Beginning
รูปเคารพและพระเจ้าผู้มีชีวิต
10 โอ พงศ์พันธุ์อิสราเอลเอ๋ย จงฟังคำที่พระผู้เป็นเจ้ากล่าวแก่พวกท่าน 2 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้ว่า
“อย่าเลียนแบบวิถีทางของบรรดาประชาชาติ
หรือตกใจกับหมายสำคัญในฟ้าสวรรค์
เพราะบรรดาประชาชาติตกใจกับสิ่งเหล่านั้น
3 เพราะพิธีกรรมของบรรดาชนชาติไร้ค่า
ต้นไม้ถูกโค่นในป่า
ถูกขวานแกะสลักด้วยมือของช่างผู้ชำนาญ
4 พวกเขาใช้เงินและทองคำประดับรูปเคารพ
และใช้ค้อนและตะปูประกอบเข้าด้วยกัน
เพื่อไม่ให้ขยับเขยื้อนได้
5 รูปเคารพของพวกเขาเป็นเหมือนหุ่นไล่กาในสวนแตงกวา
พูดไม่ได้
และต้องให้คนแบก
เพราะเดินไม่ได้
อย่ากลัวสิ่งเหล่านั้น
เพราะรูปเคารพพวกนั้นกระทำอันตรายไม่ได้
และจะกระทำสิ่งดีๆ ก็ไม่ได้เช่นกัน”
6 โอ พระผู้เป็นเจ้า ไม่มีผู้ใดที่เป็นเหมือนพระองค์
พระองค์ยิ่งใหญ่ และพระนามของพระองค์มีอานุภาพอันยิ่งใหญ่
7 โอ กษัตริย์ของบรรดาประชาชาติ
มีผู้ใดบ้างที่ไม่เกรงกลัวพระองค์
สมควรที่พระองค์จะได้รับการยกย่อง
เพราะในบรรดาผู้เรืองปัญญาทุกคนของบรรดาประชาชาติ
และในอาณาจักรทั้งปวงของพวกเขา
ไม่มีผู้ใดที่เป็นเหมือนพระองค์
8 พวกเขาทุกคนทั้งเบาปัญญา และโง่เขลา
ได้รับการสั่งสอนจากรูปเคารพไม้ที่ไร้ค่า
9 เงินที่ชุบก็มาจากทาร์ชิช
และทองคำมาจากอุฟาส
เป็นผลงานของช่างผู้ชำนาญและจากมือของช่างตีเหล็ก
ใช้ผ้าสีน้ำเงินและสีม่วงตกแต่งเป็นเสื้อผ้า
ล้วนแต่เป็นผลงานของช่างผู้ชำนาญ
10 แต่พระผู้เป็นเจ้าเป็นพระเจ้าที่แท้จริง
พระองค์เป็นพระเจ้าผู้มีชีวิตอยู่และกษัตริย์ผู้คงอยู่ชั่วนิรันดร์
เมื่อพระองค์กริ้ว แผ่นดินโลกก็สั่นสะท้าน
และบรรดาประชาชาติไม่สามารถทนต่อความโกรธของพระองค์ได้
11 “ฉะนั้น เจ้าจงพูดกับพวกเขาว่า บรรดาเทพเจ้าที่ไม่ได้สร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก จะตายไปจากแผ่นดินโลกและจากใต้ฟ้าสวรรค์”[a]
12 พระองค์เป็นผู้สร้างแผ่นดินโลกด้วยอานุภาพของพระองค์
ผู้สร้างโลกด้วยสติปัญญาของพระองค์
และแผ่ฟ้าสวรรค์ออกด้วยความเข้าใจของพระองค์
13 เมื่อพระองค์ส่งเสียง ก็มีเสียงคำรามในฟ้าสวรรค์
และพระองค์สร้างเมฆให้ลอยขึ้นจากสุดมุมโลก
พระองค์สร้างให้มีสายฟ้าแลบเมื่อมีฝน
และให้มีลมโบกจากแหล่งเก็บลม
14 มนุษย์ทุกคนเบาปัญญาและไร้ความรู้
ช่างตีเหล็กทุกคนจะอับอายก็เพราะรูปเคารพของเขา
เพราะรูปที่เขาหล่อขึ้นนั้นจอมปลอม
และไม่มีลมหายใจ
15 รูปเหล่านั้นไร้ค่าและเป็นที่ดูแคลน
และจะถูกทำลายเมื่อถึงเวลาพิพากษาโทษ
16 องค์ผู้ที่ยาโคบนมัสการไม่เป็นเหมือนสิ่งเหล่านี้
เพราะพระองค์เป็นผู้สร้างสรรพสิ่ง
และอิสราเอลเป็นเผ่าพันธุ์ของผู้สืบมรดกของพระองค์
พระองค์มีพระนามว่า พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธา
17 ผู้ที่อาศัยอยู่ในเมืองที่ถูกล้อมเอ๋ย
จงเก็บข้าวของของพวกท่านเถิด
18 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้
“ดูเถิด เรากำลังจะโยนบรรดาผู้อยู่อาศัย
ในแผ่นดินออกไปในเวลานี้
และเราจะทำให้พวกเขาเป็นทุกข์
เพื่อพวกเขาจะได้รู้สึก”
19 วิบัติเกิดแก่ข้าพเจ้าเพราะข้าพเจ้าเจ็บปวด
บาดแผลของข้าพเจ้ารักษาไม่หาย
ข้าพเจ้ายังจะพูดกับตัวเองว่า
นี่เป็นความทุกข์ทรมานของข้าพเจ้า และข้าพเจ้าต้องทน
20 กระโจมของข้าพเจ้าพังยับเยิน
เชือกผูกกระโจมก็ขาด
ลูกๆ ของข้าพเจ้าต่างก็ไปจากข้าพเจ้าแล้ว
ไม่มีใครตั้งกระโจม
และที่กำบังให้ข้าพเจ้าอีก
21 เพราะบรรดาผู้เลี้ยงดูฝูงแกะเบาปัญญา
และไม่ขอความเห็นจากพระผู้เป็นเจ้า
ฉะนั้นพวกเขาจึงไม่ได้เจริญรุ่งเรือง
และฝูงแกะของพวกเขากระจัดกระจายไป
22 ดูเถิด จงฟังเสียงอึกทึก
ที่มาจากดินแดนทางทิศเหนือ
เขาจะทำให้เมืองของยูดาห์กลายเป็นที่รกร้าง
เป็นที่อยู่ของหมาใน
23 โอ พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าทราบว่าชีวิตของมนุษย์ไม่ได้เป็นของเขาเอง
เขาไม่สามารถจัดการชีวิตในทุกขั้นตอนได้
24 โอ พระผู้เป็นเจ้า โปรดแก้ไขข้าพเจ้าด้วย
แต่ไม่ใช่จากความโกรธของพระองค์
ขอโปรดให้ความเป็นธรรม
มิฉะนั้น พระองค์จะทำให้ชีวิตข้าพเจ้าสูญสิ้นไป
25 ขอพระองค์กระหน่ำการลงโทษลงบนบรรดาประชาชาติ
ที่ไม่รู้จักพระองค์
บนตระกูลทั้งหลายที่ไม่ร้องเรียกพระนามของพระองค์
เพราะพวกเขาได้กลืนกินพงศ์พันธุ์ยาโคบ
ทำให้พวกเขาพินาศ
และทำให้บ้านเมืองเป็นที่รกร้าง[b]
ไม่รักษาพันธสัญญา
11 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับเยเรมีย์ดังนี้ว่า 2 “จงฟังคำที่กล่าวในพันธสัญญานี้ และจงพูดกับผู้คนของยูดาห์และบรรดาผู้อยู่อาศัยของเยรูซาเล็ม 3 เจ้าจงพูดกับพวกเขาว่า พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอิสราเอลกล่าวดังนี้ ‘คำสาปแช่งจะตกอยู่กับผู้ที่ไม่ฟังคำกล่าวในพันธสัญญานี้ 4 ซึ่งเราได้บัญชาแก่บรรพบุรุษของพวกเจ้า เมื่อเรานำพวกเขาออกจากแผ่นดินอียิปต์ จากเตาผิงเหล็ก[c] เราบอกพวกเขาว่า จงเชื่อฟังเรา และทำตามทุกสิ่งที่เราบัญชาพวกเจ้า เพื่อให้พวกเจ้าเป็นชนชาติของเรา และเราจะเป็นพระเจ้าของพวกเจ้า 5 เพื่อเราจะรักษาสัญญาที่เราได้ปฏิญาณกับบรรพบุรุษของพวกเจ้า เพื่อมอบแผ่นดินที่อุดมด้วยน้ำนมและน้ำผึ้ง อย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้’” แล้วข้าพเจ้าตอบว่า “พระผู้เป็นเจ้า ขอให้เป็นไปตามนั้นเถิด”
6 และพระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับข้าพเจ้าดังนี้ว่า “จงประกาศคำกล่าวนี้ในเมืองทั้งหลายของยูดาห์และที่ถนนของเยรูซาเล็มว่า จงฟังคำที่กล่าวในพันธสัญญานี้และปฏิบัติตาม 7 เพราะเราได้เตือนบรรพบุรุษของพวกเจ้าล่วงหน้าอย่างจริงจัง เมื่อเรานำพวกเขาขึ้นมาจากแผ่นดินอียิปต์ เราเตือนพวกเขาซ้ำแล้วซ้ำอีกมาจนถึงทุกวันนี้ เราบอกว่าให้เชื่อฟังเรา 8 พวกเขาก็ยังไม่ฟังและไม่แม้แต่จะเงี่ยหูฟัง แต่ทุกคนยังดื้อรั้นกระทำตามใจอันชั่วร้ายของตน ฉะนั้นเราจึงให้คำสาปแช่งเกิดแก่พวกเขา ตามพันธสัญญาที่เราบัญชาพวกเขาให้ปฏิบัติ แต่พวกเขาก็ยังไม่ทำตาม”
9 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับข้าพเจ้าอีกว่า “ผู้คนของยูดาห์และบรรดาผู้อยู่อาศัยของเยรูซาเล็มมีแผนการร้าย 10 พวกเขาได้กลับไปทำความชั่วเหมือนบรรพบุรุษของพวกเขาที่ไม่ยอมฟังคำของเรา พวกเขาไปติดตามปวงเทพเจ้าเพื่อบูชาสิ่งเหล่านั้น พงศ์พันธุ์อิสราเอลและพงศ์พันธุ์ยูดาห์ละเมิดพันธสัญญาของเราที่เราได้ทำกับบรรพบุรุษของพวกเขา” 11 ฉะนั้น พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้ว่า “ดูเถิด เรากำลังนำความพินาศมาสู่พวกเขา และเขาจะหนีไม่พ้น แม้จะร้องเรียกถึงเรา เราก็จะไม่ฟังพวกเขา 12 แล้วเมืองทั้งหลายของยูดาห์และบรรดาผู้อยู่อาศัยของเยรูซาเล็มจะไปร้องต่อปวงเทพเจ้าที่พวกเขาเผาเครื่องหอมเพื่อบูชา แต่เทพเจ้าจะไม่สามารถช่วยพวกเขาให้รอดในยามที่พวกเขาทุกข์ร้อน 13 ด้วยว่าเทพเจ้าของพวกเจ้ามีมากเท่ากับเมืองของพวกเจ้า โอ ยูดาห์เอ๋ย แท่นบูชาที่พวกเจ้าได้สร้างขึ้นเพื่อเผาเครื่องหอมแก่เทพเจ้าบาอัลที่น่าอับอาย มีจำนวนมากเท่ากับถนนของเยรูซาเล็ม
14 ฉะนั้น อย่าอธิษฐานให้แก่ชนชาตินี้ หรือส่งเสียงร้องหรืออธิษฐานแทนพวกเขา เพราะเราจะไม่ฟังเมื่อพวกเขาร้องเรียกถึงเราในยามที่พวกเขาทุกข์ร้อน 15 ผู้เป็นที่รักของเรามีสิทธิ์อะไรในตำหนักของเรา เมื่อนางได้เตรียมทำความชั่วมากมาย เนื้อสัตว์ที่เป็นเครื่องสักการะจะช่วยเจ้าให้พ้นจากความวิบัติได้หรือ แล้วเจ้าชื่นชมยินดีได้หรือ 16 พระผู้เป็นเจ้าเคยเรียกเจ้าว่า ‘ต้นมะกอกเขียวชอุ่ม งามและมีลูกดก’ แต่ด้วยเสียงคำรามของฟ้าร้อง เราจะทำให้ไฟลุก และกิ่งก้านจะถูกเผาไหม้ 17 พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธาเป็นผู้ปลูกเจ้า ได้ออกคำสั่งให้เจ้าได้รับความทุกข์ร้อนเพราะสิ่งชั่วร้ายที่พงศ์พันธุ์อิสราเอลและพงศ์พันธุ์ยูดาห์ได้กระทำ พวกเขายั่วโทสะเราด้วยการมอบของถวายแก่เทพเจ้าบาอัล”
18 พระผู้เป็นเจ้าให้ข้าพเจ้ารับทราบและข้าพเจ้าก็ทราบ แล้วพระองค์ชี้ให้ข้าพเจ้าเห็นการกระทำของพวกเขา 19 แต่ข้าพเจ้าเป็นเหมือนลูกแกะเชื่องที่ถูกนำไปประหาร ข้าพเจ้าไม่ทราบว่าพวกเขาวางแผนโจมตีข้าพเจ้า พวกเขาพูดว่า
“เรามากำจัดต้นไม้ที่มีลูกเถิด
เรามาโค่นเขาให้ออกไปจากดินแดนของคนเป็นเถิด
จะได้ไม่มีใครจำเขาได้อีกต่อไป”
20 แต่พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธาผู้ตัดสินด้วยความชอบธรรม
ผู้ทดสอบจิตใจและความคิด
ขอให้ข้าพเจ้าเห็นพระองค์แก้แค้นพวกเขาเถิด
เพราะข้าพเจ้าได้มอบเรื่องนี้ไว้กับพระองค์แล้ว
21 ฉะนั้น พระผู้เป็นเจ้ากล่าวถึงปวงชนของอานาโธทดังนี้ว่า “พวกเขาต้องการจะฆ่าเจ้า และพวกเขาพูดว่า ‘อย่าเผยคำกล่าวของพระเจ้าในพระนามของพระผู้เป็นเจ้า มิฉะนั้นพวกเราจะฆ่าท่าน’” 22 ฉะนั้น พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธากล่าวดังนี้ “ดูเถิด เราจะลงโทษพวกเขา พวกคนหนุ่มจะถูกดาบฆ่าตาย บุตรชายบุตรหญิงของพวกเขาจะอดตาย 23 และจะไม่มีผู้ใดมีชีวิตเหลืออยู่ เพราะเราจะทำให้ผู้คนของอานาโธทพินาศ ซึ่งนับว่าเป็นปีแห่งการลงโทษของพวกเขา”
เยเรมีย์ร้องทุกข์
12 โอ พระผู้เป็นเจ้า พระองค์มีความชอบธรรมเสมอ
เมื่อข้าพเจ้าร้องทุกข์ต่อพระองค์
ข้าพเจ้ายังจะพูดกับพระองค์ถึงความเป็นธรรมของพระองค์
เหตุใดวิถีทางของคนชั่วจึงเจริญรุ่งเรือง
เหตุใดคนที่ไม่ภักดีทั้งปวงจึงใช้ชีวิตอย่างสะดวกสบาย
2 พระองค์ปลูกพวกเขา และพวกเขาก็งอกราก
เติบโต และออกผล
พวกเขาพูดถึงพระองค์เสมอ
แต่จิตใจของพวกเขาห่างไกลจากพระองค์
3 โอ พระผู้เป็นเจ้า พระองค์รู้จักข้าพเจ้า
พระองค์เห็นข้าพเจ้า และทดสอบจิตใจข้าพเจ้าที่มีต่อพระองค์
ขอพระองค์แยกพวกเขาออกมาเหมือนแกะที่จะถูกประหาร
และเตรียมพวกเขาไว้สำหรับวันประหาร
4 แผ่นดินจะแห้งผาก
และหญ้าในทุ่งทุกแห่งจะเหี่ยวเฉานานแค่ไหน
เพราะพวกที่อาศัยอยู่ที่นั่นชั่วร้าย
สัตว์ป่าและนกตายสิ้น
พวกเขาก็ยังพูดอีกว่า
“พระองค์จะไม่เห็นว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับพวกเรา”
พระผู้เป็นเจ้าตอบเยเรมีย์
5 “ถ้าหากว่าเจ้าแข่งขันเดินกับมนุษย์
และพวกเขาทำให้เจ้าอ่อนล้า
แล้วเจ้าจะแข่งกับม้าได้อย่างไร
และถ้าเจ้าวางใจขณะที่อยู่ในแผ่นดินที่ปลอดภัย
แล้วเจ้าจะทำอย่างไรในพุ่มไม้ทึบของจอร์แดน
6 เพราะแม้แต่ญาติพี่น้องและคนในครอบครัวของเจ้าเอง
กระทำต่อเจ้าอย่างโหดร้าย
และร้องเสียงลั่นไล่ตามหลังเจ้า
แม้ว่าพวกเขาพูดกับเจ้าด้วยความเป็นมิตร
ก็จงอย่าเชื่อพวกเขา
7 เราได้ทอดทิ้งที่พำนักของเราเอง
เราได้ละทิ้งมรดกของเรา
เราได้มอบผู้เป็นที่รักดั่งชีวิตจิตใจของเรา
ไว้ในมือของพวกศัตรูของนาง
8 ผู้สืบมรดกของเราได้กลายเป็น
ดั่งสิงโตในป่า
นางได้ส่งเสียงร้องโจมตีเรา
เราจึงเกลียดชังนาง
9 ผู้สืบมรดกของเรา
เป็นเหมือนแร้งมีจุดตัวหนึ่ง
ที่ถูกพวกแร้งชนิดอื่นรุมล้อมและจิกมิใช่หรือ
จงไปรวบรวมสัตว์ป่าทั้งปวงมา
พาพวกมันมากินเสีย
10 ผู้เลี้ยงดูฝูงแกะหลายคนได้ทำให้สวนองุ่นของเราเสียหาย
พวกเขาได้เหยียบย่ำไร่ของเรา
และทำให้ไร่อันน่าชื่นชมของเรา
เป็นถิ่นทุรกันดารอันรกร้าง
11 พวกเขาทำให้ไร่นั้นรกร้าง
มันรกร้างอยู่เบื้องหน้าเรา
ทั่วทั้งแผ่นดินถูกทำให้เป็นที่รกร้าง
แต่ก็ยังไม่มีใครใส่ใจ
12 ผู้คนมาปล้นทุกแห่ง
บนที่สูงในทะเลทราย
เพราะพระผู้เป็นเจ้ากระตุ้นให้เกิดการสู้รบ
จากสุดแผ่นดินโลกด้านหนึ่งจนถึงอีกด้านหนึ่ง
ไม่มีใครอยู่อย่างสันติได้
13 พวกเขาหว่านข้าวสาลีแต่เก็บเกี่ยวหนาม
พวกเขาเหน็ดเหนื่อยแต่ไม่ได้ผลประโยชน์เลย
พวกเขาจะอับอายกับผลที่เก็บเกี่ยวได้
เพราะความกริ้วอันร้อนแรงของพระผู้เป็นเจ้า”
14 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้ “เพื่อนบ้านชั่วร้ายของเราทุกคนที่ยึดมรดกซึ่งเราได้มอบให้แก่อิสราเอลชนชาติของเรา เราจะกำจัดพวกเขาไปจากแผ่นดินของพวกเขาอย่างถอนรากต้นไม้ และเราจะถอนรากพงศ์พันธุ์ยูดาห์ให้ออกมาจากพวกเขา 15 หลังจากที่เราได้ถอนรากพวกเขาออกมาแล้ว เราจะมีเมตตาต่อพวกเขา และเราจะนำพวกเขากลับมายังที่ซึ่งเป็นมรดกของเขาเอง และยังแผ่นดินของเขา 16 หลังจากนั้น ถ้าพวกเขาจะเรียนตามวิถีทางของชนชาติของเรา และสาบานในนามของเราว่า ‘ตราบที่พระผู้เป็นเจ้ามีชีวิตอยู่ฉันใด’ ถึงแม้ว่าครั้งหนึ่งพวกเขาสอนชนชาติของเราให้สาบานในนามของเทพเจ้าบาอัล และพวกเขาจะเป็นส่วนหนึ่งของชนชาติของเราและจะเจริญรุ่งเรือง 17 แต่ถ้าประชาชาติใดไม่ฟัง เราก็จะถอนรากของเขาออกและทำให้เขาพินาศโดยสิ้นเชิง” พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น
ผ้าป่านคาดเอว
13 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับข้าพเจ้าดังนี้ “จงไปซื้อผ้าป่านมาคาดเอวเจ้า อย่าจุ่มผ้าลงในน้ำ” 2 ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงซื้อผ้ามาคาดเอวข้าพเจ้าตามคำของพระผู้เป็นเจ้า 3 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับข้าพเจ้าเป็นครั้งที่สองว่า 4 “จงไปที่แม่น้ำยูเฟรติส และเอาผ้าคาดเอวที่เจ้าได้ซื้อและคาดรอบเอวเจ้าอยู่ เอาไปซ่อนที่นั่นในซอกหิน” 5 ข้าพเจ้าจึงไปซ่อนมันไว้ที่ข้างแม่น้ำยูเฟรติสดังที่พระผู้เป็นเจ้าบัญชาข้าพเจ้า 6 หลายวันต่อมาพระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับข้าพเจ้าดังนี้ “จงไปที่แม่น้ำยูเฟรติส นำผ้าคาดเอวที่เราบัญชาให้เจ้าซ่อนไว้ที่นั่นมา” 7 และข้าพเจ้าไปที่แม่น้ำยูเฟรติส ค้นหาผ้าคาดเอว และนำมาจากที่ข้าพเจ้าได้ซ่อนไว้ และดูเถิด ผ้าคาดเอวผืนนั้นขาดยุ่ยเสียแล้ว จะใช้ทำอะไรก็ไม่ได้
8 และพระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับข้าพเจ้า 9 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้ว่า “เราจะทำให้ความจองหองของยูดาห์และความหยิ่งจองหองของเยรูซาเล็มสูญสิ้นไปอย่างนั้น 10 ชนชาติชั่วร้ายนี้ไม่ยอมฟังคำของเรา ดื้อรั้นกระทำตามใจของพวกเขาเอง และไปติดตามปวงเทพเจ้าเพื่อบูชาและนมัสการสิ่งเหล่านั้น ก็จะเป็นอย่างผ้าคาดเอวผืนนี้ที่ใช้ทำอะไรไม่ได้ 11 เพราะอย่างที่ผ้าคาดเอวแนบอยู่กับเอวเช่นไร เราทำให้พงศ์พันธุ์อิสราเอลและพงศ์พันธุ์ยูดาห์ทั้งสิ้นแนบอยู่กับเราเช่นนั้น” พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น “เพื่อจะให้พวกเขาเป็นชนชาติของเรา เป็นชื่อ คำสรรเสริญ และความสง่างามของเรา แต่พวกเขาจะไม่ยอมฟัง
โถเหล้าองุ่น
12 เจ้าจงไปพูดกับพวกเขาว่า พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอิสราเอลกล่าวดังนี้ ‘โถทุกใบจะบรรจุด้วยเหล้าองุ่น’ และพวกเขาจะพูดกับเจ้าว่า ‘พวกเราไม่ทราบหรอกหรือว่า โถทุกใบจะบรรจุด้วยเหล้าองุ่น’ 13 และเจ้าจะพูดตอบพวกเขาว่า ‘พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้ว่า ดูเถิด เราจะให้บรรดาผู้อยู่อาศัยทั้งปวงของแผ่นดินนี้เมามายด้วยเหล้าองุ่นคือ บรรดากษัตริย์ที่นั่งบนบัลลังก์ของดาวิด บรรดาปุโรหิต บรรดาผู้เผยคำกล่าว และบรรดาผู้อยู่อาศัยทั้งปวงของเยรูซาเล็ม 14 และเราจะให้พวกเขาปะทะกันเอง แม้จะเป็นพ่อกับลูก เราจะไม่ยอมให้ความสงสาร ความกรุณา หรือความเมตตามาขัดขวางการที่เราจะให้พวกเขาพินาศไป’” พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น
เยเรมีย์เตือนครั้งสุดท้าย
15 จงฟังและเงี่ยหูฟังให้ดี
อย่าจองหอง
เพราะพระผู้เป็นเจ้าได้กล่าวแล้ว
16 จงสรรเสริญพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของพวกท่าน
ก่อนที่พระองค์จะทำให้เกิดความมืด
ก่อนที่เท้าของท่านจะสะดุด
บนภูเขาที่กำลังสิ้นแสงอาทิตย์
และขณะที่ท่านมองหาแสงสว่าง
พระองค์ก็ทำให้มันกลายเป็นความมืดมน
และทำให้กลายเป็นความมืดทึบ
17 แต่ถ้าพวกท่านยังจะไม่ฟัง
จิตวิญญาณของข้าพเจ้าจะแอบร้องไห้
ถึงความจองหองของท่าน
ข้าพเจ้าจะร้องไห้อย่างขมขื่น
และน้ำตาจะไหลริน
เพราะฝูงแกะของพระผู้เป็นเจ้าถูกเนรเทศ
18 จงพูดกับกษัตริย์และมารดากษัตริย์ว่า
“เชิญนั่งที่ต่ำกว่าบัลลังก์
เพราะมงกุฎอันสง่างามของท่าน
ได้ตกจากศีรษะของท่านแล้ว”
19 เมืองทั้งหลายของเนเกบจะถูกปิด
และไม่มีผู้ใดจะเปิดได้อีก
คนทั่วทั้งยูดาห์ถูกเนรเทศออกไป
ถูกเนรเทศโดยสิ้นเชิง
20 จงเงยหน้าขึ้น
ดูบรรดาผู้ที่มาจากทิศเหนือ
ฝูงแกะที่น่าภูมิใจของท่าน
ที่มอบให้ท่านดูแลน่ะอยู่ไหน
21 พวกท่านจะว่าอย่างไรเมื่อบรรดาผู้ที่ท่านสร้างความสัมพันธ์ฉันมิตรด้วย
ได้มาเป็นหัวหน้าปกครองท่าน
ท่านจะไม่เจ็บปวดเหมือนกับ
ที่ผู้หญิงเจ็บครรภ์หรอกหรือ
22 และถ้าพวกท่านคิดในใจว่า
“ทำไมสิ่งเหล่านี้จึงเกิดขึ้นกับข้าพเจ้า”
เป็นเพราะความชั่วอันมากมายของท่าน
ที่ทำให้ผ้าตอนล่างของท่านถูกถลกขึ้น
และท่านได้รับความทุกข์อย่างรุนแรง
23 ชาวคูช[d]สามารถเปลี่ยนสีผิว
หรือเสือดาวเปลี่ยนลายจุดของมันได้หรือ
ถ้าเป็นอย่างนั้นได้ ท่านก็จะสามารถทำความดีได้
แม้ท่านเคยชินกับการทำความชั่ว
24 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้ว่า
“เราจะทำให้พวกเจ้ากระจัดกระจาย
อย่างที่ลมพัดมาจากทะเลทราย
25 นี่คือส่วนที่เป็นของเจ้า
เราได้ตวงส่วนนั้นให้แก่เจ้าแล้ว
เพราะเจ้าได้ลืมเราเสียแล้ว
และวางใจในสิ่งลวงหลอก
26 เราจะเป็นผู้ที่ถลกผ้าส่วนล่างของเจ้าขึ้นปิดหน้าเจ้า
และความอับอายของเจ้าจะเป็นที่ประจักษ์
27 เราได้เห็นสิ่งที่น่ารังเกียจต่างๆ ของเจ้า
การผิดประเวณีและร้องหาคู่ของเจ้า การทำตัวเยี่ยงโสเภณี
ในไร่นาบนเนินเขา
โอ เยรูซาเล็มเอ๋ย วิบัติจงเกิดแก่เจ้า
จะอีกนานแค่ไหนเจ้าจึงจะสะอาดได้”
Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation