Previous Prev Day Next DayNext

Chronological

Read the Bible in the chronological order in which its stories and events occurred.
Duration: 365 days
Thai New Contemporary Bible (TNCV)
Version
ผู้วินิจฉัย 16-18

แซมสันกับเดลิลาห์

16 วันหนึ่งแซมสันไปที่กาซาและพบหญิงโสเภณีคนหนึ่งที่นั่น เขาจึงไปนอนกับนาง เมื่อชาวเมืองกาซาได้ยินว่า “แซมสันอยู่ที่นี่!” พวกเขาจึงล้อมที่แห่งนั้นไว้และซุ่มอยู่ที่ประตูเมืองตลอดคืน พวกเขาคบคิดกันเงียบๆ ว่า “พอฟ้าสาง เราจะฆ่าเขา”

แต่แซมสันนอนอยู่ที่นั่นจนถึงเที่ยงคืน แล้วลุกขึ้นออกไปที่ประตูเมือง ยกประตูเมืองขึ้นมา ดึงเสาประตูทั้งสองข้างพร้อมทั้งดาลประตูหลุดลอยจากพื้น แล้วแบกประตูไปจนถึงยอดเนินเขาที่หันหน้าไปทางเฮโบรน

ต่อมาแซมสันหลงรักสาวคนหนึ่งชื่อเดลิลาห์ ซึ่งอาศัยอยู่ที่หุบเขาโสเรก เหล่าเจ้านายฟีลิสเตียไปพบหญิงนั้นและบอกนางว่า “เจ้าจงล้วงความลับของแซมสันว่ากำลังอันมหาศาลของเขามาจากไหน และทำอย่างไรพวกเราจึงจะสามารถปราบและจับกุมตัวเขาไว้ได้ แล้วพวกเราแต่ละคนจะให้เงินหนัก 1,100 เชเขล[a]แก่เจ้า”

ดังนั้นเดลิลาห์จึงกล่าวกับแซมสันว่า “โปรดบอกความลับที่ทำให้ท่านมีพลังมหาศาลอย่างนี้ ทำอย่างไรจึงจะมัดและคุมตัวท่านไว้ได้”

แซมสันตอบว่า “ถ้าใช้สายธนูที่หนังยังไม่แห้งเจ็ดเส้นมัดตัวข้า ข้าก็จะอ่อนแอเหมือนคนอื่น”

ฉะนั้นเจ้านายฟีลิสเตียจึงเอาสายธนูที่หนังยังไม่แห้งเจ็ดเส้นมาให้เดลิลาห์ นางก็เอาสายธนูมัดแซมสัน เดลิลาห์ให้คนซุ่มอยู่ในอีกห้องหนึ่ง แล้วนางก็ร้องว่า “แซมสัน พวกฟีลิสเตียมาจับท่านแล้ว!” แซมสันก็สะบัดสายธนูขาดอย่างง่ายดายเหมือนเชือกที่ถูกไฟลน ดังนั้นความลับของเขาเรื่องพละกำลังจึงยังไม่ถูกเปิดเผย

10 แล้วเดลิลาห์กล่าวกับแซมสันว่า “ท่านโกหกหลอกลวงฉัน โปรดบอกฉันมาเดี๋ยวนี้ว่าจะจับท่านมัดไว้ได้อย่างไร”

11 แซมสันกล่าวว่า “ถ้าใช้เชือกใหม่ที่ไม่เคยใช้งานมาก่อนมัดข้าอย่างแน่นหนา ข้าก็จะอ่อนแอเหมือนชายอื่น”

12 ฉะนั้นเดลิลาห์จึงเอาเชือกใหม่มามัดเขาไว้ แล้วให้คนซุ่มอยู่ในอีกห้องหนึ่งเหมือนครั้งก่อน เดลิลาห์ร้องว่า “แซมสัน พวกฟีลิสเตียมาจับท่านแล้ว!” แต่แซมสันก็สะบัดเชือกออกจากแขนอย่างง่ายดายเหมือนเส้นด้าย

13 เดลิลาห์กล่าวว่า “จนถึงเดี๋ยวนี้ท่านยังโกหกหลอกลวงฉัน จงบอกมาว่าจะมัดท่านไว้ได้อย่างไร”

แซมสันตอบว่า “หากทอเส้นผมทั้งเจ็ดปอยของข้าเข้าไปในหูกทอผ้า แล้วกระทกด้วยฟืม ข้าก็จะอ่อนแอเหมือนชายอื่น” ฉะนั้นเมื่อแซมสันนอนหลับ เดลิลาห์ก็ทอผมทั้งเจ็ดปอยของเขาเข้าในหูก 14 แล้วกระทกด้วยฟืม

นางร้องบอกเขาอีกครั้งว่า “แซมสัน พวกฟีลิสเตียมาจับท่านแล้ว!” แซมสันก็ลุกขึ้นดึงผมออก ทำให้หูกทอผ้าเสียหาย

15 แล้วเดลิลาห์ตัดพ้อว่า “ท่านพูดได้อย่างไรว่า ‘ข้ารักเจ้า’ ในเมื่อท่านไม่ไว้ใจฉันเลย? ท่านหลอกลวงฉันถึงสามครั้งแล้ว ยังไม่บอกความลับกับฉันเสียทีว่าอะไรทำให้ท่านมีเรี่ยวแรงมากถึงขนาดนี้” 16 นางพิรี้พิไรกับแซมสันทุกวันจนเขาเหนื่อยหน่ายเหลือทน

17 เขาจึงบอกนางทุกอย่างว่า “ข้าไม่เคยตัดผมเลย เพราะข้าเป็นนาศีร์ถวายแด่พระเจ้าตั้งแต่เกิด ถ้าหากโกนผมทิ้ง เรี่ยวแรงกำลังของข้าก็จะหมดไป ข้าจะอ่อนแอเหมือนคนอื่นๆ”

18 เมื่อเดลิลาห์เห็นว่าเขาได้บอกความลับทั้งหมดแก่นางแล้ว จึงส่งข่าวไปถึงเหล่าเจ้านายฟีลิสเตียว่า “โปรดมาอีกสักครั้ง เพราะเขาบอกทุกสิ่งทุกอย่างแก่ฉันแล้ว” ดังนั้นพวกเจ้านายฟีลิสเตียจึงกลับมา พร้อมนำเงินติดตัวมาด้วย 19 เดลิลาห์ให้แซมสันนอนหลับหนุนตักนาง แล้วให้คนมาโกนผมแซมสันหมดทั้งเจ็ดปอย ทำให้เรี่ยวแรงของแซมสันถดถอยลง แล้วกำลังของเขาก็หมดไป

20 แล้วนางร้องว่า “แซมสัน พวกฟีลิสเตียมาจับตัวท่านแล้ว!”

แซมสันก็ตื่นขึ้น และคิดว่า “เราจะสะบัดตัวหลุดรอดไปเหมือนครั้งก่อนๆ” แต่เขาไม่รู้ว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงทิ้งเขาไปเสียแล้ว

21 จากนั้นชาวฟีลิสเตียจึงจับตัวแซมสัน ควักตาทั้งสองข้างของเขาออกและนำตัวเขาไปยังกาซา ล่ามเขาด้วยโซ่ทองสัมฤทธิ์และให้โม่ข้าวอยู่ในเรือนจำ 22 แต่ไม่นานผมของแซมสันก็เริ่มยาวอีก

การตายของแซมสัน

23 ฝ่ายเจ้านายชาวฟีลิสเตียชุมนุมกันเพื่อถวายเครื่องบูชาครั้งใหญ่แด่พระดาโกนเทพเจ้าของพวกเขา เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองและกล่าวว่า “เทพเจ้าของเรามอบแซมสันศัตรูของเราไว้ในมือของเราแล้ว”

24 เมื่อประชาชนเห็นแซมสัน ก็ร้องสรรเสริญเทพเจ้าของตนว่า

“เทพเจ้าของเรามอบศัตรู
ไว้ในมือของเราแล้ว
คนนี้แหละที่ล้างผลาญแผ่นดินของเรา
และฆ่าพวกเราตายมากมาย”

25 ขณะที่พวกเขากำลังมึนเมา พวกเขาก็ตะโกนขึ้นว่า “เอาตัวแซมสันออกมาสร้างความบันเทิงให้พวกเราเถิด” แซมสันถูกนำตัวออกจากที่คุมขัง แล้วแสดงให้พวกเขาดู

ขณะที่แซมสันถูกนำมายืนอยู่ท่ามกลางหมู่เสา 26 เขาบอกคนรับใช้ที่จูงมือตนมาว่า “พาเราไปตรงที่จะคลำพบเสารองรับวิหาร เพื่อเราจะได้พิงเสา” 27 ขณะนั้นภายในวิหารคลาคล่ำไปด้วยฝูงชนทั้งชายและหญิง เจ้านายฟีลิสเตียทั้งปวงก็อยู่ที่นั่นด้วย และบนดาดฟ้ามีชายหญิงประมาณสามพันคนเฝ้าดูแซมสันแสดงอยู่ 28 แซมสันจึงอธิษฐานต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า “ข้าแต่พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิต ขอทรงระลึกถึงข้าพระองค์ ข้าแต่พระเจ้าโปรดให้พละกำลังแก่ข้าพระองค์อีกครั้งเดียว เพื่อข้าพระองค์จะได้แก้แค้นชาวฟีลิสเตียชดเชยกับที่ต้องสูญเสียดวงตาทั้งสองข้างไป” 29 จากนั้นแซมสันก็ไปที่เสาสองต้นกลางวิหารซึ่งเป็นเสารองรับวิหาร มือขวายันเสาข้างหนึ่ง มือซ้ายยันเสาอีกข้างหนึ่ง แล้วรวบรวมกำลังดันเสา 30 แซมสันกล่าวว่า “เราขอตายพร้อมพวกฟีลิสเตีย!” แล้วเขาก็ดันเสาสุดแรง วิหารพังครืนลงมาทับเจ้านายฟีลิสเตียและประชากรทั้งหมดในนั้น เป็นอันว่าขณะที่แซมสันกำลังจะตาย เขาได้ฆ่าชาวฟีลิสเตียมากยิ่งกว่าตอนที่เขายังมีชีวิตอยู่

31 แล้วญาติพี่น้องและครอบครัวของบิดาแซมสันก็ลงมารับศพของเขากลับไป และฝังไว้ระหว่างโศราห์กับเอชทาโอลในอุโมงค์ฝังศพของมาโนอาห์ บิดาของแซมสัน แซมสันนำ[b]อิสราเอลอยู่ยี่สิบปี

เทวรูปของมีคาห์

17 ในแดนเทือกเขาแห่งเอฟราอิม มีชายคนหนึ่งชื่อมีคาห์ เขากล่าวกับมารดาว่า “เงินหนัก 1,100 เชเขล[c]ที่แม่คิดว่าถูกขโมยไปและข้าพเจ้าได้ยินแม่สาปแช่งขโมยอยู่ ที่แท้ข้าพเจ้าเอาไปเอง”

มารดาก็ตอบว่า “ขอองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอวยพรลูกเถิด!”

เมื่อเขาคืนเงินหนัก 1,100 เชเขลแก่มารดาของเขา นางกล่าวว่า “แม่จะเอาเงินนี้ไปถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าสำหรับลูก แม่จะทำรูปสลักและหล่อรูปเคารพให้ลูก”

ดังนั้นเขาจึงคืนเงินให้แก่มารดาและนางนำเงินหนัก 200 เชเขล ไปให้ช่างเงินทำรูปเคารพขึ้นมาตั้งไว้ที่บ้านของมีคาห์

มีคาห์คนนี้มีหิ้งบูชา เขาทำเอโฟดและรูปเคารพต่างๆ และตั้งบุตรชายคนหนึ่งของตนให้เป็นปุโรหิต ในสมัยนั้นอิสราเอลไม่มีกษัตริย์ปกครองทุกคนต่างทำตามที่ตนเองเห็นดีเห็นชอบ

มีหนุ่มเลวีคนหนึ่งซึ่งอาศัยอยู่ในเขตของตระกูลยูดาห์ มาจากเบธเลเฮมในยูดาห์ เขาจากที่นั่นมาเพื่อหาที่พักอาศัยแห่งใหม่ ระหว่างทาง[d]เขามาถึงบ้านของมีคาห์ในแดนเทือกเขาแห่งเอฟราอิม

มีคาห์ถามเขาว่า “ท่านมาจากไหน?”

เขาตอบว่า “ข้าพเจ้าเป็นคนเลวีมาจากเบธเลเฮมในแผ่นดินยูดาห์ กำลังหาที่พักอาศัย”

10 มีคาห์จึงกล่าวว่า “มาอยู่กับข้าพเจ้าเถิด มาเป็นบิดาและเป็นปุโรหิตของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะให้เงินท่านปีละ 10 เชเขลพร้อมทั้งเสื้อผ้าและอาหาร” 11 ดังนั้นหนุ่มเลวีจึงตกลงอยู่กับเขา เขาเป็นเหมือนบุตรชายคนหนึ่งของมีคาห์ 12 จากนั้นมีคาห์แต่งตั้งชายหนุ่มเลวีผู้นั้นให้เป็นปุโรหิตอาศัยอยู่ในบ้านของเขา 13 และมีคาห์กล่าวว่า “บัดนี้ข้าพเจ้ารู้แล้วว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงดีต่อข้าพเจ้า เพราะว่าชาวเลวีคนนี้มาเป็นปุโรหิตของข้าพเจ้า”

คนตระกูลดานตั้งถิ่นฐานในลาอิช

18 ในสมัยนั้นอิสราเอลไม่มีกษัตริย์ปกครอง เผ่าดานพยายามเสาะหาทำเลเพื่อตั้งถิ่นฐาน เพราะว่าพวกเขายังไม่มีดินแดนกรรมสิทธิ์ท่ามกลางเผ่าต่างๆ ของอิสราเอล ฉะนั้นชาวดานจึงส่งนักรบห้าคนจากเมืองโศราห์และเอชทาโอลไปสืบและสำรวจดินแดนซึ่งจะเข้าไปตั้งถิ่นฐาน คนเหล่านั้นเป็นตัวแทนของตระกูลต่างๆ ของพวกเขา ชาวดานกล่าวกับพวกเขาว่า “จงไปสำรวจดูแผ่นดินนั้น”

เมื่อมาถึงแดนเทือกเขาแห่งเอฟราอิม พวกเขาก็พักค้างคืนที่บ้านของมีคาห์ เมื่อพวกเขาเข้ามาใกล้บ้านของมีคาห์ พวกเขาจำสำเนียงของหนุ่มเลวีผู้นั้นได้ จึงแวะถามว่า “ใครพาเจ้ามาที่นี่? มาทำอะไรที่นี่? และมาทำไม?”

หนุ่มเลวีก็เล่าให้พวกเขาฟังถึงสิ่งที่มีคาห์ทำเพื่อเขา และกล่าวว่า “เขาได้จ้างข้าพเจ้าให้เป็นปุโรหิตของเขา”

คนเหล่านั้นจึงพูดกับเขาว่า “ถ้าอย่างนั้นช่วยทูลถามพระเจ้าให้ด้วยว่าการเดินทางของเราครั้งนี้จะประสบความสำเร็จหรือไม่”

ปุโรหิตตอบว่า “จงไปดีมีสุขเถิด องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเห็นชอบกับการเดินทางของท่าน”

ฉะนั้นทั้งห้าคนจึงเดินทางต่อไปจนถึงเมืองลาอิช และเห็นว่าผู้คนที่นั่นต่างอยู่อย่างสงบสุขเหมือนชาวไซดอน ทั้งมั่นคงและปลอดภัย และเนื่องจากดินแดนอุดมสมบูรณ์และไม่ขาดสิ่งใด พวกเขาจึงเจริญรุ่งเรืองมาก พวกเขาก็อยู่ห่างไกลจากไซดอนและไม่มีการติดต่อกับใครเลยด้วย[e]

เมื่อสายสืบกลับมายังโศราห์และเอชทาโอล พวกพ้องก็ถามว่า “พวกเจ้าไปพบเห็นอะไรมาบ้าง?”

พวกเขาตอบว่า “ให้เราไปโจมตีคนเหล่านั้นเถิด! เราเห็นแล้วว่าดินแดนนั้นดีมาก พวกท่านจะไม่ทำอะไรเลยหรือ? อย่ารีรอเลย ไปยึดที่นั่นกันเถิด 10 เมื่อพวกท่านไปถึง ท่านจะพบว่าผู้คนที่นั่นไม่หวาดระแวงอะไรเลย ดินแดนก็กว้างขวางและไม่ขาดอะไรเลย เป็นดินแดนที่พระเจ้าทรงมอบไว้ในมือของท่านแล้ว”

11 ฉะนั้นชายหกร้อยคนจากตระกูลดานพร้อมอาวุธครบมือ ก็ยกออกจากโศราห์และเอชทาโอล 12 ระหว่างทางพวกเขาตั้งค่ายใกล้ๆ คีริยาทเยอาริมในเขตยูดาห์ ด้วยเหตุนี้บริเวณตะวันตกของคีริยาทเยอาริมจึงได้ชื่อว่ามาหะเนห์ดาน[f]จนกระทั่งทุกวันนี้ 13 พวกเขาเดินทางจากที่นั่นจนมาถึงแดนเทือกเขาแห่งเอฟราอิม และมาถึงบ้านของมีคาห์

14 ชายทั้งห้าที่เคยมาสำรวจเมืองลาอิชพูดกับพี่น้องของเขาว่า “ท่านทราบไหมว่าในบ้านนั้นมีหิ้งบูชาพร้อมเอโฟด เทวรูปประจำบ้าน รูปสลัก และรูปเคารพต่างๆ มากมาย ทีนี้ท่านคงรู้แล้วว่าควรทำอะไร?” 15 ดังนั้นพวกเขาจึงแวะเข้าไปยังบ้านของหนุ่มเลวีคนนั้นซึ่งอยู่ในที่ของมีคาห์และทักทายเขา 16 ชายตระกูลดานหกร้อยคนถืออาวุธครบมือยืนอยู่ตรงทางเข้าประตู 17 แล้วสายสืบทั้งห้าเข้าไปในบ้าน เอารูปสลัก เอโฟด เทวรูปประจำบ้าน และรูปเคารพต่างๆ ออกมาในขณะที่ปุโรหิต และคนถืออาวุธหกร้อยคนยืนอยู่ที่ปากทางเข้าประตู

18 เมื่อพวกเขาเข้าไปในบ้านของมีคาห์ แล้วเอารูปสลัก เอโฟด เทวรูปประจำบ้าน และรูปเคารพต่างๆ ออกมา ปุโรหิตจึงร้องถามว่า “ท่านกำลังทำอะไรน่ะ?”

19 เขาเหล่านั้นตอบว่า “จงเงียบเถิด! อย่าพูดอะไร แล้วมากับเรา มาเป็นบิดา เป็นปุโรหิตของเรา ทำหน้าที่ให้คนทั้งตระกูลในอิสราเอลไม่ดีกว่าอยู่ประจำครัวเรือนของคนคนเดียวหรอกหรือ?” 20 ปุโรหิตหนุ่มจึงยินดีไปกับพวกเขา และนำเอโฟด เทวรูป ประจำบ้าน และรูปสลักไปด้วย 21 คนทั้งหมดเริ่มออกเดินทางอีกครั้งหนึ่ง ให้ขบวนเด็ก ฝูงสัตว์ และทรัพย์สินนำหน้าไป แล้วพวกเขาก็ไปจากที่นั่น

22 เมื่อออกจากบ้านมีคาห์มาไกลพอควร มีคาห์กับเพื่อนบ้านก็ไล่ตามมาทันชาวดาน 23 และพวกเขาตะโกนให้ขบวนนั้นหยุด ชาวดานจึงหันมาถามมีคาห์ว่า “พวกท่านไล่ตามเรามาอย่างนี้ต้องการอะไร?”

24 มีคาห์ตอบว่า “ถามมาได้ว่าต้องการอะไร? ก็พวกท่านเอาเทวรูปทั้งหมดของข้าพเจ้ามา พร้อมทั้งปุโรหิตด้วย ข้าพเจ้าจะมีอะไรเหลือ?”

25 ชาวดานกล่าวว่า “ไม่ต้องเถียงกับเรา เดี๋ยวมีใครโมโหขึ้นมา พวกท่านกับครอบครัวก็จะถูกฆ่าเสียหมด” 26 ดังนั้นชาวดานก็เดินทางต่อไป และมีคาห์เห็นว่าฝ่ายนั้นมีกำลังมากกว่าจึงกลับบ้าน

27 ชาวดานพร้อมทั้งรูปเคารพของมีคาห์และปุโรหิตนั้นก็มาถึงเมืองลาอิช ผู้คนอยู่กันอย่างสงบและไม่ได้ระแวดระวังภัย พวกเขาจึงบุกโจมตี และเข้าสังหารผู้คน เผาเมืองวอดวาย 28 ไม่มีใครมาช่วยเหลือเพราะพวกเขาอยู่ไกลจากไซดอนและไม่ได้คบหากับผู้ใด เมืองนี้อยู่ในหุบเขาใกล้เบธเรโหบ

ชาวดานสร้างเมืองขึ้นใหม่และตั้งถิ่นฐานที่นั่น 29 แล้วตั้งชื่อเมืองว่าดานตามชื่อบรรพบุรุษซึ่งเป็นบุตรชายของอิสราเอล แม้ว่าเดิมชื่อเมืองลาอิช 30 พวกเขาสถาปนาเทวรูปขึ้นสำหรับตนที่นั่นและแต่งตั้งชายผู้หนึ่งชื่อโยนาธานบุตรเกอร์โชมบุตรโมเสส[g] และตั้งเหล่าบุตรชายของเขาให้เป็นปุโรหิตสำหรับเผ่าดานสืบทอดกันมาจนกระทั่งแผ่นดินนั้นตกเป็นเชลย 31 พวกเขาใช้รูปเคารพที่มีคาห์สร้างขึ้นต่อไป ตลอดเวลานั้นพระนิเวศของพระเจ้าอยู่ที่ชิโลห์

Thai New Contemporary Bible (TNCV)

Thai New Contemporary Bible Copyright © 1999, 2001, 2007 by Biblica, Inc.® Used by permission. All rights reserved worldwide.