Chronological
พระเจ้าพูดผ่านพระบุตรของพระองค์
1 ในสมัยก่อน พระเจ้าได้พูดกับบรรพบุรุษของเราผ่านทางพวกผู้พูดแทนพระองค์หลายครั้ง ด้วยวิธีการที่หลากหลาย 2 แต่ในยุคสุดท้ายนี้ พระองค์พูดกับเราผ่านทางพระบุตร พระบุตรนั้นเป็นผู้ที่พระองค์แต่งตั้งให้รับทุกสิ่งทุกอย่างเป็นมรดก พระเจ้าสร้างจักรวาลโดยผ่านทางพระบุตรด้วย 3 พระบุตรนั้นสะท้อนให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า และเป็นพิมพ์เดียวกับพระเจ้าทุกอย่าง พระบุตรใช้คำพูดอันทรงฤทธิ์ของพระองค์ค้ำจุนทุกสิ่งในโลกไว้แล้ว เมื่อพระบุตรได้ล้างบาปให้มนุษย์เสร็จ พระองค์ได้นั่งลงทางขวามือของผู้ยิ่งใหญ่สูงสุดในสวรรค์[a] 4 ดังนั้นพระบุตรจึงยิ่งใหญ่กว่าพวกทูตสวรรค์มากมายนัก เหมือนกับชื่อที่พระองค์ได้รับนั้นก็ยิ่งใหญ่กว่าชื่อของพวกทูตสวรรค์ด้วย
5 เพราะพระเจ้าไม่เคยพูดกับทูตสวรรค์องค์ไหนเลยว่า
“เจ้าคือลูกของเรา
วันนี้เราได้เป็นพ่อของเจ้าแล้ว”[b]
และพระเจ้าก็ไม่เคยพูดถึงทูตสวรรค์องค์ไหนด้วยว่า
“เราจะเป็นพ่อของเขา
และเขาจะเป็นลูกของเรา”[c]
6 เมื่อพระเจ้านำบุตรหัวปีของพระองค์มาที่โลกนี้ พระองค์พูดว่า
“ขอให้พวกทูตสวรรค์ทั้งหมดของพระเจ้ากราบไหว้เขา”[d]
7 เมื่อพระเจ้าพูดถึงทูตสวรรค์ พระองค์พูดว่า
8 แต่พระเจ้าพูดกับพระบุตรว่า
“ข้าแต่พระเจ้า บัลลังก์ของพระองค์ จะอยู่ถาวรตลอดไป
และพระองค์จะปกครองอาณาจักรของพระองค์อย่างยุติธรรม
9 พระองค์รักความถูกต้องและเกลียดความชั่ว
นั่นเป็นเหตุที่เรา พระเจ้าของลูก[g] ได้เจิมลูกด้วยการเทน้ำมันบนหัว
เพื่อลูกจะมีเกียรติและมีความยินดีมากกว่าเพื่อนๆของลูก”[h]
10 พระเจ้ายังพูดอีกว่า
“ข้าแต่องค์เจ้าชีวิต ในตอนเริ่มต้นนั้น
พระองค์วางรากฐานของแผ่นดินโลกนี้
และพระองค์สร้างฟ้าสวรรค์ด้วยมือของพระองค์เอง
11 สิ่งเหล่านี้จะสูญสลายไป แต่พระองค์จะยังคงอยู่
สิ่งเหล่านี้จะเปื่อยไปเหมือนเสื้อผ้า
12 พระองค์จะม้วนสิ่งเหล่านี้เก็บเหมือนกับเสื้อคลุม
สิ่งเหล่านี้จะถูกเปลี่ยนไปเหมือนกับเปลี่ยนเสื้อผ้า
แต่พระองค์จะยังคงเหมือนเดิม
และวันเวลาของพระองค์จะไม่มีวันสิ้นสุด”[i]
13 พระเจ้าไม่เคยพูดกับทูตสวรรค์องค์ไหนด้วยว่า
“นั่งลงทางขวามือของเราสิ
จนกว่าเราจะทำให้ศัตรูของเจ้าเป็นที่วางเท้าสำหรับเจ้า”[j]
14 ทูตสวรรค์พวกนี้ เป็นวิญญาณที่รับใช้พระเจ้า ที่พระองค์ส่งไปช่วยคนที่กำลังจะได้รับความรอด ไม่ใช่หรือ
ความรอดอันยิ่งใหญ่ของเรา
2 นั่นเป็นเหตุที่เราจะต้องให้ความสนใจเป็นพิเศษกับความจริงที่เราได้ยินมา ไม่อย่างนั้นเราจะค่อยๆห่างเหินไป 2 เพราะถ้าข้อความที่พระเจ้าพูดผ่านทูตสวรรค์ ยังมีผลบังคับในตอนนั้น จนทุกคนที่ฝ่าฝืนมันหรือไม่เชื่อฟัง ได้รับโทษที่สาสม 3 แล้วเราล่ะจะพ้นโทษได้หรือ ถ้าหากเราไม่สนใจในความรอดอันยิ่งใหญ่นี้ ความรอดนี้องค์เจ้าชีวิตได้มาประกาศในตอนแรกๆ แล้วคนพวกแรกนั้นที่ฟังพระองค์ก็มายืนยันเรื่องความรอดนี้ให้กับเรา 4 พระเจ้ามายืนยันเรื่องความรอดนี้ให้กับเราด้วย คือพระองค์ได้ใช้หมายสำคัญ การอัศจรรย์ ปาฏิหาริย์ต่างๆ และพรสวรรค์ที่มาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่พระองค์แจกจ่ายไปตามที่ใจของพระองค์ต้องการ
พระเยซูถูกทดลองเหมือนพี่น้องของพระองค์
5 โลกใหม่ที่เรากำลังพูดถึงนี้ พระเจ้าไม่ได้มอบให้อยู่ใต้อำนาจของพวกทูตสวรรค์ 6 แต่มีคนเขียนไว้ในพระคัมภีร์แห่งหนึ่งว่า
“มนุษย์เป็นใครกันพระองค์ถึงได้ห่วงใย
หรือบุตรมนุษย์[k]เป็นใครกันพระองค์ถึงเอาใจใส่นัก
7 พระองค์ทำให้เขาต่ำกว่าพวกทูตสวรรค์แค่ชั่วคราว
แล้วพระองค์มอบสง่าราศีและเกียรติยศให้กับเขาเป็นรางวัล
8 และวางทุกสิ่งไว้ใต้เท้าของเขา”[l]
เมื่อพระเจ้าวางทุกสิ่งไว้ใต้เท้าเขา แสดงว่าทุกสิ่งทุกอย่างล้วนอยู่ใต้อำนาจของเขา แต่ตอนนี้เรายังไม่ได้เห็นทุกสิ่งอยู่ใต้อำนาจของเขา 9 แต่ก่อนพระเจ้าทำให้พระเยซูอยู่ต่ำกว่าพวกทูตสวรรค์แค่ชั่วคราว แต่ตอนนี้เราเห็นพระเยซูได้รับสง่าราศีและเกียรติยศเป็นรางวัลแล้ว เพราะพระองค์ทนทุกข์ทรมานจนตาย พระเจ้ามีเมตตากรุณาต่อเรา พระเยซูถึงมาลิ้มรสความตายเพื่อประโยชน์ให้กับมนุษย์ทุกคน
10 พระเจ้าสร้างทุกสิ่งทุกอย่าง และทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นมาเพื่อพระองค์ พระเจ้าอยากให้พระเยซูที่เป็นลูกของพระองค์นำพวกลูกชายลูกสาวอีกมากมายเข้ามามีส่วนร่วมในสง่าราศีของพระองค์ อย่างนั้นเป็นสิ่งที่เหมาะสมแล้ว ที่พระเจ้าให้พระเยซูมาทนทุกข์ทรมาน เพื่อพระเยซูจะได้สมบูรณ์แบบครบถ้วน แล้วนำคนมาถึงความรอด 11 ทั้งพระเยซูผู้ที่ทำให้คนอื่นบริสุทธิ์ และคนที่พระองค์ทำให้บริสุทธิ์ด้วย ต่างมาจากครอบครัวเดียวกัน พระเยซูเลยไม่อายที่จะเรียกพวกเขาว่าเป็นพี่น้องของพระองค์ 12 พระองค์พูดว่า
“เราจะประกาศชื่อของพระองค์ให้กับพี่น้องของเรา
เราจะร้องเพลงสรรเสริญพระองค์ต่อหน้าหมู่ประชุม”[m]
13 พระองค์พูดอีกว่า
“เราจะไว้วางใจในพระองค์”[n]
และยังพูดอีกว่า
“เราอยู่ที่นี่พร้อมๆกับลูกๆที่พระเจ้าให้กับเรา”[o]
14 เพราะพวกลูกๆนั้นเป็นมนุษย์ที่มีเลือดเนื้อ พระเยซูก็เลยมาเป็นมนุษย์ที่มีเลือดเนื้อเหมือนกัน พระองค์ทำอย่างนี้เพื่อจะได้ตายและทำลายมารที่มีอำนาจทำให้คนตายได้ 15 คนพวกนี้กลัวตาย เลยตกเป็นทาสของความกลัว พระเยซูมาตายเพื่อปลดปล่อยคนพวกนี้ให้เป็นอิสระ 16 แน่นอนพระเยซูไม่ได้มาช่วยพวกทูตสวรรค์ แต่มาช่วยลูกหลานของอับราฮัม 17 เพราะอย่างนี้ พระองค์จึงต้องเป็นเหมือนกับพี่น้องของพระองค์ทุกอย่าง เพื่อพระองค์จะได้เป็นหัวหน้านักบวชสูงสุด ที่มีความเมตตาและซื่อสัตย์ในการรับใช้พระเจ้า และเพื่อจะจัดการกับความบาปของประชาชนได้ด้วย 18 เดี๋ยวนี้ พระองค์สามารถช่วยคนที่ถูกทดลองได้แล้ว เพราะพระองค์เองได้รับความทรมานและถูกทดลองมาก่อน
พระเยซูนั้นยิ่งใหญ่กว่าโมเสส
3 ดังนั้น พี่น้องผู้เป็นคนของพระเจ้า ผู้ที่พระเจ้าเรียกมา ขอให้มีใจจดจ่ออยู่กับพระเยซูผู้ที่เรายอมรับกัน พระองค์เป็นทั้งทูตพิเศษจากพระเจ้า และเป็นหัวหน้านักบวชสูงสุดด้วย 2 พระองค์ซื่อสัตย์ต่อพระเจ้าผู้ที่ได้แต่งตั้งพระองค์ เหมือนกับที่โมเสสซื่อสัตย์เมื่อรับใช้อยู่ในบ้านเรือนของพระเจ้า 3 จะเห็นว่าพระเยซูนั้นสมควรที่จะได้รับเกียรติมากกว่าโมเสสเสียอีก เหมือนกับคนที่สร้างบ้านได้รับเกียรติมากกว่าตัวบ้านเอง 4 แน่นอน บ้านทุกหลังจะต้องมีคนสร้าง แต่พระเจ้าเป็นผู้สร้างทุกสิ่งทุกอย่าง
5 โมเสสนั้นซื่อสัตย์ในหน้าที่ทุกอย่าง ในฐานะคนรับใช้ในครัวเรือนของพระเจ้า และเขามีหน้าที่บอกให้คนรู้ถึงสิ่งที่พระเจ้าจะเปิดเผยในอนาคต 6 แต่พระคริสต์นั้นซื่อสัตย์ในฐานะที่เป็นบุตรที่อยู่เหนือครัวเรือนของพระเจ้า แล้วเรานั่นแหละคือครัวเรือนของพระองค์ ถ้าหากเรายังยึดมั่นในความกล้าหาญและในความภาคภูมิใจของเราที่เกิดจากความหวังที่เรามีอยู่นั้น
ให้เราติดตามพระเจ้าต่อไป
7 อย่างนั้นตามที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ พูดว่า
“วันนี้ ถ้าพวกเจ้าได้ยินเสียงของพระเจ้า
8 ก็อย่ามีใจดื้อรั้น เหมือนกับตอนนั้นที่เจ้ากบฏต่อพระเจ้า
ในวันนั้นที่เจ้าได้ลองดีกับพระเจ้า ในที่เปล่าเปลี่ยว”
9 พระเจ้าพูดว่า
“บรรพบุรุษของพวกเจ้าได้ลองดีและท้าทายเราในที่เปล่าเปลี่ยวนั้น
ทั้งๆที่พวกเขาได้เห็นเราทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ตลอดสี่สิบปี
10 นั่นเป็นเหตุที่เราโกรธคนรุ่นนั้น และเราพูดว่า
‘ใจของเขาหลงผิดเสมอ คนพวกนี้ไม่เคยเข้าใจวิถีทางของเรา’
11 ดังนั้น ตอนที่เราโกรธ เราได้สาบานว่า
‘พวกเขาจะไม่มีวันได้เข้าไปหยุดพักผ่อน[p]กับเรา’”[q]
12 พี่น้องครับ ระวังให้ดี อย่าให้ใครสักคนในหมู่พวกคุณมีใจที่ชั่วและไม่วางใจพระเจ้า เพราะใจอย่างนี้จะทำให้คุณหันไปจากพระเจ้าผู้มีชีวิตอยู่ 13 แต่ให้กำลังใจกันและกันทุกๆวัน ตราบเท่าที่ยังมีชีวิตอยู่ใน “วันนี้”[r] เพื่อบาปจะไม่หลอกใจพวกคุณให้แข็งกระด้างไป 14 เพราะเราทุกคนมีส่วนร่วมในพระคริสต์ ถ้าเรายังยึดความมั่นใจที่เรามีตั้งแต่แรกนั้นจนถึงที่สุด 15 เหมือนกับที่พระคัมภีร์ พูดไว้ว่า
“วันนี้ ถ้าเจ้าได้ยินเสียงของพระเจ้า
ก็อย่ามีใจดื้อรั้น เหมือนตอนนั้นที่เจ้ากบฏต่อพระเจ้า”[s]
16 ใครกันที่ได้ยินเสียงพระเจ้า แล้วยังกล้ากบฏอีก ก็พวกนั้นทุกคนที่โมเสสพาออกมาจากประเทศอียิปต์ ไม่ใช่หรือ 17 แล้วใครกันที่พระเจ้าโกรธตลอดสี่สิบปี ก็คนบาปพวกนั้นที่ล้มตายลงในที่เปล่าเปลี่ยว ไม่ใช่หรือ 18 แล้วใครกันที่พระเจ้าสาบานว่าจะไม่มีวันได้เข้าไปหยุดพักผ่อนกับพระองค์ ก็พวกที่ไม่ยอมเชื่อฟังนั้น ไม่ใช่หรือ 19 เราเห็นว่า ที่พวกนั้นเข้าไปหยุดพักผ่อนกับพระเจ้าไม่ได้ ก็เพราะพวกเขาไม่ไว้วางใจนั่นเอง
4 คำสัญญาที่พระเจ้าจะให้เราเข้าไปหยุดพักผ่อนกับพระองค์นั้น ยังไม่ได้ถูกยกเลิก ถ้าอย่างนั้นให้ระวังตัวให้ดี เพื่อจะได้ไม่มีใครในหมู่พวกคุณพลาดโอกาสนั้นไป 2 ทั้งเราและคนอิสราเอลก็ได้ยินข่าวดีเหมือนกัน แต่ข่าวดีนั้นไม่มีประโยชน์อะไรกับพวกเขา เพราะคนที่ได้ยินก็ไม่ได้ไว้วางใจในพระเจ้า 3 แต่พวกเราที่ไว้วางใจแล้ว กำลังเข้าไปหยุดพักผ่อนกับพระเจ้า ส่วนคนที่ไม่ได้ไว้วางใจจะเป็นเหมือนกับที่พระเจ้าได้พูดไว้ว่า
“ตอนที่เราโกรธ เราได้สาบานว่า
‘พวกเขาจะไม่มีวันได้เข้าไปหยุดพักผ่อนกับเรา’”[t]
ถึงแม้พระเจ้าได้หยุดพักผ่อนจากการงานของพระองค์แล้วตั้งแต่ตอนที่พระองค์สร้างโลกเสร็จ 4 เพราะมีข้อหนึ่งในพระคัมภีร์ที่พระองค์ได้พูดถึงวันที่เจ็ดว่า “แล้วในวันที่เจ็ด พระเจ้าหยุดพักจากการงานทั้งหมดของพระองค์”[u] 5 แต่ในข้อข้างบนที่เราอ้างไปแล้วนั้น พระองค์พูดว่า “พวกเขาจะไม่มีวันได้เข้าไปหยุดพักผ่อนกับเรา”
6 เนื่องจากคำสัญญาที่พระเจ้าบอกว่าจะให้คนของพระองค์หยุดพักผ่อน ยังไม่ได้เกิดขึ้นในตอนนั้น เพราะคนที่ได้รับข่าวดีก่อนหน้านี้ ไม่ได้เชื่อฟังจึงไม่ได้เข้าไปหยุดพักผ่อนกับพระองค์ 7 พระเจ้าจึงกำหนดอีกวันหนึ่งที่จะให้คนเข้าไปหยุดพักผ่อน แล้วพระองค์เรียกมันว่า “วันนี้” อีกหลายปีต่อมา พระองค์ก็พูดถึง “วันนี้” ผ่านดาวิด ตามที่ได้ยกมาข้างบนนี้แล้วว่า
“วันนี้ ถ้าเจ้าได้ยินเสียงพระเจ้า ก็อย่ามีใจดื้อรั้น”[v]
8 เรารู้ว่าโยชูวา[w]ไม่ได้นำพวกอิสราเอลเข้าไปหยุดพักผ่อนกับพระองค์หรอก เพราะถ้าเป็นอย่างนั้น พระองค์คงไม่พูดถึงวันหยุดพักผ่อนอื่นอีกหลังจากนั้น 9 แสดงว่ายังมีวันหยุดพักผ่อนพิเศษ[x]นั้น รอคนของพระเจ้าอยู่ 10 เพราะคนที่เข้าไปหยุดพักผ่อนกับพระเจ้านั้น จะหยุดพักผ่อนจากการงานของตน เหมือนกับที่พระเจ้าได้หยุดพักผ่อนจากการงานของพระองค์ 11 ดังนั้น ขอให้เราทุกคนพยายามทุกวิถีทางที่จะได้เข้าไปหยุดพักผ่อนกับพระองค์ จะได้ไม่มีใครถูกทำลาย เพราะไปทำตามตัวอย่างของชาวอิสราเอลพวกนั้นที่ไม่ยอมเชื่อฟัง
12 ถ้อยคำของพระเจ้า[y]นั้นมีชีวิต และเกิดผลมาก คมยิ่งกว่าดาบสองคมทุกชนิด มันแทงทะลุจิตและวิญญาณ ตลอดจนถึงข้อต่อและไขกระดูก มันสามารถแยกแยะแม้แต่ความนึกคิดต่างๆและเจตนาทั้งหลายในใจ 13 ทุกอย่างที่พระองค์สร้างขึ้นมา ไม่มีอะไรที่หลบซ่อนไปจากสายตาของพระองค์ได้ ทุกอย่างถูกเปิดโปงและตีแผ่ต่อสายตาของพระองค์ ผู้ที่เราจะต้องรายงานตัวด้วย
พระเยซูเป็นหัวหน้านักบวชสูงสุดของเรา
14 เรามีหัวหน้านักบวชสูงสุดที่ยิ่งใหญ่คือพระเยซู พระบุตรของพระเจ้า ผู้ที่ได้ขึ้นไปอยู่บนสวรรค์แล้ว ดังนั้น ขอให้เรายึดมั่นในความเชื่อที่เราได้ยอมรับไว้แล้ว 15 เพราะหัวหน้านักบวชสูงสุดของเราคนนี้เข้าใจและเห็นใจในจุดอ่อนทั้งหลายของเรา เพราะพระองค์ก็เคยถูกทดลองเหมือนกับเราทุกอย่าง แต่ไม่ได้ทำบาปเลย 16 ดังนั้นขอให้เราทุกคนเข้ามายืนด้วยความมั่นใจต่อหน้าบัลลังก์ของพระเจ้าผู้มีความเมตตากรุณา เพื่อเราจะได้รับความปรานี และพบกับความเมตตากรุณาที่พระเจ้าจะช่วยเราในเวลาที่เราต้องการความช่วยเหลือ
5 หัวหน้านักบวชสูงสุดแต่ละคน ก็เป็นคนเหมือนกับเรานี่แหละ แต่พวกเขาได้รับคัดเลือกมาเป็นตัวแทนของเราต่อหน้าพระเจ้า คือนำของขวัญและถวายเครื่องบูชาจัดการกับบาป มาให้พระเจ้า 2 เขาสามารถเห็นอกเห็นใจและช่วยคนที่ไม่รู้เรื่องและคนที่หลงผิด เพราะเขาเองมีจุดอ่อนเหมือนกัน 3 แล้วเป็นเพราะจุดอ่อนของเขา เขาถึงต้องถวายเครื่องบูชาจัดการกับบาปของตัวเองก่อน แล้วค่อยทำให้กับประชาชนทีหลัง
4 เรื่องตำแหน่งที่มีเกียรตินี้ ไม่ใช่ใครอยากจะชิงเอาเพื่อได้หน้าก็ทำได้ แต่ต้องเป็นพระเจ้าเองที่เรียกผู้นั้น เหมือนกับที่พระองค์เคยเรียกอาโรน 5 พระคริสต์ไม่ได้ตั้งตัวเองเป็นหัวหน้านักบวชสูงสุด พระองค์ไม่ได้หาเกียรติให้กับตัวเอง แต่พระเจ้าได้พูดกับพระองค์ว่า
“เจ้าเป็นลูกของเรา
วันนี้เราได้เป็นพ่อของเจ้าแล้ว”[z]
6 พระเจ้าได้พูดไว้ในพระคัมภีร์ อีกตอนหนึ่งว่า
“เจ้าเป็นนักบวชตลอดไป เหมือนกับเมลคีเซเดค”[aa]
7 ตอนที่พระเยซูอยู่บนโลกนี้ พระองค์อธิษฐานและอ้อนวอนเสียงดังและด้วยน้ำตา ถึงพระเจ้าผู้ที่สามารถช่วยพระองค์ให้พ้นจากความตายได้ แล้วพระเจ้าก็รับฟัง เพราะพระเยซูเคารพและยำเกรงพระองค์ 8 ถึงแม้พระองค์จะเป็นลูกของพระเจ้าก็จริง แต่พระองค์ก็ยอมทนทุกข์ยาก เพื่อจะได้เรียนรู้ถึงความหมายของคำว่าเชื่อฟัง 9 หลังจากที่พระเจ้าทำให้พระเยซูสมบูรณ์แบบแล้ว พระเยซูก็กลายเป็นแหล่งของความรอดที่จะได้อยู่กับพระเจ้าตลอดไป สำหรับทุกคนที่เชื่อฟังพระองค์ 10 พระเจ้าได้ประกาศแต่งตั้งให้พระองค์เป็นหัวหน้านักบวชสูงสุดเหมือนกับเมลคีเซเดค
การเตือนไม่ให้หลงผิดไป
11 เรายังมีอีกหลายอย่างที่จะพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่มันยากที่จะอธิบายให้เข้าใจเพราะพวกคุณหัวทึบไปซะแล้ว 12 อันที่จริง ตอนนี้พวกคุณน่าจะเป็นครูกันแล้ว แต่กลับต้องการให้คนมาสอนถึงบทเรียนเบื้องต้นเกี่ยวกับคำสอนของพระเจ้าอีก คุณยังต้องดื่มนมแทนที่จะกินอาหารแข็ง 13 คนที่ยังดื่มนมก็ยังเป็นเด็กทารกอยู่ และยังไม่คุ้นเคยกับคำสอนที่เกี่ยวกับชีวิตที่พระเจ้าชอบใจ 14 แต่ตรงกันข้าม อาหารแข็งนั้นมีไว้สำหรับผู้ใหญ่ที่ได้รับการฝึกฝนจิตใจมาแล้ว ทำให้รู้จักแยกแยะว่าอะไรดีอะไรชั่ว
6 ถ้าอย่างนั้น ให้เรามุ่งหน้าต่อไปสู่ความเป็นผู้ใหญ่ อย่าได้วนเวียนอยู่อีกเลยกับคำสอนเบื้องต้นเกี่ยวกับพระคริสต์ อย่าให้เราต้องวางพื้นฐานกันใหม่อีกเลย คือเรื่องการกลับตัวกลับใจจากการกระทำที่นำไปสู่ความตาย และเรื่องการไว้วางใจพระเจ้า 2 อย่าให้เราต้องสอนกันใหม่เลยในเรื่องพิธีจุ่มน้ำ เรื่องพิธีวางมือ[ab] เรื่องการฟื้นขึ้นจากความตาย และเรื่องการถูกตัดสินลงโทษถาวรตลอดไป 3 ถ้าพระเจ้าอนุญาต เราก็จะมุ่งหน้าต่อไป
4 บางคนเคยอยู่ในความสว่างของพระเจ้า เคยลิ้มรสของขวัญจากสวรรค์ เคยมีส่วนร่วมกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ 5 เคยได้ลิ้มรสคำพูดที่ดีของพระเจ้า และฤทธิ์อำนาจของยุคที่กำลังจะมา 6 แต่ก็ได้ทิ้งพระคริสต์ไป เป็นไปไม่ได้ที่จะนำคนอย่างนี้กลับมาหาพระเจ้าได้อีก เพราะพวกเขากำลังตรึงพระบุตรของพระเจ้าบนไม้กางเขนอีกครั้งหนึ่ง ทำให้พระองค์ต้องอับอายขายหน้าต่อหน้าทุกคน
7 ผืนดินที่ดูดซึมน้ำฝนที่ตกลงมา แล้วเกิดพืชผลที่ให้ประโยชน์แก่ผู้ปลูก ก็จะได้รับพระพรจากพระเจ้า 8 แต่ผืนดินที่เกิดต้นหนามใหญ่น้อย ก็ไร้ค่าและดีไม่ดีจะโดนสาปแช่ง ในที่สุดก็จะเอาไปเผาไฟเสีย
9 เพื่อนที่รัก ถึงเราจะพูดอย่างนี้ เรายังมั่นใจว่าคุณจะเกิดผลดีและจะรอด 10 เพราะพระเจ้านั้นยุติธรรม พระองค์จะไม่ลืมการงานที่พวกคุณได้ทำและความรักที่คุณมีต่อพระองค์ คือที่พวกคุณได้ช่วยเหลือคนที่เป็นของพระเจ้าจนถึงเดี๋ยวนี้ 11 แต่เราอยากให้คุณแต่ละคนเอาจริงเอาจังอย่างนี้ต่อไปตลอดชีวิต เพื่อจะได้รับสิ่งที่หวังไว้อย่างแน่นอน 12 เราไม่อยากให้พวกคุณขี้เกียจ แต่ให้เอาอย่างคนพวกนั้นที่ไว้วางใจและอดทน จนกว่าจะได้รับสิ่งที่พระเจ้าได้สัญญาไว้เป็นมรดก
13 ตอนที่พระเจ้าทำสัญญากับอับราฮัมนั้น พระองค์สาบานโดยอ้างถึงตัวเองเพราะไม่มีใครที่ยิ่งใหญ่ไปกว่าพระองค์อีกแล้ว 14 พระองค์พูดว่า “เราจะอวยพรเจ้าและจะให้ลูกหลานของเจ้าทวีคูณมากยิ่งขึ้น”[ac] 15 อับราฮัมก็ได้รับตามที่พระเจ้าสัญญาไว้ หลังจากที่เขารอคอยด้วยความอดทน
16 เมื่อคนเราจะสาบานกัน ก็จะอ้างถึงผู้ที่ยิ่งใหญ่กว่าตน เพราะคำสาบานทำให้คำพูดของเขาน่าเชื่อถือและจะหยุดการโต้เถียงทุกอย่างลง 17 พระเจ้าก็ได้สาบานเหมือนกัน เป็นการรับรองคำสัญญาของพระองค์ เพื่อทายาทของคำสัญญาจะได้แน่ใจว่าพระองค์จะไม่มีวันเปลี่ยนใจอย่างเด็ดขาด 18 ดังนั้นพระเจ้าได้ให้เราทั้งคำสัญญาและคำสาบาน ทั้งสองอย่างนี้ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง เพราะเป็นไปไม่ได้ที่พระเจ้าจะพูดโกหก ดังนั้น เราที่ได้หนีมาพึ่งความหวังที่พระองค์ยื่นให้นั้น จะได้มีกำลังใจอย่างมากมาย 19 ความหวังของเรานี้เป็นเหมือนสมอเรือที่มั่นคงและติดแน่น ความหวังนี้ได้นำเราผ่านเข้าไปหลังม่านสู่สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในสวรรค์ 20 พระเยซูได้เข้าไปในนั้นก่อนแล้วเพื่อเรา พระองค์จึงเป็นหัวหน้านักบวชสูงสุดตลอดไป เหมือนกับเมลคีเซเดค
พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย ภาคคำสัญญาใหม่ © 2015 Bible League International