Chronological
4 องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า
“อิสราเอลเอ๋ย หากเจ้าจะหันกลับมา
หากเจ้าจะกลับมาหาเรา
หากเจ้ากำจัดเทวรูปอันน่าชิงชังออกไปให้พ้นหน้าเรา
และไม่หลงเตลิดอีกต่อไป
2 และหากเจ้าจะปฏิญาณโดยกล่าวอ้างว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด’
ด้วยความจริง ความยุติธรรม และความชอบธรรม
ประชาชาติทั้งหลายก็จะได้รับพรจากเรา
และพวกเขาจะสรรเสริญเทิดทูนเรา”
3 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับชาวยูดาห์และชาวเยรูซาเล็มว่า
“จงไถพรวนดินแข็งแห่งจิตใจของเจ้า
และอย่าหว่านเมล็ดพืชลงกลางดงหนาม
4 ชนยูดาห์ ชาวเยรูซาเล็มเอ๋ย
จงทำสุหนัตให้ตัวเองถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า
จงทำสุหนัตที่ใจของพวกเจ้า
มิฉะนั้นโทสะของเราจะระเบิดออกและแผดเผาดั่งไฟ
เผาผลาญโดยไม่มีใครดับได้
เนื่องจากความชั่วร้ายที่พวกเจ้าได้ทำ
ภัยพิบัติจากทิศเหนือ
5 “จงป่าวประกาศในยูดาห์และป่าวร้องในเยรูซาเล็มว่า
‘จงเป่าแตรทั่วแผ่นดิน!’
จงป่าวร้องเสียงดังว่า
‘มารวมตัวกัน!
ให้เราหนีไปยังเมืองป้อมปราการต่างๆ โดยเร็ว!’
6 จงส่งสัญญาณให้ไปศิโยน!
อย่าชักช้า! จงรีบหนีเอาชีวิตรอด
เพราะเรากำลังนำภัยพิบัติมาจากทางเหนือ
เป็นหายนะร้ายแรง”
7 ราชสีห์ตัวหนึ่งได้ออกมาจากถ้ำ
ผู้ที่จะทำลายบรรดาประชาชาติได้ออกมาแล้ว
เขาออกมาจากที่พักของตน
เพื่อทำให้แผ่นดินของเจ้าถูกทิ้งร้าง
เมืองต่างๆ ของเจ้าจะกลายเป็นซากปรักหักพัง
ปราศจากผู้อยู่อาศัย
8 ฉะนั้นจงสวมเสื้อผ้ากระสอบ
จงร้องไห้คร่ำครวญ
เพราะพระพิโรธอันรุนแรงขององค์พระผู้เป็นเจ้า
ยังไม่หันเหจากเรา
9 องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า “ในวันนั้น
กษัตริย์และบรรดาข้าราชการจะเสียขวัญกำลังใจ
ปุโรหิตจะตกใจกลัว
และผู้เผยพระวจนะจะขนลุก”
10 แล้วข้าพเจ้ากราบทูลว่า “ข้าแต่พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิต พระองค์ทรงหลอกลวงเยรูซาเล็มและชนชาตินี้แน่แล้ว ก็ไหนพระองค์ตรัสว่า ‘เจ้าจะมีสันติสุข’ แต่นี่ดาบจ่อที่คอหอยข้าพระองค์ทั้งหลายแล้ว”
11 เมื่อถึงเวลานั้นจะมีผู้บอกชนชาตินี้และชาวเยรูซาเล็มว่า “ลมร้อนจากที่สูงอันเวิ้งว้างในทะเลทรายพัดมายังประชากรของเรา แต่ไม่ใช่เพื่อฝัดร่อนหรือชะล้าง 12 เราเป็นผู้ส่งลมกล้านั้นมา[a] บัดนี้เราประกาศคำพิพากษาลงโทษพวกเขา”
13 ดูสิ! บุคคลผู้นั้นบุกมาเหมือนเมฆ
รถม้าศึกของเขามาเหมือนพายุหมุน
ม้าศึกของเขาไวยิ่งกว่านกอินทรี
วิบัติแก่เรา! เราพินาศวอดวายแล้ว!
14 เยรูซาเล็มเอ๋ย จงชำระความชั่วร้ายออกจากจิตใจเพื่อจะได้รับความรอด
เจ้าจะบ่มความคิดชั่วไว้นานสักเท่าใด?
15 เสียงหนึ่งป่าวร้องออกมาจากดาน
ประกาศภัยพิบัติจากบรรดาเนินเขาของเอฟราอิม
16 “จงบอกเรื่องนี้แก่บรรดาประชาชาติ
ประกาศเรื่องนี้แก่เยรูซาเล็มว่า
‘กองทัพที่ล้อมเมืองกำลังมาจากแดนไกล
โห่ร้องออกศึกสู้กับเมืองต่างๆ ของยูดาห์
17 พวกเขาโอบล้อมเยรูซาเล็มเหมือนคนเฝ้านา
เพราะเยรูซาเล็มกบฏต่อเรา’ ”
องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น
18 “การกระทำและความประพฤติของเจ้าเอง
ได้ชักนำให้เหตุการณ์นี้เกิดแก่เจ้า
นี่คือโทษทัณฑ์ของเจ้า
มันช่างขมขื่นยิ่งนัก!
มันช่างเสียดแทงใจเสียจริง!”
19 โอย ทุกข์เหลือเกิน ทรมานเหลือเกิน!
ข้าพเจ้าทุรนทุรายด้วยความเจ็บปวด
โอย หัวใจของข้าพเจ้าร้าวราน!
หัวใจของข้าพเจ้าสะทกสะท้านอยู่ภายใน
ข้าพเจ้าไม่อาจสงบนิ่ง
เพราะข้าพเจ้าได้ยินเสียงแตร
ได้ยินเสียงโห่ร้องคะนองศึก
20 หายนะกระหน่ำเข้ามาติดๆ กัน
ทั้งแผ่นดินตกอยู่ในสภาพปรักหักพัง
เต็นท์ทั้งหลายของข้าพเจ้าถูกทำลายไปในชั่วพริบตา
เพียงแวบเดียว ที่พักพิงของข้าพเจ้าก็ย่อยยับไป
21 ข้าพเจ้าจะต้องทนดูธงรบ
และฟังเสียงแตรไปนานสักเท่าใดหนอ?
22 “ประชากรของเราโง่เขลา
พวกเขาไม่รู้จักเรา
พวกเขาเป็นเด็กเหลวไหล
ไม่มีความเข้าใจ
พวกเขาช่ำชองในการทำชั่ว
ทำดีไม่เป็นเลย”
23 ข้าพเจ้ามองดูที่แผ่นดินโลก
มันไม่มีรูปทรงและว่างเปล่า
มองดูที่ฟ้าสวรรค์
แสงสว่างลับไปเสียแล้ว
24 ข้าพเจ้ามองดูภูเขาทั้งหลาย
เห็นมันสั่นสะท้าน
เนินเขาทั้งหลายก็โคลงเคลง
25 ข้าพเจ้ามองดู ไม่มีผู้คนเลย
นกในท้องฟ้าบินลับหายไปหมด
26 ข้าพเจ้ามองดูและเห็นแผ่นดินอันอุดมสมบูรณ์กลายเป็นถิ่นกันดาร
เมืองทั้งหลายอยู่ในสภาพปรักหักพัง
ต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้าและต่อพระพิโรธอันรุนแรงของพระองค์
27 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้ว่า
“ทั้งแผ่นดินจะย่อยยับ
แม้เราจะไม่ทำลายจนหมดสิ้น
28 ฉะนั้นโลกจะคร่ำครวญ
และฟ้าสวรรค์เบื้องบนจะหม่นหมอง
เพราะเราได้ลั่นวาจาไว้ และจะไม่มีการผ่อนผัน
เราได้ตัดสินใจไว้แล้ว และจะไม่เปลี่ยนแปลง”
29 เมื่อได้ยินเสียงพลม้าและพลธนู
ชาวเมืองทุกแห่งหนีกระเจิดกระเจิง
บางคนเข้าไปในพุ่มไม้
บางคนปีนป่ายขึ้นไปตามหินผา
เมืองทุกเมืองถูกทิ้งร้าง
ไม่มีใครอยู่อาศัย
30 เจ้าผู้ถูกทำลาย เจ้ากำลังทำอะไรอยู่นั่น?
ทำไมจึงสวมเสื้อผ้าสีแดงเข้ม
และสวมเครื่องเพชรเครื่องทอง?
เจ้าแต่งแต้มทาตาไปทำไม?
ถึงแต่งตัวสวยก็เปล่าประโยชน์
คนรักของเจ้าเหยียดหยามเจ้า
พวกเขาหมายจะเอาชีวิตเจ้า
31 ข้าพเจ้าได้ยินเสียงร้องเหมือนเสียงผู้หญิงกำลังคลอดลูก
เหมือนเสียงครวญครางของผู้หญิงที่คลอดลูกท้องแรก
เป็นเสียงร้องของธิดาแห่งศิโยน[b]หอบหายใจเป็นห้วงๆ
เธอเหยียดแขนออกและพูดว่า
“อนิจจา ฉันจะเป็นลมแล้ว
ชีวิตฉันถูกมอบไว้ในมือของเหล่าฆาตกร”
ไม่มีใครเที่ยงธรรม
5 “จงวิ่งไปวิ่งมาตามถนนหนทางในกรุงเยรูซาเล็ม
จงมองไปรอบๆ และพิเคราะห์ดู
จงค้นหาตามลานเมืองต่างๆ
หากเจ้าหาพบแม้แต่คนเดียว
ที่ซื่อสัตย์และแสวงหาความจริง
เราก็จะยกโทษให้เมืองนี้
2 ถึงแม้พวกเขากล่าวว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด’
พวกเขาก็กำลังสาบานเท็จ”
3 ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเนตรของพระองค์มองหาความจริงไม่ใช่หรือ?
พระองค์ทรงเฆี่ยนพวกเขา แต่พวกเขาก็ไม่รู้จักเจ็บ
ทรงขยี้พวกเขา แต่พวกเขาก็ไม่ยอมปรับปรุงแก้ไข
พวกเขาทำหน้าด้านหน้าทนยิ่งกว่าหิน
และไม่ยอมกลับตัวกลับใจ
4 ข้าพเจ้าคิดว่า “คนเหล่านี้เป็นเพียงคนยากไร้
พวกเขาเป็นคนโง่เขลา
เพราะพวกเขาไม่รู้วิถีทางขององค์พระผู้เป็นเจ้า
ไม่รู้ข้อกำหนดของพระเจ้าของตน
5 ฉะนั้นข้าพเจ้าจะไปหาบรรดาผู้นำ
และจะพูดกับพวกเขา
คนเหล่านั้นย่อมรู้วิถีทางขององค์พระผู้เป็นเจ้า
รู้ข้อกำหนดของพระเจ้าของตนอย่างแน่นอน”
แต่คนเหล่านั้นก็พร้อมใจกันหักแอก
และทลายเครื่องพันธนาการต่างๆ ด้วยเหมือนกัน
6 ฉะนั้นสิงโตจากป่าจะมาเล่นงานพวกเขา
สุนัขป่าจากทะเลทรายจะเข้าขย้ำ
เสือดาวจะซุ่มอยู่ใกล้เมืองต่างๆ ของพวกเขา
คอยฉีกเนื้อคนที่ออกมานั้นเป็นชิ้นๆ
เพราะการทรยศของพวกเขาร้ายแรงนัก
และชอบหวนกลับไปทำบาป
7 “ควรหรือที่เราจะอภัยให้พวกเจ้า?
ลูกหลานของพวกเจ้าได้ละทิ้งเรา
และสาบานโดยอ้างพระต่างๆ ซึ่งไม่ใช่พระเจ้า
เราได้จัดหาทุกสิ่งที่จำเป็นให้พวกเขา
แต่พวกเขาก็ยังคบชู้
และแห่กันไปยังสำนักนางโลม
8 พวกเขาเป็นม้าหนุ่มกลัดมันที่ได้รับการเลี้ยงดูอย่างดี
ต่างกระสันหาภรรยาของเพื่อนบ้าน
9 จะไม่ให้เราลงโทษพวกเขาเพราะเรื่องนี้หรือ?”
องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น
“จะไม่ให้เราแก้แค้น
ชนชาติที่ประพฤติเยี่ยงนี้หรือ?
10 “จงไปตามแถวต่างๆ ของสวนองุ่นของเยรูซาเล็มและทำลายเสีย
แต่อย่าทำลายจนหมดสิ้น
จงตัดกิ่งต่างๆ จากเถาองุ่น
เพราะประชากรเหล่านี้ไม่ได้เป็นขององค์พระผู้เป็นเจ้า
11 พงศ์พันธุ์อิสราเอลและพงศ์พันธุ์ยูดาห์
ได้นอกใจเราจนถึงที่สุด”
องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น
12 พวกเขาโกหกเกี่ยวกับองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า
“พระองค์จะไม่ทรงทำอะไรหรอก!
จะไม่มีอันตรายใดๆ เกิดขึ้นกับเรา
เราจะไม่มีวันเห็นการฆ่าฟันหรือการกันดารอาหาร
13 บรรดาผู้เผยพระวจนะเป็นเพียงลม
ไม่มีพระวจนะในคนเหล่านั้น
ดังนั้นเขาพูดอะไรออกมาก็ขอให้ตกแก่ตัวเขาเอง”
14 ฉะนั้นพระยาห์เวห์พระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์ตรัสว่า
“เนื่องจากเหล่าประชากรได้พูดเช่นนี้
เราจะทำให้ถ้อยคำของเราในปากของเจ้านั้นเป็นไฟ
และให้ประชากรเหล่านี้เป็นฟืนที่ไฟนี้จะเผาผลาญ
15 โอ พงศ์พันธุ์อิสราเอล” องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนี้
“เรากำลังนำชนชาติหนึ่งจากแดนไกลมาสู้กับเจ้า
เป็นชนชาติโบราณที่ยืนหยัดมานาน
เป็นชนชาติที่เจ้าไม่รู้จักภาษาของเขา
ไม่เข้าใจคำพูดของเขา
16 แล่งธนูของเขาเป็นเหมือนหลุมศพที่เปิดกว้าง
คนของเขาล้วนแต่เป็นนักรบเกรียงไกร
17 พวกเขาจะกลืนกินพืชผลและอาหารของเจ้า
กลืนกินลูกชายลูกสาวของเจ้า
พวกเขาจะกลืนกินทั้งฝูงแพะแกะและฝูงสัตว์ของเจ้า
กลืนกินทั้งเถาองุ่นและต้นมะเดื่อ
พวกเขาจะใช้ดาบทำลายล้าง
เมืองป้อมปราการต่างๆ ที่เจ้าเชื่อว่าปลอดภัย”
18 องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า “แม้ถึงเวลานั้น เราก็จะไม่ทำลายพวกเจ้าให้สูญสิ้นไป 19 และเมื่อเหล่าประชากรถามว่า ‘ทำไมพระยาห์เวห์พระเจ้าของเราจึงทรงทำสิ่งทั้งหมดนี้กับเรา?’ เจ้าจะบอกพวกเขาว่า ‘พวกเจ้าได้ละทิ้งพระเจ้า และได้ปรนนิบัติบรรดาพระต่างชาติในแผ่นดินของเจ้าเองอย่างไร บัดนี้พวกเจ้าจะต้องไปปรนนิบัติชนต่างชาติในแผ่นดินซึ่งไม่ใช่ของพวกเจ้าอย่างนั้น’
20 “จงประกาศต่อพงศ์พันธุ์ของยาโคบ
และป่าวร้องในยูดาห์ว่า
21 ฟังนะ ประชากรผู้โง่เขลาและสิ้นคิด
ผู้ซึ่งมีตาแต่มองไม่เห็น
ผู้ซึ่งมีหูแต่ไม่ได้ยิน
22 เจ้าควรจะยำเกรงเราไม่ใช่หรือ?” องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนี้
“เจ้าควรจะสั่นสะท้านเมื่ออยู่ต่อหน้าเราไม่ใช่หรือ?
เราตั้งหาดทรายเป็นขอบเขตให้ทะเล
เป็นเครื่องกีดขวางนิรันดร์ซึ่งทะเลจะฝ่าข้ามไปไม่ได้
คลื่นอาจจะม้วนตัว แต่ก็เอาชนะไม่ได้
มันอาจจะร้องคำราม แต่ก็ล้ำเขตไปไม่ได้
23 แต่ชนชาตินี้มีใจดื้อด้านและชอบกบฏ
พวกเขาได้หันหนีเราไป
24 พวกเขาไม่รู้จักบอกตัวเองว่า
‘ให้เรายำเกรงพระยาห์เวห์พระเจ้าของเรา
ผู้ประทานฝนฤดูใบไม้ร่วงและฝนฤดูใบไม้ผลิให้ตกต้องตามฤดูกาล
ผู้ให้ความมั่นใจว่าเราจะได้เก็บเกี่ยวพืชผลตามฤดูอย่างแน่นอน’
25 เพราะพวกเจ้าทำผิด สิ่งเหล่านี้จึงสูญสิ้นไป
บาปทั้งหลายของเจ้าได้ทำให้เจ้าพลาดจากสิ่งดีๆ
26 “ในหมู่ประชากรของเรามีคนชั่วร้าย
ซึ่งหมอบคอยอยู่เหมือนคนที่วางบ่วงดักนก
และเหมือนคนที่วางกับดักจับคน
27 บ้านของพวกเขาเต็มไปด้วยการหลอกลวง
เหมือนกรงที่เต็มไปด้วยนก
พวกเขากลายเป็นคนมั่งมีและทรงอิทธิพล
28 ทั้งอ้วนพีและล่ำสัน
พวกเขาทำชั่วอย่างไร้ขีดจำกัด
ไม่ช่วยให้ลูกกำพร้าพ่อได้รับความยุติธรรมในคดีความ
ไม่ปกป้องสิทธิของผู้ยากไร้
29 จะไม่ให้เราลงโทษพวกเขาเพราะเรื่องนี้หรือ?”
องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น
“จะไม่ให้เราแก้แค้น
ชนชาติที่ประพฤติเยี่ยงนี้หรือ?
30 “สิ่งน่าสะพรึงกลัวและน่าตกใจ
ได้เกิดขึ้นในแผ่นดินนี้
31 คือบรรดาผู้เผยพระวจนะพยากรณ์เท็จ
เหล่าปุโรหิตปกครองโดยสิทธิอำนาจของตนเอง
และประชากรของเราก็รักวิถีแบบนี้
แต่พวกเจ้าจะทำอย่างไรในบั้นปลาย?
เยรูซาเล็มถูกล้อม
6 “วิ่งหนีเอาชีวิตรอดเถิด ชาวเบนยามินเอ๋ย!
จงหนีจากเยรูซาเล็ม!
จงเป่าแตรในเทโคอา!
ส่งสัญญาณขึ้นเหนือเบธฮัคเคเรม!
เพราะภัยพิบัติโผล่ขึ้นมาจากทางเหนือ
เป็นหายนะร้ายแรง
2 เราจะทำลายธิดาแห่งศิโยน[c]
ผู้งดงามและบอบบางเหลือเกิน
3 คนเลี้ยงแกะและฝูงสัตว์ของเขาจะมาต่อสู้เธอ
พวกเขาจะตั้งเต็นท์ล้อมเมือง
แต่ละคนเลี้ยงสัตว์ของเขา”
4 “จงเตรียมทำศึกกับศิโยน!
จงลุกขึ้น ให้เราบุกโจมตียามเที่ยงวัน!
แต่อนิจจา กลางวันคล้อยลงแล้ว
และร่มเงาของยามเย็นทอดยาว
5 ดังนั้นจงลุกขึ้น ให้เราโจมตีตอนกลางคืน
และทำลายป้อมปราการต่างๆ เสีย!”
6 พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ตรัสว่า
“จงโค่นต้นไม้
แล้วก่อเชิงเทินเพื่อสู้กับเยรูซาเล็ม
กรุงนี้ต้องถูกลงโทษ
เพราะเต็มไปด้วยการกดขี่ข่มเหง
7 ดั่งบ่อน้ำปล่อยน้ำไหลออกมา
กรุงนี้ก็ได้ปล่อยความชั่วร้ายออกมา
ความทารุณอำมหิตและการทำลายล้างดังกระหึ่มในเมืองนี้
ความเจ็บป่วยและบาดแผลของมันมีอยู่ต่อหน้าเราเสมอ
8 เยรูซาเล็มเอ๋ย จงรับการเตือน
มิฉะนั้นเราจะเบือนหน้าหนีจากเจ้า
และทำให้ดินแดนของเจ้าถูกทิ้งร้าง
จนไม่มีใครอยู่อาศัยได้”
9 พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ตรัสว่า
“แม้แต่ชนอิสราเอลที่เหลืออยู่เพียงหยิบมือก็ต้องถูกทำลายซ้ำ
เหมือนคนเก็บองุ่น
ตรวจดูองุ่นแต่ละเถา
เพื่อเก็บพวกที่คลาดสายตาไป”
10 จะให้ข้าพเจ้าพูดและเตือนใครได้?
ใครจะฟังข้าพเจ้า?
หูของพวกเขาถูกอุด[d]
พวกเขาจึงไม่ได้ยิน
พระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้าระคายหูของพวกเขา
พวกเขาจึงไม่อยากฟัง
11 แต่พระพิโรธขององค์พระผู้เป็นเจ้าก็สุมอยู่ที่ข้าพเจ้า
สุดที่ข้าพเจ้าจะอัดอั้นไว้
“จงระบายออกมาเหนือเด็กๆ ตามท้องถนน
เหนือกลุ่มคนหนุ่มที่มาชุมนุมกัน
ทั้งสามีและภรรยาก็ไม่เว้น
รวมถึงคนเฒ่าคนแก่ที่ร่วงโรยไป
12 บ้านเรือนของเขาจะตกเป็นของคนอื่น
พร้อมทั้งที่นาและภรรยา
เมื่อเรายื่นมือออก
ต่อสู้ประชากรที่อาศัยอยู่ในแผ่นดินนี้”
องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนี้
13 “ตั้งแต่ผู้น้อยที่สุดจนถึงผู้ใหญ่ที่สุด
ล้วนโลภมุ่งกำไร
พวกผู้เผยพระวจนะและปุโรหิตก็ไม่ต่างกัน
ล้วนโกหกหลอกลวง
14 พวกเขาทำแผลให้ประชากรของเรา
ราวกับว่าไม่สาหัสรุนแรงเท่าไร
พวกเขากล่าวว่า ‘สันติสุข สันติสุข’
ทั้งๆ ที่ไม่มีสันติสุข
15 พวกเขาละอายใจในความประพฤติอันน่าขยะแขยงของตนบ้างหรือเปล่า?
เปล่าเลย พวกเขาไม่ละอายสักนิด
ไม่รู้เลยว่าการมียางอายนั้นเป็นอย่างไร
ฉะนั้นพวกเขาจะล้มลงในหมู่ผู้ที่ล้มลง
เขาจะตกต่ำลงเมื่อเราลงโทษเขา”
องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนั้น
16 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า
“จงยืนที่ทางแพร่งและมองดู
จงถามถึงหนทางโบราณ
จงถามหาหนทางที่ดีและดำเนินในทางนั้น
แล้วเจ้าจะพบการพักสงบสำหรับจิตใจของเจ้า
แต่เจ้าพูดว่า ‘เราจะไม่ยอมเดินทางสายนั้น’
17 เราตั้งยามไว้เหนือเจ้าและกล่าวว่า
‘ฟังเสียงแตรเถิด!’
แต่เจ้าพูดว่า ‘เราจะไม่ฟัง’
18 ฉะนั้นจงฟังให้ดี ประชาชาติทั้งหลาย
เหล่าพยานเอ๋ย
จงสังเกตสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับเขา
19 แผ่นดินโลกเอ๋ย จงฟังเถิด
เรากำลังนำภัยพิบัติมาเหนือชนชาตินี้
เป็นผลจากแผนชั่วของพวกเขาเอง
เพราะพวกเขาไม่ยอมฟังถ้อยคำของเรา
และได้ละทิ้งบทบัญญัติของเรา
20 เราแยแสอะไรกับเครื่องหอมจากเชบา
หรือเครื่องเทศอันหอมหวลจากแดนไกล?
เครื่องเผาบูชาของเจ้าไม่เป็นที่ยอมรับ
เครื่องบูชาทั้งหลายของเจ้าไม่ได้ทำให้เราพอใจ”
21 ด้วยเหตุนี้องค์พระผู้เป็นเจ้าจึงตรัสว่า
“เราจะตั้งเครื่องกีดขวางไว้ต่อหน้าชนชาตินี้
ซึ่งจะทำให้ทั้งผู้เป็นบิดาและผู้เป็นบุตรสะดุดล้ม
เพื่อนบ้านและมิตรสหายจะพินาศ”
22 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า
“ดูเถิด กองทัพจะมา
จากดินแดนทางเหนือ
ชนชาติยิ่งใหญ่กำลังถูกเร่งเร้า
จากทุกมุมโลก
23 พวกเขามีทั้งธนูและหอก
โหดเหี้ยมและไร้ความเมตตา
เสียงควบม้าของพวกเขา
เหมือนเสียงทะเลคำราม
พวกเขายกกระบวนทัพมา
เพื่อโจมตีเจ้า ธิดาแห่งศิโยนเอ๋ย”
24 เราได้ยินกิตติศัพท์เลื่องลือเกี่ยวกับกองทัพ
ของเขา
แขนขาของเราก็หมดเรี่ยวหมดแรง
ความทุกข์ทรมานเกาะกุมเรา
เราเจ็บปวดเหมือนผู้หญิงที่กำลังคลอดลูก
25 อย่าออกไปที่ทุ่งนา
หรือเดินตามถนน
เพราะศัตรูถือดาบพร้อมที่จะสังหาร
และไม่ว่าจะหันไปทางไหนก็มีแต่ความสยดสยอง
26 พี่น้องร่วมชาติเอ๋ย จงสวมเสื้อผ้ากระสอบ
และเกลือกกลิ้งอยู่ในกองขี้เถ้าเถิด
จงร้องไห้คร่ำครวญอย่างรันทดขมขื่น
เหมือนสูญเสียลูกชายคนเดียวที่มีอยู่
เพราะในทันทีทันใด
ผู้ทำลายล้างจะยกมาโจมตีเรา
27 “เราได้ทำให้เจ้าเป็นนักวิเคราะห์แร่
และประชากรของเราเป็นสินแร่
เพื่อเจ้าจะสังเกต
และทดสอบวิถีทางต่างๆ ของพวกเขา
28 พวกเขาล้วนเป็นนักกบฏดื้อด้าน
เที่ยวนินทาว่าร้ายไปทั่ว
พวกเขาเป็นเหมือนทองสัมฤทธิ์และเหล็ก
ล้วนประพฤติตัวเสื่อมทราม
29 สูบลมก็สูบอย่างดุเดือด
เพื่อให้ไฟเผาตะกั่วให้หมดไป
แต่การถลุงก็เปล่าประโยชน์
คนชั่วไม่ถูกหลอมชำระให้บริสุทธิ์ได้เลย
30 พวกเขาจะได้ชื่อว่าเป็น ‘เงินที่ถูกทิ้งแล้ว’
เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงละทิ้งพวกเขาแล้ว”
Thai New Contemporary Bible Copyright © 1999, 2001, 2007 by Biblica, Inc.® Used by permission. All rights reserved worldwide.