Print Page Options
Previous Prev Day Next DayNext

Beginning

Read the Bible from start to finish, from Genesis to Revelation.
Duration: 365 days
New Thai Version (NTV-BIBLE)
Version
เอเสเคียล 18-20

จิตวิญญาณที่ทำบาปจะตาย

18 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับข้าพเจ้าดังนี้ว่า “พวกเจ้าหมายถึงอะไรเมื่อพูดเป็นสุภาษิตซ้ำๆ ถึงแผ่นดินอิสราเอลว่า

‘พ่อได้กินองุ่นเปรี้ยว
    และลูกๆ ก็เข็ดฟัน’”

พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวดังนี้ว่า “ตราบที่เรามีชีวิตอยู่ฉันใด พวกเจ้าจะไม่พูดถึงสุภาษิตนี้อีกในอิสราเอล ดูเถิด ชีวิตทุกคนเป็นของเรา ชีวิตพ่อและชีวิตลูกเป็นของเรา ทุกคนที่ทำบาปจะตาย

ถ้าผู้ใดมีความชอบธรรมและปฏิบัติด้วยความยุติธรรมและความชอบธรรม ถ้าเขาไม่รับประทานบนภูเขาสูงหรืออธิษฐานต่อรูปเคารพของพงศ์พันธุ์อิสราเอล ไม่ทำให้ภรรยาของเพื่อนบ้านเป็นมลทิน หรือมีเพศสัมพันธ์กับภรรยาเวลาที่มีรอบเดือน ไม่กดขี่ข่มเหงผู้ใด แต่คืนของประกันให้แก่ผู้ยืม ไม่ปล้น แบ่งปันอาหารให้แก่ผู้อดอยาก จัดหาเครื่องนุ่งห่มให้แก่ผู้ที่ขัดสน ไม่เก็บดอกเบี้ยหรือรับผลกำไรจากการให้ยืม ยั้งมือจากการกระทำสิ่งที่ไม่ยุติธรรม ให้คำตัดสินที่ยุติธรรมอย่างแท้จริงกับทุกคน เขารักษากฎเกณฑ์และทำตามคำบัญชาของเรา เขามีความชอบธรรมและจะมีชีวิตอย่างแน่นอน” พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ประกาศดังนั้น

10 “ถ้าเขามีบุตรที่กระทำผิดและฆ่าคน หรือทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดดังกล่าว 11 (แม้ว่าตัวเขาเองไม่ได้กระทำสิ่งเลวร้ายดังกล่าว) เขารับประทานบนภูเขาสูง ทำให้ภรรยาของเพื่อนบ้านของเขาเป็นมลทิน 12 กดขี่ข่มเหงผู้ขัดสนและยากไร้ ปล้น ไม่คืนของประกันที่รับมา อธิษฐานต่อรูปเคารพ กระทำสิ่งที่น่ารังเกียจ 13 เก็บดอกเบี้ยและรับผลกำไรจากการให้ยืม แล้วเขาจะมีชีวิตอยู่หรือ เขาจะไม่มีชีวิตอยู่ เขาได้กระทำสิ่งที่น่ารังเกียจเหล่านี้ เขาจะตายอย่างแน่นอน และเขาจะต้องรับผิดชอบการตายของตนเอง

14 แต่ถ้าชายผู้นี้มีบุตรซึ่งเห็นว่าบิดาของเขากระทำบาปทั้งสิ้น เขาเห็นแต่ไม่กระทำตาม 15 เขาไม่รับประทานบนภูเขาสูงหรืออธิษฐานต่อรูปเคารพของพงศ์พันธุ์อิสราเอล ไม่ทำให้ภรรยาของเพื่อนบ้านของเขาเป็นมลทิน 16 ไม่กดขี่ข่มเหงผู้ใดหรือเอาของประกันจากการให้ยืม ไม่ปล้น แต่แบ่งปันอาหารให้แก่ผู้อดอยาก และจัดหาเครื่องนุ่งห่มให้แก่ผู้ที่ขัดสน 17 ยั้งมือจากการกระทำความชั่ว ไม่เก็บดอกเบี้ยหรือผลกำไร รักษากฎเกณฑ์และทำตามคำบัญชาของเรา เขาก็จะไม่ตายเพราะความชั่วของบิดาของเขา เขาจะมีชีวิตอยู่อย่างแน่นอน 18 ส่วนบิดาของเขารับสินบน ปล้นพี่น้อง และกระทำสิ่งไม่ดีในหมู่ชนชาติของเขา เขาก็จะตายเพราะความชั่วของตนเอง

