Beginning
ผู้บูชารูปเคารพถูกสังหาร
9 พระองค์กล่าวด้วยเสียงอันดังว่า “จงให้บรรดาผู้สังหารของเมืองมาที่นี่ ให้ทุกคนถืออาวุธมาด้วย” 2 ดูเถิด ผู้ชาย 6 ท่านมาจากทางประตูเหนือซึ่งหันไปทางเหนือ แต่ละท่านถืออาวุธที่ปลิดชีพได้ และมีชายอีกผู้หนึ่งสวมผ้าป่านและมีเครื่องเขียนคาดเอว ทุกท่านเข้าไปข้างในและยืนที่ข้างแท่นบูชาทองสัมฤทธิ์
3 บัดนี้ พระบารมีของพระเจ้าของอิสราเอลซึ่งอยู่เบื้องบนของตัวเครูบ[a]ก็เลื่อนขึ้นสู่เบื้องบน และไปยังธรณีประตูพระตำหนัก แล้วพระผู้เป็นเจ้าเรียกชายผู้สวมผ้าป่านและมีเครื่องเขียนคาดเอวมา 4 และกล่าวกับท่านดังนี้ว่า “จงไปให้ทั่วเมืองเยรูซาเล็ม และเขียนเครื่องหมายบนหน้าผากของบรรดาผู้ที่เศร้าใจและโอดครวญเพราะสิ่งอันน่ารังเกียจทั้งสิ้นที่ปฏิบัติในเมือง” 5 ขณะที่ข้าพเจ้าฟังอยู่ พระองค์กล่าวกับท่านอื่นๆ ในที่นั้นดังนี้ว่า “จงตามเขาไปให้ทั่วเมืองและสังหาร พวกเจ้าจะไม่มองดูพวกเขาด้วยความเมตตา หรือไว้ชีวิตพวกเขา 6 พวกเจ้าจงสังหารชายชรา ชายหนุ่มและหญิงสาว ผู้หญิงและเด็ก แต่จงอย่าแตะต้องผู้ใดที่มีเครื่องหมาย โดยเริ่มจากที่พำนักของเรา” ดังนั้นพวกท่านจึงเริ่มกระทำต่อบรรดาหัวหน้าชั้นผู้ใหญ่ซึ่งอยู่หน้าพระตำหนัก 7 และพระองค์กล่าวกับพวกท่านดังนี้ว่า “จงทำตำหนักให้เป็นมลทิน และวางศพที่ลานตำหนักให้เต็ม ออกไปได้แล้ว” ดังนั้น พวกท่านจึงออกไปและเริ่มสังหารคนทั่วทั้งเมือง 8 ขณะที่พวกท่านกำลังสังหารผู้คน และข้าพเจ้าอยู่เพียงลำพัง ข้าพเจ้าซบหน้าลงกับพื้น และร้องว่า “โอ พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ พระองค์จะกำจัดชาวอิสราเอลที่มีชีวิตเหลืออยู่ทั้งหมด โดยกระหน่ำการลงโทษของพระองค์ที่เยรูซาเล็มหรือ”
9 พระองค์กล่าวกับข้าพเจ้าดังนี้ว่า “ความผิดของพงศ์พันธุ์อิสราเอลและยูดาห์ใหญ่หลวงยิ่งนัก แผ่นดินเต็มด้วยการนองเลือด และเมืองเต็มด้วยความไม่ยุติธรรม เพราะพวกเขาพูดดังนี้ว่า ‘พระผู้เป็นเจ้าได้ทอดทิ้งแผ่นดินนี้แล้ว และพระผู้เป็นเจ้ามองไม่เห็น’ 10 เราจะไม่มองดูด้วยความเมตตา หรือไว้ชีวิตพวกเขา แต่เราจะสนองตอบตามที่พวกเขากระทำ”
11 ดูเถิด ชายผู้สวมผ้าป่านและมีเครื่องเขียนคาดเอวกลับมาพร้อมกับพูดว่า “เราได้กระทำตามที่พระองค์บัญชาแล้ว”
พระบารมีออกไปจากพระตำหนัก
10 ข้าพเจ้ามองดูที่เบื้องบนของโดมกว้างใหญ่ซึ่งอยู่เหนือศีรษะของบรรดาเครูบ ปรากฏเหมือนบัลลังก์ประดุจนิลสีคราม[b] 2 พระองค์กล่าวกับชายผู้สวมผ้าป่านดังนี้ “จงเข้าไปในท่ามกลางล้อที่อยู่ใต้เครูบ และใช้มือทั้งสองกอบถ่านลุกโพลงที่อยู่ระหว่างเครูบ และโปรยลงที่เมือง”
ผู้นั้นก็เข้าไปต่อหน้าต่อตาข้าพเจ้า 3 บรรดาเครูบยืนอยู่ที่ด้านทิศใต้ของพระตำหนัก เมื่อชายผู้นั้นเข้าไป เมฆก็ปกคลุมที่ลานชั้นใน 4 พระบารมีของพระผู้เป็นเจ้าเลื่อนขึ้นไปจากเบื้องบนของตัวเครูบ ไปยังธรณีประตูพระตำหนัก และพระตำหนักเต็มไปด้วยเมฆ และลานเต็มด้วยความเจิดจ้าของพระบารมีของพระผู้เป็นเจ้า 5 และเสียงกระทบปีกของเครูบได้ยินไปถึงลานนอก เป็นเหมือนเสียงของพระเจ้าผู้กอปรด้วยมหิทธานุภาพเมื่อพระองค์กล่าว
6 เมื่อพระองค์บัญชาชายผู้สวมผ้าป่านว่า “จงเอาไฟจากท่ามกลางล้อที่อยู่ในท่ามกลางเครูบ” ชายผู้นั้นเข้าไปยืนระหว่างล้อ 7 และเครูบตัวหนึ่งยื่นมือไปหยิบไฟที่อยู่ใกล้เครูบทั้งหลาย และใส่ในมือของชายผู้สวมผ้าป่านซึ่งรับไป แล้วท่านก็ออกไปจากที่นั่น 8 เครูบปรากฏเหมือนมีมือมนุษย์อยู่ใต้ปีก
9 ข้าพเจ้ามองดูและเห็นว่ามีล้อ 4 ล้อที่ข้างเครูบ แต่ละตัวมีล้อที่ข้างตัว 1 ล้อ และล้อปรากฏเหมือนโกเมนที่วาววับ 10 และล้อทั้งสี่มีลักษณะที่ปรากฏเหมือนกัน แต่ละล้อปรากฏเหมือนมีอีกล้อที่ซ้อนทับกันอยู่ 11 เวลาที่ล้อหมุนไป มันหมุนไปทิศใดก็ได้ทั้งสี่ทิศตามแต่เครูบจะไปโดยไม่ต้องหัน แต่เมื่อล้อหน้าหันไปในทิศทางใด ล้ออื่นก็จะตามไปโดยไม่ต้องหัน 12 เครูบมีตาเต็มไปหมด รวมทั้งหลัง มือ และปีก ซึ่งเหมือนกับล้อทั้งสี่ 13 ข้าพเจ้าได้ยินเสียงเรียกชื่อล้อว่า พายุหมุน 14 ทุกล้อมี 4 หน้า หน้าแรกเป็นหน้าเครูบ หน้าที่สองเป็นหน้ามนุษย์ หน้าที่สามเป็นหน้าสิงโต หน้าที่สี่เป็นหน้านกอินทรี
15 แล้วบรรดาเครูบลุกขึ้น นี่แหละเป็นสิ่งมีชีวิตที่ข้าพเจ้าเห็นที่ข้างแม่น้ำเคบาร์[c] 16 เมื่อเครูบเคลื่อน ล้อที่อยู่ข้างตัวก็จะเคลื่อน และเมื่อเครูบกางปีกออกเพื่อลุกขึ้นจากพื้น ล้อทั้งหลายก็ไม่ขยับไปจากข้างเครูบ 17 เมื่อเครูบยืนนิ่ง ล้อก็อยู่นิ่ง เมื่อเครูบลุกขึ้น ล้อก็ลุกขึ้นตามไปด้วย เพราะวิญญาณของสิ่งมีชีวิตอยู่ในล้อเหล่านั้น
18 แล้วพระบารมีของพระผู้เป็นเจ้าไปจากเบื้องบนธรณีประตูของพระตำหนัก และหยุดอยู่เหนือตัวเครูบ 19 เครูบกางปีกและบินขึ้นไปจากพื้นต่อหน้าต่อตาข้าพเจ้า พร้อมกับล้อที่อยู่ข้างตัว และยืนที่ทางเข้าประตูทางทิศตะวันออกของพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า และพระบารมีของพระเจ้าของอิสราเอลอยู่เหนือบรรดาเครูบ
