Print Page Options
Previous Prev Day Next DayNext

Chronological

Read the Bible in the chronological order in which its stories and events occurred.
Duration: 365 days
Thai New Testament: Easy-to-Read Version (ERV-TH)
Version
ยอห์น 7-8

พระเยซูและพี่น้องของพระองค์

หลังจากนั้นพระเยซูเดินทางไปทั่วแคว้นกาลิลี พระองค์ไม่อยากไปแคว้นยูเดีย เพราะพวกยิวจ้องที่จะฆ่าพระองค์ ขณะนั้นใกล้จะถึงเทศกาลอยู่เพิงแล้ว น้องๆของพระเยซูจึงบอกพระองค์ว่า “พี่น่าจะไปแคว้นยูเดีย เพื่อพวกศิษย์ของพี่จะได้เห็นสิ่งอัศจรรย์ต่างๆที่พี่กำลังทำอยู่ด้วย คนที่อยากจะมีชื่อเสียงเขาไม่แอบทำอะไรลับๆหรอก ไหนๆพี่ก็ทำสิ่งต่างๆเหล่านี้แล้ว แสดงตัวให้โลกรู้ไปเลยสิ” (แม้แต่น้องๆของพระองค์ก็ยังไม่เชื่อพระองค์) พระเยซูตอบว่า “เวลานี้ยังไม่เหมาะสำหรับพี่ แต่สำหรับน้องๆเวลาไหนก็เหมาะทั้งนั้น คนในโลกนี้เขาไม่เกลียดพวกน้องหรอก เพราะไม่รู้จะเกลียดไปทำไม แต่เขาเกลียดพี่เพราะพี่บอกพวกเขาอยู่เสมอว่า การกระทำของพวกเขานั้นชั่วร้าย พวกน้องไปกันเองเถอะ พี่ยังไม่ไปหรอก เพราะยังไม่ถึงเวลา” หลังจากที่พูดอย่างนั้นแล้ว พระองค์ก็อยู่ที่แคว้นกาลิลีต่อไป

10 หลังจากที่น้องๆของพระองค์ไปร่วมงานเทศกาลกันแล้ว พระองค์ก็แอบไปทีหลังโดยไม่ให้ใครรู้ 11 พวกผู้นำชาวยิวต่างมองหาพระองค์ในงาน และถามกันว่า “ไอ้หมอนั่นอยู่ที่ไหน”

12 ผู้คนซุบซิบกันมากเกี่ยวกับพระเยซู บางคนว่า “เขาเป็นคนดีนะ” แต่บางคนว่า “ไม่หรอก เขาเป็นนักต้มตุ๋น” 13 แต่ไม่มีใครกล้าพูดถึงพระองค์อย่างเปิดเผยเพราะกลัวพวกผู้นำชาวยิว

พระเยซูสั่งสอนในเยรูซาเล็ม

14 เมื่อถึงช่วงกลางเทศกาลอยู่เพิง พระเยซูได้เข้าไปในบริเวณวิหาร และเริ่มสั่งสอนประชาชน 15 พวกหัวหน้าชาวยิวต่างรู้สึกแปลกใจในคำสอนของพระองค์ จึงพูดว่า “ทำไมเขารู้มากอย่างนี้ล่ะ ในเมื่อเขายังไม่เคยเรียนกับครูคนไหนมาก่อนเลย”

16 พระเยซูตอบว่า “คำสอนของเรานั้นไม่ใช่ของเราเอง แต่มาจากพระองค์ผู้ที่ส่งเรามา 17 คนไหนมีใจที่อยากทำตามใจพระเจ้า คนนั้นก็จะรู้ว่าสิ่งที่เราสอนนั้นมาจากพระเจ้าหรือเราพูดขึ้นมาเองกันแน่ 18 คนที่พูดตามใจตัวเองก็พยายามหาชื่อเสียงใส่ตัว แต่คนที่พยายามหาชื่อเสียงให้กับผู้ที่ส่งเขามา คนนั้นแหละเป็นคนที่จริงใจที่ไม่หลอกลวงใคร 19 โมเสสให้กฎปฏิบัติกับพวกคุณ แต่พวกคุณก็ไม่ได้ทำตามกฎนั้นสักคน แล้วทำไมพวกคุณถึงได้พยายามจะฆ่าเรา”

20 พวกนั้นจึงตอบว่า “แกถูกผีสิงแล้ว ใครกันที่พยายามจะฆ่าแก”

21 พระเยซูจึงตอบพวกเขาว่า “เราทำสิ่งอัศจรรย์อย่างหนึ่งในวันหยุดทางศาสนา พวกคุณก็พากันตกตะลึงเพราะเรื่องนั้น 22 โมเสสให้กฎปฏิบัติกับคุณเรื่องการทำพิธีขลิบ (ความจริงแล้ว บรรพบุรุษของพวกคุณได้ทำพิธีขลิบมาตั้งนานแล้วก่อนโมเสสเสียอีก) และถ้าวันที่คุณจะต้องทำพิธีขลิบตรงกับวันหยุดทางศาสนาพอดี พวกคุณก็ยังทำพิธีขลิบให้ลูกชายของคุณอยู่ดี 23 ถ้าคุณทำพิธีขลิบให้กับลูกชายเพื่อจะได้ไม่ผิดกฎของโมเสส แล้วพวกคุณจะมาโกรธแค้นเราที่รักษาคนทั้งคนให้หายในวันหยุดทางศาสนาทำไม 24 เลิกตัดสินอย่างผิวเผินได้แล้ว แต่ให้ตัดสินอย่างถูกต้อง”

พระเยซูคือพระคริสต์หรือไม่

25 บางคนในเมืองเยรูซาเล็มถามกันว่า “คนนี้ไม่ใช่หรือที่พวกผู้นำพยายามจะฆ่า 26 แต่ดูสิ เขากำลังพูดอยู่กลางที่สาธารณะ และพวกผู้นำก็ไม่ได้ว่าอะไรเขาเลย หรือเป็นไปได้ไหมว่าพวกผู้นำตัดสินใจกันแล้วว่าเขาคือพระคริสต์ 27 แต่พวกเรารู้นี่ว่าคนนี้มาจากไหน ถ้าพระคริสต์ตัวจริงมาละก็ จะไม่มีใครรู้หรอกว่าพระองค์มาจากไหน”

28 ขณะที่พระเยซูสอนอยู่ในบริเวณวิหาร พระองค์ตะโกนให้ทุกคนได้ยินว่า “ใช่แล้ว พวกคุณรู้จักเรา และรู้ว่าเรามาจากไหน แต่เราไม่ได้มาเอง มีผู้หนึ่งที่ส่งเรามาจริงๆ พวกคุณไม่รู้จักพระองค์ผู้นั้น 29 แต่เรารู้จักพระองค์เพราะเรามาจากพระองค์ และพระองค์ส่งเรามา”

30 พวกเขาจึงพยายามที่จะจับพระเยซู แต่ไม่มีใครจับตัวพระองค์ได้เพราะยังไม่ถึงเวลาของพระองค์ 31 แต่ก็มีคนเป็นจำนวนมากในฝูงชนนั้นที่เชื่อพระองค์และพูดว่า “เมื่อพระคริสต์มา พระองค์จะทำสิ่งอัศจรรย์มากกว่าที่ชายคนนี้ทำหรือ”

พวกยิวหาโอกาสจับพระเยซู

32 เมื่อพวกฟาริสีได้ยินว่ามีคนเป็นจำนวนมากแอบซุบซิบกันเรื่องพระเยซูอยู่ หัวหน้านักบวชและพวกฟาริสีส่งเจ้าหน้าที่ของวิหารไปจับตัวพระเยซู 33 พระเยซูพูดว่า “เราจะอยู่กับพวกคุณอีกสักพักหนึ่ง แล้วก็จะกลับไปหาพระองค์ผู้ที่ส่งเรามา 34 พวกคุณจะตามหาเรา แต่จะหาไม่เจอ เพราะพวกคุณไม่สามารถไปในที่ที่เรากำลังจะไป”

35 พวกผู้นำชาวยิวถามกันว่า “เขาจะไปไหนหรือ ที่พวกเราจะหาเขาไม่เจอ เขาจะไปหาคนของพวกเราที่เมืองกรีกและสอนพวกคนกรีกที่นั่นหรือ 36 แล้วเขาหมายถึงอะไรนะ ตอนที่เขาพูดว่า ‘คุณจะตามหาเราแต่จะหาไม่เจอ’ และ ‘พวกคุณไม่สามารถไปในที่ที่เรากำลังจะไป’”

พระเยซูพูดถึงพระวิญญาณบริสุทธิ์

37 ในวันสุดท้ายของเทศกาลอยู่เพิง ซึ่งเป็นวันสำคัญที่สุด พระเยซูยืนขึ้นและพูดเสียงดังว่า “ถ้าใครหิวน้ำ ก็ให้มาหาเราและดื่มสิ 38 คนที่ไว้วางใจเราก็จะมีลำธารของน้ำที่ให้ชีวิตไหลออกมาจากหัวใจของเขา เหมือนกับที่พระคัมภีร์บอก” 39 พระเยซูกำลังพูดถึงพระวิญญาณ ซึ่งภายหลังคนที่ไว้วางใจพระองค์จะได้รับ แต่ที่ยังไม่มีใครได้รับตอนนี้ เพราะพระเยซูยังไม่ตายและยังไม่ได้ฟื้นขึ้นมารับเกียรติอันยิ่งใหญ่ของพระองค์

ประชาชนเถียงกันเรื่องพระเยซู

40 เมื่อประชาชนได้ยินสิ่งที่พระเยซูพูด ก็มีบางคนพูดว่า “ชายคนนี้เป็นผู้พูดแทนพระเจ้าคนนั้นที่คนรอคอยแน่ๆ”[a]

41 คนอื่นๆพูดว่า “เขาเป็นพระคริสต์”

แต่บางคนแย้งว่า “พระคริสต์จะมาจากแคว้นกาลิลีได้ยังไง 42 พระคัมภีร์บอกว่า พระคริสต์จะมาจากครอบครัวของดาวิด และมาจากหมู่บ้านเบธเลเฮม เมืองที่ดาวิดเคยอยู่ไม่ใช่หรือ” 43 จึงเกิดการแตกแยกกันขึ้นในหมู่ประชาชนเพราะตกลงกันไม่ได้ในเรื่องของพระเยซู 44 บางคนอยากจะจับกุมพระองค์ แต่ก็ไม่มีใครกล้าทำ

ผู้นำชาวยิวไม่ไว้วางใจพระเยซู

45 ดังนั้นเจ้าหน้าที่ของวิหารกลับไปหาพวกผู้นำนักบวช และพวกฟาริสีที่ถามว่า “ทำไมพวกเจ้าไม่จับมันมาที่นี่”

46 พวกเจ้าหน้าที่ตอบไปว่า “พวกเรายังไม่เคยได้ยินใครพูดเหมือนชายคนนี้มาก่อนเลย”

47 พวกฟาริสีถามอีกว่า “พวกแกก็ถูกมันหลอกด้วยหรือ 48 ดูซิ มีใครบ้างในกลุ่มผู้นำหรือพวกฟาริสีที่ไปหลงเชื่อมัน 49 ส่วนไอ้พวกนอกคอกที่ไม่รู้กฎปฏิบัติพวกนั้น ยังไงก็ถูกพระเจ้าสาปแช่งอยู่แล้ว”

50 นิโคเดมัส คนที่ไปหาพระเยซูก่อนหน้านี้ และเป็นผู้นำชาวยิวคนหนึ่งถามพวกเขาว่า 51 “ตามกฎปฏิบัติของพวกเราจะไม่ตัดสินใครจนกว่าจะฟังเขาพูดและรู้ว่าเขาทำอะไร ไม่ใช่หรือ”

52 แต่พวกเขาบอกนิโคเดมัสว่า “คุณก็มาจากกาลิลีกับเขาด้วยหรือ ลองไปค้นพระคัมภีร์ ดูสิ แล้วคุณจะรู้ว่าไม่มีผู้พูดแทนพระเจ้าที่มาจากกาลิลีเลย”

53 [b] แล้วพวกเขาทั้งหมดก็แยกย้ายกันกลับบ้าน

หญิงคนหนึ่งถูกจับขณะมีชู้

ส่วนพระเยซูก็กลับไปที่ภูเขามะกอกเทศ ตอนเช้าตรู่พระองค์กลับไปที่วิหารอีกครั้งหนึ่ง คนทั้งหลายก็มาหาพระองค์ พระเยซูนั่งลงและเริ่มสั่งสอนผู้คน พวกครูสอนกฎปฏิบัติและพวกฟาริสีได้นำผู้หญิงคนหนึ่งมายืนอยู่ต่อหน้าคนทั้งปวง หญิงคนนี้ถูกจับได้คาหนังคาเขาขณะมีชู้อยู่ พวกเขาบอกพระองค์ว่า “อาจารย์ หญิงคนนี้ถูกจับได้ในขณะที่กำลังมีชู้อยู่ ในกฎปฏิบัตินั้น โมเสสสั่งให้เราเอาหินขว้างคนที่ทำอย่างนี้ให้ตาย แล้วอาจารย์จะว่ายังไง” (ที่พวกเขาถามอย่างนี้เพื่อจะให้พระองค์หลงกลและจะได้หาเรื่องฟ้องร้องพระองค์) พระเยซูได้แต่ก้มลงใช้นิ้วขีดเขียนไปมาบนพื้นดิน แต่พวกนั้นก็ยังคะยั้นคะยอให้พระองค์ตอบ พระองค์จึงยืนขึ้นพูดว่า “พวกคุณคนไหนที่ไม่มีความผิดเลย ก็ให้เอาหินขว้างหญิงคนนี้เป็นคนแรก” แล้วพระองค์ก็ก้มลงใช้นิ้วขีดเขียนบนพื้นดินต่อ

เมื่อได้ยินพระเยซูพูดอย่างนั้น พวกนั้นก็หลบไปทีละคนสองคน คนที่มีอายุมากที่สุดเริ่มเดินจากไปก่อนจนเหลือแต่พระเยซูกับหญิงคนนั้นอยู่ที่นั่น 10 พระเยซูลุกขึ้น และถามหญิงคนนั้นว่า “พวกเขาไปไหนกันหมดแล้ว ไม่มีใครลงโทษคุณหรือ”

11 หญิงคนนั้นตอบว่า “ไม่มีค่ะ” แล้วพระเยซูก็พูดว่า “เราก็ไม่ลงโทษคุณเหมือนกัน ไปเถอะแล้วอย่าทำบาปอีก”

พระเยซูเป็นความสว่างของโลก

12 แล้วพระเยซูก็พูดกับพวกที่ชุมนุมอยู่อีกครั้งหนึ่งว่า “เราเป็นความสว่างของโลก คนที่ติดตามเรามาจะไม่เดินอยู่ในความมืด แต่จะมีความสว่างที่นำไปสู่ชีวิต”

13 ดังนั้นพวกฟาริสีจึงพูดกับพระองค์ว่า “แกพูดเองเออเอง คำพยานของแกเชื่อถือไม่ได้หรอก”

14 พระเยซูตอบว่า “ถึงแม้ว่าเราจะเป็นพยานให้กับตัวเอง สิ่งที่เราพูดก็เป็นความจริง เพราะเรารู้ว่าตัวเราเองมาจากไหนและกำลังจะไปไหน แต่พวกคุณไม่รู้ว่าเรามาจากไหนหรือกำลังจะไปไหน 15 คุณตัดสินเราตามวิธีของมนุษย์ เราไม่ได้ตัดสินใครแบบนั้น 16 แต่ถ้าเราจะตัดสิน คำตัดสินของเราก็ถูกต้องเพราะเราไม่ได้ตัดสินคนเดียว แต่เราตัดสินร่วมกับพระบิดาผู้ส่งเรามา 17 ในกฎปฏิบัติของคุณบอกว่า ถ้ามีพยานสองคนพูดตรงกันก็ถือว่าเป็นความจริง 18 เราเป็นพยานให้กับตัวเอง และพระบิดาที่ส่งเรามาก็เป็นพยานให้กับเราอีกผู้หนึ่ง”

19 พวกเขาจึงถามว่า “แล้วไหนล่ะพ่อของแกที่แกพูดถึง”

พระเยซูตอบว่า “พวกคุณไม่รู้จักเราหรือพระบิดาของเราหรอก เพราะถ้าคุณรู้จักเรา คุณก็จะรู้จักพระบิดาของเราด้วย” 20 ตอนที่พระเยซูพูดเรื่องนี้ พระองค์กำลังสอนอยู่ในห้องที่เขาใช้ตั้งตู้บริจาคในบริเวณวิหาร ไม่มีใครมาจับกุมพระองค์เพราะยังไม่ถึงกำหนดเวลาของพระองค์

พวกยิวไม่เข้าใจพระเยซู

21 พระเยซูพูดกับพวกประชาชนอีกว่า “พวกคุณจะตามหาเรา แต่จะตายอยู่ในความบาปของตัวเอง ที่ซึ่งเรากำลังจะไปนั้นพวกคุณไปไม่ได้”

22 พวกผู้นำชาวยิวจึงถามกันว่า “มันกำลังจะฆ่าตัวตายหรือยังไงถึงพูดว่า ‘ที่ซึ่งเราจะไปนั้น พวกคุณไปไม่ได้’”

23 พระเยซูพูดว่า “พวกคุณมาจากโลกข้างล่าง แต่เรามาจากข้างบน พวกคุณเป็นของโลกนี้ แต่เราไม่ได้เป็นของโลกนี้ 24 เราถึงได้บอกว่า พวกคุณจะตายอยู่ในความบาปของตัวเอง ใช่แล้ว ถ้าคุณไม่เชื่อว่าเราเป็นคนๆนั้นที่เราบอกว่าเราเป็น[c] คุณก็จะตายอยู่ในความบาป”

25 พวกยิวถามพระองค์ว่า “แล้วแกเป็นใครล่ะ” พระเยซูตอบว่า “เราเป็นคนๆนั้นที่เราได้บอกพวกคุณตั้งแต่แรกแล้วว่าเราเป็น 26 ความจริงแล้วเรามีหลายเรื่องที่จะต่อว่าพวกคุณ แต่เราจะพูดเฉพาะเรื่องที่เราได้ยินมาจากพระองค์ผู้ที่ส่งเรามาเท่านั้น และพระองค์ก็พูดความจริง”

27 (พวกเขาไม่รู้ว่าพระเยซูกำลังพูดถึงพระบิดา) 28 ดังนั้นพระเยซูจึงพูดว่า “เมื่อพวกคุณยกบุตรมนุษย์ขึ้น คุณก็จะได้รู้ว่าเราเป็นคนๆนั้นที่เราบอกว่าเราเป็น เราไม่ได้ทำอะไรตามใจของตัวเอง แต่เราพูดเฉพาะสิ่งเหล่านั้นที่พระบิดาได้สอนเรามา 29 พระองค์ผู้ส่งเรามาก็อยู่กับเรา พระองค์ไม่เคยทิ้งเราไว้ให้อยู่คนเดียว เพราะเราทำตามใจพระองค์เสมอ” 30 เมื่อพระเยซูพูดอย่างนี้ก็มีหลายคนไว้วางใจพระองค์

พระเยซูพูดเรื่องการหลุดพ้นจากบาป

31 ดังนั้นพระเยซูจึงพูดกับชาวยิวที่ไว้วางใจในพระองค์ว่า “ถ้าพวกคุณยังคงทำตามคำสั่งสอนของเรา พวกคุณก็เป็นศิษย์ของเราจริงๆ 32 พวกคุณจะรู้จักความจริงและความจริงจะทำให้พวกคุณเป็นอิสระ”

33 พวกเขาตอบว่า “พวกเราเป็นลูกหลานของอับราฮัม และไม่เคยเป็นทาสใคร ทำไมอาจารย์ถึงพูดว่า ‘พวกคุณจะถูกปลดปล่อยให้เป็นอิสระ’”

34 พระเยซูตอบว่า “เราจะบอกให้รู้นะว่าจริงๆแล้วคนที่ยังทำบาปอยู่ก็เป็นทาสของความบาป 35 ทาสไม่ใช่คนในครอบครัว แต่ลูกเป็นคนในครอบครัวตลอดไป 36 ดังนั้นถ้าพระบุตรปลดปล่อยให้คุณเป็นอิสระ คุณก็จะเป็นอิสระจริงๆ 37 เราก็รู้อยู่แล้วว่าพวกคุณเป็นลูกหลานของอับราฮัม แต่พวกคุณพยายามจะฆ่าเรา เพราะว่าคุณไม่ทำตามคำสั่งสอนของเรา 38 เราได้บอกคุณถึงสิ่งที่เราได้เห็นจากพระบิดาของเรา แต่พวกคุณกลับไปทำตามสิ่งที่คุณได้ยินจากพ่อของคุณเอง”

39 พวกเขาพูดว่า “อับราฮัมเป็นพ่อของพวกเรานะ”

พระเยซูจึงพูดว่า “ถ้าพวกคุณเป็นลูกหลานของอับราฮัมจริง คุณจะต้องทำตามที่อับราฮัมทำ 40 เราได้เอาความจริงที่ได้ยินจากพระเจ้ามาบอกพวกคุณ แต่คุณกลับจะฆ่าเรา อับราฮัมไม่เคยทำอย่างนี้เลย 41 แต่คุณทำตามที่พ่อของคุณทำ”

พวกยิวจึงพูดกับพระเยซูว่า “พวกเราไม่ได้เป็นลูกชู้ พระเจ้าเท่านั้นคือพ่อที่แท้จริงของเรา”

42 พระเยซูพูดว่า “ถ้าพระเจ้าเป็นพ่อของพวกคุณจริงๆพวกคุณก็คงรักเราแล้ว เพราะเรามาจากพระเจ้า ที่เราอยู่ที่นี่ก็เพราะพระเจ้าส่งมา เราไม่ได้เป็นคนตัดสินใจเอง 43 ที่พวกคุณไม่เข้าใจเรื่องที่เราพูดก็เพราะคุณทนฟังไม่ได้ 44 พวกคุณมาจากพ่อของคุณที่เป็นมารร้าย และพวกคุณก็อยากจะทำตามใจพ่อของคุณ มันเป็นนักฆ่าคนมาตั้งแต่แรกแล้ว และมันก็ไม่เคยอยู่ฝ่ายความจริงเลย เพราะมันไม่มีความจริงในตัวเอง มันพูดโกหกตามสันดานของมัน เพราะมันเป็นนักโกหก และเป็นพ่อของการโกหก 45 เมื่อเราพูดความจริง พวกคุณก็เลยไม่เชื่อเรา 46 มีใครบ้างในพวกคุณที่พิสูจน์ได้ว่าเราทำบาป แล้วทำไมถึงไม่ยอมเชื่อเราเมื่อเราพูดความจริง 47 คนของพระเจ้าจะฟังคำพูดของพระเจ้า แต่ที่พวกคุณไม่ยอมฟังเรา ก็เพราะคุณไม่ได้เป็นคนของพระเจ้า”

พระเยซูพูดถึงตัวเองและอับราฮัม

48 พวกยิวได้ถามพระองค์ว่า “พวกเราพูดผิดตรงไหนที่ว่าแกเป็นชาวสะมาเรีย และมีผีสิง”

49 พระเยซูตอบว่า “เราไม่ได้ถูกผีสิง เราได้ให้เกียรติพระบิดาของเราแต่พวกคุณกลับลบหลู่เรา 50 เราไม่ได้อยากเด่นอยากดัง แต่พระเจ้าต้องการให้เรายิ่งใหญ่และพระองค์เป็นผู้ตัดสิน 51 เราจะบอกให้รู้ว่า ถ้าใครทำตามคำสั่งสอนของเรา คนๆนั้นจะไม่มีวันตาย”

52 พวกยิวพูดกับพระองค์ว่า “ตอนนี้เรารู้แล้วว่าแกถูกผีสิงแน่ เพราะทั้งอับราฮัมและพวกผู้พูดแทนพระเจ้า ก็ตายกันหมดแล้ว แต่แกกลับพูดว่า ‘ถ้าใครทำตามคำสั่งสอนของเรา คนๆนั้นจะไม่มีวันตาย’ 53 แกยิ่งใหญ่กว่าอับราฮัม พ่อของเราหรือไง อับราฮัมตาย พวกผู้พูดแทนพระเจ้าก็ตาย แล้วแกคิดว่าแกเป็นใคร”

54 พระเยซูตอบว่า “ถ้าเรายกย่องตัวเอง คำยกย่องนั้นก็ไม่มีความหมายอะไร พระบิดาของเรา ที่พวกคุณอ้างว่าเป็นพระเจ้าของพวกคุณนั่นแหละ เป็นผู้ที่ยกย่องเรา 55 จริงๆแล้วพวกคุณไม่รู้จักพระองค์หรอก แต่เรารู้จักพระองค์ ถ้าเราพูดว่า ‘เราไม่รู้จักพระองค์’ เราก็จะเป็นคนโกหกเหมือนกับพวกคุณ เรารู้จักพระองค์และทำตามที่พระองค์บอก 56 อับราฮัมบรรพบุรุษของคุณดีใจที่จะได้เห็นวันที่เรามา เขาได้เห็นแล้วและก็ดีใจแล้วด้วย”

57 พวกยิวพูดว่า “แกอายุยังไม่ถึงห้าสิบปี จะเคยเห็นอับราฮัมได้ยังไง”

58 พระเยซูตอบว่า “ความจริงแล้วเราเป็นอยู่ ก่อนที่อับราฮัมจะเกิดเสียอีก”[d] 59 คนเหล่านั้นจึงหยิบก้อนหินขึ้นมาจะขว้าง[e]พระเยซู แต่พระองค์ได้หลีกหนีออกไปจากวิหาร

Thai New Testament: Easy-to-Read Version (ERV-TH)

พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย ภาคคำสัญญาใหม่ © 2015 Bible League International