

46 องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพระชนม์อยู่! ขอถวายสรรเสริญแด่พระศิลาของข้าพระองค์!
ขอพระเจ้า พระผู้ช่วยให้รอดของข้าพระองค์ทรงเป็นที่ยกย่องเทิดทูน!
47 พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงแก้แค้นให้ข้าพเจ้า
ผู้ทรงกระทำให้ประชาชาติต่างๆ ยอมสยบต่อข้าพเจ้า
48 ผู้ทรงช่วยข้าพเจ้าให้รอดพ้นจากเหล่าศัตรู
พระองค์ทรงเชิดชูข้าพเจ้าไว้เหนือข้าศึกทั้งหลาย
ทรงกอบกู้ข้าพเจ้าจากหมู่คนอำมหิต
49 ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า เพราะเหตุนี้ข้าพระองค์จะสรรเสริญพระองค์ในหมู่ประชาชาติทั้งหลาย
จะร้องเพลงสรรเสริญพระนามของพระองค์

50 พระองค์ประทานชัยชนะยิ่งใหญ่แก่กษัตริย์ที่ทรงเลือกสรรไว้
ทรงสำแดงความกรุณาอย่างไม่หยุดยั้งต่อผู้ที่พระองค์ทรงเจิมตั้งไว้
คือดาวิดและวงศ์วานของเขาสืบไปเป็นนิตย์

Thai New Contemporary Bible (TNCV)

Thai New Contemporary Bible Copyright © 1999, 2001, 2007 by Biblica, Inc.® Used by permission. All rights reserved worldwide.