Previous Prev Day Next DayNext

Chronological

Read the Bible in the chronological order in which its stories and events occurred.
Duration: 365 days
Thai New Contemporary Bible (TNCV)
Version
ปฐมกาล 16-18

ฮาการ์กับอิชมาเอล

16 นางซารายภรรยาของอับรามไม่มีบุตรให้แก่อับราม แต่นางมีสาวใช้ชาวอียิปต์ชื่อฮาการ์ นางจึงกล่าวกับอับรามว่า “ดูสิองค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ยอมให้ฉันมีลูก จงไปนอนกับสาวใช้ของฉัน บางทีฉันจะมีลูกผ่านทางนาง”

อับรามก็ฟังคำของนางซาราย ฉะนั้นหลังจากที่อับรามอาศัยอยู่ที่คานาอันได้สิบปี นางซารายภรรยาของเขาจึงนำนางฮาการ์สาวใช้ชาวอียิปต์มาให้สามีของนาง ให้เป็นภรรยาของเขา เขาก็หลับนอนกับฮาการ์และนางก็ตั้งครรภ์

เมื่อนางรู้ว่าตนตั้งครรภ์แล้วก็เริ่มดูถูกนายหญิง ซารายจึงพูดกับอับรามว่า “ท่านต้องรับผิดชอบต่อเรื่องแย่ๆ ที่เกิดขึ้นกับฉัน ฉันมอบสาวใช้ของฉันไว้ในอ้อมอกของท่าน พอนางท้อง ท่านก็ปล่อยให้นางดูถูกฉัน ขอองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงตัดสินความระหว่างท่านกับฉันว่าใครผิดใครถูก”

อับรามจึงตอบว่า “สาวใช้ของเจ้าก็อยู่ในมือของเจ้า จงทำกับนางตามที่เจ้าเห็นควรเถิด” นางซารายจึงกดขี่ข่มเหงฮาการ์ ดังนั้นนางฮาการ์จึงหลบลี้หนีหน้าไป

ทูตขององค์พระผู้เป็นเจ้าพบนางฮาการ์ในทะเลทรายใกล้บ่อน้ำพุซึ่งอยู่ริมทางที่จะไปเมืองชูร์ และทูตนั้นพูดว่า “ฮาการ์ สาวใช้ของซาราย เจ้ามาจากไหนและกำลังจะไปที่ไหน?”

นางตอบว่า “ข้าพเจ้ากำลังหนีนางซารายนายหญิงของข้าพเจ้า”

แล้วทูตขององค์พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับนางว่า “จงกลับไปหานายหญิงของเจ้าและยอมอยู่ใต้อาณัติของนาง” 10 ทูตขององค์พระผู้เป็นเจ้ากล่าวอีกว่า “เราจะเพิ่มลูกหลานของเจ้าให้มากมายจนนับไม่ถ้วน”

11 ทูตขององค์พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับนางอีกว่า

“บัดนี้เจ้ากำลังตั้งครรภ์
และเจ้าจะมีบุตรชาย
เจ้าจะตั้งชื่อเขาว่าอิชมาเอล[a]
เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงได้ยินความทุกข์ระทมของเจ้า
12 เขาจะเป็นดั่งลาป่าในมือมนุษย์
มือของเขาจะต่อสู้กับทุกคน
และมือของทุกคนก็จะต่อสู้กับเขา
และชีวิตของเขาจะต้องประจันหน้า
กับ[b]พี่น้องทั้งปวงของเขา”

13 นางเรียกพระนามองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ตรัสกับนางว่า “พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ทอดพระเนตรเห็นข้าพระองค์” และนางพูดว่า “บัดนี้ฉันได้เห็น[c]พระองค์ผู้ทรงเห็นฉัน” 14 บ่อน้ำนั้นจึงได้ชื่อว่าเบเออร์ลาไฮรอย[d] ตั้งอยู่ระหว่างคาเดชกับเบเรด

15 ฮาการ์คลอดบุตรชายคนหนึ่งให้แก่อับราม และอับรามตั้งชื่อบุตรที่นางให้กำเนิดว่าอิชมาเอล 16 อับรามอายุ 86 ปีเมื่อฮาการ์ให้กำเนิดอิชมาเอลแก่เขา

พันธสัญญาแห่งการเข้าสุหนัต

17 เมื่ออับรามอายุ 99 ปี องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงปรากฏแก่เขาและตรัสว่า “เราคือพระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์ จงดำเนินชีวิตอยู่ในทางของเราและเป็นคนดีพร้อม เราจะทำพันธสัญญาระหว่างเรากับเจ้า และจะทวีจำนวนพงศ์พันธุ์ของเจ้าอย่างมากมาย”

อับรามจึงหมอบกราบซบหน้าลงและพระเจ้าตรัสกับเขาว่า “สำหรับเรา นี่คือพันธสัญญาของเรากับเจ้า คือเจ้าจะเป็นบิดาของชนชาติต่างๆ เขาจะไม่เรียกเจ้าว่าอับราม[e]อีกต่อไป เจ้าจะมีชื่อว่าอับราฮัม[f] เพราะเราได้ให้เจ้าเป็นบิดาของชนชาติต่างๆ เราจะให้เจ้ามีลูกมีหลานมากมาย เราจะให้หลายชนชาติเกิดขึ้นมาจากเจ้า และกษัตริย์หลายองค์จะสืบเชื้อสายจากเจ้า เราจะสถาปนาพันธสัญญาของเราไว้ เป็นพันธสัญญานิรันดร์ระหว่างเรากับเจ้า และกับลูกหลานของเจ้าทุกชั่วอายุที่จะตามมา เป็นพันธสัญญาว่าเราจะเป็นพระเจ้าของเจ้า และจะเป็นพระเจ้าของลูกหลานของเจ้าที่จะเกิดมาภายหลัง เราจะยกดินแดนคานาอันทั้งหมด คือที่เจ้าอาศัยอยู่อย่างคนต่างด้าวในขณะนี้ ให้เป็นกรรมสิทธิ์นิรันดร์ของเจ้ากับลูกหลานสืบไป และเราจะเป็นพระเจ้าของพวกเขา”

แล้วพระเจ้าตรัสกับอับราฮัมว่า “สำหรับเจ้า เจ้าต้องรักษาพันธสัญญาของเรา คือทั้งตัวเจ้าและลูกหลานตลอดทุกชั่วอายุสืบไป 10 นี่คือพันธสัญญาของเรากับเจ้าและกับลูกหลานที่จะมาภายหลังเจ้า เป็นพันธสัญญาที่เจ้าต้องรักษา คือชายทุกคนในพวกเจ้าจะต้องเข้าสุหนัต 11 เจ้าต้องเข้าสุหนัต นี่จะเป็นเครื่องหมายแห่งพันธสัญญาระหว่างเรากับเจ้า 12 ผู้ชายทุกคนในพวกเจ้าทุกชั่วอายุที่มีอายุแปดวันจะต้องเข้าสุหนัต รวมทั้งคนที่เกิดในครัวเรือนของเจ้าหรือซื้อมาจากคนต่างชาติซึ่งไม่ใช่วงศ์วานของเจ้า 13 ไม่ว่าจะเป็นคนที่เกิดในครัวเรือนของเจ้าหรือเจ้าซื้อตัวมาก็ต้องเข้าสุหนัต พันธสัญญาของเราที่กายของเจ้าจะเป็นพันธสัญญานิรันดร์ 14 ชายใดที่ไม่เข้าสุหนัต คือผู้ที่ไม่ได้เข้าสุหนัตฝ่ายกาย จะถูกตัดออกจากชนชาติของตน เพราะเขาได้ละเมิดพันธสัญญาของเรา”

15 พระเจ้าตรัสกับอับราฮัมด้วยว่า “ส่วนซารายภรรยาของเจ้า เจ้าจะไม่เรียกนางว่าซารายอีกต่อไป นางจะชื่อว่าซาราห์ 16 เราจะอวยพรนางและจะให้นางกำเนิดลูกชายคนหนึ่งแก่เจ้าอย่างแน่นอน เราจะอวยพรให้นางเป็นมารดาของชาติต่างๆ กษัตริย์ของชนชาติต่างๆ จะมาจากนาง”

17 อับราฮัมหมอบกราบซบหน้าลง เขาหัวเราะและพูดกับตนเองว่า “ชายอายุร้อยปีจะมีลูกได้หรือ? และซาราห์จะให้กำเนิดลูกเมื่ออายุเก้าสิบหรือ?” 18 และอับราฮัมทูลพระเจ้าว่า “ขอเพียงแต่พระองค์ทรงอวยพรชีวิตของอิชมาเอล!”

19 แล้วพระเจ้าตรัสว่า “แต่ซาราห์จะคลอดลูกชายคนหนึ่งให้เจ้า และเจ้าจะเรียกเขาว่าอิสอัค[g] เราจะสถาปนาพันธสัญญาของเรากับเขา เป็นพันธสัญญานิรันดร์แก่ลูกหลานของเขาที่จะมาภายหลัง 20 สำหรับอิชมาเอล เราได้ฟังเจ้า เราจะอวยพรเขาอย่างแน่นอน เราจะทำให้เขามีลูกมีหลานและจะให้เขาทวีจำนวนขึ้นมากมาย เขาจะเป็นบิดาของเจ้านายสิบสองคน และเราจะทำให้เขาเป็นชนชาติยิ่งใหญ่ 21 แต่พันธสัญญาของเรานั้น เราจะทำกับอิสอัคซึ่งซาราห์จะคลอดให้เจ้าปีหน้าในช่วงเวลานี้” 22 เมื่อตรัสกับอับราฮัมจบแล้ว พระเจ้าก็เสด็จขึ้นไปจากเขา

23 วันเดียวกันนั้นเอง อับราฮัมก็นำอิชมาเอลและชายทุกคนทั้งที่เกิดในครัวเรือนหรือซื้อมาด้วยเงินของเขามาเข้าสุหนัตตามที่พระเจ้าตรัสสั่งไว้ 24 เวลานั้นอับราฮัมอายุ 99 ปีเมื่อเข้าสุหนัต 25 และอิชมาเอลบุตรชายของเขาอายุ 13 ปี 26 อับราฮัมกับอิชมาเอลบุตรชายของเขาเข้าสุหนัตในวันเดียวกัน 27 และผู้ชายทุกคนในครัวเรือนของอับราฮัม ทั้งคนที่เกิดมาในครัวเรือนหรือซื้อมาจากคนต่างชาติได้เข้าสุหนัตด้วยกันกับเขา

ผู้มาเยือนทั้งสาม

18 องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงปรากฏแก่อับราฮัมใกล้หมู่ต้นไม้ใหญ่ของมัมเร ขณะเขานั่งอยู่ที่ประตูเต็นท์ช่วงแดดร้อนจัด อับราฮัมเงยหน้าขึ้นและมองเห็นชายสามคนยืนอยู่ใกล้ๆ จึงรีบลุกออกไปต้อนรับและก้มคำนับจนถึงพื้น

เขากล่าวว่า “ท่านเจ้าข้า[h] หากท่านจะกรุณา โปรดอย่าผ่านผู้รับใช้ของท่านไป ให้ข้าพเจ้าเอาน้ำมาสักหน่อยเพื่อพวกท่านจะได้ล้างเท้าและพักใต้ร่มไม้นี้ ข้าพเจ้าจะได้หาอะไรมาให้พวกท่านรับประทาน เพื่อพวกท่านจะได้สดชื่นขึ้น แล้วค่อยเดินทางต่อไป ในเมื่อพวกท่านได้มาหาผู้รับใช้ของพวกท่านแล้ว”

พวกเขาตอบว่า “ดีแล้ว จงไปทำอย่างที่ท่านพูดเถิด”

ดังนั้นอับราฮัมจึงรีบกลับเข้าไปในเต็นท์ ไปหาซาราห์และกล่าวว่า “เร็วเข้า เอาแป้งละเอียด 3 ถัง[i]มานวดและทำขนมปัง”

จากนั้นเขาวิ่งไปที่ฝูงสัตว์ คัดเลือกลูกวัวเนื้อนุ่มรสดีมาตัวหนึ่ง และบอกให้คนใช้รีบจัดแจงปรุงเป็นอาหาร แล้วเขาก็ยกนมเนย กับเนื้อวัวที่ปรุงแล้วมาตั้งต่อหน้าพวกเขา ขณะที่พวกเขารับประทานอาหาร อับราฮัมยืนอยู่ใกล้พวกเขาใต้ต้นไม้นั้น

พวกเขาถามว่า “ซาราห์ภรรยาของเจ้าอยู่ที่ไหน?”

เขาตอบว่า “นางอยู่ในเต็นท์”

10 แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า[j] “เราจะกลับมาหาเจ้าอีกอย่างแน่นอนในปีหน้าเวลาราวๆ นี้ และซาราห์ภรรยาของเจ้าจะให้กำเนิดบุตรชายคนหนึ่ง”

ส่วนซาราห์กำลังฟังอยู่ที่ทางเข้าประตูเต็นท์ข้างหลังเขา 11 ทั้งอับราฮัมกับซาราห์มีอายุมากแล้ว และซาราห์ก็ไม่มีประจำเดือนอีกแล้ว 12 ดังนั้นซาราห์จึงหัวเราะกับตนเองขณะคิดอยู่ในใจว่า “ฉันก็อายุปูนนี้แล้ว และนายของฉัน[k]ก็แก่เฒ่าแล้ว ฉันจะยังมีเรื่องยินดีเช่นนี้อีกหรือ?”

13 แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับอับราฮัมว่า “ทำไมซาราห์จึงหัวเราะและพูดว่า ‘คนแก่อย่างฉันยังจะมีลูกได้จริงๆ หรือ?’ 14 มีอะไรยากเกินไปสำหรับองค์พระผู้เป็นเจ้าหรือ? เราจะกลับมาหาเจ้าตามเวลาที่กำหนดในปีหน้า และซาราห์จะให้กำเนิดบุตรชาย”

15 ซาราห์กลัวจึงโกหกว่า “ข้าพระองค์ไม่ได้หัวเราะ”

แต่พระองค์ตรัสว่า “เจ้าหัวเราะจริงๆ”

อับราฮัมวิงวอนเพื่อเมืองโสโดม

16 แล้วคนเหล่านั้นก็ลุกขึ้นจะจากไป พวกเขามองลงไปทางเมืองโสโดม และอับราฮัมเดินตามไปส่งพวกเขา 17 แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “ควรหรือที่เราจะปิดบังสิ่งที่เราจะกระทำไม่ให้อับราฮัมรู้? 18 ในเมื่ออับราฮัมจะเป็นชนชาติที่ยิ่งใหญ่และทรงอำนาจอย่างแน่นอน และทุกประชาชาติทั่วโลกจะได้รับพรผ่านทางเขา 19 เพราะว่าเราได้เลือกเขา เพื่อเขาจะสั่งสอนลูกหลานและครัวเรือนของเขาที่จะมีมาภายหลัง ให้รักษาวิถีทางขององค์พระผู้เป็นเจ้าด้วยการทำสิ่งที่ถูกต้องและยุติธรรม เพื่อว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าจะทำให้สิ่งที่พระองค์ทรงสัญญาไว้กับอับราฮัมเป็นจริง”

20 แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “เสียงฟ้องร้องเมืองโสโดมกับโกโมราห์ก็ดังสนั่น และพวกเขาทำบาปมหันต์ 21 จนเราต้องลงไปดูว่าสิ่งที่พวกเขาทำนั้นเลวร้ายอย่างเสียงฟ้องร้องที่ขึ้นมาถึงเราหรือไม่ ถ้าไม่จริง เราก็จะได้รู้”

22 คนเหล่านั้นจึงหันหน้าเดินไปยังเมืองโสโดม แต่อับราฮัมยังยืนอยู่ต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้า[l] 23 แล้วอับราฮัมเข้าไปหาพระองค์และทูลว่า “พระองค์จะทรงกวาดล้างคนชอบธรรมไปพร้อมกับคนชั่วหรือ? 24 พระองค์จะทำอย่างไรถ้าหากว่ามีคนชอบธรรมห้าสิบคนในเมืองนั้น? พระองค์จะทรงกวาดล้างเมืองนั้นจริงๆ หรือ พระองค์จะไม่ทรงละเว้น[m]ชาวเมืองนั้นเพื่อเห็นแก่คนชอบธรรมห้าสิบคนในนั้นหรือ? 25 พระองค์จะไม่ทรงทำอย่างนั้นแน่ พระองค์จะไม่ทรงประหารคนชอบธรรมไปพร้อมกับคนชั่ว หรือปฏิบัติต่อคนชอบธรรมเช่นเดียวกับคนอธรรมเลย พระองค์จะไม่ทรงทำอย่างนั้นแน่ องค์ตุลาการแห่งสากลโลกจะไม่ธำรงความยุติธรรมไว้หรือ?”

26 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “หากเราพบคนชอบธรรมห้าสิบคนในเมืองโสโดม เราจะละเว้นคนทั้งเมืองนั้นเพราะเห็นแก่พวกเขา”

27 อับราฮัมทูลอีกว่า “ข้าพระองค์ซึ่งเป็นเพียงผงธุลีและขี้เถ้าไม่ควรอาจเอื้อมทูลขอต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า 28 แต่หากคนชอบธรรมขาดไปห้าคนจากห้าสิบคนเล่า? พระองค์จะยังทรงทำลายเมืองนั้นทั้งเมืองเพราะคนห้าคนหรือ?”

พระองค์ตรัสว่า “หากเราพบสี่สิบห้าคนที่นั่น เราจะไม่ทำลายเมืองนั้น”

29 อับราฮัมจึงทูลอีกว่า “หากพบเพียงสี่สิบคนเล่าพระเจ้าข้า?”

พระองค์ตรัสว่า “เพื่อเห็นแก่สี่สิบคนนั้น เราจะไม่ทำลายเมืองนั้น”

30 แล้วอับราฮัมจึงทูลว่า “ขอองค์พระผู้เป็นเจ้าอย่าได้ทรงพระพิโรธเลย ข้าพระองค์ขอกราบทูลอีก หากพบเพียงสามสิบคนที่นั่นเล่า?”

พระองค์ตรัสตอบว่า “เราจะไม่ทำลาย หากเราพบสามสิบคนที่นั่น”

31 อับราฮัมทูลว่า “ในเมื่อข้าพระองค์ก็กล้าอาจเอื้อมกราบทูลองค์พระผู้เป็นเจ้าไปแล้ว หากพบเพียงยี่สิบคนเท่านั้นเล่า?”

พระองค์ตรัสว่า “เพื่อเห็นแก่ยี่สิบคน เราจะไม่ทำลายเมืองนั้น”

32 แล้วอับราฮัมทูลว่า “ขอองค์พระผู้เป็นเจ้าอย่าทรงพระพิโรธเลย ข้าพระองค์ขอกราบทูลอีกเพียงครั้งเดียว หากพบแต่เพียงสิบคนเท่านั้นเล่า?”

พระองค์ตรัสตอบว่า “เพื่อเห็นแก่สิบคน เราจะไม่ทำลายเมืองนั้น”

33 เมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับอับราฮัมจบแล้วก็เสด็จจากไป ส่วนอับราฮัมก็กลับบ้าน

Thai New Contemporary Bible (TNCV)

Thai New Contemporary Bible Copyright © 1999, 2001, 2007 by Biblica, Inc.® Used by permission. All rights reserved worldwide.