Previous Prev Day Next DayNext

Chronological

Read the Bible in the chronological order in which its stories and events occurred.
Duration: 365 days
Thai New Contemporary Bible (TNCV)
Version
ปฐมกาล 19-21

เมืองโสโดมและเมืองโกโมราห์ถูกทำลาย

19 ทูตสวรรค์ทั้งสองมาถึงเมืองโสโดมตอนพลบค่ำ และโลทนั่งอยู่ที่ประตูเมือง เมื่อโลทเห็นทูตนั้นจึงลุกขึ้นไปต้อนรับ ก้มคำนับจนหน้าจดพื้น เขากล่าวว่า “ท่านเจ้าข้า เชิญแวะบ้านของผู้รับใช้ของท่าน ท่านจะได้ล้างเท้าและพักสักคืนหนึ่ง แล้วพรุ่งนี้เช้าจึงค่อยเดินทางต่อไป”

ชายทั้งสองตอบว่า “อย่าเลย เราจะค้างที่ลานเมือง”

แต่โลทรบเร้าหนักเข้าจนในที่สุดทูตทั้งสองจึงได้ไปบ้านพร้อมเขา เขาได้จัดเตรียมอาหารสำหรับทั้งสองโดยปิ้งขนมปังไม่ใส่เชื้อ และพวกเขาก็รับประทาน ก่อนที่พวกเขาจะเข้านอน ชายทุกคนจากทุกมุมเมืองโสโดมทั้งหนุ่มทั้งแก่ก็พากันมาล้อมบ้านหลังนั้น คนเหล่านั้นตะโกนบอกโลทว่า “พวกผู้ชายที่มาหาเจ้าค่ำวันนี้อยู่ที่ไหน? จงพาพวกเขาออกมาเดี๋ยวนี้ เราจะได้หลับนอนกับพวกเขา”

โลทจึงออกไปข้างนอก ปิดประตู แล้วพูดกับคนเหล่านั้นว่า “อย่าเลยพี่น้อง อย่าทำสิ่งชั่วช้าเช่นนี้เลย นี่แน่ะ เรามีลูกสาวสองคน ยังไม่เคยหลับนอนกับผู้ชายเลย เราจะยกให้ท่านทำอะไรก็ได้ตามใจชอบ แต่อย่าทำอะไรกับชายเหล่านี้เลย เพราะเขาได้มาพักอยู่ใต้ชายคาของเรา ใต้การคุ้มครองของเรา”

พวกนั้นเอ็ดตะโรว่า “ถอยไปให้พ้น เจ้าหมอนี่มาอยู่ในฐานะคนต่างด้าวแล้วยังจะมาตั้งตัวเป็นตุลาการ! เราจะจัดการกับเจ้าให้ยิ่งกว่าสองคนนั้นเสียอีก” แล้วพวกเขาก็กดดันโลทมากขึ้น และรุกเข้ามาเพื่อจะพังประตู

10 แต่ชายทั้งสองที่อยู่ข้างในเอื้อมมือมาดึงโลทกลับเข้าไปในบ้านแล้วปิดประตู 11 จากนั้นพวกเขาทำให้บรรดาผู้ชายที่ออกันอยู่ที่ประตูทั้งหนุ่มทั้งแก่นั้นตาพร่ามัว คนเหล่านั้นจึงหาประตูไม่พบ

12 ชายทั้งสองกล่าวกับโลทว่า “ท่านมีญาติพี่น้องอื่นอีกบ้างหรือไม่ในเมืองนี้ ไม่ว่าลูกเขย ลูกชาย ลูกสาว หรือคนของท่านที่อยู่ในเมืองนี้? จงพาพวกเขาออกไปจากที่นี่ 13 เพราะเราจะทำลายเมืองนี้ เสียงที่ชาวเมืองนี้ฟ้องร้องต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าดังจนพระองค์ทรงส่งเรามาทำลายเมืองนี้”

14 โลทจึงไปบอกบรรดาลูกเขยซึ่งหมั้นหมาย[a]กับลูกสาวของเขาว่า “เร็วเข้า รีบออกจากที่นี่เถิด เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้ากำลังจะทรงทำลายเมืองนี้!” แต่ลูกเขยคิดว่าเขาพูดเล่น

15 พอใกล้รุ่ง ทูตเหล่านั้นจึงเร่งรัดโลทว่า “เร็วเข้า! จงพาภรรยาและลูกสาวทั้งสองของเจ้าออกไปจากที่นี่ มิฉะนั้นเมื่อเมืองนี้ถูกลงโทษ เจ้าจะถูกกวาดล้างไปด้วย”

16 เมื่อโลทยังรีรออยู่ ทูตเหล่านั้นจึงคว้ามือของเขา ทั้งภรรยาและลูกสาวทั้งสอง แล้วพาออกมานอกเมืองโดยปลอดภัย เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเมตตาพวกเขา 17 เมื่อออกมาแล้ว ทูตองค์หนึ่งจึงพูดว่า[b] “จงหนีเอาชีวิตรอดเถิด! อย่าหันกลับมามอง อย่าหยุดอยู่ในที่ราบนี้ จงหนีไปที่ภูเขา มิฉะนั้นเจ้าจะถูกกวาดล้างไปด้วย!”

18 แต่โลทวิงวอนว่า “อย่าเลย นายข้า[c] ได้โปรดเถิด! 19 ท่านได้กรุณาผู้รับใช้ของท่าน ท่านได้สำแดงความเมตตาอย่างใหญ่หลวงต่อข้าพเจ้าโดยไว้ชีวิตข้าพเจ้า แต่ข้าพเจ้าไม่สามารถหนีไปถึงภูเขาก่อนที่หายนะนี้จะมาถึงข้าพเจ้า และข้าพเจ้าจะต้องตาย 20 ดูเถิด มีเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่งใกล้พอที่จะวิ่งไปที่นั่นได้ทัน ให้ข้าพเจ้าหนีไปที่นั่น มันเล็กมากไม่ใช่หรือ? แล้วข้าพเจ้าจะรอดชีวิต”

21 ทูตนั้นตอบว่า “ก็ได้ เราจะทำตามที่เจ้าร้องขอ เราจะไม่ทำลายเมืองที่เจ้าพูดถึง 22 แต่จงรีบหนีไปเพราะเราทำอะไรไม่ได้จนกว่าเจ้าจะไปถึงที่นั่น” (นี่คือเหตุที่เมืองนั้นได้ชื่อว่าโศอาร์[d])

23 เมื่อโลทมาถึงโศอาร์ ดวงอาทิตย์ก็ขึ้นแล้ว 24 แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงให้ไฟกำมะถันตกลงมาใส่เมืองโสโดมและโกโมราห์ ไฟนี้มาจากองค์พระผู้เป็นเจ้าตกลงมาจากฟ้าสวรรค์ 25 ดังนั้นพระองค์ทรงทำลายเมืองเหล่านั้นและที่ราบลุ่มทั้งหมด รวมทั้งทุกชีวิตที่อาศัยอยู่ในเมืองเหล่านั้นและพืชพันธุ์ทั้งสิ้นด้วย 26 แต่ภรรยาของโลทเหลียวกลับไปดู นางจึงกลายเป็นเสาเกลือ

27 เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น อับราฮัมลุกขึ้นและกลับไปยังสถานที่ซึ่งเขาเคยยืนอยู่ต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้า 28 เขามองลงไปยังเมืองโสโดมและเมืองโกโมราห์และกวาดสายตาไปทั่วดินแดนในที่ราบ เขามองเห็นควันหนาทึบพลุ่งขึ้นจากดินแดนนั้นเหมือนควันที่ออกจากเตาหลอม

29 ดังนั้นเมื่อพระเจ้าทรงทำลายเมืองต่างๆ ในที่ราบนั้น พระองค์ทรงระลึกถึงอับราฮัมและทรงนำโลทออกมาจากภัยพิบัติซึ่งทำลายล้างเมืองต่างๆ ที่โลทได้เคยอาศัยอยู่

โลทกับบุตรสาวทั้งสอง

30 โลทกับบุตรสาวทั้งสองของเขาออกจากเมืองโศอาร์ไปตั้งถิ่นฐานที่ภูเขาเพราะไม่กล้าอยู่ที่โศอาร์ พวกเขาไปอาศัยอยู่ในถ้ำ 31 วันหนึ่งบุตรสาวคนโตพูดกับน้องสาวว่า “พ่อของเราก็แก่แล้ว ไม่มีผู้ชายคนไหนในแถบนี้ที่จะมาแต่งงานกับเราอย่างที่ใครๆ ทั่วโลกเขาทำกัน 32 ให้เรามอมเหล้าพ่อแล้วหลับนอนกับท่าน เพื่อเราจะรักษาเชื้อสายของครอบครัวเราไว้ทางพ่อของเรา”

33 คืนวันนั้นหญิงทั้งสองจึงมอมเหล้าองุ่นบิดา แล้วบุตรสาวคนโตก็เข้าไปหลับนอนกับบิดา โลทไม่รู้สึกตัวว่าลูกเข้ามานอนด้วยหรือลุกออกไปเมื่อใด

34 วันรุ่งขึ้นบุตรสาวคนโตก็พูดกับน้องสาวว่า “เมื่อคืนพี่นอนกับพ่อแล้ว คืนนี้เราจะมอมเหล้าท่านอีก และน้องจงเข้าไปนอนกับพ่อ เพื่อเราจะสามารถรักษาเชื้อสายของครอบครัวเราไว้ทางพ่อของเรา” 35 คืนนั้นทั้งสองก็ทำให้บิดาเมามายอีก แล้วบุตรสาวคนเล็กก็เข้าไปนอนกับบิดา ครั้งนี้ก็เช่นกัน โลทไม่รู้สึกตัวเลยว่าลูกได้เข้ามานอนด้วยหรือลุกออกไปเมื่อใด

36 ดังนั้นบุตรสาวทั้งสองของโลทจึงตั้งครรภ์กับบิดา 37 บุตรสาวคนโตมีบุตรชาย และนางตั้งชื่อเขาว่าโมอับ[e] เขาเป็นบรรพบุรุษของชาวโมอับในปัจจุบัน 38 บุตรสาวคนเล็กก็มีบุตรชายคนหนึ่งด้วย นางตั้งชื่อเขาว่าเบนอัมมี[f] เขาเป็นบรรพบุรุษของชาวอัมโมน[g]ในปัจจุบัน

อับราฮัมและอาบีเมเลค(A)

20 อับราฮัมเดินทางจากที่นั่นเข้าไปในเขตเนเกบและตั้งถิ่นฐานอยู่ระหว่างเมืองคาเดชกับเมืองชูร์ เขาพักที่เมืองเกราร์ชั่วระยะหนึ่ง ที่นั่น อับราฮัมบอกใครต่อใครเกี่ยวกับซาราห์ภรรยาของเขาว่า “นางคือน้องสาวของข้าพเจ้า” กษัตริย์อาบีเมเลคแห่งเกราร์จึงส่งคนมารับนางไป

แต่ในคืนหนึ่ง พระเจ้าเสด็จมาหาอาบีเมเลคในความฝันและตรัสกับเขาว่า “เจ้าจะต้องตายแน่! เพราะหญิงคนนั้นซึ่งเจ้าพามามีสามีแล้ว”

แต่อาบีเมเลคยังไม่ได้เข้าหานางเลย เขาจึงทูลว่า “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์จะทรงทำลายชนชาติที่ไม่ผิดหรือ? เขาไม่ได้บอกข้าพระองค์หรอกหรือว่า ‘นางเป็นน้องสาวของข้าพเจ้า’ และนางเองก็ไม่ได้พูดด้วยหรอกหรือว่า ‘เขาเป็นพี่ชายของข้าพเจ้า’? ข้าพระองค์ทำไปด้วยใจซื่อมือสะอาด”

พระเจ้าตรัสกับเขาในความฝันว่า “ถูกแล้ว เรารู้ว่าเจ้าทำไปด้วยใจซื่อ เหตุนี้แหละเราจึงปกป้องเจ้าไว้ไม่ให้ทำบาปต่อเรา นี่เป็นเหตุที่เราไม่ปล่อยให้เจ้าแตะต้องตัวนาง บัดนี้จงคืนภรรยาของชายผู้นั้นกลับไป เพราะเขาเป็นผู้เผยพระวจนะ แล้วเขาจะอธิษฐานเผื่อเจ้า แล้วเจ้าจะรอดชีวิต แต่ถ้าเจ้าไม่ยอมคืนนาง เจ้าก็แน่ใจได้เลยว่าเจ้ากับคนของเจ้าทั้งหมดจะต้องตาย”

เช้าตรู่วันรุ่งขึ้นอาบีเมเลคเรียกประชุมข้าราชสำนักทั้งหมดและแจ้งพวกเขาให้ทราบถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น คนทั้งปวงก็กลัวยิ่งนัก อาบีเมเลคจึงเรียกอับราฮัมมาถามว่า “ทำไมท่านทำกับเราอย่างนี้? เราทำผิดอะไรต่อท่านหรือ? ท่านจึงนำความผิดใหญ่หลวงมาตกกับเราและอาณาจักรของเรา? ท่านไม่ควรทำกับเราเช่นนี้เลย” 10 อาบีเมเลคถามอับราฮัมว่า “เหตุใดท่านจึงทำเช่นนี้?”

11 อับราฮัมตอบว่า “ข้าพเจ้าบอกตัวเองว่า ‘ผู้คนที่นี่ไม่เกรงกลัวพระเจ้าแน่ๆ พวกเขาจะฆ่าเราเพราะอยากได้ภรรยาของเรา’ 12 นอกจากนี้นางก็เป็นน้องสาวของข้าพเจ้าจริงๆ นางเป็นน้องต่างมารดาของข้าพเจ้า และนางได้มาเป็นภรรยาของข้าพเจ้า 13 เมื่อพระเจ้าให้ข้าพเจ้ารอนแรมออกจากครัวเรือนของบิดา ข้าพเจ้าบอกนางว่า ‘ถ้าเจ้ารักเรา ไม่ว่าไปที่ไหนขอให้เจ้าบอกว่า “เขาเป็นพี่ชายของฉัน” ’ ”

14 อาบีเมเลคจึงยกฝูงแกะ ฝูงวัว และข้าทาสชายหญิงให้แก่อับราฮัม และคืนนางซาราห์ผู้เป็นภรรยาให้แก่เขา 15 อาบีเมเลคกล่าวว่า “ดินแดนของเราอยู่ตรงหน้าท่าน จะอาศัยอยู่ที่ไหนก็ได้ตามใจชอบ”

16 แล้วเขากล่าวกับซาราห์ว่า “เราขอมอบเงินหนึ่งพันเชเขล[h]แก่พี่ชายของเจ้า เป็นค่าทำขวัญต่อหน้าทุกคนที่อยู่กับเจ้า เจ้าไม่มีมลทินใดๆ เลย”

17 จากนั้นอับราฮัมก็อธิษฐานต่อพระเจ้า และพระเจ้าก็ทรงรักษาอาบีเมเลค ชายา และทาสหญิงของเขา ให้พวกเขาสามารถมีบุตรได้อีกครั้งหนึ่ง 18 เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงให้ผู้หญิงทุกคนในครัวเรือนของอาบีเมเลคเป็นหมัน ด้วยเหตุจากนางซาราห์ภรรยาของอับราฮัม

กำเนิดอิสอัค

21 องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเสด็จมาโปรดซาราห์ตามที่ตรัสไว้ และองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงทำตามสัญญาที่ให้แก่ซาราห์ไว้ ซาราห์ตั้งครรภ์และให้กำเนิดบุตรชายแก่อับราฮัมเมื่อเขาชราแล้ว ตรงตามเวลาที่พระเจ้าได้ทรงสัญญาไว้กับเขา อับราฮัมตั้งชื่อบุตรที่ซาราห์คลอดให้ว่าอิสอัค[i] เมื่ออิสอัคบุตรของเขาอายุครบแปดวัน อับราฮัมให้เขาเข้าสุหนัตตามที่พระเจ้าทรงบัญชาไว้ เมื่ออิสอัคบุตรของเขาเกิดมา อับราฮัมอายุได้หนึ่งร้อยปี

ซาราห์กล่าวว่า “พระเจ้าทรงทำให้ฉันหัวเราะ ทุกคนที่ได้ยินเรื่องนี้จะพลอยหัวเราะไปกับฉันด้วย” และนางกล่าวอีกว่า “ใครจะคิดว่าซาราห์จะมีลูกให้กับอับราฮัม? แต่ฉันก็ได้คลอดลูกชายให้เขาเมื่อเขาชราแล้ว”

นางฮาการ์กับอิชมาเอลถูกขับไล่ออกจากบ้าน

เด็กนั้นก็เติบโตขึ้นและหย่านม ในวันที่อิสอัคหย่านม อับราฮัมจัดงานเลี้ยงใหญ่ แต่ซาราห์เห็นบุตรของนางฮาการ์ชาวอียิปต์ที่เกิดแก่อับราฮัมกำลังหัวเราะเยาะ 10 นางจึงพูดกับอับราฮัมว่า “จงไล่เมียทาสกับลูกของนางไปเถิด เพราะลูกของเมียทาสคนนั้นจะไม่มีวันมีส่วนร่วมในกองมรดกกับอิสอัคลูกชายของฉัน”

11 เรื่องนี้ทำให้อับราฮัมทุกข์ใจมากเพราะเกี่ยวข้องกับบุตรชายของเขา 12 แต่พระเจ้าตรัสกับเขาว่า “อย่าทุกข์ใจเรื่องเด็กคนนั้นกับเมียทาสของเจ้าเลย จงทำตามที่ซาราห์บอก เพราะเชื้อสาย[j]ของเจ้าจะนับทางอิสอัค 13 และเราจะให้ชนชาติหนึ่งสืบเชื้อสายจากลูกของเมียทาสคนนี้ด้วย เพราะเขาก็เป็นเชื้อสายของเจ้าเหมือนกัน”

14 เช้าตรู่วันรุ่งขึ้นอับราฮัมก็เอาอาหารและน้ำหนึ่งถุงหนังใส่บ่าของฮาการ์ แล้วส่งนางออกไปพร้อมกับบุตรชาย นางก็ระเหเร่ร่อนเข้าไปในถิ่นกันดารเบเออร์เชบา

15 เมื่อน้ำในถุงหนังหมดแล้ว นางจึงทิ้งลูกชายไว้ใต้พุ่มไม้ 16 แล้วเดินหนีไปนั่งอยู่ไม่ไกล ห่างออกไปประมาณระยะยิงธนูตก เพราะนางคิดว่า “ฉันไม่อาจทนดูลูกตายไป” และขณะนั่งอยู่ที่นั่น นาง[k]ก็เริ่มร้องไห้สะอึกสะอื้น

17 พระเจ้าทรงได้ยินเสียงร้องของเด็กหนุ่ม ทูตของพระเจ้าเรียกฮาการ์จากฟ้าสวรรค์และพูดกับนางว่า “ฮาการ์เอ๋ย มีเรื่องอะไรหรือ? อย่ากลัวเลย พระเจ้าทรงได้ยินเสียงร้องของเด็กที่นอนอยู่ตรงนั้นแล้ว 18 จงไปประคองเขาขึ้นและจูงมือเขาไป เพราะเราจะทำให้เขาเป็นชาติใหญ่ชาติหนึ่ง”

19 แล้วพระเจ้าทรงเบิกตาของนาง นางก็เห็นบ่อน้ำแห่งหนึ่ง จึงไปเติมน้ำเต็มถุงหนังและให้เด็กหนุ่มนั้นดื่ม

20 พระเจ้าสถิตกับเด็กหนุ่มคนนั้น ขณะที่เขาเติบโตขึ้น เขาอาศัยในถิ่นกันดารและกลายเป็นนักยิงธนู 21 ขณะเขาอาศัยในถิ่นกันดารแห่งปาราน มารดาได้หาหญิงสาวจากอียิปต์มาเป็นภรรยาของเขา

สนธิสัญญาที่เบเออร์เชบา

22 ครั้งนั้น อาบีเมเลคกับแม่ทัพฟีโคล์กล่าวกับอับราฮัมว่า “พระเจ้าสถิตกับท่านในทุกสิ่งที่ท่านทำ 23 บัดนี้ขอให้ท่านปฏิญาณต่อหน้าพระเจ้าเถิดว่าท่านจะไม่หลอกเรา ไม่หลอกลูกหลานหรือเชื้อสายของเรา ให้จงรักภักดีต่อเราและต่อบ้านเมืองซึ่งท่านมาอาศัยเป็นคนต่างด้าวอยู่นี้เหมือนที่เราจงรักภักดีต่อท่าน”

24 อับราฮัมกล่าวว่า “ข้าพเจ้าขอปฏิญาณ”

25 แล้วอับราฮัมจึงร้องทุกข์ต่ออาบีเมเลคเรื่องบ่อน้ำแห่งหนึ่งที่บริวารของอาบีเมเลคยึดไป 26 แต่อาบีเมเลคตอบว่า “เราไม่รู้ว่าใครทำเช่นนั้น ท่านไม่ได้บอกเรา และเราเพิ่งได้ยินเรื่องนี้วันนี้เอง”

27 อับราฮัมจึงยกแกะและวัวให้อาบีเมเลค และชายทั้งสองก็ทำสนธิสัญญากัน 28 อับราฮัมคัดลูกแกะตัวเมียเจ็ดตัวออกจากฝูง 29 และอาบีเมเลคก็ถามอับราฮัมว่า “ลูกแกะตัวเมียเจ็ดตัวที่ท่านคัดออกมานี้มีความหมายอะไร?”

30 เขาตอบว่า “ขอจงรับลูกแกะเจ็ดตัวนี้จากมือข้าพเจ้าเพื่อเป็นพยานหลักฐานว่าข้าพเจ้าเป็นผู้ขุดบ่อน้ำนี้”

31 ที่แห่งนั้นจึงได้ชื่อว่าเบเออร์เชบา[l]เพราะทั้งสองได้ปฏิญาณร่วมกันที่นั่น

32 หลังจากทำสนธิสัญญาที่เบเออร์เชบาแล้ว อาบีเมเลคกับแม่ทัพฟีโคล์ก็กลับสู่ดินแดนฟีลิสเตีย 33 อับราฮัมได้ปลูกต้นสนหมอกต้นหนึ่งในเบเออร์เชบาและนมัสการร้องออกพระนามพระยาห์เวห์ พระเจ้าองค์นิรันดร์ 34 และอับราฮัมก็อาศัยอยู่ในดินแดนของชาวฟีลิสเตียเป็นเวลานาน

Thai New Contemporary Bible (TNCV)

Thai New Contemporary Bible Copyright © 1999, 2001, 2007 by Biblica, Inc.® Used by permission. All rights reserved worldwide.