19 แต่พวกเจ้ายังจะพูดว่า ‘ทำไมบุตรจึงไม่รับทุกข์เพราะการกระทำชั่วของบิดาเล่า’[a] เมื่อบุตรดำเนินชีวิตด้วยความยุติธรรมและความชอบธรรม และมัดระวังรักษากฎเกณฑ์ของเรา เขาจะมีชีวิตอยู่อย่างแน่นอน 20 ผู้ที่กระทำบาปก็จะตาย บุตรจะไม่รับทุกข์เพราะการกระทำชั่วของบิดา และบิดาจะไม่รับทุกข์เพราะการกระทำชั่วของบุตร ความชอบธรรมของผู้มีความชอบธรรมจะตกอยู่กับเขา และความชั่วร้ายของผู้ชั่วร้ายก็จะตกอยู่กับเขา

21 แต่ถ้าคนชั่วหันไปจากบาปทั้งสิ้นที่เขาได้กระทำ และรักษากฎเกณฑ์ทั้งสิ้นของเรา และดำเนินชีวิตด้วยความยุติธรรมและความชอบธรรม เขาจะมีชีวิตอยู่อย่างแน่นอน เขาจะไม่ตาย 22 สิ่งใดก็ตามที่เขาได้ล่วงละเมิดจะไม่เป็นที่จดจำและปรักปรำเขา แต่เขาจะมีชีวิตอยู่เพราะความชอบธรรมที่เขาได้กระทำ” 23 พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ประกาศดังนี้ว่า “เราพอใจในความตายของคนชั่วร้ายอย่างนั้นหรือ เราจะไม่ชื่นชอบกว่าหรือถ้าเขาจะหันไปจากวิถีทางชั่วของเขาและมีชีวิตอยู่ 24 แต่เมื่อคนมีความชอบธรรมหันไปจากความชอบธรรมและดำเนินชีวิตด้วยความไม่ยุติธรรมอีก ทั้งกระทำสิ่งอันน่ารังเกียจเหมือนกับที่คนชั่วกระทำ แล้วเขาควรจะมีชีวิตอยู่หรือ ความชอบธรรมทั้งสิ้นที่เขากระทำจะไม่เป็นที่จดจำเพราะเขามีความผิดเนื่องจากความไม่ภักดีและบาปที่เขากระทำ เขาก็จะตายเพราะการกระทำเหล่านั้น

25 แต่พวกเจ้ายังจะพูดดังนี้ ‘วิถีทางของพระผู้เป็นเจ้าไม่ยุติธรรม’ โอ พงศ์พันธุ์อิสราเอลเอ๋ย จงฟังเถิด วิถีทางของเราไม่ยุติธรรมหรือ วิถีทางของพวกเจ้ามิใช่หรือที่ไม่ยุติธรรม 26 เมื่อผู้มีความชอบธรรมหันไปจากความชอบธรรมของเขา และปฏิบัติด้วยความไม่ยุติธรรม เขาก็จะตายเพราะเหตุนั้น เนื่องจากความไม่ยุติธรรมที่เขาปฏิบัติ เขาจึงตาย 27 และเมื่อคนชั่วร้ายหันไปจากความชั่วที่เขาได้กระทำ และกลับดำเนินชีวิตด้วยความยุติธรรมและความชอบธรรม เขาจะรักษาชีวิตของเขาไว้ 28 เพราะเขาพิจารณาและหันไปจากการล่วงละเมิดที่เขากระทำทั้งสิ้น เขาจะมีชีวิตอยู่อย่างแน่นอน เขาจะไม่ตาย 29 แต่พงศ์พันธุ์อิสราเอลยังพูดว่า ‘วิถีทางของพระผู้เป็นเจ้าไม่ยุติธรรม’ โอ พงศ์พันธุ์อิสราเอลเอ๋ย วิถีทางของเราไม่ยุติธรรมหรือ วิถีทางของพวกเจ้ามิใช่หรือที่ไม่ยุติธรรม

30 ฉะนั้น พงศ์พันธุ์อิสราเอลเอ๋ย เราจะพิพากษาลงโทษพวกเจ้าทุกคนตามวิถีทางของเขา” พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ประกาศดังนั้น “พวกเจ้าจงกลับใจและหันไปจากการล่วงละเมิดทั้งสิ้น มิฉะนั้นความชั่วจะทำให้เจ้าจมดิ่งลง 31 จงกำจัดการล่วงละเมิดที่เจ้ากระทำทั้งสิ้นให้พ้นไปจากเจ้า และทำตัวให้มีใจใหม่ และวิญญาณดวงใหม่ โอ พงศ์พันธุ์อิสราเอลเอ๋ย ทำไมเจ้าจะตายเล่า 32 เพราะว่าเราไม่ยินดีในความตายของผู้ใด” พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ประกาศดังนั้น “ฉะนั้นจงกลับใจและมีชีวิตเถิด

ร้องคร่ำครวญให้กับบรรดาผู้ยิ่งใหญ่ของอิสราเอล

19 เจ้าจงร้องคร่ำครวญให้กับบรรดาผู้ยิ่งใหญ่ของอิสราเอลเถิด จงพูดว่า

‘แม่ของเจ้าเป็นอย่างสิงโตตัวเมีย
    ที่คู้ตัวอยู่ในหมู่สิงโต
ในท่ามกลางสิงโตหนุ่ม
    นางดูแลลูกๆ ของนาง
นางฟูมฟักลูกสิงโตตัวหนึ่ง
    ซึ่งเติบโตจนเป็นสิงโตหนุ่ม
และรู้จักหาเหยื่อ
    เขาขย้ำมนุษย์กิน
บรรดาประชาชาติได้ยินเรื่องของสิงโตตัวนั้น
    เขาตกในหลุมพรางของพวกเขา
และถูกขอเกี่ยว
    นำไปยังแผ่นดินอียิปต์

เมื่อนางเห็นว่านางรอโดยไร้ประโยชน์
    และหมดหวังที่จะรอเขา
นางจึงฟูมฟักลูกสิงโตอีกตัว
    ซึ่งเติบโตเป็นสิงโตหนุ่ม
เขาวนเวียนด้อมมองหาเหยื่อในหมู่สิงโต
    เขาเป็นสิงโตหนุ่ม
และรู้จักหาเหยื่อ
    เขาขย้ำมนุษย์กิน
เขาตะครุบบรรดาแม่ม่าย
    และทำให้เมืองของพวกเขาไม่เหลือแม้แต่ซาก
เสียงคำรามของเขาทำให้แผ่นดินและทุกคน
    ที่นั่นตื่นตระหนก
บรรดาประชาชาติจากแคว้น
    รอบข้างต่างก็มาโจมตีเขา
พวกเขาเหวี่ยงตาข่ายคลุมตัวเขา
    เขาถูกนำไปไว้ในหลุมพรางของพวกเขา
พวกเขาดึงตัวเขาไปไว้ในกรงด้วยขอเกี่ยว
    และนำเขาไปให้กษัตริย์แห่งบาบิโลน
    เขาถูกควบคุมตัว
ฉะนั้นเสียงคำรามของเขาจึงไม่เป็นที่ได้ยินอีกต่อไป
    ในเทือกเขาของอิสราเอล

10 แม่ของเจ้าเป็นอย่างเถาองุ่น
    ในสวนองุ่นที่ถูกปลูกไว้ริมน้ำ
มีผลดกและกิ่งก้านมากมาย
    เนื่องจากได้น้ำรดอย่างอุดมสมบูรณ์
11 กิ่งก้านแข็งแรง
    เหมาะที่จะเป็นคทาของกษัตริย์
ตั้งสูงตระหง่านระดับเมฆ
    เป็นที่แลเห็นว่าเป็นเถาสูง
    และออกกิ่งก้านมากมาย
12 แต่เถานั้นถูกถอนรากเพราะความกริ้ว
    และถูกโยนทิ้งบนพื้นดิน
ลมตะวันออกทำให้เถาเหี่ยว
    และผลก็ร่วงหล่น
กิ่งก้านที่ใหญ่แห้งตาย
    และถูกไฟเผา
13 บัดนี้เถาองุ่นถูกปลูกในถิ่นทุรกันดาร
    ซึ่งเป็นแผ่นดินที่แห้งผาก
14 ไฟลุกจากกิ่งที่งอกขึ้นใหม่
    ได้ไหม้ผลของมัน
จึงไม่มีกิ่งก้านแข็งแรงติดอยู่ที่เถา
    คือไร้คทาสำหรับการครองราชย์’