20 ข้าพเจ้าเห็นสิ่งมีชีวิตเหล่านี้อยู่เบื้องใต้ของพระเจ้าของอิสราเอลที่ใกล้แม่น้ำเคบาร์ และข้าพเจ้าทราบว่าสิ่งมีชีวิตเหล่านี้คือเครูบ 21 แต่ละตัวมี 4 หน้าและ 4 ปีก และใต้ปีกดูเหมือนว่ามีมือมนุษย์ 22 ใบหน้าปรากฏเหมือนกับที่ข้าพเจ้าเห็นแล้วที่ข้างแม่น้ำเคบาร์ แต่ละตัวบินตรงไปข้างหน้า
ลงโทษผู้ปรึกษาที่ชั่วร้าย
11 พระวิญญาณยกตัวข้าพเจ้าขึ้น และนำข้าพเจ้าไปยังประตูทางทิศตะวันออกของพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า และดูเถิด ที่ทางเข้าประตูเมืองมีชาย 25 คน ข้าพเจ้าเห็นยาอาซันยาห์บุตรอัสซูร์ ปาลัทยาห์บุตรเบไนยาห์ บรรดาผู้นำของประชาชนอยู่กับพวกเขาด้วย 2 พระองค์กล่าวกับข้าพเจ้าดังนี้ “บุตรมนุษย์เอ๋ย ผู้ชายเหล่านี้เป็นพวกที่วางแผนทำความชั่ว และให้คำปรึกษาที่ชั่วร้ายในเมืองนี้ 3 พวกเขาพูดว่า ‘ใกล้จะถึงเวลาที่จะสร้างบ้านมิใช่หรือ[d] เมืองนี้เป็นหม้อต้ม และพวกเราเป็นเนื้อ’ 4 ฉะนั้น เจ้าจงเผยความกล่าวโทษพวกเขา บุตรมนุษย์เอ๋ย จงเผยความ”
5 และพระวิญญาณของพระผู้เป็นเจ้าสถิตกับข้าพเจ้า และพระองค์กล่าวกับข้าพเจ้า พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้ว่า “โอ พงศ์พันธุ์อิสราเอลเอ๋ย พวกเจ้าคิดเช่นนี้ เนื่องจากเรารู้ว่าพวกเจ้าคิดอะไร 6 พวกเจ้าสังหารคนจำนวนมากในเมืองนี้ และมีคนตายเต็มถนน” 7 ฉะนั้น พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวดังนี้ว่า “ร่างคนซึ่งถูกฆ่าตาย และพวกเจ้าโยนไปที่นั่นคือเนื้อ และเมืองนี้คือหม้อต้ม แต่เราจะขับไล่พวกเจ้าออกไปจากเมืองนั้น 8 พวกเจ้ากลัวคมดาบ เราก็จะใช้ดาบกับเจ้า” พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวดังนั้น 9 “เราจะขับไล่พวกเจ้าออกไปจากเมืองนั้น และมอบเจ้าไว้ในมือของบรรดาชาวต่างชาติ และลงโทษพวกเจ้า 10 พวกเจ้าจะตายด้วยคมดาบ เราจะลงโทษเจ้าที่ชายแดนอิสราเอล แล้วพวกเจ้าจะรู้ว่า เราคือพระผู้เป็นเจ้า 11 เมืองนี้จะไม่เป็นหม้อสำหรับพวกเจ้า และเจ้าจะไม่ใช่เนื้อในหม้อ เราจะลงโทษพวกเจ้าที่ชายแดนอิสราเอล 12 และพวกเจ้าจะรู้ว่า เราคือพระผู้เป็นเจ้า เพราะเจ้าไม่ได้ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์และฟังคำบัญชาของเรา แต่กลับทำตามบรรดาประชาชาติที่อยู่โดยรอบเจ้า”
13 ขณะที่ข้าพเจ้าเผยความอยู่ ปาลัทยาห์บุตรเบไนยาห์ก็สิ้นชีวิต ข้าพเจ้าซบหน้าลงกับพื้น และร้องด้วยเสียงอันดังว่า “โอ พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ พระองค์จะกำจัดชาวอิสราเอลที่มีชีวิตเหลืออยู่ทั้งหมดเลยหรือ”
อิสราเอลกลับใจ
14 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับข้าพเจ้าดังนี้ว่า 15 “บุตรมนุษย์เอ๋ย พี่น้องของเจ้า พี่น้องที่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเจ้าและพงศ์พันธุ์อิสราเอลทั้งปวงเป็นบรรดาผู้ที่ประชาชนของเยรูซาเล็มพูดถึงพวกเขาว่า ‘พวกเขาห่างไกลจากพระผู้เป็นเจ้า แผ่นดินนี้ถูกมอบให้แก่พวกเราเพื่อเป็นเจ้าของ’ 16 ฉะนั้น จงบอกเขาว่า พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวดังนี้ ‘แม้ว่าเราทำให้พวกเขาต้องย้ายไปไกลในท่ามกลางบรรดาประชาชาติ และให้กระจัดกระจายไปในหลายดินแดน แต่เราก็ยังเป็นที่พำนักสำหรับพวกเขาระยะหนึ่งในดินแดนที่พวกเขาไปอาศัยอยู่’ 17 ฉะนั้นจงบอกพวกเขาว่า พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวดังนี้ ‘เราจะรวบรวมพวกเจ้าจากบรรดาชนชาติ และนำพวกเจ้ากลับมาจากดินแดนต่างๆ ที่พวกเจ้ากระจัดกระจายไปอยู่ และเราจะมอบแผ่นดินของอิสราเอลคืนให้แก่พวกเจ้าอีก 18 และเมื่อพวกเขากลับมายังแผ่นดิน พวกเขาจะกำจัดสิ่งอันน่ารังเกียจและสิ่งอันน่าชังออกไป 19 และเราจะมอบใจที่เป็นหนึ่งเดียวและมอบวิญญาณดวงใหม่ไว้ในพวกเขา เราจะเอาใจที่แข็งเยี่ยงหินออกจากกายของพวกเขา และมอบใจที่เป็นเลือดเนื้อให้พวกเขาแทน 20 เพื่อพวกเขาจะดำเนินตามกฎเกณฑ์และฟังคำบัญชาของเรา และพวกเขาจะเป็นชนชาติของเรา และเราจะเป็นพระเจ้าของพวกเขา 21 แต่สำหรับบรรดาผู้ที่มีใจติดตามสิ่งอันน่ารังเกียจและสิ่งอันน่าชัง เราจะสนองตอบพวกเขาตามที่เขากระทำ’” พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ประกาศดังนั้น
22 ครั้นแล้วบรรดาเครูบซึ่งมีล้อติดอยู่ข้างตัวก็กางปีกออก และพระบารมีของพระเจ้าของอิสราเอลอยู่เหนือบรรดาเครูบ 23 พระบารมีของพระผู้เป็นเจ้าขึ้นไปจากกลางเมือง และยืนบนภูเขาซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกของเมือง 24 พระวิญญาณยกตัวข้าพเจ้าขึ้น และนำข้าพเจ้าในภาพนิมิตด้วยพระวิญญาณพระเจ้าให้ลี้ภัยไปยังเคลเดีย แล้วภาพนิมิตที่ข้าพเจ้าเห็นก็จากข้าพเจ้าขึ้นสู่เบื้องบน 25 และข้าพเจ้าบอกบรรดาผู้ลี้ภัยถึงทุกสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้าได้ชี้ให้ข้าพเจ้าเห็น
การลี้ภัยเป็นสัญลักษณ์
12 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับข้าพเจ้าดังนี้ว่า 2 “บุตรมนุษย์เอ๋ย เจ้าอาศัยอยู่ท่ามกลางพงศ์พันธุ์ที่ขัดขืน ซึ่งมีตาเพื่อมองเห็น แต่ก็ไม่เห็น มีหูเพื่อได้ยิน แต่ก็ไม่ได้ยิน เพราะพวกเขาเป็นพงศ์พันธุ์ที่ขัดขืน 3 แต่สำหรับเจ้าแล้ว บุตรมนุษย์เอ๋ย จงเตรียมข้าวของติดตัว และลี้ภัยไปในเวลากลางวันต่อหน้าพวกเขา เจ้าจงไปอย่างผู้ลี้ภัยจากที่เจ้าอยู่ไปยังที่อื่น พวกเขาอาจจะเข้าใจ แม้ว่าพวกเขาเป็นพงศ์พันธุ์ที่ขัดขืนก็ตาม 4 เจ้าจงเอาข้าวของของเจ้าออกมาในตอนกลางวันอย่างผู้ลี้ภัยต่อหน้าพวกเขา และเจ้าจงออกไปในตอนเย็นอย่างผู้ลี้ภัยต่อหน้าพวกเขา 5 จงทะลวงกำแพงต่อหน้าพวกเขา และเอาข้าวของของเจ้าออกไปทางช่องกำแพงต่อหน้าพวกเขา 6 จงยกข้าวของขึ้นบ่าแบกไปต่อหน้าพวกเขาในยามพลบค่ำ จงปิดหน้าและเจ้าจะมองไม่เห็นแผ่นดิน เพราะเราได้ทำให้เจ้าเป็นเครื่องพิสูจน์แก่พงศ์พันธุ์อิสราเอล”
7 และข้าพเจ้าก็ทำตามที่ได้รับคำบัญชา ข้าพเจ้านำข้าวของออกมาในตอนกลางวันอย่างคนลี้ภัย และในยามเย็นข้าพเจ้าทะลวงกำแพงด้วยมือข้าพเจ้าเอง ข้าพเจ้านำข้าวของออกมาในยามพลบค่ำ แบกขึ้นบ่าต่อหน้าพวกเขา
8 ในยามเช้า พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับข้าพเจ้าดังนี้ว่า 9 “บุตรมนุษย์เอ๋ย พงศ์พันธุ์อิสราเอลที่ขัดขืนไม่ได้พูดกับเจ้าหรือว่า ‘ท่านกำลังทำอะไร’ 10 จงบอกพวกเขาดังนี้ ‘พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวว่า คำพยากรณ์ถึงผู้ยิ่งใหญ่ในเยรูซาเล็มและพงศ์พันธุ์อิสราเอลทั้งปวงที่อยู่ในนั้น’ 11 จงบอกพวกเขาว่า ‘ข้าพเจ้าเป็นเครื่องพิสูจน์แก่พวกท่าน’ เราจะกระทำต่อพวกเขาอย่างที่เราได้กระทำแล้ว พวกเขาจะลี้ภัยไปอย่างเชลยศึก 12 ผู้ยิ่งใหญ่คนนั้นในหมู่พวกเขาจะยกข้าวของแบกขึ้นบ่าออกไปในเวลาพลบค่ำ พวกเขาจะทะลวงกำแพงให้เขาออกไป เขาจะปิดหน้า และตาของเขาจะมองไม่เห็นแผ่นดิน 13 และเราจะเหวี่ยงตาข่ายคลุมตัวเขา และเขาจะตกในกับดักของเรา เราจะนำเขาไปยังบาบิโลน แผ่นดินของชาวเคลเดีย แต่เขาจะมองไม่เห็นสิ่งใด และสิ้นชีวิตที่นั่น 14 เราจะทำให้คนทั้งปวงที่อยู่รอบข้างเขา คือทั้งบริพารและทหารทุกคนกระจัดกระจายไปทุกทิศทุกทาง แล้วเราจะชักดาบไล่ล่าพวกเขาไป 15 และพวกเขาจะรู้ว่า เราคือพระผู้เป็นเจ้าเมื่อเราทำให้พวกเขากระเจิดกระเจิงไปในท่ามกลางบรรดาประชาชาติ และกระจัดกระจายไปในหลายดินแดน 16 แต่เราจะปล่อยให้บางคนในหมู่พวกเขาหนีรอดจากดาบ การอดอยาก และโรคระบาด เพื่อให้เป็นที่ทราบในบรรดาประชาชาติที่พวกเขาไปอยู่ด้วย ถึงการกระทำอันน่าชังทั้งสิ้นของพวกเขา”
17 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับข้าพเจ้าดังนี้ว่า 18 “บุตรมนุษย์เอ๋ย จงสั่นเทาเวลาเจ้ารับประทานอาหาร และหวั่นไหวด้วยความกลัวเวลาเจ้าดื่มน้ำ 19 จงบอกประชาชนของแผ่นดินว่า พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวถึงบรรดาผู้อยู่อาศัยของเยรูซาเล็ม และในแผ่นดินอิสราเอลดังนี้ว่า ‘พวกเขาจะรับประทานอาหารด้วยความกังวล และดื่มน้ำด้วยความสิ้นหวัง ทุกสิ่งในแผ่นดินของพวกเขาจะถูกยึดจนหมดสิ้น เพราะการกระทำอันรุนแรงของทุกคนที่อาศัยอยู่ที่นั่น 20 เมืองที่มีผู้คนอาศัยอยู่ก็จะเป็นเมืองร้าง และแผ่นดินจะกลายเป็นที่รกร้าง และเจ้าจะรู้ว่า เราคือพระผู้เป็นเจ้า’”
21 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับข้าพเจ้าดังนี้ว่า 22 “บุตรมนุษย์เอ๋ย สุภาษิตนี้ซึ่งพวกเจ้าพูดถึงในแผ่นดินอิสราเอลว่า ‘วันเวลาผ่านไป และไม่มีสิ่งใดที่เป็นไปตามภาพนิมิตเลย’ มันหมายถึงอะไร 23 ฉะนั้น จงบอกพวกเขาว่า พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวดังนี้ ‘เราจะทำให้ไม่มีการพูดถึงสุภาษิตนี้อีก และพวกเขาจะไม่อ้างถึงสุภาษิตนี้ในอิสราเอลอีกต่อไป’ แต่เจ้าจงบอกพวกเขาว่า ‘วันนั้นใกล้เข้ามาแล้ว ที่ทุกสิ่งจะเป็นไปตามภาพนิมิต’ 24 เพราะจะไม่มีภาพนิมิตเท็จอีกต่อไป หรือการทำนายที่ยกยอในหมู่พงศ์พันธุ์อิสราเอล 25 แต่เราคือพระผู้เป็นเจ้า เราจะพูดสิ่งที่เราต้องการจะพูด และสิ่งนั้นจะเกิดขึ้นโดยไม่ล่าช้า แต่จะเกิดขึ้นในช่วงชีวิตของพวกเจ้า โอ พงศ์พันธุ์ที่ขัดขืนเอ๋ย เราจะพูดและจะทำให้เกิดขึ้น” พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ประกาศดังนั้น
26 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับข้าพเจ้าดังนี้ว่า 27 “บุตรมนุษย์เอ๋ย ดูเถิด พงศ์พันธุ์อิสราเอลพูดกันว่า ‘ภาพนิมิตที่เขาเห็นนั้น ยังอีกนานหลายปีนับจากเวลานี้ และเขาเผยความเรื่องอนาคตอันไกล’” 28 ฉะนั้น เจ้าจงบอกพวกเขาว่า พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวดังนี้ “คำพูดของเราจะไม่ล่าช้าอีกต่อไป แต่สิ่งที่เราพูดจะเกิดขึ้น” พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ประกาศดังนั้น
Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation