Beginning
ความอดอยาก สงคราม และโรคระบาด
14 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับเยเรมีย์เรื่องความแล้งน้ำดังนี้
2 “ยูดาห์ร้องคร่ำครวญ
และประตูเมืองเศร้าสลด
พวกเขาร้องรำพันอยู่บนพื้นโลก
และเสียงร้องของเยรูซาเล็มดังขึ้น
3 บรรดาผู้สูงศักดิ์ของเมืองให้ผู้รับใช้ของเขาไปหาน้ำมา
พวกเขาก็มาถึงบ่อน้ำ แต่เห็นว่าไม่มีน้ำ
พวกเขาจึงแบกภาชนะเปล่า รู้สึกทั้งละอายใจ
และสับสน จึงคลุมศีรษะกลับมา
4 เพราะพื้นดินแห้งผาก
เนื่องจากแผ่นดินแล้งฝน
ชาวสวนละอายใจ
จึงได้คลุมศีรษะกัน
5 แม้แต่แม่กวางในทุ่งก็ยังละทิ้งลูกที่เกิดใหม่
เพราะไม่มีหญ้า
6 ลาป่ายืนบนเนินเขาสูงที่เตียน
พวกมันกระหืดกระหอบสูดลมเหมือนหมาใน
สายตาไม่ดี
เพราะไม่มีพืชผัก”
7 ถึงแม้ว่าความชั่วของพวกเราเป็นพยานฟ้องเรา
โอ พระผู้เป็นเจ้า เพื่อพระนามของพระองค์ โปรดช่วยด้วยเถิด
พวกเราหันเหไปจากพระองค์ครั้งแล้วครั้งเล่า
และได้กระทำบาปต่อพระองค์
8 พระองค์เป็นความหวังของอิสราเอล
องค์ผู้ช่วยให้รอดพ้นในยามทุกข์
เหตุใดพระองค์จึงจะเป็นอย่างคนแปลกหน้าในแผ่นดิน
อย่างนักเดินทางที่พักแรมอยู่เพียงคืนเดียว
9 เหตุใดพระองค์จึงจะเป็นอย่างคนที่งงงัน
อย่างนักรบผู้เก่งกล้าที่ช่วยให้รอดไม่ได้
โอ พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ยังอยู่ท่ามกลางพวกเรา
และพวกเราได้รับเรียกว่าเป็นคนของพระองค์
โปรดอย่าจากพวกเราไป
10 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวถึงชนชาตินี้ว่า
“พวกเขาชอบเร่ร่อน
ไม่ยั้งเท้าที่ก้าวออกไป
ฉะนั้น พระผู้เป็นเจ้าไม่ยอมรับพวกเขา
บัดนี้ พระองค์จะนึกถึงความชั่วของพวกเขา
และลงโทษบาปของพวกเขา”
11 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับข้าพเจ้าดังนี้ “อย่าอธิษฐานให้คนเหล่านี้เป็นสุข 12 แม้ว่าพวกเขาจะอดอาหาร เราจะไม่ได้ยินเสียงร้องของพวกเขา และถึงแม้ว่าพวกเขามอบสัตว์ที่เผาเป็นของถวายและเครื่องธัญญบูชา เราก็จะไม่รับ แต่เราจะให้พวกเขาสิ้นชีวิตด้วยการสู้รบ ความอดอยาก และด้วยโรคระบาด”
ผู้เผยคำกล่าวที่พูดเท็จ
13 ข้าพเจ้าจึงพูดดังนี้ว่า “พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ ดูเถิด บรรดาผู้เผยคำกล่าวพูดกับพวกเขาว่า ‘พวกเจ้าจะไม่เผชิญกับการสู้รบ และจะไม่ประสบกับความอดอยาก แต่เราจะให้สถานที่นี้มีสันติสุขอย่างแน่นอน’” 14 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับข้าพเจ้าดังนี้ว่า “บรรดาผู้เผยคำกล่าวกำลังเผยความเท็จในนามของเรา เราไม่ได้ส่งพวกเขาไป และไม่ได้บัญชาอะไรหรือพูดอะไรกับพวกเขา พวกเขากำลังเผยความแก่เจ้าถึงภาพนิมิตเท็จ การทำนายอันไร้ค่า และในความคิดของพวกเขาเป็นภาพลวงตา 15 ฉะนั้น พระผู้เป็นเจ้ากล่าวถึงบรรดาผู้เผยคำกล่าว ซึ่งเผยความในนามของเรา แม้เราจะไม่ได้ส่งพวกเขาไป และพวกเขาเป็นผู้ที่พูดว่า ‘การสู้รบและความอดอยากจะไม่เกิดขึ้นกับแผ่นดินนี้’ ผู้เผยคำกล่าวเหล่านั้นจะเสียชีวิตจากการสู้รบและความอดอยาก 16 และประชาชนที่ฟังพวกเขาเผยความจะถูกโยนออกไปที่ถนนของเยรูซาเล็ม และประสบกับความอดอยากและการสู้รบ ไม่มีใครฝังศพให้พวกเขาหรือภรรยา ลูกชายและลูกสาว เพราะเราจะให้พวกเขารับความชั่วร้ายจากพวกเขาเอง
17 เจ้าจงพูดกับพวกเขาดังนี้
‘ให้ข้าพเจ้าหลั่งน้ำตาทั้งวันและคืน
อย่าให้หยุดร้องไห้เลย
เพราะธิดาพรหมจารีของประชาชนของข้าพเจ้าถูกโจมตี
และบาดเจ็บแสนสาหัส
18 ถ้าข้าพเจ้าเข้าไปในไร่นา
ดูเถิด พวกเขาถูกฆ่าจากการสู้รบ
และถ้าข้าพเจ้าเข้าไปในเมือง
ดูเถิด เกิดโรคเนื่องจากความอดอยาก
เพราะทั้งผู้เผยคำกล่าวและปุโรหิตทำงานของพวกเขาต่อไป
โดยไม่รู้ว่าตนกำลังทำอะไร’”
19 พระองค์ไม่ยอมรับยูดาห์จริงๆ หรือ
พระองค์เกลียดชังศิโยนหรือ
เหตุใดพระองค์จึงได้เข่นฆ่าพวกเรา
จนกระทั่งไม่มีการรักษาให้หายขาด
เรามองหาสันติสุข แต่ไม่มีสิ่งดีอันใดเกิดขึ้น
เราหวังว่าจะหายจากโรคภัย แต่ดูเถิด มีสิ่งที่ทำให้ต้องกลัว
20 โอ พระผู้เป็นเจ้า พวกเราทราบดีถึงความชั่วร้ายของเรา
และความผิดของบรรพบุรุษของเรา
เพราะพวกเราได้กระทำบาปต่อพระองค์
21 ขอพระองค์อย่าดูหมิ่นพวกเราเพื่อพระนามของพระองค์
ขอพระองค์อย่าหลู่เกียรติบัลลังก์อันสง่างามของพระองค์
ขอพระองค์ระลึกและอย่ายกเลิกพันธสัญญาที่มีกับพวกเรา
22 มีรูปเคารพไร้ค่าของบรรดาประชาชาติใดบ้างที่โปรดให้มีฝนได้
หรือท้องฟ้าจะสามารถโปรยฝนได้หรือ
โอ พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของพวกเรา พระองค์เป็นผู้นั้นมิใช่หรอกหรือ
พวกเราตั้งความหวังในพระองค์
เพราะพระองค์เป็นผู้กระทำสิ่งเหล่านี้
พระผู้เป็นเจ้าจะไม่เปลี่ยนใจ
15 แล้วพระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับข้าพเจ้าดังนี้ว่า “แม้ว่าโมเสสและซามูเอลจะมายืนต่อหน้าเรา ใจของเราก็จะยังไม่หันเข้าหาชนชาตินี้ ให้พวกเขาไปให้พ้นหน้าเรา และปล่อยให้พวกเขาไป 2 และเมื่อพวกเขาถามเจ้าว่า ‘จะให้พวกเราไปไหน’ เจ้าจงตอบพวกเขาว่า ‘พระผู้เป็นเจ้ากล่าวว่า
ผู้ที่ถูกกำหนดให้ตายก็จะต้องตาย
ผู้ที่ถูกกำหนดให้สู้รบก็จะออกไปสู้รบ
ผู้ที่ถูกกำหนดให้อดอยากก็จะอดอยาก
และผู้ที่ถูกกำหนดให้เป็นเชลยก็จะเป็นเชลย’”
