Previous Prev Day Next DayNext

Chronological

Read the Bible in the chronological order in which its stories and events occurred.
Duration: 365 days
Thai New Contemporary Bible (TNCV)
Version
ฮีบรู 1-6

พระบุตรทรงยิ่งใหญ่เหนือเหล่าทูตสวรรค์

ในอดีตพระเจ้าตรัสกับบรรพบุรุษของเราผ่านทางผู้เผยพระวจนะหลายครั้งหลายคราด้วยวิธีการต่างๆ แต่ในวาระสุดท้ายนี้พระองค์ได้ตรัสกับเราทั้งหลายโดยพระบุตรของพระองค์ ผู้ที่พระองค์ได้แต่งตั้งให้เป็นทายาทครอบครองทุกสิ่งและได้ทรงสร้างจักรวาลโดยพระบุตรนี้ พระบุตรคือรัศมีเจิดจ้าแห่งพระเกียรติสิริของพระเจ้า ทรงเป็นเหมือนพระเจ้าทุกประการ และทรงผดุงสรรพสิ่งไว้ด้วยพระดำรัสอันทรงฤทธานุภาพของพระองค์ ด้วยเหตุนี้หลังจากที่ได้ทรงชำระบาปแล้ว พระองค์จึงได้ประทับลงที่เบื้องขวาขององค์ผู้ทรงบารมีในสวรรค์ ฉะนั้นพระองค์จึงทรงยิ่งใหญ่เหนือเหล่าทูตสวรรค์ เพราะพระนามที่พระองค์ได้รับสูงส่งกว่านามของเหล่าทูตสวรรค์

เพราะพระเจ้าเคยตรัสกับทูตสวรรค์องค์ไหนอย่างนี้บ้าง? ที่ว่า

“เจ้าเป็นบุตรของเรา
วันนี้เราได้เป็นบิดาของเจ้า[a][b]

และตรัสว่า

“เราจะเป็นบิดาของเขา
และเขาจะเป็นบุตรของเรา”[c]

และอีกครั้งเมื่อพระเจ้าทรงนำบุตรหัวปีของพระองค์เข้ามาในโลก พระองค์ตรัสว่า

“ให้ทูตสวรรค์ทั้งสิ้นของพระเจ้านมัสการเขา”[d]

พระองค์ตรัสถึงเหล่าทูตสวรรค์ว่า

“พระองค์ทรงทำให้ทูตสวรรค์ของพระองค์เป็นสายลม
ให้ผู้รับใช้ของพระองค์เป็นเปลวไฟ”[e]

แต่ส่วนพระบุตรนั้น พระองค์ตรัสว่า

“ข้าแต่พระเจ้า ราชบัลลังก์ของพระองค์จะดำรงนิจนิรันดร์
พระองค์จะทรงปกครองราชอาณาจักรของพระองค์ด้วยคทาแห่งความชอบธรรม
พระองค์ทรงรักความชอบธรรมและทรงเกลียดชังความชั่ว
ฉะนั้นพระเจ้าผู้ทรงเป็นพระเจ้าของพระองค์จึงทรงตั้งพระองค์ไว้เหนือพระสหายทั้งปวง
โดยทรงเจิมพระองค์ด้วยน้ำมันแห่งความชื่นชมยินดี”[f]

10 และพระองค์ตรัสด้วยว่า

“ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ในปฐมกาลพระองค์ทรงวางฐานรากของแผ่นดินโลก
และฟ้าสวรรค์เป็นพระหัตถกิจของพระองค์
11 สิ่งเหล่านั้นจะพินาศไป แต่พระองค์ทรงดำรงอยู่
สิ่งเหล่านั้นทั้งหมดจะเก่าไปเหมือนเครื่องนุ่งห่ม
12 พระองค์จะทรงม้วนสิ่งเหล่านั้นขึ้นเหมือนเสื้อคลุม
สิ่งเหล่านั้นจะถูกเปลี่ยนไปเหมือนเสื้อผ้า
แต่พระองค์เองยังคงเดิม
และปีเดือนของพระองค์จะไม่สิ้นสุด”[g]

13 มีทูตสวรรค์องค์ไหนบ้างที่พระเจ้าตรัสว่า

“จงนั่งที่ขวามือของเรา
จนกว่าเราจะทำให้ศัตรูของเจ้า
เป็นแท่นวางเท้าของเจ้า”[h]?

14 ทูตสวรรค์ทั้งปวงคือวิญญาณผู้ปรนนิบัติซึ่งพระเจ้าทรงส่งไปรับใช้บรรดาผู้ที่จะได้รับความรอดเป็นมรดกไม่ใช่หรือ?

การตักเตือนให้เอาใจใส่

เหตุฉะนั้นเราต้องเอาใจใส่สิ่งที่เราได้ยินได้ฟังให้มากยิ่งขึ้นเพื่อเราจะไม่เตลิดไป เพราะในเมื่อข้อความที่พระเจ้าตรัสผ่านทูตสวรรค์ยังผูกมัด และการละเมิดกับการไม่เชื่อฟังทุกอย่างยังได้รับการลงโทษอย่างยุติธรรม แล้วเราจะรอดพ้นไปได้อย่างไรหากเราละเลยความรอดอันยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้? แรกสุดองค์พระผู้เป็นเจ้าเองทรงประกาศความรอดนี้ และบรรดาผู้ได้ยินจากพระองค์ได้ยืนยันแก่เราทั้งหลาย พระเจ้าเองก็ทรงรับรองด้วยหมายสำคัญ การอัศจรรย์ และปาฏิหาริย์ต่างๆ และของประทานแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ซึ่งโปรดประทานตามพระประสงค์ของพระองค์

ทรงทำให้พระเยซูเหมือนกับพี่น้องของพระองค์

พระองค์ไม่ได้ทรงให้ทูตสวรรค์ปกครองดูแลโลกในอนาคตที่เรากำลังกล่าวถึง แต่มีผู้กล่าวยืนยันไว้ตอนหนึ่งว่า

“มนุษย์เป็นใครหนอ พระองค์จึงทรงพะวงถึง?
บุตรของมนุษย์เป็นผู้ใด พระองค์จึงทรงห่วงใยดูแล?
พระองค์ทรงสร้างเขาให้ต่ำกว่าทูตสวรรค์เพียงเล็กน้อย[i]
พระองค์ทรงสวมมงกุฎแห่งศักดิ์ศรีและเกียรติให้แก่เขา
และทรงทำให้ทุกสิ่งอยู่ใต้เท้าของเขา”[j]

ในการทำให้ทุกสิ่งอยู่ใต้อำนาจของเขานั้น พระเจ้าไม่ให้มีสิ่งใดเลยที่ไม่อยู่ใต้อำนาจของเขา แต่ในขณะนี้เรายังไม่เห็นว่าทุกสิ่งอยู่ใต้อำนาจของเขา แต่เราเห็นพระเยซูผู้ทรงถูกทำให้ต่ำกว่าทูตสวรรค์เพียงเล็กน้อยบัดนี้ได้ทรงมงกุฎแห่งศักดิ์ศรีและเกียรติแล้ว เพราะพระองค์ได้ทรงทนทุกข์ทรมานจนถึงสิ้นพระชนม์ เพื่อว่าโดยพระคุณของพระเจ้าพระองค์จะได้ทรงลิ้มรสความตายเพื่อทุกคน

10 ในการนำบุตรมากมายมาสู่พระเกียรติสิริ เป็นการเหมาะสมแล้วที่พระเจ้าผู้ซึ่งสรรพสิ่งมีอยู่เพื่อพระองค์และโดยทางพระองค์จะทรงทำให้ผู้ลิขิตความรอดของเขาทั้งหลายนั้นสมบูรณ์พร้อมโดยการทนทุกข์ 11 ทั้งพระองค์ผู้ที่ทำให้มนุษย์ทั้งหลายบริสุทธิ์กับบรรดาผู้ที่ทรงทำให้บริสุทธิ์นั้นเป็นครอบครัวเดียวกัน ฉะนั้นพระเยซูจึงไม่ทรงละอายที่จะเรียกเขาเหล่านั้นว่าพี่น้อง 12 พระองค์ตรัสว่า

“ข้าพระองค์จะประกาศพระนามพระองค์แก่พี่น้องทั้งหลายของข้าพระองค์
จะร้องสรรเสริญพระองค์ต่อหน้าที่ประชุม”[k]

13 และตรัสอีกว่า

“ข้าพเจ้าจะไว้วางใจในพระองค์”[l]

และพระองค์ตรัสอีกว่า

“ข้าพเจ้าและบุตรทั้งหลายที่พระเจ้าประทานแก่ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่แล้ว”[m]

14 ในเมื่อบุตรทั้งหลายมีเลือดและเนื้อ พระองค์จึงทรงร่วมในความเป็นมนุษย์ของพวกเขา เพื่อว่าโดยการสิ้นพระชนม์พระองค์จะได้ทรงทำลายผู้กุมอำนาจแห่งความตายคือมาร 15 และปลดปล่อยบรรดาผู้ซึ่งตลอดชั่วชีวิตตกเป็นทาสเนื่องจากกลัว ความตาย 16 เพราะแน่นอนว่าพระองค์ไม่ได้ทรงช่วยทูตสวรรค์ แต่ทรงช่วยวงศ์วานของอับราฮัม 17 ด้วยเหตุนี้เองพระองค์จึงต้องเป็นเหมือนกับพี่น้องของพระองค์ทุกอย่าง เพื่อจะได้ทรงเป็นมหาปุโรหิตผู้เปี่ยมด้วยความเมตตาและความสัตย์ซื่อในการรับใช้พระเจ้าและเพื่อจะได้ทรงลบมลทินบาปของปวงประชากร[n] 18 เพราะพระองค์เองทรงทนทุกข์เมื่อได้ทรงถูกลองใจ พระองค์จึงทรงสามารถช่วยบรรดาผู้ที่กำลังถูกลองใจได้

พระเยซูทรงยิ่งใหญ่กว่าโมเสส

ฉะนั้นพี่น้องทั้งหลายผู้เป็นประชากรของพระเจ้า ผู้ร่วมในการทรงเรียกจากสวรรค์ จงให้ความคิดจดจ่อที่พระเยซูองค์อัครทูตและมหาปุโรหิตซึ่งเรารับเชื่อ พระองค์ทรงสัตย์ซื่อต่อพระเจ้าผู้ทรงแต่งตั้งพระองค์เช่นเดียวกับที่โมเสสสัตย์ซื่อในทุกเรื่องเกี่ยวกับบ้านของพระเจ้า เป็นที่ประจักษ์แล้วว่าพระเยซูทรงสมควรได้รับเกียรติยิ่งกว่าโมเสส เหมือนกับที่ผู้สร้างบ้านทรงเกียรติยิ่งกว่าตัวบ้านเอง เพราะทุกบ้านย่อมมีผู้สร้างและพระเจ้าทรงเป็นผู้สร้างสรรพสิ่ง โมเสสสัตย์ซื่อในฐานะผู้รับใช้ในทุกเรื่องเกี่ยวกับบ้านของพระเจ้า เป็นพยานถึงสิ่งที่จะตรัสในภายหน้า ส่วนพระคริสต์ทรงสัตย์ซื่อในฐานะพระบุตรผู้ทรงครอบครองบ้านของพระเจ้า และเราทั้งหลายก็คือบ้านของพระองค์ หากเรายืนหยัดในความกล้าหาญและความหวังซึ่งเราอวดนั้น

การตักเตือนเรื่องความไม่เชื่อ

ฉะนั้นตามที่พระวิญญาณตรัสไว้ว่า

“วันนี้หากท่านได้ยินพระสุรเสียงของพระองค์
อย่าทำใจแข็งกระด้าง
เหมือนเมื่อครั้งกบฏ
ในช่วงการลองดีในถิ่นกันดาร
ที่ซึ่งบรรพบุรุษของพวกเจ้าได้ลองดีและทดลองเรา
และได้เห็นสิ่งที่เรากระทำตลอดสี่สิบปี
10 ด้วยเหตุนี้เราจึงโกรธคนในชั่วอายุนั้น
และเรากล่าวว่า ‘ใจของเขาหลงเตลิดอยู่เสมอ
และพวกเขาไม่รู้จักวิถีทางของเรา’
11 ดังนั้นเราจึงสาบานด้วยความโกรธของเราว่า
‘พวกเขาจะไม่มีวันได้เข้าสู่การพักสงบของเรา’ ”[o]

12 พี่น้องทั้งหลายจงระวังให้ดี เพื่อจะไม่มีสักคนในพวกท่านมีใจบาปชั่ว ไม่ยอมเชื่อแล้วหันเหไปจากพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ 13 จงให้กำลังใจกันและกันทุกวันตราบเท่าที่ยังเรียกว่า “วันนี้” เพื่อจะไม่มีใครในพวกท่านดื้อด้านไปเพราะกลลวงของบาป 14 เราได้มามีส่วนร่วมในพระคริสต์ หากเราแน่วแน่ในความเชื่อมั่นที่เรามีตั้งแต่แรกนั้นจนถึงที่สุด 15 ตามที่ได้กล่าวมาแล้วว่า

“วันนี้หากท่านได้ยินพระสุรเสียงของพระองค์
อย่าทำใจแข็งกระด้างเหมือนเมื่อครั้งกบฏ”[p]

16 ใครคือผู้ที่ได้ยินแล้วยังกบฏ? ก็คือคนทั้งปวงที่โมเสสพาออกมาจากอียิปต์ไม่ใช่หรือ? 17 ใครเล่าที่พระองค์ทรงพระพิโรธตลอดสี่สิบปี? ก็คือบรรดาผู้ที่ทำบาปซึ่งได้ทิ้งร่างของตนอยู่ในถิ่นกันดารไม่ใช่หรือ? 18 และใครกันเล่าที่พระเจ้าทรงปฏิญาณว่าเขาจะไม่มีวันได้เข้าสู่การพักสงบของพระองค์ถ้าไม่ใช่บรรดาคนที่ไม่เชื่อฟัง[q]? 19 ดังนั้นเราจึงเห็นได้ว่าเขาเหล่านั้นไม่สามารถเข้าไปก็เพราะพวกเขาไม่เชื่อ

สะบาโตแห่งการพักสงบสำหรับประชากรของพระเจ้า

เพราะฉะนั้นในเมื่อพระสัญญาว่าด้วยการเข้าสู่การพักสงบของพระองค์นั้นยังคงอยู่ ก็ให้เราทั้งหลายระวังไม่ให้สักคนในพวกท่านพลาดจากการพักสงบนี้ เพราะเราทั้งหลายได้รับข่าวประเสริฐเช่นเดียวกับคนเหล่านั้น แต่ข้อความที่ได้ยินนั้นไม่เป็นประโยชน์แก่เขา เพราะคนเหล่านั้นที่ได้ยินไม่ได้เชื่อสิ่งที่พระเจ้าตรัสกับเขา[r] บัดนี้เราผู้ที่เชื่อก็ได้เข้าสู่การพักสงบตามที่พระเจ้าได้ตรัสไว้ว่า

“ดังนั้นเราจึงสาบานด้วยความโกรธของเราว่า
‘พวกเขาจะไม่มีวันได้เข้าสู่การพักสงบของเรา’ ”[s]

แม้ว่างานของพระองค์เสร็จแล้วตั้งแต่การทรงสร้างโลก เพราะมีตอนหนึ่งที่พระองค์ได้ตรัสถึงวันที่เจ็ดว่า “ในวันที่เจ็ดพระเจ้าทรงหยุดพักจากพระราชกิจทั้งปวงของพระองค์”[t] และอีกครั้งหนึ่งในข้อความข้างต้น พระองค์ตรัสว่า “พวกเขาจะไม่มีวันได้เข้าสู่การพักสงบของเรา”

และก็ยังคงเป็นเช่นนี้คือบางคนจะได้เข้าสู่การพักสงบ และบรรดาผู้ที่เคยได้ยินข่าวประเสริฐในครั้งก่อนนั้นไม่ได้เข้าก็เพราะพวกเขาไม่เชื่อฟัง ฉะนั้นพระเจ้าได้ทรงกำหนดวันหนึ่งขึ้นมาอีกครั้ง คือวันที่เรียกว่า “วันนี้” หลังจากนั้นอีกช้านานพระองค์ได้ตรัสเรื่องนี้ผ่านทางดาวิดเหมือนที่ได้ตรัสไว้ก่อนแล้วว่า

“วันนี้หากท่านได้ยินพระสุรเสียงของพระองค์
อย่าทำใจแข็งกระด้าง”[u]

เพราะถ้าโยชูวาได้ให้พวกเขาเข้าสู่การพักสงบ พระเจ้าก็คงไม่ต้องตรัสถึงอีกวันหนึ่งในภายหลัง สะบาโตแห่งการพักสงบสำหรับประชากรของพระเจ้าจึงยังคงอยู่ 10 เพราะว่าผู้ที่ได้เข้าสู่การพักสงบของพระเจ้าย่อมได้หยุดพักจากงานของตน เช่นเดียวกับที่พระเจ้าทรงหยุดพักจากพระราชกิจของพระองค์ 11 ฉะนั้นให้เราขวนขวายทุกวิถีทางที่จะได้เข้าสู่การพักสงบนั้น เพื่อจะไม่มีใครพลาดไปทำตามอย่างการไม่เชื่อฟังของพวกเขา

12 เพราะว่าพระดำรัสของพระเจ้านั้นมีชีวิตและทรงอานุภาพ คมยิ่งกว่าดาบสองคมใดๆ แทงทะลุแม้กระทั่งจิตและวิญญาณ ข้อต่อและไขกระดูก วินิจฉัยความคิดและท่าทีในใจ 13 ไม่มีสิ่งใดที่ทรงสร้างไว้จะซ่อนเร้นจากสายพระเนตรของพระเจ้าได้ ทุกสิ่งถูกเปิดเผยและถูกตีแผ่ต่อพระเนตรของพระองค์ผู้ซึ่งเราทั้งหลายต้องกราบทูลรายงาน

พระเยซูมหาปุโรหิตผู้ยิ่งใหญ่

14 เหตุฉะนั้นในเมื่อเรามีมหาปุโรหิตผู้ยิ่งใหญ่ผู้ทรงผ่านฟ้าสวรรค์[v]แล้วคือพระเยซูพระบุตรของพระเจ้า ก็ให้เรายึดมั่นในความเชื่อที่เราได้ประกาศรับไว้ 15 เพราะเราไม่ได้มีมหาปุโรหิตซึ่งไม่อาจเห็นใจในความอ่อนแอต่างๆ ของเรา แต่ทรงถูกลองใจเช่นเดียวกับเราทุกประการ กระนั้นก็ทรงปราศจากบาป 16 ฉะนั้นขอให้เราเข้ามาใกล้พระบัลลังก์แห่งพระคุณด้วยความมั่นใจ เพื่อเราจะได้รับพระเมตตาและจะพบพระคุณที่จะช่วยเหลือเราเมื่อถึงคราวจำเป็น

มหาปุโรหิตทุกคนถูกเลือกจากมนุษย์ และได้รับการแต่งตั้งให้ทำหน้าที่แทนมนุษย์ในสิ่งสารพัดที่เกี่ยวกับพระเจ้า คือการถวายเครื่องบูชาและของถวายสำหรับการทรงอภัยโทษบาป มหาปุโรหิตสามารถปฏิบัติต่อผู้ที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์และกำลังหลงผิดไปนั้นอย่างเห็นอกเห็นใจเพราะเขาเองก็ตกอยู่ในความอ่อนแอ ด้วยเหตุนี้มหาปุโรหิตจึงต้องถวายเครื่องบูชาสำหรับบาปของตนเองเช่นเดียวกับบาปของประชาชน

ไม่มีใครเอาตำแหน่งอันมีเกียรตินี้มาเป็นของตนเองได้ เขาต้องเป็นผู้ที่ได้รับการทรงเรียกจากพระเจ้าเหมือนที่อาโรนได้รับ ดังนั้นพระคริสต์ก็เช่นกัน พระองค์ไม่ได้ทรงยกพระองค์เองขึ้นรับพระเกียรติสิริแห่งการเป็นมหาปุโรหิต แต่พระเจ้าตรัสกับพระองค์ว่า

“เจ้าเป็นบุตรของเรา
วันนี้เราได้เป็นบิดาของเจ้า[w][x]

และพระองค์ตรัสไว้ในอีกตอนหนึ่งว่า

“เจ้าเป็นปุโรหิตชั่วนิรันดร์
ตามแบบของเมลคีเซเดค”[y]

ในระหว่างที่พระเยซูทรงอยู่ในโลก พระองค์ได้ถวายคำอธิษฐานและคำร้องทูลอ้อนวอนด้วยเสียงอันดังและด้วยน้ำตาไหลต่อพระเจ้าผู้ทรงสามารถช่วยพระองค์จากความตาย และพระเจ้าทรงสดับเพราะพระเยซูทรงยอมเชื่อฟังพระเจ้าด้วยความยำเกรง แม้ทรงเป็นพระบุตร พระองค์ก็ทรงเรียนรู้ที่จะเชื่อฟังจากความทุกข์ยากที่พระองค์เผชิญ และเมื่อพระเจ้าทรงทำให้พระเยซูเพียบพร้อมสมบูรณ์แล้ว พระองค์จึงทรงเป็นแหล่งความรอดนิรันดร์สำหรับคนทั้งปวงที่เชื่อฟังพระองค์ 10 และพระเจ้าทรงแต่งตั้งพระองค์เป็นมหาปุโรหิตตามแบบของเมลคีเซเดค

คำเตือนไม่ให้หลงไป

11 ยังมีอีกมากที่เราจะกล่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ยากที่จะอธิบายเพราะท่านได้กลายเป็นคนเฉื่อยช้าในการเรียนรู้ 12 อันที่จริงแม้ขณะนี้ท่านน่าจะเป็นครูได้แล้ว แต่ท่านยังต้องให้คนมาสอนหลักความจริงเบื้องต้นของพระวจนะของพระเจ้าซ้ำอีก ท่านยังต้องการนม ไม่ใช่อาหารแข็ง! 13 ใครที่ยังกินนมก็ยังเป็นทารก ไม่คุ้นกับคำสอนเรื่องความชอบธรรม 14 แต่อาหารแข็งนั้นสำหรับผู้ใหญ่ผู้ได้ฝึกฝนตนเองที่จะแยกแยะดีชั่วโดยการปฏิบัติอยู่เสมอ

เพราะฉะนั้นให้เราผ่านหลักคำสอนเบื้องต้นเกี่ยวกับพระคริสต์และเดินหน้าสู่ความเป็นผู้ใหญ่ อย่าให้เราต้องวางพื้นฐานซ้ำอีกในเรื่องการกลับใจจากการกระทำอันนำไปสู่ความตาย[z]และเรื่องความเชื่อในพระเจ้า คำสอนเรื่องบัพติศมา เรื่องการวางมือ เรื่องการเป็นขึ้นจากตาย และเรื่องการพิพากษาลงโทษนิรันดร์ และถ้าพระเจ้าทรงอนุญาตเราก็จะเดินหน้าต่อไป

สำหรับผู้ที่เคยเห็นแจ่มแจ้งมาแล้ว ผู้ที่เคยลิ้มรสของประทานจากสวรรค์ ผู้ที่เคยมีส่วนร่วมในพระวิญญาณบริสุทธิ์ ผู้ที่เคยลิ้มรสความเยี่ยมยอดของพระวจนะของพระเจ้าและอานุภาพของยุคหน้า หากยังเตลิดไปก็สุดวิสัยที่จะนำเขามาสู่การกลับใจได้อีก เพราะ[aa]การหลงไปของเขาได้ตรึงพระบุตรของพระเจ้าบนไม้กางเขนซ้ำอีกครั้งและทำให้พระองค์อับอายต่อหน้าธารกำนัล

ผืนแผ่นดินซึ่งได้รับฝนชุ่มฉ่ำเสมอและให้พืชผลอันเป็นประโยชน์แก่ผู้เพาะปลูกนั้นก็ได้รับพระพรจากพระเจ้า แต่ผืนแผ่นดินที่เกิดหนามเล็กหนามใหญ่ก็ไร้ค่าและตกอยู่ในอันตรายจากการถูกสาปแช่ง ในที่สุดก็จะถูกเผาทิ้ง

เพื่อนที่รัก แม้เราจะพูดเช่นนี้ เราก็มั่นใจว่าในกรณีของท่านยังมีสิ่งที่ดีกว่า คือสิ่งต่างๆ ที่มาพร้อมกับความรอด 10 พระเจ้าทรงยุติธรรม พระองค์จะไม่ทรงลืมการงานที่ท่านทำและความรักที่ท่านแสดงให้พระองค์เห็น คือการที่ท่านช่วยเหลือประชากรของพระองค์และยังช่วยพวกเขาต่อไป 11 เราปรารถนาให้ท่านแต่ละคนสำแดงความพากเพียรนี้จนถึงที่สุดเพื่อให้แน่ใจว่าสิ่งที่ท่านหวังไว้จะเป็นจริง 12 เราไม่อยากให้ท่านกลายเป็นคนเกียจคร้าน แต่ให้เลียนแบบคนเหล่านั้นซึ่งได้รับมรดกตามพระสัญญาโดยอาศัยความเชื่อและความอดทน

พระสัญญาของพระเจ้านั้นแน่นอน

13 เมื่อครั้งพระเจ้าทรงสัญญากับอับราฮัม เนื่องจากไม่มีใครยิ่งใหญ่กว่าที่พระองค์จะทรงอ้างถึงในคำสาบาน พระองค์จึงทรงสาบานโดยอ้างพระองค์เอง 14 โดยตรัสว่า “เราจะอวยพรเจ้าแน่นอนและจะให้เจ้ามีลูกหลานมากมาย”[ab] 15 ดังนั้นหลังจากอดทนรอคอยอับราฮัมจึงได้รับตามที่ทรงสัญญาไว้

16 มนุษย์นั้นสาบานโดยอ้างผู้ที่ยิ่งใหญ่กว่าตน คำสาบานยืนยันสิ่งที่กล่าวและทำให้การโต้เถียงทั้งสิ้นจบลง 17 เนื่องจากพระเจ้าทรงประสงค์จะให้บรรดาทายาทผู้จะได้รับสิ่งที่ทรงสัญญาไว้รู้อย่างชัดเจนว่าความมุ่งหมายของพระองค์นั้นไม่เปลี่ยนแปลง พระองค์จึงทรงยืนยันพระสัญญานั้นด้วยคำสาบาน 18 พระเจ้าทรงกระทำเช่นนี้เพื่อว่าเราผู้ได้หนีมายึดความหวังซึ่งทรงหยิบยื่นให้ จะได้รับกำลังใจอย่างใหญ่หลวงโดยสองสิ่งนี้ที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลง เพราะเป็นไปไม่ได้ที่พระเจ้าจะตรัสมุสา 19 เรามีความหวังนี้เป็นสมออันมั่นคงและแน่นอนของจิตใจ ความหวังนี้เข้าสู่อภิสุทธิสถานหลังม่านนั้น 20 ที่ซึ่งพระเยซูผู้ได้เสด็จนำหน้าเราทรงเข้าไปก่อนแล้วเพื่อเรา พระองค์จึงได้เป็นมหาปุโรหิตชั่วนิรันดร์ตามแบบของเมลคีเซเดค

Thai New Contemporary Bible (TNCV)

Thai New Contemporary Bible Copyright © 1999, 2001, 2007 by Biblica, Inc.® Used by permission. All rights reserved worldwide.