นี่คือบทร้องคร่ำครวญ และต้องใช้เป็นบทร้องคร่ำครวญ”

อิสราเอลฝ่าฝืนร่ำไป

20 ในวันที่สิบของเดือนห้า ปีที่เจ็ด[b] หัวหน้าชั้นผู้ใหญ่บางคนของอิสราเอลมาถามพระผู้เป็นเจ้า และพวกเขานั่งที่ตรงหน้าข้าพเจ้า พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับข้าพเจ้าดังนี้ว่า “บุตรมนุษย์เอ๋ย เจ้าจงบอกบรรดาหัวหน้าชั้นผู้ใหญ่ของอิสราเอลว่า พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวดังนี้ว่า ‘พวกเจ้ามาหาเราเพื่อจะถามเราหรือ ตราบที่เรามีชีวิตอยู่ฉันใด เราจะไม่ปล่อยให้พวกเจ้ามาถามเรา’” พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ประกาศดังนั้น “เจ้าจะตัดสินโทษพวกเขาไหม บุตรมนุษย์เอ๋ย เจ้าจะตัดสินโทษพวกเขาไหม จงบอกให้พวกเขาทราบถึงการกระทำอันน่าชังของบรรพบุรุษของเขา จงบอกพวกเขาว่า พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวดังนี้ว่า ‘ในวันที่เราเลือกอิสราเอล เรายกมือปฏิญาณกับบรรดาผู้สืบเชื้อสายของพงศ์พันธุ์ของยาโคบ และเผยให้พวกเขารู้ในแผ่นดินอียิปต์ เรายกมือและพูดกับพวกเขาดังนี้ “เราคือพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของพวกเจ้า”[c] ในวันนั้น เราปฏิญาณกับพวกเขาว่า เราจะนำพวกเขาออกจากแผ่นดินอียิปต์ ไปยังดินแดนที่เราได้เลือกให้พวกเขา ซึ่งอุดมด้วยน้ำนมและน้ำผึ้ง เป็นดินแดนอันงดงามที่สุด และเราบอกพวกเขาว่า “จงกำจัดสิ่งอันน่ารังเกียจซึ่งเจ้าเชยชม พวกเจ้าทุกคนจงอย่าทำตนให้มีมลทินด้วยรูปเคารพของอียิปต์ เราคือพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของพวกเจ้า”[d] แต่พวกเขาขัดขืน และไม่ยอมเชื่อฟังเรา ไม่มีใครในหมู่พวกเขาทิ้งสิ่งอันน่ารังเกียจที่พวกเขาเชยชม และไม่ละทิ้งรูปเคารพของอียิปต์’

ดังนั้น เรากล่าวว่า เราจะกระหน่ำการลงโทษของเราลงบนพวกเขา และเราจะให้ความกริ้วของเราลงที่พวกเขาในแผ่นดินอียิปต์

แต่เพื่อนามของเรา เรากระทำเพื่อไม่ให้เป็นที่ดูหมิ่นในสายตาของบรรดาประชาชาติที่อาศัยอยู่ในหมู่พวกเขา เราทำให้พวกเขาเห็นว่า เรานำชาวอิสราเอลออกจากแผ่นดินอียิปต์ 10 ดังนั้นเรานำพวกเขาออกจากแผ่นดินอียิปต์ และพาไปยังถิ่นทุรกันดาร 11 เราให้กฎเกณฑ์และคำบัญชาแก่พวกเขา และให้พวกเขารู้ด้วยว่า ถ้าผู้ใดกระทำตาม เขาจะมีชีวิตอยู่ 12 และยิ่งกว่านั้น เราให้พวกเขามีวันสะบาโต เป็นเครื่องเตือนใจระหว่างเรากับพวกเขา เพื่อจะได้รู้ว่า เราคือพระผู้เป็นเจ้าที่ทำให้พวกเขาบริสุทธิ์ 13 แต่พงศ์พันธุ์อิสราเอลขัดขืนเราในถิ่นทุรกันดาร พวกเขาไม่ได้ดำเนินชีวิตตามกฎเกณฑ์ของเรา และไม่ยอมรับคำบัญชาของเรา ซึ่งถ้าผู้ใดกระทำตาม เขาจะมีชีวิตอยู่ พวกเขาดูหมิ่นวันสะบาโตของเรายิ่งนัก

เราจึงกล่าวว่า เราจะกระหน่ำการลงโทษของเราลงบนพวกเขาในถิ่นทุรกันดารให้พินาศเสีย 14 แต่เพื่อนามของเรา เรากระทำเพื่อไม่ให้เป็นที่ดูหมิ่นในสายตาของบรรดาประชาชาติ เราทำให้พวกเขาเห็นว่า เรานำพวกเขาออกมา 15 และยิ่งกว่านั้น เราปฏิญาณกับพวกเขาในถิ่นทุรกันดารว่า เราจะไม่นำพวกเขาเข้าไปในดินแดนที่เราได้มอบให้แก่พวกเขา ดินแดนอันอุดมด้วยน้ำนมและน้ำผึ้ง เป็นดินแดนอันงดงามที่สุด 16 เพราะพวกเขาไม่ยอมรับคำบัญชาของเรา และไม่ดำเนินชีวิตตามกฎเกณฑ์ของเรา และดูหมิ่นวันสะบาโตของเรา เนื่องจากได้มอบใจให้กับรูปเคารพเสียแล้ว 17 ถึงกระนั้น เราก็ยังมองดูพวกเขาด้วยความสงสาร และไม่ได้กำจัดหรือทำให้พวกเขาสิ้นไปในถิ่นทุรกันดาร

18 และเรากล่าวกับบุตรหลานของพวกเขาในถิ่นทุรกันดารว่า ‘อย่าดำเนินตามกฎเกณฑ์ของบรรพบุรุษของเจ้า หรือรักษาคำบัญชาของพวกเขา หรือทำตนให้เป็นมลทินด้วยรูปเคารพของพวกเขา 19 เราคือพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของพวกเจ้า จงดำเนินตามกฎเกณฑ์ของเรา และจงระมัดระวังเชื่อฟังคำบัญชาของเรา 20 และรักษาวันสะบาโตของเราให้บริสุทธิ์เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจระหว่างเรากับพวกเจ้า เพื่อพวกเจ้าจะได้รู้ว่า เราคือพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของพวกเจ้า’[e] 21 แต่บรรดาบุตรหลานขัดขืนเรา พวกเขาไม่ได้ดำเนินชีวิตตามกฎเกณฑ์ของเรา และไม่ระมัดระวังเชื่อฟังคำบัญชาของเรา ถ้าผู้ใดกระทำตาม เขาจะมีชีวิตอยู่ แต่พวกเขากลับดูหมิ่นวันสะบาโตของเรา

เราจึงกล่าวว่า เราจะกระหน่ำการลงโทษของเราลงบนพวกเขา และเราจะให้ความกริ้วของเราลงที่พวกเขาในถิ่นทุรกันดาร 22 แต่เรายั้งมือของเราไว้ และเรากระทำเพื่อไม่ให้เป็นที่ดูหมิ่นในสายตาของบรรดาประชาชาติ เราทำให้พวกเขาเห็นว่าเรานำพวกเขาออกมา 23 และยิ่งกว่านั้น เราปฏิญาณในถิ่นทุรกันดารว่า เราจะทำให้พวกเขากระจัดกระจายไปในท่ามกลางบรรดาประชาชาติ และกระจายไปยังหลายดินแดน 24 เพราะพวกเขาไม่ได้เชื่อฟังคำบัญชาของเรา ไม่ยอมรับกฎเกณฑ์ของเรา และดูหมิ่นวันสะบาโตของเรา และสิ่งที่เขามองเห็นทำให้เกิดกิเลสในรูปเคารพของบรรพบุรุษของพวกเขา 25 และยิ่งกว่านั้น เราได้ปล่อยให้พวกเขาอยู่ใต้กฎเกณฑ์ที่ไม่ดี และคำบัญชาซึ่งไม่สามารถให้ชีวิตแก่พวกเขาได้ 26 และเราได้ประกาศว่าพวกเขาทำตนเป็นมลทินเพราะของถวายของพวกเขา[f] เมื่อเขาถวายบุตรหัวปีทุกคนเป็นเครื่องสักการะ เราจะทำให้พวกเขาหายนะ เพื่อพวกเขาจะรู้ว่า เราคือพระผู้เป็นเจ้า

27 ฉะนั้น บุตรมนุษย์เอ๋ย จงบอกพงศ์พันธุ์อิสราเอลว่า พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวดังนี้ ‘บรรพบุรุษของพวกเจ้าหมิ่นประมาทเรา ด้วยการทรยศต่อเรา 28 เพราะเวลาที่เราได้นำพวกเขาเข้าไปในแผ่นดินที่เราปฏิญาณว่าจะมอบให้ และไม่ว่าที่ไหนก็ตามที่พวกเขาเห็นเนินเขาสูงหรือต้นไม้เขียวชอุ่ม พวกเขาก็ถวายเครื่องสักการะและมอบของถวายซึ่งเป็นการยั่วโทสะเรา ด้วยการมอบเครื่องหอมและเทเครื่องดื่มบูชา 29 เราพูดกับพวกเขาว่า สถานบูชาบนภูเขาสูงที่พวกเจ้าไปนั้นคืออะไร’ (ที่นั่นมีชื่อว่า บามาห์ มาจนถึงทุกวันนี้)[g]

30 ฉะนั้น จงบอกพงศ์พันธุ์อิสราเอลว่า พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวดังนี้ว่า ‘พวกเจ้าจะทำตนเป็นมลทินตามอย่างบรรพบุรุษของพวกเจ้า และทำตามกิเลสโดยเชื่อสิ่งที่น่ารังเกียจของพวกเขาหรือ 31 เมื่อพวกเจ้ามอบของถวายและถวายบุตรของตนในไฟ พวกเจ้าทำตนให้เป็นมลทินด้วยรูปเคารพทั้งสิ้นมาจนถึงทุกวันนี้ แล้วเราจะปล่อยให้เจ้าถามเราหรือ โอ พงศ์พันธุ์อิสราเอลเอ๋ย ตราบที่เรามีชีวิตอยู่ฉันใด เราจะไม่ปล่อยให้พวกเจ้ามาถามเรา’” พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ประกาศดังนั้น

32 “พวกเจ้าคิดในใจว่า ‘ให้พวกเราเป็นอย่างบรรดาประชาชาติ อย่างตระกูลของหลายดินแดนที่นมัสการไม้และหิน’ สิ่งที่อยู่ในความคิดของพวกเจ้าจะไม่มีวันเกิดขึ้น”

พระผู้เป็นเจ้าจะฟื้นฟูอิสราเอล

33 พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ประกาศดังนี้ว่า “ตราบที่เรามีชีวิตอยู่ฉันใด เราจะเป็นกษัตริย์ปกครองพวกเจ้า ด้วยอานุภาพและพลานุภาพ และด้วยการลงโทษที่หลั่งออก 34 เราจะนำพวกเจ้าออกมาจากบรรดาชนชาติ และรวบรวมพวกเจ้าจากดินแดนทั้งหลายที่เจ้ากระจัดกระจายไปอยู่ ด้วยอานุภาพและพลานุภาพ และด้วยการลงโทษที่หลั่งออก 35 และเราจะนำพวกเจ้าเข้าไปในถิ่นทุรกันดารของบรรดาชนชาติ และเราจะลงโทษพวกเจ้าที่นั่นต่อหน้า 36 เราจะลงโทษพวกเจ้า อย่างที่เราลงโทษบรรพบุรุษของเจ้าในถิ่นทุรกันดารของแผ่นดินอียิปต์” พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ประกาศดังนั้น 37 “เราจะทำให้พวกเจ้าลอดใต้ไม้เท้าของเรา[h] และเราจะให้พวกเจ้าผูกพันกับเราในพันธสัญญา 38 เราจะกำจัดพวกที่ไม่ยอมอยู่ใต้การปกครองและขัดขืนเราให้ออกไปจากพวกเจ้า เราจะนำพวกเขาออกจากแผ่นดินที่เร่ร่อนไปอาศัยอยู่ แต่จะไม่ได้เข้าไปยังแผ่นดินของอิสราเอล แล้วพวกเจ้าจะรู้ว่า เราคือพระผู้เป็นเจ้า

39 ส่วนเจ้าเอง โอ พงศ์พันธุ์อิสราเอลเอ๋ย พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวว่า พวกเจ้าทุกคนไปบูชารูปเคารพของตนเอง แต่หลังจากนั้นพวกเจ้าจะฟังเราอย่างแน่นอน เจ้าจะไม่ดูหมิ่นนามอันบริสุทธิ์ของเราด้วยของถวายและรูปเคารพของพวกเจ้าอีกต่อไป”

40 พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ประกาศดังนี้ว่า “พงศ์พันธุ์อิสราเอลทั้งหมดจะรับใช้เราบนภูเขาอันบริสุทธิ์ซึ่งเป็นภูเขาสูงในแผ่นดินของอิสราเอล เราจะรับสิ่งที่นำมามอบให้เราที่นั่น และเจ้าต้องนำของถวาย และมอบส่วนที่ดีที่สุด พร้อมกับเครื่องสักการะอันบริสุทธิ์ทั้งสิ้น 41 เราจะรับพวกเจ้าอย่างเครื่องหอมอันเป็นที่น่าพอใจ เมื่อเรานำเจ้าออกมาจากหลายดินแดน และรวบรวมพวกเจ้าจากบรรดาชนชาติที่เจ้ากระจัดกระจายไปอยู่ และเราจะให้ความบริสุทธิ์ของเราปรากฏในหมู่พวกเจ้า ให้บรรดาประชาชาติเห็น 42 และพวกเจ้าจะรู้ว่า เราคือพระผู้เป็นเจ้าเมื่อเรานำพวกเจ้าเข้าไปในแผ่นดินของอิสราเอลซึ่งเป็นดินแดนที่เราปฏิญาณจะมอบให้แก่บรรพบุรุษของพวกเจ้า 43 และเจ้าจะนึกถึงความประพฤติและการกระทำของเจ้าทั้งสิ้น ซึ่งได้ทำให้เจ้าเป็นมลทิน และพวกเจ้าจะเกลียดตนเองที่ได้กระทำสิ่งชั่วร้ายทั้งสิ้น 44 และพวกเจ้าจะรู้ว่า เราคือพระผู้เป็นเจ้าเมื่อเรากระทำต่อเจ้าเพื่อนามของเรา มิใช่กระทำต่อเจ้าตามวิถีทางอันชั่วของเจ้า หรือตามความประพฤติอันเสื่อมทรามของเจ้า โอ พงศ์พันธุ์อิสราเอลเอ๋ย” พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ประกาศดังนั้น

45 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับข้าพเจ้าดังนี้ว่า 46 “บุตรมนุษย์เอ๋ย จงหันหน้าไปทางใต้ เทศนากล่าวโทษดินแดนทางใต้และเผยความกล่าวโทษแดนป่าไม้ในเนเกบ 47 จงพูดกับแดนป่าไม้ของเนเกบดังนี้ ‘จงฟังคำกล่าวของพระผู้เป็นเจ้า พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวว่า ดูเถิด เรากำลังจะก่อไฟในตัวเจ้า และมันจะลุกผลาญต้นไม้ทุกต้นที่ทั้งเขียวชอุ่มและต้นที่แห้ง เปลวไฟที่ลุกโพลงจะไม่ถูกดับ ใบหน้าทุกหน้าจากทิศใต้ถึงทิศเหนือจะถูกไฟลวก 48 ทุกคนจะเห็นว่า เราผู้เป็นพระผู้เป็นเจ้าได้จุดไฟให้ลุกขึ้น และมันจะไม่ถูกดับ’” 49 แล้วข้าพเจ้าพูดว่า “โอ พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ พวกเขากำลังพูดถึงข้าพเจ้าว่า ‘เขาเพียงแต่พูดเป็นอุปมาใช่ไหม’”

New Thai Version (NTV-BIBLE)

Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation