Chronological
ความฝันของฟาโรห์
41 เวลาผ่านไปสองปีเต็ม คืนหนึ่งฟาโรห์ทรงฝันว่าพระองค์ทรงยืนอยู่ที่ริมฝั่งแม่น้ำไนล์ 2 มีวัวอ้วนพีแข็งแรงเจ็ดตัวขึ้นมาจากแม่น้ำไนล์ กินหญ้าอยู่ริมฝั่ง 3 แล้วมีวัวอีกเจ็ดตัวขึ้นมาจากแม่น้ำไนล์ แต่พวกหลังนี้ตัวผอมแห้งจนน่าเกลียด พวกมันเดินมาหยุดยืนอยู่ข้างวัวอ้วนพีแข็งแรง 4 วัวผอมโซน่าเกลียดเหล่านั้นก็กินวัวอ้วนพีแข็งแรงทั้งเจ็ดตัว แล้วฟาโรห์ทรงตื่นจากบรรทม
5 พระองค์บรรทมหลับไปอีกและทรงฝันเป็นครั้งที่สอง คราวนี้ทรงเห็นข้าวต้นหนึ่งกำลังออกรวงเจ็ดรวงซึ่งมีเมล็ดเต่งงามดี 6 หลังจากนั้นมีอีกเจ็ดรวงผลิออกมา แต่มีเมล็ดเหี่ยวแห้งเพราะลมตะวันออก 7 แล้วรวงข้าวที่เหี่ยวแห้งก็กลืนกินรวงข้าวที่เต่งงามเจ็ดรวงนั้นจนหมด แล้วฟาโรห์ตื่นจากบรรทมและทรงทราบว่าเป็นความฝัน
8 เช้าวันรุ่งขึ้นฟาโรห์ทรงกังวลพระทัยนักจึงรับสั่งให้บรรดานักเล่นอาคมและปราชญ์ของอียิปต์มาเข้าเฝ้า พระองค์ทรงเล่าความฝันให้ฟัง แต่ไม่มีใครบอกได้ว่าความฝันพวกนั้นหมายถึงอะไร
9 แล้วหัวหน้าพนักงานเชิญจอกเสวยจึงกราบทูลว่า “วันนี้ข้าพระบาทระลึกถึงความผิดพลาดของตนได้แล้ว 10 ครั้งหนึ่งฟาโรห์กริ้วข้าพระบาท และทรงให้จำคุกข้าพระบาทพร้อมกับหัวหน้าพนักงานทำขนมปังไว้ในบ้านของผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์ 11 คืนหนึ่งข้าพระบาททั้งสองต่างฝันไป และความฝันของแต่ละคนนั้นก็มีความหมายแตกต่างกัน 12 ขณะนั้นชายหนุ่มฮีบรูคนหนึ่งซึ่งเป็นทาสรับใช้ของท่านผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์ได้ถูกจำคุกอยู่กับข้าพระบาททั้งสอง ข้าพระบาทจึงเล่าความฝันให้เขาฟัง เขาก็บอกความหมายของความฝันให้กับข้าพระบาททั้งสอง 13 ทุกสิ่งก็เป็นไปตามที่เขาได้ทำนายให้กับข้าพระบาททุกประการ คือข้าพระบาทได้กลับเข้ามาประจำหน้าที่ดังเดิม ส่วนอีกคนหนึ่งก็ถูกเสียบประหาร”
14 ฟาโรห์จึงรับสั่งให้นำโยเซฟมาเข้าเฝ้า เขาจึงถูกนำตัวออกจากคุกอย่างเร่งด่วน เมื่อโกนหนวดเคราและเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้วก็เข้าเฝ้าฟาโรห์
15 ฟาโรห์ตรัสกับโยเซฟว่า “เราฝันไป และไม่มีใครบอกความหมายของความฝันได้ แต่เราได้ยินมาว่าเมื่อใครเล่าความฝันให้เจ้าฟัง เจ้าก็สามารถบอกความหมายของความฝันนั้นได้”
16 โยเซฟทูลฟาโรห์ว่า “ข้าพระบาททำไม่ได้ แต่พระเจ้าจะทรงแจ้งให้ฟาโรห์ทราบคำตอบตามที่ฟาโรห์ต้องการ”
17 ฟาโรห์จึงตรัสกับโยเซฟว่า “ในฝันเรายืนอยู่ริมฝั่งแม่น้ำไนล์ 18 มีวัวอ้วนพีแข็งแรงเจ็ดตัวขึ้นมาจากแม่น้ำและกินหญ้าอยู่ริมฝั่ง 19 แล้วก็มีวัวอีกเจ็ดตัวขึ้นมาจากแม่น้ำ ตัวผอมแห้งน่าเกลียดมาก เราไม่เคยเห็นวัวตัวไหนน่าเกลียดขนาดนั้นมาก่อนเลยในแผ่นดินอียิปต์ 20 แล้ววัวผอมแห้งน่าเกลียดเหล่านั้นก็กินวัวอ้วนพีทั้งเจ็ดตัวที่ขึ้นมาก่อนจนหมด 21 แม้พวกมันจะกินวัวเหล่านั้นไปหมดแล้วก็ไม่มีใครรู้ได้ว่าพวกมันได้ทำเช่นนั้น เพราะพวกมันก็ยังผอมแห้งน่าเกลียดอยู่เหมือนเดิม แล้วเราก็ตื่น
22 “เราฝันไปอีกว่าเห็นต้นข้าวต้นหนึ่งออกรวงเจ็ดรวงซึ่งมีเมล็ดเต่งงามดี 23 แล้วมีรวงข้าวอีกเจ็ดรวงงอกขึ้นมาซึ่งมีเมล็ดเหี่ยวแห้งเพราะลมตะวันออก 24 รวงข้าวที่เหี่ยวแห้งนั้นก็กลืนกินรวงข้าวที่เต่งงามทั้งเจ็ดรวงเสียหมด เราเล่าเรื่องนี้ให้บรรดานักเล่นอาคมฟัง แต่ไม่มีใครอธิบายให้เราเข้าใจได้”
25 โยเซฟทูลฟาโรห์ว่า “ความฝันทั้งสองนี้หมายความถึงสิ่งเดียวกัน พระเจ้าทรงเปิดเผยแก่ฟาโรห์ถึงสิ่งที่พระองค์จะทรงกระทำ 26 วัวอ้วนพีเจ็ดตัวหมายถึงเจ็ดปี และรวงข้าวเต่งงามเจ็ดรวงก็หมายถึงเจ็ดปี ความฝันทั้งสองนี้หมายความถึงสิ่งเดียวกัน 27 ส่วนวัวผอมน่าเกลียดเจ็ดตัวที่ขึ้นจากแม่น้ำมาภายหลังหมายถึงเจ็ดปี และรวงข้าวไร้ค่าเจ็ดรวงที่เหี่ยวแห้งไปเพราะลมตะวันออกนั้นก็หมายถึงเจ็ดปีเช่นกัน เป็นเจ็ดปีแห่งการกันดารอาหาร
28 “อย่างที่ข้าพระบาทได้ทูลฟาโรห์ไว้แล้วว่า พระเจ้าได้ทรงสำแดงแก่ฟาโรห์ถึงสิ่งที่พระองค์จะทรงกระทำ 29 ตลอดเจ็ดปีต่อไปนี้จะเป็นช่วงอุดมสมบูรณ์ทั่วแผ่นดินอียิปต์ 30 แต่เจ็ดปีแห่งการกันดารอาหารจะตามมา แล้วประชาชนจะลืมความอุดมสมบูรณ์ทั้งสิ้นของประเทศอียิปต์ และการกันดารอาหารจะทำลายแผ่นดินนี้ 31 ความอุดมสมบูรณ์ของแผ่นดินถูกลบเลือนไปจากความทรงจำ เพราะการกันดารอาหารจะรุนแรงยิ่งนัก 32 เหตุที่พระเจ้าทรงประทานความฝันถึงสองอย่างแก่ฟาโรห์นั้น เพราะว่าพระเจ้าทรงตัดสินพระทัยแน่วแน่แล้ว พระองค์จะทรงให้สิ่งนี้เกิดขึ้นในไม่ช้า
33 “และบัดนี้ขอให้ฟาโรห์ทรงโปรดคัดเลือกคนที่ฉลาดหลักแหลมและมีสติปัญญา และตั้งให้เขาให้ดูแลแผ่นดินอียิปต์ 34 ขอให้ฟาโรห์ทรงแต่งตั้งข้าราชการประจำเขตไว้ทั่วแผ่นดิน ทำหน้าที่เก็บพืชผลหนึ่งในห้าของผลผลิตที่ได้ในตลอดเจ็ดปีแห่งความอุดมสมบูรณ์ 35 พวกเขาควรรวบรวมอาหารทั้งหมดที่ได้ในปีแห่งความอุดมสมบูรณ์ที่กำลังจะมาถึง และให้ฟาโรห์มอบอำนาจให้พวกเขาเก็บสะสมเมล็ดข้าวไว้เป็นคลังอาหารตามเมืองต่างๆ 36 อาหารเหล่านี้ควรเก็บไว้เป็นเสบียงสำรองให้กับประเทศสำหรับช่วงเจ็ดปีแห่งการกันดารอาหารซึ่งจะเกิดขึ้นกับอียิปต์ เพื่อว่าประเทศชาติจะไม่ย่อยยับไปเพราะการกันดารอาหาร”
37 ฟาโรห์และข้าราชการทั้งปวงล้วนเห็นชอบกับแผนงานนี้ 38 ดังนั้นฟาโรห์จึงตรัสถามพวกเขาว่า “เราจะหาใครที่มีพระวิญญาณของพระเจ้า[a]อยู่ภายในเหมือนชายผู้นี้ได้หรือ?”
39 แล้วฟาโรห์ตรัสกับโยเซฟว่า “เนื่องจากพระเจ้าทรงเปิดเผยความหมายของความฝันให้เจ้ารู้ จึงไม่มีผู้ใดฉลาดหลักแหลมและมีสติปัญญาเหมือนเจ้า 40 เราจะแต่งตั้งเจ้าให้ดูแลราชสำนักของเรา และราษฎรทั้งหมดของเราจะทำตามคำสั่งของเจ้า เราจะเป็นผู้เดียวที่มีฐานะสูงกว่าเจ้าเพียงเพราะว่าเราเป็นผู้ครองราชบัลลังก์”
โยเซฟปกครองดูแลอียิปต์
41 ดังนั้นฟาโรห์จึงตรัสแก่โยเซฟว่า “บัดนี้เราขอตั้งเจ้าให้ดูแลทั่วแผ่นดินอียิปต์” 42 แล้วฟาโรห์ทรงถอดแหวนตราประจำพระองค์จากนิ้วมาสวมที่นิ้วของโยเซฟ พระองค์ทรงให้เขาสวมเสื้อคลุมผ้าลินินเนื้อดีและประทานสร้อยคอทองคำแก่เขา 43 ฟาโรห์ให้โยเซฟนั่งรถม้าศึกในฐานะผู้มีอำนาจรองจากพระองค์[b] ไม่ว่าเขาจะไปที่ไหนก็มีคนคอยร้องประกาศว่า “จงเปิดทาง![c]” ดังนั้นฟาโรห์จึงทรงแต่งตั้งโยเซฟให้ดูแลทั่วแผ่นดินอียิปต์
44 ฟาโรห์ตรัสกับโยเซฟว่า “แม้ว่าเราคือฟาโรห์ แต่ถ้าเจ้าไม่อนุญาตก็จะไม่มีผู้ใดในแผ่นดินอียิปต์ยกมือยกเท้าได้” 45 ฟาโรห์ประทานนามแก่โยเซฟว่าศาเฟนาทปาเนอาห์ และประทานอาเสนัทบุตรีปุโรหิตโปทิเฟราแห่งเมืองโอนให้เป็นภรรยา และโยเซฟออกตรวจตราทั่วแผ่นดินอียิปต์
46 โยเซฟมีอายุได้สามสิบปีเมื่อเข้ารับราชการกับฟาโรห์กษัตริย์แห่งอียิปต์ โยเซฟได้ทูลลาฟาโรห์และออกเดินทางไปปฏิบัติราชการทั่วแผ่นดินอียิปต์ 47 ตลอดเจ็ดปีแห่งความอุดมสมบูรณ์ แผ่นดินก็ให้ผลผลิตมากมาย 48 โยเซฟรวบรวมอาหารทั้งหมดที่ผลิตได้ในเจ็ดปีแห่งความอุดมสมบูรณ์ของอียิปต์ และเก็บสะสมไว้ตามเมืองต่างๆ ผลผลิตที่เก็บได้จากนารอบเมืองใด เขาก็ให้เก็บไว้ในเมืองนั้น 49 โยเซฟเก็บสะสมเมล็ดข้าวได้มหาศาลเหมือนเม็ดทรายในทะเล จนเขาต้องเลิกทำบัญชี เพราะตรวจนับไม่ไหว
50 ก่อนปีกันดารอาหารจะมาถึง โยเซฟได้บุตรชายสองคนซึ่งเกิดจากนางอาเสนัทบุตรีของปุโรหิตโปทิเฟราแห่งเมืองโอน 51 โยเซฟตั้งชื่อบุตรหัวปีว่ามนัสเสห์[d] เขากล่าวว่า “เพราะพระเจ้าทรงทำให้ข้าพเจ้าลืมความทุกข์ยากทั้งปวงและญาติพี่น้องทั้งหมดในครัวเรือนบิดาของข้าพเจ้า” 52 เขาตั้งชื่อบุตรชายคนที่สองว่าเอฟราอิม[e] เขากล่าวว่า “เพราะพระเจ้าทรงกระทำให้ข้าพเจ้ามีลูกมีหลานมากมายในดินแดนที่ข้าพเจ้าตกทุกข์ได้ยาก”
53 ในที่สุดเจ็ดปีแห่งความอุดมสมบูรณ์ก็สิ้นสุดลง 54 และเจ็ดปีแห่งการกันดารอาหารก็เริ่มต้นขึ้นตามที่โยเซฟได้กล่าวไว้ เกิดการกันดารอาหารขึ้นทั่วทุกประเทศ แต่ทั่วแผ่นดินอียิปต์มีอาหาร 55 เมื่อชาวอียิปต์เริ่มได้รับผลกระทบจากการกันดารอาหาร ผู้คนต่างก็มาทูลขออาหารจากฟาโรห์ ฟาโรห์จึงสั่งชาวอียิปต์ทุกคนว่า “จงไปหาโยเซฟและทำตามสิ่งที่เขาบอก”
56 เมื่อการกันดารอาหารขยายไปทั่วประเทศ โยเซฟจึงเปิดคลังขายข้าวให้แก่ชาวอียิปต์ เพราะเกิดการกันดารอาหารอย่างรุนแรงทั่วทั้งอียิปต์ 57 ทุกประเทศทั่วโลกพากันมายังอียิปต์เพื่อซื้อข้าวจากโยเซฟ เพราะการกันดารอาหารรุนแรงทั่วโลก
พวกพี่ชายของโยเซฟไปอียิปต์
42 ฝ่ายยาโคบทราบมาว่ามีข้าวที่อียิปต์ จึงพูดกับลูกๆ ว่า “มานั่งมองหน้ากันอยู่ทำไม? 2 พ่อได้ยินว่าที่อียิปต์มีข้าว พวกเจ้าจงลงไปที่นั่นและซื้อมาให้พวกเรา เพื่อเราจะไม่อดตาย”
3 ดังนั้นพี่ชายทั้งสิบคนของโยเซฟจึงเดินทางลงไปอียิปต์เพื่อซื้อข้าว 4 แต่ยาโคบไม่ยอมให้เบนยามินน้องชายของโยเซฟไปกับคนอื่นๆ ด้วย เพราะเกรงว่าอาจจะเกิดอันตรายแก่เขา 5 ดังนั้นบรรดาบุตรชายของอิสราเอลจึงร่วมเดินทางไปซื้อข้าวพร้อมกับคนอื่นๆ เพราะที่คานาอันก็กันดารอาหารเช่นกัน
6 ขณะนั้นโยเซฟเป็นผู้ว่าราชการแผ่นดินมีหน้าที่ขายข้าวให้กับประชาชนทุกคน ดังนั้นเมื่อพวกพี่ชายของโยเซฟมาถึง พวกเขาจึงน้อมคำนับโยเซฟซบหน้าลงกับดิน 7 โยเซฟเห็นพวกพี่ๆ ก็จำได้ทันที แต่เขาแสร้งทำเป็นไม่รู้จักและพูดจาหาเรื่องพวกเขา เขาถามว่า “พวกเจ้ามาจากที่ไหน?”
พวกเขาตอบว่า “จากดินแดนคานาอันเพื่อซื้อข้าว”
8 แม้โยเซฟจะจำพวกพี่ชายของเขาได้ แต่พวกเขาจำโยเซฟไม่ได้ 9 แล้วโยเซฟก็หวนรำลึกถึงความฝันในอดีตและพูดกับพวกเขาว่า “พวกเจ้าเป็นสายลับ! พวกเจ้าเข้ามาดูว่าดินแดนของเรามีจุดอ่อนตรงไหน”
10 พวกเขาตอบว่า “ไม่ใช่นายท่าน ผู้รับใช้ของท่านมาเพื่อซื้ออาหาร 11 เราทุกคนเป็นพี่น้องพ่อเดียวกัน ผู้รับใช้ของท่านเป็นคนสุจริต ไม่ใช่สายลับ”
12 โยเซฟยืนกรานว่า “ไม่จริง! พวกเจ้าเข้ามาดูว่าดินแดนของเรามีจุดอ่อนตรงไหน”
13 แต่พวกเขาตอบว่า “ท่านขอรับ เรามีด้วยกันสิบสองคนพี่น้องพ่อเดียวกัน พ่อของเราอยู่ในดินแดนคานาอัน น้องคนสุดท้องก็อยู่กับท่าน ส่วนน้องอีกคนหนึ่งจากไปแล้ว”
14 โยเซฟกล่าวกับพวกเขาว่า “อย่างที่เราบอกเจ้านั่นแหละ พวกเจ้าเป็นสายลับ! 15 นี่เป็นวิธีที่จะทดสอบคำพูดของพวกเจ้าคือ ฟาโรห์ทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด พวกเจ้าจะกลับออกไปจากที่นี่ไม่ได้ฉันนั้น จนกว่าน้องชายคนสุดท้องของพวกเจ้าจะมาที่นี่ 16 ให้คนหนึ่งในพวกเจ้ากลับไปพาน้องชายมา เราจะกักพวกที่เหลือไว้ในคุก เพื่อจะได้พิสูจน์ว่าเรื่องที่เจ้าเล่านั้นเป็นความจริงหรือไม่ ถ้าไม่จริง ฟาโรห์ทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด พวกเจ้าก็เป็นสายลับฉันนั้น!” 17 ฉะนั้นโยเซฟจึงจับพวกเขาทั้งหมดขังคุกไว้เป็นเวลาสามวัน
18 ในวันที่สาม โยเซฟพูดกับพวกเขาว่า “เพราะเราเป็นคนยำเกรงพระเจ้า เจ้าจงทำตามนี้เพื่อเจ้าจะมีชีวิตรอด 19 หากพวกเจ้าเป็นคนสุจริตจริงก็จงให้พี่น้องของเจ้าคนหนึ่งจำคุกอยู่ที่นี่ ส่วนที่เหลือให้นำข้าวกลับไปให้ครอบครัวที่อดอยากของเจ้า 20 แต่พวกเจ้าต้องพาน้องคนสุดท้องของเจ้ากลับมาหาเรา เพื่อว่าพวกเจ้าจะได้พิสูจน์คำพูดของพวกเจ้า และเพื่อพวกเจ้าจะได้ไม่ตาย” พวกเขาก็ยอมทำตามนั้น
21 พวกเขาพูดกันเองว่า “ที่พวกเราต้องถูกลงโทษเช่นนี้ต้องเป็นเพราะน้องชายของเราแน่ๆ เราเห็นตำตาว่าเขาเป็นทุกข์แค่ไหนเมื่อเขาร้องอ้อนวอนขอชีวิตจากเรา แต่เราก็ไม่ฟังเขาเลย นี่ต้องเป็นสาเหตุที่ทำให้ความทุกข์นี้ตกอยู่กับพวกเรา”
22 รูเบนตอบว่า “เราห้ามพวกเจ้าแล้วไม่ใช่หรือว่าอย่าทำบาปกับเด็กคนนั้น? แต่พวกเจ้าก็ไม่ฟัง! บัดนี้พวกเราจึงต้องชดใช้บาปที่ฆ่าน้องแล้ว” 23 พวกเขาไม่รู้ว่าโยเซฟฟังออก เนื่องจากโยเซฟพูดกับพวกเขาโดยมีล่ามแปล
24 โยเซฟจึงออกไปร้องไห้แล้วกลับเข้ามาอีก และสั่งให้มัดสิเมโอนต่อหน้าพวกพี่น้อง
25 จากนั้นโยเซฟสั่งให้บริวารเอาข้าวบรรจุลงเต็มกระสอบของพวกพี่ชาย แล้วเอาเงินค่าข้าวใส่คืนไว้ในกระสอบของแต่ละคนด้วย ทั้งยังให้เสบียงไว้กินตามทาง เมื่อบริวารของโยเซฟทำตามคำสั่งเสร็จแล้ว 26 พวกพี่ๆ จึงเอากระสอบข้าวบรรทุกบนหลังลาออกเดินทางกลับบ้าน
27 แต่เมื่อแวะพักแรมในคืนนั้น มีคนหนึ่งเปิดกระสอบจะเอาข้าวให้ลากิน ก็เห็นเงินของเขาอยู่ที่ปากกระสอบ 28 เขาบอกพวกพี่น้องว่า “มีคนคืนเงินของข้าใส่ไว้ในกระสอบ”
พวกเขาใจหายวาบ กลัวจนตัวสั่น หันไปพูดกันว่า “ทำไมพระเจ้าทำกับเราอย่างนี้?”
29 เมื่อพวกเขากลับมาหายาโคบผู้เป็นบิดาในคานาอัน ก็เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้ยาโคบฟังว่า 30 “ชายผู้เป็นเจ้านายปกครองดินแดนพูดจาหาเรื่องเราและทำต่อเราราวกับว่าพวกเราไปสอดแนมในแผ่นดินนั้น 31 แต่พวกเราบอกกับเขาว่า ‘พวกเราเป็นคนสุจริตไม่ใช่สายลับ 32 เรามีกันสิบสองคนพี่น้องพ่อเดียวกัน คนหนึ่งจากไปแล้ว และคนสุดท้องยังอยู่กับพ่อในคานาอัน’
33 “แล้วชายคนนั้นที่เป็นเจ้านายเหนือแผ่นดินพูดกับเราว่า ‘วิธีนี้จะทำให้เรารู้ว่าพวกเจ้าเป็นคนซื่อสัตย์หรือไม่ คือทิ้งพี่น้องคนหนึ่งของพวกเจ้าไว้กับเราที่นี่ นอกนั้นเอาข้าวกลับไปให้ครอบครัวที่อดอยาก 34 แล้วพาน้องชายคนสุดท้องมาหาเรา เราจะได้รู้ว่าเจ้าเป็นคนสุจริตไม่ใช่คนสอดแนม แล้วเราจะคืนพี่น้องของเจ้าที่ถูกขังไว้ให้พวกเจ้า และเจ้าสามารถติดต่อค้าขาย[f]ในดินแดนนี้ด้วย’ ”
35 ขณะที่พวกเขาต่างกำลังเทข้าวออกจากกระสอบ ก็พบถุงเงินอยู่ในกระสอบของแต่ละคน! เมื่อพวกเขาและบิดาของเขาเห็นถุงเงินเหล่านั้นก็ตกใจกลัว 36 ยาโคบบิดาของพวกเขาพูดว่า “พวกเจ้าช่างพรากพ่อพรากลูกเสียจริงๆ โยเซฟก็จากไปแล้ว สิเมโอนก็จากไปแล้ว ตอนนี้พวกเจ้ายังจะเอาตัวเบนยามินไปอีก ข้าก็รับกรรมแต่เพียงคนเดียว!”
37 รูเบนจึงพูดกับบิดาว่า “พ่อก็ฆ่าลูกชายทั้งสองคนของข้าได้เลย ถ้าข้าไม่พาเบนยามินกลับมาหาท่าน มอบเขาไว้ในความดูแลของข้าเถิด และข้าจะนำเขากลับมา”
38 แต่ยาโคบตอบว่า “ลูกของเราจะไม่เดินทางลงไปกับพวกเจ้าเด็ดขาด พี่ชายของเขาก็ตายไปแล้ว เหลือเขาอยู่คนเดียว ถ้าเกิดอันตรายขึ้นกับเขาระหว่างทาง พวกเจ้าจะพาให้หัวหงอกของพ่อลงไปสู่แดนคนตายด้วยความโศกเศร้า”
Thai New Contemporary Bible Copyright © 1999, 2001, 2007 by Biblica, Inc.® Used by permission. All rights reserved worldwide.