3 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้ว่า “เราจะกำหนด 4 สิ่งให้ทำลายพวกเขาคือ ให้ถูกฆ่าในการสู้รบ ให้สุนัขลากตัวไป ให้นกในอากาศและสัตว์ป่าบนแผ่นดินโลกกินและทำให้พินาศ 4 และเราจะทำให้อาณาจักรทั้งปวงบนแผ่นดินโลกเห็นพวกเขาตกอยู่ในสภาพที่หวาดหวั่น เหตุเพราะสิ่งที่มนัสเสห์บุตรของเฮเซคียาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์กระทำในเยรูซาเล็ม[a]
5 โอ เยรูซาเล็มเอ๋ย ใครจะสงสารเจ้า
หรือใครจะคร่ำครวญถึงเจ้า
ใครจะแวะถามข่าวคราวของเจ้า
6 พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า
เจ้าไม่ยอมรับเราแล้ว
เจ้าหันหลังให้เราซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ดังนั้นเราได้ยื่นมือของเราออกเพื่อลงโทษและทำให้เจ้าพินาศ
เราจะเปลี่ยนใจไม่ได้อีกแล้ว
7 เราได้ฝัดร่อนพวกเขาด้วยพลั่ว
สำหรับแยกแกลบที่ประตูเมือง
เราได้สูญเสียพวกเขา เราได้ทำให้ชนชาติของเราพินาศ
พวกเขาไม่เลิกไปจากวิถีทางของเขา
8 เราได้ทำให้พวกเขามีจำนวนหญิงม่าย
มากยิ่งกว่าเม็ดทรายในทะเล
เรากระทำต่อมารดาของบรรดาชายหนุ่ม
ด้วยการส่งผู้ทำลายในยามที่พวกเขาไม่ได้คาดคะเน
เราได้ทำให้พวกเขาเจ็บปวดรวดร้าว
และหวาดหวั่นในทันใด
9 ผู้หญิงที่มีลูก 7 คนก็อ่อนแรง
นางเป็นลมไปแล้ว
แสงตะวันล่วงลับไปขณะที่ยังวันอยู่
นางได้รับความอับอายและอัปยศ
และเราจะให้ผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่
เผชิญกับการสู้รบกับพวกศัตรู”
พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น
เยเรมีย์ร้องทุกข์
10 มารดาของข้าพเจ้าเอ๋ย ข้าพเจ้าวิบัติที่ท่านให้กำเนิดข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเป็นคนที่ก่อให้เกิดการวิวาทและมีปัญหากับคนทั้งแผ่นดิน ข้าพเจ้าไม่ได้ให้ยืมหรือขอยืมผู้ใด แต่ทุกคนก็ยังสาปแช่งข้าพเจ้า 11 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้ว่า “เราประสงค์ดีเมื่อช่วยเจ้าให้รอดพ้น เราจะทำให้ศัตรูของเจ้าวิงวอนกับเจ้าเมื่อประสบกับความวิบัติและเป็นทุกข์ 12 ใครจะหักเหล็กได้ โดยเฉพาะเหล็กจากทิศเหนือ และทองสัมฤทธิ์
13 เราจะมอบความมั่งมีและทรัพย์สมบัติของเจ้าให้ศัตรูริบไปเปล่าๆ เพราะบาปทั้งสิ้นของเจ้าที่กระทำกันทั่วอาณาเขตของเจ้า 14 เราจะทำให้เจ้าไปรับใช้พวกศัตรูของเจ้าในแผ่นดินที่เจ้าไม่รู้จัก ความโกรธของเราทำให้ไฟถูกจุดขึ้น ซึ่งจะไหม้ตัวเจ้า”
15 โอ พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทราบดี
พระองค์ระลึกถึงข้าพเจ้าและช่วยเหลือข้าพเจ้า
และแก้แค้นพวกที่บีบบังคับแทนข้าพเจ้า
พระองค์มีความอดกลั้นต่อพวกเขา
อย่าปล่อยให้ข้าพเจ้าตายเลย
ดูเถิดว่าข้าพเจ้าทนต่อการติเตียนก็เพื่อพระองค์
16 เมื่อข้าพเจ้าพบคำกล่าวของพระองค์ ข้าพเจ้าก็กินเข้าไป
และคำกล่าวของพระองค์ทำให้ข้าพเจ้ามีใจยินดีและชื่นชอบ
เพราะข้าพเจ้าได้รับเรียกว่าเป็นคนของพระองค์
โอ พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าจอมโยธา
17 ข้าพเจ้าไม่ได้สังสรรค์กับบรรดาผู้หาความสำราญ
ไม่เคยสนุกสนานร่วมกับพวกเขา
ข้าพเจ้าอยู่ตามลำพัง เพราะมือของพระองค์สถิตกับข้าพเจ้า
และข้าพเจ้าท่วมท้นด้วยความเดือดดาล
18 เหตุใดข้าพเจ้าจึงเจ็บปวดเรื่อยไป
บาดแผลของข้าพเจ้าก็รักษาไม่หาย
และไม่ยอมหายขาด
พระองค์จะเป็นเหมือนกับธารน้ำที่แห้งเหือด
เหมือนกับแหล่งน้ำที่หยุดไหลหรือ
19 ฉะนั้น พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้ว่า
“ถ้าเจ้ากลับมาหาเรา เราจะรับเจ้าไว้
และเจ้าจะยืนอยู่ต่อหน้าเราได้
ถ้าเจ้าพูดในสิ่งที่มีคุณค่าแทนสิ่งที่ไร้ค่า
เจ้าก็จะเป็นผู้แทนกล่าวคำของเรา
พวกเขาจะกลับมาหาเจ้า
และเจ้าจะไม่ต้องไปหาพวกเขา
20 และเราจะทำให้เจ้าเป็นดั่ง
กำแพงเมืองทองสัมฤทธิ์ที่แข็งกล้า
พวกเขาจะต่อสู้กับเจ้า
แต่พวกเขาจะไม่ชนะเจ้า
เพราะเราอยู่กับเจ้า
เพื่อช่วยเจ้าให้รอดปลอดภัย
พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น
21 เราจะช่วยเจ้าให้รอดจากมือของคนชั่ว
และช่วยเจ้าให้พ้นจากอำนาจของคนโหดเหี้ยม”
ความอดอยาก การสู้รบ และความตาย
16 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับข้าพเจ้าดังนี้ 2 “เจ้าจงอย่ามีภรรยา หรือมีลูกชายและลูกสาวในที่แห่งนี้ 3 เพราะพระผู้เป็นเจ้ากล่าวถึงเรื่องลูกชายและลูกสาวที่เกิดในที่แห่งนี้ และเรื่องบรรดาผู้เป็นแม่ที่อุ้มครรภ์ และบรรดาผู้เป็นพ่อที่เลี้ยงดูพวกเขาในแผ่นดินนี้ 4 พวกเขาจะสิ้นชีวิตจากโรคร้ายแรง พวกเขาจะไม่มีใครร้องรำพันถึง หรือฝังศพพวกเขา พวกเขาจะเป็นดั่งอุจจาระบนพื้นดิน พวกเขาจะตายจากการสู้รบและความอดอยาก และร่างของพวกเขาจะเป็นอาหารสำหรับนกในอากาศและสัตว์ป่าบนแผ่นดินโลก”
5 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้ว่า “อย่าเข้าไปในบ้านที่ร้องคร่ำครวญ หรือเข้าไปร้องรำพันหรือแสดงความเศร้าใจแก่พวกเขา เพราะเราได้พรากความสันติสุข ความรักอันมั่นคงของเราและความเมตตาไปจากชนชาตินี้” พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น 6 “ทั้งผู้สูงส่งและผู้ต่ำต้อยในแผ่นดินนี้จะตาย และจะไม่มีใครฝัง และไม่มีใครร้องรำพันถึงพวกเขา หรือเชือดเนื้อหนังตนเองหรือโกนศีรษะเพื่อพวกเขา 7 จะไม่มีใครนำอาหารมาให้แก่ผู้ร้องคร่ำครวญเป็นการปลอบใจที่มีคนเสียชีวิต และไม่มีใครนำเครื่องดื่มมาให้เพื่อปลอบประโลมที่พ่อหรือแม่ของเขาเสียชีวิต 8 เจ้าอย่าเข้าไปนั่งในบ้านที่มีการเลี้ยงฉลองเพื่อดื่มกินกับพวกเขา 9 เพราะพระผู้เป็นเจ้าจอมโยธา พระเจ้าของอิสราเอลกล่าวว่า ดูเถิดเราจะทำให้เสียงยินดีและเบิกบานใจ เสียงของเจ้าบ่าวและเจ้าสาวในที่นี้ยุติลง และเจ้าจะได้เห็นในช่วงชีวิตของเจ้า
10 เมื่อเจ้าบอกชนชาตินี้ถึงสิ่งเหล่านี้ และพวกเขาพูดกับเจ้าว่า ‘ทำไมพระผู้เป็นเจ้าจึงออกคำสั่งให้พวกเราได้รับความทุกข์ร้อน พวกเรามีความชั่วอะไร พวกเรากระทำบาปอะไรต่อพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเรา’ 11 เจ้าจงบอกพวกเขาว่า ‘พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า เพราะบรรพบุรุษของเจ้าได้ทอดทิ้งเรา และได้ไปติดตามปวงเทพเจ้า ไปบูชาและนมัสการสิ่งเหล่านั้น และได้ทอดทิ้งเราและไม่ได้รักษากฎบัญญัติของเรา 12 และเพราะเจ้าได้กระทำเลวร้ายกว่าบรรพบุรุษของเจ้า ดูเถิด พวกเจ้าทุกคนกระทำตามความดื้อรั้น ตามความตั้งใจที่ชั่วร้ายของตน และไม่ยอมฟังเรา 13 ฉะนั้น เราจะเหวี่ยงพวกเจ้าออกไปจากแผ่นดินนี้ ให้เข้าไปยังแผ่นดินที่พวกเจ้าและบรรพบุรุษของพวกเจ้าไม่รู้จัก และเจ้าจะบูชาปวงเทพเจ้าทั้งวันทั้งคืนที่นั่น เราจะไม่แสดงความเมตตาต่อพวกเจ้า’
พ้นจากการเนรเทศ
14 ฉะนั้น ดูเถิด จะถึงเวลาที่จะไม่มีใครพูดว่า ‘ตราบที่พระผู้เป็นเจ้าผู้นำชาวอิสราเอลออกจากแผ่นดินอียิปต์มีชีวิตอยู่ฉันใด’ 15 แต่จะเป็นที่พูดกันว่า ‘ตราบที่พระผู้เป็นเจ้าผู้นำชาวอิสราเอลออกจากดินแดนทางเหนือ และออกจากดินแดนทั้งปวงที่พระองค์เคยขับไล่ออกไป มีชีวิตอยู่ฉันใด’ เพราะเราจะนำพวกเขากลับมายังแผ่นดินของพวกเขาเอง ซึ่งเรามอบให้แก่บรรพบุรุษของพวกเขา
16 ดูเถิด จะมีหลายคนที่เรากำลังส่งมาดั่งชาวประมงเพื่อนำฝูงชนมา และหลังจากนั้นจะมีหลายคนที่เราจะส่งมาดั่งนายพรานเพื่อตามตัวพวกเขาให้ออกมาจากทุกเทือกเขาและเนินเขา และจากทุกซอกหิน 17 เพราะเราจับตาอยู่ที่วิถีทางทั้งปวงของพวกเขา ไม่มีสิ่งใดซ่อนเร้นไปจากเราได้ ความชั่วของพวกเขาก็ไม่พ้นไปจากสายตาของเราได้ 18 แต่แรกทีเดียว เราจะกระทำตอบต่อความชั่วและบาปของพวกเขาเป็นเท่าตัว เพราะเขาได้ทำให้แผ่นดินของเราเป็นมลทินด้วยรูปเคารพไร้ชีวิตอันน่าชังของพวกเขา”
19 โอ พระผู้เป็นเจ้า พระองค์เป็นพละกำลังและที่คุ้มภัย
ที่พึ่งพิงในยามลำบาก
บรรดาประชาชาติจากทุกมุมโลก
จะมาหาพระองค์และพูดว่า
“บรรพบุรุษของพวกเราครอบครองแต่เพียงสิ่งลวงหลอก
สิ่งไร้ค่าซึ่งไม่ก่อให้เกิดประโยชน์เลย
20 มนุษย์สร้างเทพเจ้าให้ตนเองได้หรือ
แต่สิ่งเหล่านั้นไม่ใช่เทพเจ้า”
21 “ฉะนั้น ดูเถิด เราจะสอนให้พวกเขารู้ ครั้งนี้เราจะสอนให้พวกเขารู้ถึงอานุภาพและพลานุภาพของเรา และพวกเขาจะรู้ว่านามของเราคือ พระผู้เป็นเจ้า
บาปของยูดาห์
17 บาปของยูดาห์ถูกบันทึกด้วยปากกาเหล็ก ถูกจารึกบนหัวใจของพวกเขาด้วยเพชรที่ปลายปากกา และสลักที่เขาสัตว์บนแท่นบูชา 2 แม้แต่ลูกๆ ของพวกเขาก็ยังจำแท่นบูชาและเทวรูปอาเชราห์[b]ของพวกเขาได้ ที่ข้างต้นไม้อันเขียวชอุ่มทุกต้นและบนเนินเขาสูง 3 บนเทือกเขาในที่โล่ง เราจะให้ศัตรูริบความมั่งคั่งและสมบัติของเจ้าไปทั้งหมด เพราะบาปที่สถานบูชาบนภูเขาสูงทั่วอาณาเขตของเจ้า 4 แผ่นดินที่เรามอบให้แก่เจ้าเป็นมรดกจะหลุดไปจากมือของเจ้า และเราจะทำให้เจ้าไปรับใช้พวกศัตรูของเจ้าในแผ่นดินที่เจ้าไม่รู้จัก เนื่องจากการที่เราถูกยั่วโทสะ ไฟจะลุกไปตลอดกาล”
5 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้ว่า
“ผู้ที่ถูกสาปแช่งคือผู้ที่ไว้วางใจในมนุษย์
และในพละกำลังของสิ่งที่เป็นเพียงเนื้อหนัง
จิตใจของเขาหันเหไปจากพระผู้เป็นเจ้า
6 เขาเป็นอย่างพุ่มไม้ในทะเลทราย
และจะไม่เห็นสิ่งดีอันใดเกิดขึ้น
เขาจะอาศัยอยู่ในถิ่นทุรกันดาร
ในแผ่นดินเค็มซึ่งไม่มีผู้ใดอาศัยอยู่
7 ผู้ที่เป็นสุขคือผู้ที่ไว้วางใจในพระผู้เป็นเจ้า
พระผู้เป็นเจ้าคือผู้ที่เขาไว้วางใจ
8 เขาเป็นอย่างต้นไม้ที่ปลูกไว้ข้างริมน้ำ
ที่แผ่รากไปถึงแหล่งน้ำ
และไม่กลัวเมื่ออากาศร้อน
เพราะใบยังเขียวชอุ่ม
และไม่กังวลเมื่อแล้งฝน
เพราะออกผลได้เสมอ”
9 จิตใจลวงหลอกยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด
และบิดเบือนยิ่งนัก
ใครจะเข้าใจได้
10 “เราคือพระผู้เป็นเจ้า ผู้สำรวจจิตใจ
และทดสอบความคิด
เพื่อตอบแทนทุกคนตามวิถีทางที่เขาดำเนิน
ตามผลของการกระทำของเขา”
11 นกกระทากกไข่ที่ไม่ได้ออกมาเองเป็นเช่นไร
คนที่ร่ำรวยโดยไร้ความเป็นธรรมก็เป็นเช่นนั้น
เมื่อถึงวัยกลางคนความมั่งมีก็จะจากเขาไป
และบั้นปลายก็จะปรากฏว่าเขาเป็นคนโง่เขลา
12 สถานที่บริสุทธิ์ของพวกเราเป็นดั่งบัลลังก์อันสง่างาม
ที่ตั้งอยู่ในที่สูงตั้งแต่แรกเริ่ม
13 โอ พระผู้เป็นเจ้า ผู้เป็นความหวังของอิสราเอล
ทุกคนที่ไปจากพระองค์จะได้รับความอับอาย
ชื่อของบรรดาผู้ที่หันไปจากพระองค์จะถูกบันทึกในแดนของคนตาย
เพราะพวกเขาได้ทอดทิ้งพระผู้เป็นเจ้า
ผู้เป็นน้ำพุแห่งชีวิต[c]
เยเรมีย์อธิษฐานขอความรอด
14 โอ พระผู้เป็นเจ้า โปรดรักษาข้าพเจ้าให้หายขาด และข้าพเจ้าจะได้รับการรักษา
ช่วยข้าพเจ้าให้รอดพ้น และข้าพเจ้าจะรอดพ้น
เพราะพระองค์คือผู้ที่ข้าพเจ้าสรรเสริญ
15 ดูเถิด พวกเขาพูดกับข้าพเจ้าว่า
“ไหนล่ะที่เป็นคำกล่าวของพระผู้เป็นเจ้า
ก็จงให้เป็นไปตามนั้นสิ”
16 ข้าพเจ้าไม่ได้หลบเลี่ยงจากการเป็นผู้เลี้ยงดูฝูงแกะให้แก่พระองค์
และข้าพเจ้าไม่ปรารถนาให้พวกเขารับความทุกข์
พระองค์ทราบดีว่าข้าพเจ้าพูดอะไร
ต่อหน้าพระองค์บ้าง
17 ขอพระองค์อย่าทำให้ข้าพเจ้าหวาดหวั่น
พระองค์เป็นที่พึ่งพิงของข้าพเจ้าในยามวิบัติ
18 ขอให้บรรดาผู้ที่กดขี่ข่มเหงข้าพเจ้าอับอาย
แต่อย่าให้ข้าพเจ้าอับอาย
ให้พวกเขาหวาดหวั่นพรั่นพรึง
แต่อย่าให้ข้าพเจ้าหวาดหวั่นพรั่นพรึง
ขอพระองค์ให้พวกเขาได้รับความวิบัติ
ทำลายพวกเขาให้พินาศ
ถือกฎวันสะบาโตให้เป็นวันบริสุทธิ์
19 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับข้าพเจ้าดังนี้ว่า “จงไปยืนที่ประตูหลักของเมือง ซึ่งบรรดากษัตริย์แห่งยูดาห์ผ่านเข้าออก และที่ประตูทุกประตูของเยรูซาเล็ม 20 และจงพูดว่า ‘บรรดากษัตริย์แห่งยูดาห์ ชาวยูดาห์ทั้งปวง และผู้อยู่อาศัยทั้งหลายของเยรูซาเล็ม ซึ่งผ่านเข้ามาทางประตูดังกล่าว จงฟังคำกล่าวของพระผู้เป็นเจ้า 21 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวว่า ถ้าเจ้าเห็นว่าชีวิตตนมีค่า เจ้าก็อย่าแบกหามสิ่งใดในวันสะบาโต หรือนำมันเข้ามาทางประตูของเยรูซาเล็ม 22 และอย่าแบกหามสิ่งใดออกจากบ้านของพวกเจ้าในวันสะบาโต และอย่าทำงานใดๆ แต่จงถือกฎวันสะบาโตให้เป็นวันบริสุทธิ์ ตามที่เราบัญชาบรรพบุรุษของพวกเจ้า[d] 23 แต่พวกเขาไม่ฟังและไม่แม้แต่จะเงี่ยหูฟัง แต่กลับหัวแข็งไม่ฟังหรือรับคำสั่งสอน
24 พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า ถ้าพวกเจ้าฟังเรา และไม่แบกหามสิ่งใดเข้าทางประตูของเมืองนี้ในวันสะบาโต แต่ถือกฎวันสะบาโตให้เป็นวันบริสุทธิ์ ไม่ทำงานในวันนั้น 25 แล้วจะมีบรรดากษัตริย์จากเชื้อสายของดาวิด และบรรดาผู้นำ ที่ผ่านทางประตูเมืองแห่งนี้ พวกเขาจะขี่รถศึกและม้า รวมทั้งผู้คนของยูดาห์และเยรูซาเล็มจะมาด้วย จะมีผู้คนอาศัยอยู่ที่นี่ไปตลอดกาล 26 พวกเขาจะมาจากเมืองต่างๆ ของยูดาห์และจากที่ต่างๆ รอบเยรูซาเล็ม จากอาณาเขตของเบนยามินและที่ลุ่ม จากแถบภูเขาและเนเกบ ต่างก็นำสัตว์ที่ใช้เผาเป็นของถวายและเครื่องสักการะ เครื่องธัญญบูชา และกำยาน และนำเครื่องสักการะแห่งการขอบคุณมายังพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า 27 แต่ถ้าพวกเจ้าไม่ฟังเราที่จะถือกฎวันสะบาโตให้เป็นวันบริสุทธิ์ แบกหามสิ่งใดและเข้าผ่านมาทางประตูของเยรูซาเล็มในวันสะบาโต เราก็จะจุดไฟให้ลุกที่ประตูของเยรูซาเล็มซึ่งจะเผาไหม้ป้อมปราการ และจะไม่มีใครดับไฟนั้นได้’”
Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation