Print Page Options
Previous Prev Day Next DayNext

Beginning

Read the Bible from start to finish, from Genesis to Revelation.
Duration: 365 days
New Thai Version (NTV-BIBLE)
Version
เศคาริยาห์ 1-7

เรียกให้กลับมาหาพระผู้เป็นเจ้า

ในเดือนแปด ปีที่สองของดาริอัส[a] คำกล่าวของพระผู้เป็นเจ้ามาถึงเศคาริยาห์ผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้า ซึ่งเป็นบุตรของเบเรคิยาห์ผู้เป็นบุตรของอิดโด ดังนี้ว่า พระผู้เป็นเจ้ากริ้วบรรพบุรุษของพวกเจ้ามาก ฉะนั้นจงบอกพวกเขาว่า พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธาประกาศดังนี้ ‘จงกลับมาหาเรา’ พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธาประกาศดังนี้ ‘และเราจะกลับมาหาพวกเจ้า’” พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธากล่าวดังนั้น อย่าเป็นอย่างบรรพบุรุษของพวกท่าน ซึ่งบรรดาผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้ารุ่นก่อนๆ ร้องบอกไว้ว่า “พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธากล่าวดังนี้ ‘จงหันไปจากวิถีทางอันชั่วร้ายของพวกเจ้า และจากการกระทำอันชั่วร้าย’” แต่พวกเขาไม่ฟังและไม่เอาใจใส่ พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธาประกาศดังนั้น “บรรพบุรุษของพวกเจ้าอยู่ไหนล่ะ และบรรดาผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้ามีชีวิตยั่งยืนตลอดไปหรือ แต่คำกล่าวของเราและกฎเกณฑ์ของเราซึ่งเราบัญชาแก่บรรดาผู้เผยคำกล่าวผู้รับใช้ของเรานั้น ได้เกิดขึ้นกับพวกเขาตามที่เรากล่าวแล้วมิใช่หรือ พวกเขาได้กลับใจและพูดว่า ‘พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธาได้กระทำต่อพวกเราสมกับวิถีทางและความประพฤติของพวกเรา อย่างที่พระองค์ประสงค์ต่อพวกเรา’”

ภาพนิมิตทหารม้า

ในวันที่ยี่สิบสี่ เดือนสิบเอ็ด ซึ่งเป็นเดือนเชบัท ในปีที่สองของดาริอัส คำกล่าวของพระผู้เป็นเจ้ามาถึงเศคาริยาห์ผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้า ซึ่งเป็นบุตรของเบเรคิยาห์ผู้เป็นบุตรของอิดโด ดังที่เศคาริยาห์กล่าวคือ ดูเถิด ในเวลากลางคืน ข้าพเจ้าเห็นชายผู้หนึ่งขี่ม้าสีแดง ท่านยืนอยู่ท่ามกลางต้นเมอร์เทิลในหุบเขา ข้างหลังชายผู้นั้นมีม้าสีแดง น้ำตาล และขาว ข้าพเจ้าถามว่า “นายท่าน นี่คืออะไร” ทูตสวรรค์ที่กำลังพูดกับข้าพเจ้าตอบว่า “เราจะชี้ให้ท่านเห็นว่า นี่คืออะไร” 10 ดังนั้นชายที่ยืนอยู่ท่ามกลางต้นเมอร์เทิลตอบว่า “เขาเหล่านี้คือผู้ที่พระผู้เป็นเจ้าได้ส่งมาเพื่อตรวจตราทั่วแผ่นดินโลก” 11 และเขาทั้งหลายตอบทูตสวรรค์ของพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งยืนอยู่ท่ามกลางต้นเมอร์เทิลดังนี้ว่า “พวกเราได้ตรวจตราทั่วแผ่นดินโลกแล้ว และดูเถิด ทั่วโลกอยู่ในความสันติสุข” 12 ครั้นแล้ว ทูตสวรรค์ของพระผู้เป็นเจ้าพูดว่า “โอ พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธา พระองค์จะไม่มีเมตตาต่อเยรูซาเล็มและเมืองทั้งหลายในยูดาห์นานเพียงไร พระองค์โกรธเคืองพวกเขามาเป็นเวลา 70 ปีแล้ว”[b] 13 พระผู้เป็นเจ้าตอบด้วยคำพูดซึ่งกอปรด้วยความกรุณา และปลอบประโลมทูตสวรรค์ที่พูดกับข้าพเจ้า 14 ดังนั้นทูตสวรรค์ที่พูดอยู่กับข้าพเจ้าบอกข้าพเจ้าว่า “พระผู้เป็นเจ้ากล่าวว่า จงร้องบอกดังนี้ ‘เราหวงแหนเยรูซาเล็มและศิโยนยิ่งนัก 15 และเราเกรี้ยวโกรธบรรดาประชาชาติมากที่ไม่สะทกสะท้านอะไร แต่แรกเรากริ้วพวกเขาเพียงเล็กน้อย แต่ประชาชาติกระทำต่อพวกเขาเกินความตั้งใจของเรา’ 16 ฉะนั้น พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้ ‘เราจะกลับมายังเยรูซาเล็มพร้อมกับความเมตตา และตำหนักของเราจะถูกสร้างขึ้นใหม่ และเชือกที่ขึงจะเหยียดไปที่เยรูซาเล็ม’ พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธาประกาศดังนั้น 17 จงร้องบอกต่อไปอีกว่า พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธากล่าวดังนี้ ‘เมืองทั้งหลายของเราจะเปี่ยมล้นด้วยความมั่งมี และพระผู้เป็นเจ้าจะปลอบประโลมศิโยนและเลือกเยรูซาเล็มอีก’”

ภาพนิมิตเขาสัตว์และช่างฝีมือ

18 ดูเถิด ข้าพเจ้าเงยหน้าขึ้น และแลเห็นเขาสัตว์ 4 เขา 19 ข้าพเจ้าถามทูตสวรรค์ซึ่งพูดกับข้าพเจ้าว่า “นี่คืออะไร” ท่านตอบข้าพเจ้าว่า “เขาสัตว์เหล่านี้เป็นเขาสัตว์ที่ทำให้ยูดาห์ อิสราเอล และเยรูซาเล็มกระจัดกระจายไป” 20 หลังจากนั้นพระผู้เป็นเจ้าให้ข้าพเจ้าเห็นช่างฝีมือ 4 คน 21 ข้าพเจ้าถามว่า “คนเหล่านี้มาทำอะไร” พระองค์ตอบว่า “นี่คือเขาสัตว์ 4 เขาที่ทำให้ยูดาห์กระจัดกระจายไป และทำให้ไม่มีผู้ใดเงยศีรษะขึ้นได้ ช่างฝีมือเหล่านี้มาเพื่อทำให้พวกเขาหวาดกลัว เพื่อเหวี่ยงเขาสัตว์ของบรรดาประชาชาติลง ประชาชาติเหล่านี้ยกเขาสัตว์ของพวกเขาต่อต้านแผ่นดินของยูดาห์เพื่อให้กระจัดกระจายไป”

ภาพนิมิตชายผู้หนึ่งกับเชือกที่ขึง

ดูเถิด ข้าพเจ้าเงยหน้าขึ้น และแลเห็นชายผู้หนึ่งถือเชือกที่ขึงอยู่ในมือ และข้าพเจ้าถามว่า “ท่านกำลังจะไปไหน” ท่านตอบข้าพเจ้าว่า “จะไปวัดเยรูซาเล็มเพื่อดูว่า ขนาดกว้างและยาวเท่าไหร่” ดูเถิด ทูตสวรรค์ที่พูดกับข้าพเจ้าก้าวเท้าออกมา และทูตสวรรค์อีกท่านก้าวเท้าออกมา และพูดกับท่านนั้นว่า “รีบวิ่งไปบอกชายหนุ่มคนนั้นดังนี้ว่า ‘เยรูซาเล็มจะเป็นเมืองที่ไม่มีกำแพงล้อม แม้ว่าจะมีประชาชนและสัตว์เลี้ยงจำนวนมากอาศัยอยู่ก็ตาม และเราจะเป็นกำแพงไฟให้กับเมืองโดยรอบ’ พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น ‘และเราจะเป็นบารมีในท่ามกลางเมือง’”

พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนี้ “ไปเถิด ไปเถิด หนีไปจากแผ่นดินของทิศเหนือ เพราะเราได้ทำให้พวกเจ้ากระจัดกระจายออกไปยังลมทั้งสี่ของฟ้าสวรรค์

ศิโยนเอ๋ย ไปเถิด จงหนีไป เจ้าเป็นผู้ที่อาศัยอยู่กับธิดาแห่งบาบิโลน” พระองค์ส่งข้าพเจ้าไปยังบรรดาประชาชาติที่ได้ปล้นพวกท่าน เพราะผู้ใดก็ตามที่แตะต้องพวกท่าน เท่ากับเขาแตะต้องแก้วตาของพระองค์ ด้วยว่าพระผู้เป็นเจ้าจอมโยธากล่าวดังนี้ “เราจะยกมือของเราต่อต้านพวกเขาอย่างแน่นอน และบรรดาทาสรับใช้พวกเขาจะปล้นพวกเขาเอง” และพวกท่านจะทราบว่าพระผู้เป็นเจ้าจอมโยธาได้ส่งข้าพเจ้ามา 10 “โอ ธิดาแห่งศิโยนเอ๋ย จงร้องตะโกนและชื่นชมยินดี เพราะเรากำลังมา และเราจะอยู่ท่ามกลางเจ้า พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น 11 ประชาชาติจำนวนมากจะร่วมกับพระผู้เป็นเจ้าในวันนั้น และจะมาเป็นชนชาติของเรา เราจะอยู่ในท่ามกลางเจ้า” และท่านจะทราบว่าพระผู้เป็นเจ้าจอมโยธาได้ส่งข้าพเจ้ามาให้ท่าน 12 พระผู้เป็นเจ้าจะยึดครองยูดาห์เป็นมรดกส่วนหนึ่งของพระองค์ในแผ่นดินอันบริสุทธิ์ และจะเลือกเยรูซาเล็มอีก

13 มนุษย์ทั้งหลายจงนิ่งเงียบ ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้า เพราะพระองค์กระตุ้นพระองค์เองขึ้นจากที่อันบริสุทธิ์ซึ่งพระองค์สถิต

ภาพนิมิตโยชูวาหัวหน้ามหาปุโรหิต

และพระองค์ให้ข้าพเจ้าเห็นโยชูวาหัวหน้ามหาปุโรหิต[c] ซึ่งยืนอยู่ที่เบื้องหน้าทูตสวรรค์ของพระผู้เป็นเจ้า และซาตานยืนที่เบื้องขวาเขาเพื่อจะกล่าวหาเขา พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับซาตานว่า “พระผู้เป็นเจ้าห้ามเจ้า[d] โอ ซาตานเอ๋ย พระผู้เป็นเจ้าผู้ที่ได้เลือกเยรูซาเล็มห้ามเจ้า นี่คือท่อนไม้ที่ลุกเป็นไฟและถูกดึงออกจากกองไฟมิใช่หรือ” โยชูวาสวมเสื้อผ้าสกปรกและกำลังยืนอยู่ที่เบื้องหน้าทูตสวรรค์ และทูตสวรรค์พูดกับบรรดาผู้ยืนอยู่ที่เบื้องหน้าท่านว่า “จงถอดเสื้อผ้าสกปรกของเขาออก” และท่านพูดกับเขาว่า “ดูเถิด เราได้เอาบาปของเจ้าไปจากเจ้าแล้ว และเราจะให้เจ้าได้ใส่เสื้อผ้าอันบริสุทธิ์” และข้าพเจ้าพูดว่า “ให้พวกเขาโพกศีรษะเขาด้วยผ้าที่สะอาดเถิด” ดังนั้น พวกเขาก็โพกศีรษะให้ และสวมเสื้อผ้าให้เขา และทูตสวรรค์ของพระผู้เป็นเจ้าก็ยืนอยู่ที่นั่น

แล้วทูตสวรรค์ของพระผู้เป็นเจ้าสั่งโยชูวาว่า พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธากล่าวดังนี้ “ถ้าเจ้าจะดำเนินตามวิถีทางของเรา และทำตามคำสั่งของเรา เจ้าก็จะจัดการในเรื่องตำหนักของเรา และดูแลลานตำหนักของเรา และเราจะให้เจ้ามีสิทธิเข้านอกออกในเช่นเดียวกับบรรดาผู้ที่ยืนอยู่ที่นี่ โอ โยชูวาหัวหน้ามหาปุโรหิตเอ๋ย ทั้งตัวเจ้าและบรรดาเพื่อนๆ ของเจ้าที่นั่งอยู่ตรงหน้าเจ้าจงฟังเถิด ด้วยว่า พวกเขาเป็นผู้ชายซึ่งเป็นสัญลักษณ์ ดูเถิด เราจะนำผู้รับใช้ของเรามาคืออังกูร[e] ดูเถิด บนหินที่เราได้ตั้งไว้ตรงหน้าโยชูวา มีตา 7 ตาบนหิน 1 ก้อน” พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธาประกาศดังนี้ว่า “เราจะสลักคำจารึก และเราจะเอาบาปออกจากแผ่นดินนี้ภายในวันเดียว” 10 พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธาประกาศดังนี้ว่า “ในวันนั้น ทุกคนในพวกเจ้าจะเชิญเพื่อนบ้านของเขามาที่ใต้ร่มเถาองุ่นและใต้ร่มต้นมะเดื่อของเขา”

ภาพนิมิตคันประทีปทองคำ

ทูตสวรรค์ที่พูดกับข้าพเจ้ามาหาและปลุกให้ตื่น ข้าพเจ้าเป็นเหมือนคนที่ถูกปลุกให้ตื่นจากที่ได้หลับสนิท ท่านพูดกับข้าพเจ้าว่า “ท่านเห็นอะไร” ข้าพเจ้าตอบว่า “ดูเถิด ข้าพเจ้าเห็นคันประทีปทองคำล้วนซึ่งมีภาชนะ 1 ใบบนยอด และมีดวงประทีป 7 ดวงบนนั้น มีท่อ 7 ท่อโยงกับดวงประทีปแต่ละดวงที่อยู่บนยอด มีต้นมะกอก 2 ต้นอยู่ข้างๆ ต้นหนึ่งอยู่ด้านขวาภาชนะ และอีกต้นอยู่ด้านซ้าย” และข้าพเจ้าถามทูตสวรรค์ที่พูดกับข้าพเจ้าว่า “นายท่าน นี่คืออะไร” แล้วทูตสวรรค์ที่พูดกับข้าพเจ้าตอบว่า “ท่านไม่ทราบหรือว่า สิ่งเหล่านี้คืออะไร” ข้าพเจ้าตอบว่า “ข้าพเจ้าไม่ทราบหรอก นายท่าน” ท่านจึงตอบข้าพเจ้าว่า “พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับเศรุบบาเบลดังนี้ว่า ‘ไม่ใช่ด้วยฤทธานุภาพ หรือด้วยอานุภาพ แต่ด้วยวิญญาณของเรา’ พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธากล่าวดังนั้น

โอ ภูเขาอันยิ่งใหญ่ เจ้าเป็นใคร เจ้าจะกลายเป็นพื้นดินราบที่ตรงหน้าเศรุบบาเบล แล้วเขาจะวางศิลามุมเอกในขณะที่มีเสียงโห่ร้องว่า ‘พระคุณ พระคุณแด่ศิลา’”

แล้วคำกล่าวของพระผู้เป็นเจ้ามาถึงข้าพเจ้าดังนี้ “เศรุบบาเบลได้วางฐานรากของพระวิหารนี้ และเขาจะเป็นผู้สร้างให้เสร็จ แล้วท่านจะทราบว่าพระผู้เป็นเจ้าจอมโยธาได้ส่งเรามา 10 ใครดูหมิ่นวันแห่งความคืบหน้าอันน้อยนิด เขาทั้งหลายจะชื่นชมยินดีและจะเห็นสายดิ่งอยู่ในมือของเศรุบบาเบล ดวงประทีปทั้งเจ็ดนี้คือตาของพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งมองเห็นได้ทั่วทั้งโลก” 11 ข้าพเจ้าพูดกับท่านว่า “ต้นมะกอก 2 ต้นนี้คืออะไร ต้นที่อยู่ด้านขวาและด้านซ้ายของคันประทีป” 12 ข้าพเจ้าตอบครั้งที่สองเป็นคำถามว่า “กิ่งของต้นมะกอก 2 กิ่งนี้คืออะไร เป็นกิ่งที่ข้างท่อทองคำ 2 ท่อซึ่งมีน้ำมันทองไหลออกมา” 13 ท่านตอบว่า “ท่านไม่ทราบหรือว่าท่อเหล่านี้คืออะไร” ข้าพเจ้าตอบว่า “ข้าพเจ้าไม่ทราบหรอก นายท่าน” 14 ท่านตอบว่า “นี่คือคนทั้งสองที่ได้รับการเจิม เป็นผู้ที่ยืนข้างพระผู้เป็นเจ้าของทั่วแหล่งหล้า”

ภาพนิมิตหนังสือม้วนเหาะ

ดูเถิด ข้าพเจ้าเงยหน้าขึ้นอีก และแลเห็นหนังสือม้วนเหาะได้ ท่านถามข้าพเจ้าว่า “ท่านเห็นอะไร” ข้าพเจ้าตอบว่า “ข้าพเจ้าเห็นหนังสือม้วนเหาะ มีความยาว 20 ศอก และกว้าง 10 ศอก” ท่านพูดกับข้าพเจ้าว่า “นี่คือคำสาปแช่งที่ออกไปทั่วแผ่นดินโลก เพราะทุกคนที่ลักขโมยจะถูกกำจัดให้สิ้นไป ตามที่เขียนไว้บนด้านหนึ่ง และทุกคนที่ให้คำสาบานเท็จจะถูกกำจัดให้สิ้นไป ตามที่เขียนไว้อีกด้านหนึ่ง” พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธาประกาศดังนี้ว่า “เราจะส่งหนังสือม้วนออกไป และมันจะเข้าไปในบ้านของผู้ลักขโมยและของผู้ที่ให้คำสาบานเท็จด้วยนามของเรา และมันจะอยู่ในบ้านของเขา และทำลายบ้านนั้นเสียทั้งส่วนที่เป็นไม้และหิน”

ภาพนิมิตหญิงผู้หนึ่งในตะกร้า

แล้วทูตสวรรค์ที่พูดกับข้าพเจ้าก็ก้าวออกมา และพูดกับข้าพเจ้าว่า “จงเงยหน้าและดูว่า นี่คืออะไร สิ่งที่กำลังจะออกไป” ข้าพเจ้าถามว่า “นี่คืออะไร” ท่านตอบว่า “นี่คือตะกร้าที่กำลังจะออกไป” ท่านพูดว่า “นี่คือบาปของพวกเขาทั่วแหล่งหล้า” ดูเถิด ฝาตะกั่วเปิดออก และมีหญิงผู้หนึ่งนั่งอยู่ในตะกร้า และท่านพูดว่า “นี่คือความชั่วร้าย” และท่านกดนางกลับเข้าไปในตะกร้า และกดฝาตะกั่วปิดปากตะกร้า

ดูเถิด แล้วข้าพเจ้าเงยหน้าขึ้น และแลเห็นผู้หญิง 2 คนก้าวออกมา ลมพัดปีกของนางทั้งสอง ซึ่งเหมือนปีกนกกระสา และนางยกตะกร้าขึ้นระหว่างแผ่นดินโลกและฟ้าสวรรค์ 10 และข้าพเจ้าถามทูตสวรรค์ที่พูดกับข้าพเจ้าว่า “นางทั้งสองจะเอาตะกร้าไปไหน” 11 ท่านตอบว่า “ไปยังแผ่นดินของชินาร์[f] เพื่อสร้างบ้านให้ตะกร้า เมื่อสร้างเสร็จ ตะกร้าจะถูกวางไว้บนฐานตั้งของมัน”

ภาพนิมิตรถศึก 4 คัน

ดูเถิด ข้าพเจ้าเงยหน้าขึ้นอีก และแลเห็นรถศึก 4 คันออกมาระหว่างภูเขาทองสัมฤทธิ์ 2 ลูก รถศึกแต่ละคันมีม้าหลายตัว คันแรกมีม้าสีแดง คันที่สองมีม้าสีดำ คันที่สามมีม้าสีขาว คันที่สี่มีม้าด่างสีเทา ม้าทุกตัวแข็งแรง แล้วข้าพเจ้าถามทูตสวรรค์ที่พูดกับข้าพเจ้าว่า “นี่คืออะไร นายท่าน” ทูตสวรรค์ตอบข้าพเจ้าว่า “หลังจากที่พวกเขายืน ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้าของแผ่นดินโลกแล้ว ก็จะออกไปยังลมทั้งสี่ของฟ้าสวรรค์ รถศึกที่มีม้าสีดำไปทางทิศเหนือของแผ่นดิน ม้าสีขาวก็ตามไป และม้าด่างสีเทาไปทางทิศใต้ของแผ่นดิน” เมื่อพวกม้าตัวที่แข็งแรงออกมา มันร้อนใจที่จะไปตรวจตราแผ่นดินโลก ท่านพูดว่า “จงออกไปตรวจตราแผ่นดินโลก” ม้าเหล่านั้นก็ออกไปตรวจตราแผ่นดินโลก แล้วท่านร้องบอกข้าพเจ้าว่า “ดูเถิด พวกตัวที่ไปทางทิศเหนือของแผ่นดินทำให้วิญญาณของเราสงบลงในแผ่นดินทางทิศเหนือ”

มงกุฎและพระวิหาร

คำกล่าวของพระผู้เป็นเจ้ามาถึงข้าพเจ้าดังนี้ 10 “จงนำเฮลดัย โทบียาห์ และเยดายาห์ออกจากการเป็นเชลยที่บาบิโลน พวกเขาได้มาถึงแล้ว และในวันเดียวกันก็จงไปบ้านของโยสิยาห์บุตรของเศฟันยาห์ 11 จงเอาเงินและทองคำจากพวกเขา แล้วเอาไปทำเป็นมงกุฎ และสวมบนศีรษะโยชูวาหัวหน้ามหาปุโรหิต ซึ่งเป็นบุตรของเยโฮซาดัก 12 และบอกเขาดังนี้ว่า ‘พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธากล่าวว่า นี่คือบุรุษที่ชื่ออังกูร เขาจะแตกหน่อออกไปจากที่ของเขา และเขาจะสร้างพระวิหารของพระผู้เป็นเจ้า 13 เขานั่นแหละที่จะเป็นผู้สร้างพระวิหารของพระผู้เป็นเจ้า และจะได้รับเกียรติอันยิ่งใหญ่ จะนั่งปกครองบนบัลลังก์ของเขา และจะเป็นปุโรหิตบนบัลลังก์ของเขา การปฏิบัติงานทั้งสองจะประสานกันด้วยความสันติสุข’ 14 มงกุฎจะอยู่ในพระวิหารของพระผู้เป็นเจ้าเพื่อเป็นการเตือนให้ระลึกถึงเฮลดัย โทบียาห์ เยดายาห์ และเฮนบุตรของเศฟันยาห์

15 และบรรดาผู้ที่อยู่แดนไกลจะมาช่วยสร้างพระวิหารของพระผู้เป็นเจ้า และท่านจะทราบว่า พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธาได้ส่งข้าพเจ้ามาหาพวกท่าน และสิ่งดังกล่าวจะเกิดขึ้น ถ้าท่านจะเชื่อฟังพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านอย่างจริงจัง”

การร้องขอความเป็นธรรมและเมตตา

ในปีที่สี่ของกษัตริย์ดาริอัส คำกล่าวของพระผู้เป็นเจ้ามาถึงเศคาริยาห์ ในวันที่สี่ เดือนเก้าซึ่งเป็นเดือนคิสเลฟ[g] ประชาชนของเบธเอลได้ส่งชาเรเซอร์ เรเกมเมเลค และพรรคพวกของพวกเขา เพื่อไปถามพระผู้เป็นเจ้าอย่างจริงใจ โดยถามบรรดาปุโรหิตของพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้าจอมโยธา และพูดกับบรรดาผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าว่า “ข้าพเจ้าควรจะร้องไห้และอดอาหารในเดือนห้า อย่างที่ข้าพเจ้าทำมาเป็นเวลาหลายปีหรือไม่”

และคำกล่าวของพระผู้เป็นเจ้าจอมโยธาก็มาถึงข้าพเจ้าดังนี้ว่า “จงบอกประชาชนทั้งปวงของแผ่นดินและบรรดาปุโรหิตว่า เวลาพวกเจ้าอดอาหารและครวญคร่ำร่ำไห้ในเดือนห้าและเดือนเจ็ด ในช่วงเวลา 70 ปีที่ผ่านมานั้น เจ้าอดอาหารเพื่อเราหรือ และเวลาพวกเจ้ารับประทานและดื่ม พวกเจ้ารับประทานและดื่มเพื่อพวกเจ้าเองมิใช่หรือ พระผู้เป็นเจ้าประกาศผ่านบรรดาผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้ารุ่นก่อนๆ เป็นคำกล่าวเหล่านี้มิใช่หรือ เมื่อเยรูซาเล็มและเมืองต่างๆ รอบข้างมีผู้คนอาศัยอยู่และเจริญรุ่งเรือง รวมทั้งเนเกบและเนินเขาเชเฟลาห์ด้วย”

และคำกล่าวของพระผู้เป็นเจ้าก็มาถึงเศคาริยาห์ว่า พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธากล่าวดังนี้ “จงปกครองด้วยความเป็นธรรมอย่างแท้จริง แสดงความเมตตาและความสงสารต่อกันและกัน 10 อย่ากดขี่ข่มเหงหญิงม่ายหรือเด็กกำพร้าพ่อ คนต่างด้าวหรือผู้ยากไร้ และอย่าคิดร้ายในใจต่อกัน” 11 แต่พวกเขาปฏิเสธที่จะใส่ใจ และยังหัวรั้นหันหลัง และทำหูทวนลมไม่ฟัง 12 พวกเขาทำจิตใจแข็งกระด้างดั่งหินเหล็กไฟ ไม่ฟังกฎบัญญัติและคำกล่าวที่พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธาได้ส่งมาให้โดยพระวิญญาณผ่านบรรดาผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้ารุ่นก่อนๆ ฉะนั้นความกริ้วอันร้อนแรงจึงมาจากพระผู้เป็นเจ้าจอมโยธา 13 “เวลาเราร้องบอก พวกเขาก็ไม่ฟัง ดังนั้นเวลาพวกเขาร้องบอก เราก็จะไม่ฟัง” พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธากล่าวดังนั้น 14 “เราทำให้พวกเขากระจัดกระจายกันไปด้วยพายุหมุนในท่ามกลางประชาชาติทั้งปวงที่พวกเขาไม่เคยรู้จัก แผ่นดินถูกทิ้งร้างไว้เบื้องหลัง จึงไม่มีใครไปมาหาสู่กันได้ พวกเขาทำให้แผ่นดินอันน่าอยู่กลายเป็นที่รกร้าง”

New Thai Version (NTV-BIBLE)

Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation