Print Page Options
Previous Prev Day Next DayNext

Beginning

Read the Bible from start to finish, from Genesis to Revelation.
Duration: 365 days
New Thai Version (NTV-BIBLE)
Version
เอเสเคียล 31-33

ฟาโรห์จะถูกสังหาร

31 ในวันแรกของเดือนสาม ปีที่สิบเอ็ด[a]พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับข้าพเจ้าดังนี้ว่า “บุตรมนุษย์เอ๋ย จงพูดกับฟาโรห์กษัตริย์ของอียิปต์ และกับประชาชนของเขาดังนี้

‘เจ้ายิ่งใหญ่เหมือนใครหนอ
ดูเถิด อัสซีเรียเคยเป็นเหมือนต้นซีดาร์ในเลบานอน
    มีกิ่งก้านสวยงามและร่มรื่นในป่าไม้
สูงตระหง่าน
    ยอดของมันสูงเด่นระดับเมฆ
ได้รับน้ำหล่อเลี้ยง
    ห้วงน้ำลึกทำให้ต้นสูงใหญ่
ถูกปลูกไว้โดยมีสายน้ำไหล
    รอบโคนต้น
และสายน้ำไหลแยกออกไป
    ถึงต้นไม้ทุกต้นในทุ่ง
ต้นซีดาร์นี้สูงตระหง่านกว่าต้นไม้อื่นๆ ในทุ่ง
    กิ่งของมันโต ก้านก็ยาว
เพราะได้น้ำจำนวนมหาศาล
    หล่อเลี้ยงจากรากของมัน
นกทั้งหลายในอากาศทำรังตามกิ่งไม้
    สัตว์ป่าทั้งปวงในทุ่งออกลูก
    ที่ใต้กิ่งก้านของต้น
และประชาชาติที่ยิ่งใหญ่ทั้งปวง
    อาศัยอยู่ใต้ร่มเงาไม้
ต้นไม้ต้นนี้โอฬารและงามตระการยิ่งนัก
    กิ่งก้านก็ยาว
เพราะรากของมันหยั่งลงลึก
    ถึงแหล่งน้ำ
ต้นซีดาร์ต้นอื่นๆ ในสวนของพระเจ้าไม่อาจเทียบกับต้นซีดาร์ต้นนี้ได้
    ต้นสนอื่นๆ จะเทียบเท่ากับกิ่งของมันไม่ได้
    ต้นเพลนก็เทียบกับกิ่งของมันไม่ได้เช่นกัน
ไม่มีต้นไม้ใดในสวนของพระเจ้า
    จะเทียบเท่ากับความงามของมันได้
เราทำให้มันงดงาม
    ด้วยกิ่งก้านมากมาย
และต้นไม้ทุกต้นในเอเดน
    ซึ่งเป็นสวนของพระเจ้า อิจฉาต้นนี้’”

10 ฉะนั้น พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้ว่า “เพราะมันสูงตระหง่าน ยอดของมันสูงเด่นระดับเมฆ และมีใจยโสในความสูงของมัน 11 เราจะให้มันอยู่ในมือของผู้มีอำนาจคนหนึ่งในบรรดาประชาชาติ เขาจะกระทำต่อมันตามความชั่วร้ายที่มันควรจะได้รับ เราได้สลัดมันทิ้งแล้ว 12 บรรดาชาวต่างชาติซึ่งโหดร้ายที่สุดในบรรดาประชาชาติได้โค่นต้นและปล่อยทิ้งมันไว้ ก้านของมันตกบนภูเขาและในหุบเขาทั้งหลาย กิ่งก้านของมันหักและตกในธารน้ำทุกสายของแผ่นดิน และบรรดาชนชาติทั้งปวงของแผ่นดินโลกได้ออกไปจากร่มเงาและปล่อยทิ้งมันไว้ 13 นกในอากาศทั้งปวงเกาะอาศัยอยู่บนต้นไม้ที่โค่นลง และสัตว์ป่าทั้งปวงในทุ่งเหยียบย่ำกิ่งก้านของมัน 14 ฉะนั้นต้นไม้ต้นอื่นๆ ใกล้แหล่งน้ำจะไม่มีวันสูงตระหง่านด้วยความยโส และยอดของมันจะไม่สูงเด่นระดับเมฆ และไม่มีต้นไม้ใดที่จะมีน้ำเลี้ยงมาก จนทำให้ต้นโตสูงเท่าได้ เพราะทุกต้นถูกกำหนดให้ตาย ให้ลงไปสู่โลกเบื้องล่าง อยู่ในท่ามกลางบรรดาบุตรมนุษย์ อยู่กับบรรดาผู้ลงไปในหลุมลึกแห่งแดนคนตาย”

15 พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวดังนี้ว่า “ในวันที่มันโค่นลงสู่แดนคนตาย เราทำให้ห้วงน้ำลึกร้องคร่ำครวญ เรารั้งกระแสน้ำ มวลน้ำจำนวนมหาศาลถูกยับยั้งไว้ เราให้เลบานอนห่มด้วยความมืดมน และต้นไม้ทุกต้นในทุ่งนาเหี่ยวเฉาก็เพราะมัน 16 เราทำให้บรรดาประชาชาติสั่นหวั่นไหวเมื่อได้ยินเสียงโค่นลง เมื่อเราเหวี่ยงมันลงสู่แดนคนตายพร้อมกับบรรดาผู้ที่ลงในหลุมลึกแห่งแดนคนตาย และต้นไม้ทุกต้นในเอเดน ต้นไม้งามและดีที่สุดของเลบานอน ทุกต้นที่ได้น้ำเลี้ยงได้รับการปลอบประโลมในโลกเบื้องล่าง 17 ต้นไม้เหล่านั้นซึ่งเคยอาศัยอยู่ใต้ร่มเงาต้นไม้ใหญ่ คือฝ่ายพันธมิตรในท่ามกลางบรรดาประชาชาติ ก็ได้ลงไปสู่แดนคนตายด้วยกับต้นไม้ใหญ่ ไปรวมกับบรรดาผู้ถูกดาบสังหาร

18 ต้นไม้ต้นใดในหมู่ไม้ของเอเดนบ้างที่จะเปรียบเทียบได้กับเจ้าในความรุ่งโรจน์และความยิ่งใหญ่ แต่เจ้าด้วยที่จะถูกทำให้ต่ำลงด้วยกันกับต้นไม้ทั้งหลายของเอเดนที่โลกเบื้องล่าง เจ้าจะนอนในท่ามกลางพวกที่ไม่ได้เข้าสุหนัต กับพวกที่ถูกดาบสังหาร

นี่แหละคือฟาโรห์และประชาชนของเขา” พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ประกาศดังนั้น

ร้องคร่ำครวญให้กับฟาโรห์และอียิปต์

32 ในวันแรกของเดือนสิบสอง ปีที่สิบสอง[b] พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับข้าพเจ้าดังนี้ว่า “บุตรมนุษย์เอ๋ย จงร้องคร่ำครวญให้กับฟาโรห์กษัตริย์ของอียิปต์ และบอกเขาดังนี้

‘เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นดั่งสิงโตในบรรดาประชาชาติ
    แต่เจ้าเป็นอย่างมังกรในทะเล
เจ้าทำให้น้ำกระจายในแม่น้ำ
    แกว่งเท้าของเจ้าในน้ำ
    และทำให้น้ำในแม่น้ำขุ่น

พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวดังนี้ว่า

เราจะเหวี่ยงตาข่ายคลุมตัวเจ้า
    เรามีคนจำนวนมากอยู่กับเราด้วย
    และพวกเขาจะลากตัวเจ้าที่ติดตาข่ายของเราขึ้นมา
เราจะเหวี่ยงเจ้าลงบนพื้น
    เราจะโยนเจ้าลงบนทุ่งโล่ง
เราจะทำให้บรรดานกในอากาศทั้งปวงเกาะที่ตัวเจ้า
    และเราจะให้สัตว์ป่าทั่วทั้งแผ่นดินโลกขม้ำกินเจ้าอย่างตะกละ
เราจะแผ่เนื้อของเจ้าไว้บนภูเขา
    และถมหุบเขาให้เต็มด้วยซากของเจ้า
เราจะให้แผ่นดินชุ่มด้วยเลือดของเจ้า
    ที่ไหลไปจนถึงภูเขา
    และหุบเขาจะมีร่างของเจ้าเต็มไปหมด
เมื่อเราดับชีวิตของเจ้าให้สูญไป เราจะปกคลุมฟ้าสวรรค์
    และทำให้ดวงดาวมืดลง
เราจะปกคลุมดวงอาทิตย์ด้วยเมฆ
    และดวงจันทร์จะไม่ส่องแสง
เราจะทำให้แสงอันสุกสว่าง
    ของฟ้าสวรรค์มืดลงเหนือตัวเจ้า
    และจะให้ความมืดปกแผ่นดินของเจ้า’”
    พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ประกาศดังนั้น

“เราจะทำให้ชนชาติจำนวนมากทุกข์ใจเมื่อเรานำความพินาศมาสู่เจ้าท่ามกลางบรรดาประชาชาติ ท่ามกลางหลายดินแดนที่เจ้าไม่เคยรู้จัก 10 เราจะทำให้คนจำนวนมากตกตะลึงในตัวเจ้า และผมของบรรดากษัตริย์จะตั้งขึ้นด้วยความหวาดหวั่นก็เพราะเจ้า เมื่อเราแกว่งดาบของเราต่อหน้าพวกเขา พวกเขาทุกคนจะสั่นเทา กลัวอยู่ทุกขณะว่าชีวิตจะสิ้นสุด ในวันที่เจ้าถูกโค่นลง”

11 เพราะพระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวดังนี้ว่า “ดาบของกษัตริย์แห่งบาบิโลนจะสู้รบกับเจ้า 12 เราจะทำให้ประชาชนของเจ้าล้มลงด้วยดาบของบรรดานักรบผู้เก่งกล้า พวกเขาทุกคนโหดร้ายที่สุดในบรรดาประชาชาติ

พวกเขาจะทำให้ความยโสของอียิปต์พินาศ
    และประชาชนชาวอียิปต์จะล้มตาย
13 เราจะทำลายสัตว์ป่าให้หมดสิ้นไปจาก
    บริเวณใกล้แหล่งน้ำ
และจะไม่มีผู้ใดย่างเท้าลงในน้ำอีกต่อไป
    หรือจะมีสัตว์เลี้ยงย่ำกีบทำให้น้ำขุ่นอีก
14 แล้วเราจะทำให้น้ำของอียิปต์ใส
    และทำให้แม่น้ำไหลอย่างน้ำมัน”
    พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ประกาศดังนั้น
15 “เมื่อเราทำให้แผ่นดินอียิปต์รกร้าง
    และทำให้แผ่นดินไม่มีสิ่งใดเหลืออยู่เลย
เมื่อเราทำให้สิ่งมีชีวิตทั้งสิ้นที่อาศัยอยู่ในนั้นหมอบราบคาบ
    แล้วพวกเขาจะรู้ว่า เราคือพระผู้เป็นเจ้า

16 นี่เป็นคำร้องคร่ำครวญที่พวกเขาจะร้องให้กับอียิปต์ บรรดาบุตรหญิงของบรรดาประชาชาติจะร้องคร่ำครวญ พวกเขาจะร้องคร่ำครวญให้กับอียิปต์และประชาชนทุกคน” พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ประกาศดังนั้น

17 ในวันที่สิบห้า ปีที่สิบสอง[c] พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับข้าพเจ้าดังนี้ว่า 18 “บุตรมนุษย์เอ๋ย เจ้าจงร้องรำพันให้กับประชาชนของอียิปต์ และส่งอียิปต์และบุตรหญิงทั้งหลายของบรรดาประชาชาติที่มีอานุภาพลงไปยังโลกเบื้องล่าง ไปยังบรรดาผู้ที่ได้ลงไปในหลุมลึกแห่งแดนคนตายแล้ว

19 จงพูดกับพวกเขาดังนี้

‘เจ้างามเกินใครบ้างหรือ
    จงลงไปและนอนพักรวมอยู่กับคนที่ไม่ได้เข้าสุหนัต’

20 พวกเขาจะล้มลงอยู่กับบรรดาผู้ที่ถูกดาบสังหาร อียิปต์และประชาชนทุกคนถูกดาบสังหารและลากไป 21 บรรดาผู้นำที่มีอำนาจจะเอ่ยจากแดนคนตายถึงอียิปต์และพันธมิตรว่า ‘พวกเขาได้ลงมาแล้ว พวกเขานอนนิ่งอยู่กับพวกที่ไม่ได้เข้าสุหนัต ซึ่งถูกดาบสังหาร’

22 อัสซีเรียอยู่ที่นั่นกับพรรคพวก มีหลุมศพอยู่รอบข้าง ทุกคนถูกสังหาร ล้มตายด้วยดาบ 23 หลุมศพของพวกเขาอยู่ในส่วนลึกสุดของหลุมลึกแห่งแดนคนตาย และพรรคพวกของอัสซีเรียอยู่รอบหลุมศพ ทุกคนถูกสังหาร ล้มตายด้วยดาบ พวกเขาทำให้เกิดความหวาดหวั่นทั่วดินแดนของคนเป็น

24 เอลามอยู่ที่นั่น ประชาชนจำนวนมากอยู่รอบหลุมศพ ทุกคนถูกสังหาร ล้มตายด้วยดาบ พวกเขาทุกคนทำให้เกิดความหวาดหวั่นทั่วดินแดนของคนเป็น ลงไปอย่างคนที่ไม่ได้เข้าสุหนัตยังโลกเบื้องล่าง พวกเขาแบกรับความอับอายด้วยกับบรรดาผู้ที่ลงไปสู่หลุมลึกแห่งแดนคนตาย 25 พวกเขาจัดเตรียมที่อยู่ให้แก่เอลามในหมู่คนที่ถูกสังหารพร้อมกับคนจำนวนมาก หลุมศพอยู่รอบข้าง พวกเขาทุกคนไม่ได้เข้าสุหนัต ถูกดาบสังหาร เพราะพวกเขาทำให้เกิดความหวาดหวั่นทั่วดินแดนของคนเป็น พวกเขาแบกรับความอับอายด้วยกับบรรดาผู้ที่ลงไปสู่หลุมลึกแห่งแดนคนตาย พวกเขาถูกทิ้งไว้ในท่ามกลางคนที่ถูกสังหาร

26 เมเชคและทูบัลอยู่ที่นั่น ประชาชนจำนวนมากอยู่รอบหลุมศพ ทุกคนไม่ได้เข้าสุหนัต ถูกดาบสังหาร เพราะพวกเขาทำให้เกิดความหวาดหวั่นทั่วดินแดนของคนเป็น 27 และพวกเขาไม่นอนรวมกับนักรบผู้เก่งกล้า คือผู้ที่เสียชีวิตในบรรดาผู้ที่ไม่ได้เข้าสุหนัต ซึ่งลงไปสู่แดนคนตายกับอาวุธสงคราม และมีดาบวางที่ใต้ศีรษะ บาปอยู่บนกระดูกของพวกเขา เพราะความหวาดหวั่นที่มีต่อนักรบเหล่านี้อยู่ในดินแดนของคนเป็น 28 ส่วนเจ้าเอง เจ้าจะถูกทำลายและนอนลงในท่ามกลางบรรดาผู้ที่ไม่ได้เข้าสุหนัตที่ลงไปสู่หลุมลึก

29 เอโดมอยู่ที่นั่น พร้อมกับบรรดากษัตริย์และผู้ยิ่งใหญ่ทุกคน แม้พวกเขาจะมีอำนาจก็ยังถูกวางรวมกับบรรดาผู้ที่ถูกดาบฆ่าตาย พวกเขานอนรวมกับบรรดาผู้ที่ไม่ได้เข้าสุหนัต กับผู้ที่ลงไปสู่หลุมลึกแห่งแดนคนตาย

30 บรรดาผู้นำจากทิศเหนือและชาวไซดอนทั้งปวงอยู่ที่นั่น พวกเขาได้ลงไปพร้อมกับพวกที่ถูกฆ่า เพราะความหวาดหวั่นที่พวกเขาก่อขึ้นจากอำนาจของพวกเขา พวกเขานอนลงอย่างคนที่ไม่ได้เข้าสุหนัตนอนกับบรรดาผู้ที่ถูกดาบสังหาร และแบกรับความอับอายด้วยกับบรรดาผู้ที่ลงไปสู่หลุมลึกแห่งแดนคนตาย

31 เมื่อฟาโรห์เห็นพวกเขา เขาจะรู้สึกสบายใจเรื่องประชาชนทั้งปวงของเขา ทั้งฟาโรห์และกองทัพทั้งหมดที่ถูกดาบสังหาร” พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ประกาศดังนั้น 32 “ถึงแม้ว่าเราทำให้เกิดความหวาดหวั่นทั่วดินแดนของคนเป็น ฟาโรห์และประชาชนทั้งปวงของเขาจะนอนรวมกับบรรดาผู้ที่ไม่ได้เข้าสุหนัต กับบรรดาผู้ที่ถูกดาบสังหาร” พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ประกาศดังนั้น

เอเสเคียลเป็นผู้เฝ้ายามของอิสราเอล

33 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับข้าพเจ้าว่า “บุตรมนุษย์เอ๋ย จงบอกชนร่วมชาติของเจ้าดังนี้ ‘ถ้าเราจะให้มีการฆ่าฟันเกิดขึ้นในแผ่นดิน และประชาชนของแผ่นดินเลือกคนใดคนหนึ่งในพวกเขาเองให้เป็นผู้เฝ้ายาม และถ้าเขาเห็นว่า จะมีการฆ่าฟันในแผ่นดินและเป่าแตรงอนเพื่อเตือนประชาชน ถ้าผู้ที่ได้ยินเสียงแตรงอน แต่ไม่รับการเตือน และเกิดการฆ่าฟันจนเขาสิ้นชีวิต ก็เป็นการเลือกของเขาเอง ในเมื่อเขาได้ยินเสียงแตรงอนแล้ว แต่ยังไม่รับการเตือน ก็เป็นการเลือกของเขาเอง ถ้าหากว่าเขารับการเตือน เขาก็จะรักษาชีวิตของเขาไว้ได้ แต่ถ้าผู้เฝ้ายามเห็นว่าการฆ่าฟันกำลังจะเกิดขึ้น แต่ไม่เป่าแตรงอนเพื่อเตือนประชาชน และมีการฆ่าฟันจนทำให้คนใดในพวกเขาเสียชีวิต ชายคนนั้นจะถูกพรากไปเพราะบาปของเขา แต่เราจะให้ชีวิตของเขาตกอยู่ในความรับผิดชอบของผู้เฝ้ายาม’

บุตรมนุษย์เอ๋ย เราได้ให้เจ้าเป็นผู้เฝ้ายามของพงศ์พันธุ์อิสราเอล เมื่อใดก็ตามที่เจ้าได้ยินคำพูดจากปากของเรา เจ้าจะต้องตักเตือนพวกเขาให้เรา ถ้าเราพูดกับคนชั่วร้ายว่า โอ คนชั่วร้ายเอ๋ย เจ้าจะต้องตายอย่างแน่นอน และถ้าเจ้าไม่พูดตักเตือนคนชั่วร้ายให้ละจากวิถีทางของเขา คนชั่วคนนั้นก็จะตายเนื่องจากบาปของเขา แต่เราจะให้ชีวิตของเขาอยู่ในความรับผิดชอบของเจ้า แต่ถ้าเจ้าเตือนคนชั่วร้ายให้หันไปจากวิถีทางของเขา และเขาจะไม่ทำตามนั้น เขาจะตายเนื่องจากบาปของเขา แต่เจ้าจะรักษาจิตวิญญาณของเจ้าไว้ได้

อิสราเอล ทำไมเจ้าจึงจะตาย

10 และบุตรมนุษย์เอ๋ย เจ้าจงบอกพงศ์พันธุ์อิสราเอล เจ้าได้พูดแล้วว่า ‘การล่วงละเมิดและบาปของเราตกอยู่กับพวกเราอย่างแน่นอน และเราทรุดโทรมลงก็เพราะบาป พวกเราจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร’” 11 พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ประกาศว่า “เจ้าจงบอกพวกเขาดังนี้ ‘ตราบที่เรามีชีวิตอยู่ฉันใด เราไม่ชื่นชอบในความตายของคนชั่วร้าย แต่ต้องการให้พวกเขาหันไปจากวิถีทางของเขาและมีชีวิตอยู่ จงหันไป หันไปจากวิถีทางอันชั่ว โอ พงศ์พันธุ์อิสราเอลเอ๋ย แล้วทำไมเจ้าจึงจะตาย’

12 และตัวเจ้าเอง บุตรมนุษย์เอ๋ย จงบอกชนร่วมชาติของเจ้าว่า ความชอบธรรมของผู้มีความชอบธรรมจะไม่ช่วยเขาให้รอดปลอดภัยเมื่อเขาล่วงละเมิด ส่วนความชั่วร้ายของผู้ชั่วร้ายจะไม่เป็นเหตุให้เขาล้มลงเมื่อเขาหันไปจากความชั่วของเขา และผู้มีความชอบธรรมจะไม่อาจมีชีวิตได้ด้วยความชอบธรรมของเขาเมื่อเขาทำบาป 13 ถึงแม้ว่า เราพูดกับผู้มีความชอบธรรมว่า เขาจะมีชีวิตอย่างแน่นอน แต่ถ้าเขาวางใจในความชอบธรรมของเขาและทำสิ่งที่ไม่ยุติธรรม การกระทำอันชอบธรรมของเขาที่เคยทำจะไม่เป็นที่ระลึกถึง แต่เขาจะตายเพราะความไม่ยุติธรรมที่เขากระทำ 14 และแม้ว่าเราพูดกับคนชั่วร้ายว่า ‘เจ้าจะตายอย่างแน่นอน’ แต่ถ้าเขาหันไปจากบาปของเขา และปฏิบัติด้วยความยุติธรรมและความชอบธรรม 15 ถ้าเขาคืนของประกันที่เขายึดไปเมื่อมีการให้ยืม และคืนสิ่งที่เขาขโมยไป ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ที่นำไปสู่ชีวิต และไม่กระทำความชั่ว เขาจะมีชีวิตอย่างแน่นอน เขาจะไม่ตาย 16 ไม่มีบาปใดที่เขากระทำแล้วจะเป็นที่ระลึกถึงและฟ้องเขา เขาได้ปฏิบัติด้วยความยุติธรรมและความชอบธรรม เขาจะมีชีวิตอย่างแน่นอน

17 ถึงกระนั้น ชนร่วมชาติของเจ้ายังพูดว่า ‘วิถีทางของพระผู้เป็นเจ้าไม่ยุติธรรม’ เมื่อวิถีทางของพวกเขาเองไม่ยุติธรรม 18 เมื่อผู้มีความชอบธรรมหันไปจากความชอบธรรมของเขา และปฏิบัติด้วยความไม่ยุติธรรม เขาก็จะตายเพราะเหตุนั้น 19 และเมื่อคนชั่วร้ายหันไปจากความชั่วของเขา และปฏิบัติด้วยความยุติธรรมและความชอบธรรม เขาก็จะเป็นไปตามนั้น 20 ถึงกระนั้น เจ้ายังพูดว่า ‘วิถีทางของพระผู้เป็นเจ้าไม่ยุติธรรม’ โอ พงศ์พันธุ์อิสราเอลเอ๋ย เราจะตัดสินพวกเจ้าแต่ละคนตามวิถีทางของตน”

เยรูซาเล็มถูกล้ม

21 ในวันที่ห้าของเดือนสิบ ปีที่สิบสอง[d] ผู้ลี้ภัยคนหนึ่งจากเยรูซาเล็มมาหาข้าพเจ้า และพูดว่า “เมืองล้มแล้ว” 22 เย็นวันหนึ่งก่อนที่ชายผู้นั้นจะมาถึง มือของพระผู้เป็นเจ้าก็สถิตกับข้าพเจ้า พระองค์เปิดปากข้าพเจ้าก่อนที่ชายผู้นั้นจะมาหาข้าพเจ้าในตอนเช้า ดังนั้นปากของข้าพเจ้าเปิด และข้าพเจ้าไม่นิ่งเงียบอีก

23 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับข้าพเจ้าดังนี้ว่า 24 “บุตรมนุษย์เอ๋ย บรรดาผู้อยู่อาศัยในที่ร้างเหล่านี้ในแผ่นดินอิสราเอลพูดเสมอว่า ‘อับราฮัมเป็นเพียงผู้ชายคนเดียว แต่ท่านเป็นเจ้าของแผ่นดิน แต่พวกเรามีจำนวนมากมาย แผ่นดินนี้ถูกมอบให้แก่พวกเราเพื่อเป็นเจ้าของอย่างแน่นอน’” 25 ฉะนั้น จงบอกพวกเขาว่า พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวดังนี้ว่า “พวกเจ้ากินเนื้อสัตว์ที่ยังมีเลือดคั่งค้างอยู่ นมัสการรูปเคารพและให้มีการนองเลือด สมควรหรือที่พวกเจ้าจะเป็นเจ้าของแผ่นดิน 26 พวกเจ้าวางใจในดาบของพวกเจ้า และกระทำสิ่งอันน่ารังเกียจ พวกเจ้าแต่ละคนทำให้ภรรยาของเพื่อนบ้านของตนเป็นมลทิน สมควรหรือที่พวกเจ้าจะเป็นเจ้าของแผ่นดิน” 27 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวว่า จงบอกพวกเขาดังนี้ “ตราบที่เรามีชีวิตอยู่ฉันใด บรรดาผู้ที่อยู่ในที่ร้างจะตายด้วยดาบ และใครก็ตามที่อยู่ในทุ่งโล่ง เราจะให้สัตว์ป่าขย้ำกิน และบรรดาผู้อยู่ในที่หลบภัยและในถ้ำก็จะตายด้วยโรคระบาด 28 และเราจะทำให้แผ่นดินวิบัติและเป็นที่รกร้าง และความยโสในพละกำลังจะจบสิ้นลง และเทือกเขาของอิสราเอลจะเป็นที่รกร้างจนไม่มีผู้ใดผ่านไป 29 แล้วพวกเขาจะรู้ว่า เราคือพระผู้เป็นเจ้าเมื่อเราได้ทำให้แผ่นดินวิบัติและเป็นที่รกร้าง เพราะสิ่งอันน่ารังเกียจทั้งสิ้นที่พวกเขาทำ

30 ส่วนเจ้าเอง บุตรมนุษย์เอ๋ย ชนร่วมชาติของเจ้าที่พูดกันถึงเรื่องที่เกี่ยวกับเจ้าที่ข้างกำแพงและที่ประตูบ้าน ต่างก็พูดต่อกันและกันว่า ‘มาเถิด มาฟังคำกล่าวที่มาจากพระผู้เป็นเจ้า 31 และพวกเขามาหาเจ้าอย่างฝูงชน พวกเขานั่งตรงหน้าเจ้าอย่างเป็นชนชาติของเรา พวกเขาได้ยินสิ่งที่เจ้าพูดแต่กลับไม่ปฏิบัติตาม พวกเขากระทำตามปากที่ตนพูดซึ่งเต็มด้วยตัณหา ใจของพวกเขามุ่งมั่นในสินบน 32 ดูเถิด พวกเขาเห็นว่าเจ้าเป็นเพียงคนร้องเพลงในแนวตัณหา มีเสียงไพเราะและเล่นดนตรีเก่ง ด้วยว่าพวกเขาได้ยินสิ่งที่เจ้าพูดแต่กลับไม่ปฏิบัติตาม 33 เมื่อสิ่งนี้มาถึง และมันจะมาถึงอย่างแน่นอน พวกเขาจะรู้ว่าผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าผู้หนึ่งอยู่ท่ามกลางพวกเขา”

New Thai Version (NTV-BIBLE)

Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation