Print Page Options
Previous Prev Day Next DayNext

Beginning

Read the Bible from start to finish, from Genesis to Revelation.
Duration: 365 days
New Thai Version (NTV-BIBLE)
Version
เยเรมีย์ 4-6

พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนี้ว่า

“โอ อิสราเอลเอ๋ย ถ้าเจ้าจะกลับมา
    เจ้าก็จงกลับมาหาเรา
ถ้าเจ้ากำจัดสิ่งที่น่าชังให้พ้นหน้าเรา
    และไม่หลงผิดอีก
และถ้าเจ้าสาบานด้วยความจริง ความเป็นธรรม และความชอบธรรมว่า
    ‘ตราบที่พระผู้เป็นเจ้ามีชีวิตอยู่ฉันใด’
แล้วบรรดาประชาชาติจะได้รับพระพรในพระองค์
    และพวกเขาจะยินดีในพระองค์”

พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับประชาชนชาวยูดาห์และเยรูซาเล็มดังนี้ว่า

“จงพรวนผืนดินของเจ้าที่ถูกปล่อยทิ้งไว้
    และอย่าหว่านในดงไม้หนาม
จงเข้าสุหนัตเพื่อพระผู้เป็นเจ้า
    จงตัดเนื้อปลายหัวใจของเจ้าออก
    โอ ประชาชนชาวยูดาห์และผู้อยู่อาศัยของเยรูซาเล็มเอ๋ย
มิฉะนั้น การลงโทษของเราจะเป็นเหมือนกับไฟ
    ที่ลุกไหม้จนไม่มีผู้ใดดับได้
    เพราะการกระทำอันชั่วร้ายของเจ้า”

ความวิบัติจากทิศเหนือ

จงประกาศในยูดาห์ และให้เป็นที่รู้ในเยรูซาเล็มว่า

“จงเป่าแตรงอนทั่วแผ่นดิน
    ส่งเสียงร้องดังและพูดว่า
‘จงมารวมกันให้พร้อมหน้า
    และเข้าไปในเมืองต่างๆ ที่คุ้มกันไว้อย่างแข็งแกร่ง’
ยกธงขึ้นสู่ศิโยน
    แล้วรีบหนีเพื่อความปลอดภัย อย่ารอช้า
เพราะเรานำความวิบัติจากทิศเหนือ
    และความพินาศมา”
สิงโตตัวหนึ่งได้ขึ้นไปจากที่ซ่อนของมัน
    ผู้ทำลายผู้หนึ่งของบรรดาประชาชาติได้เริ่มเดินออกไปแล้ว
    เขาได้ออกไปจากที่ของเขาแล้ว
เพื่อทำให้แผ่นดินของท่านรกร้าง
    เมืองต่างๆ ของท่านจะพังลง
    และไม่มีผู้อยู่อาศัย
จงสวมผ้ากระสอบ
    ร้องรำพัน และร้องไห้ฟูมฟาย
เพราะความกริ้วอันร้อนแรงของพระผู้เป็นเจ้า
    ที่มีต่อเรายังไม่ลดลง

พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนี้ว่า “ในวันนั้น กษัตริย์และบรรดาผู้นำจะท้อถอย บรรดาปุโรหิตจะตื่นตระหนก และบรรดาผู้เผยคำกล่าวจะแปลกใจ” 10 แล้วข้าพเจ้าพูดว่า “โอ พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ พระองค์ได้ทำให้ประชาชนเหล่านี้และเยรูซาเล็มหลงกลจริงๆ โดยกล่าวว่า ‘ทุกอย่างจะเป็นไปด้วยดีกับเจ้า’ ในขณะที่ดาบจ่ออยู่ที่คอพวกเขา”

11 ในเวลานั้น ชนชาตินี้และเยรูซาเล็มจะได้ยินคำที่กล่าวกับพวกเขาว่า “ลมร้อนจากเนินเขาสูงในถิ่นทุรกันดารพัดไปทางประชาชนอันเป็นที่รักของเรา ไม่ใช่ลมแผ่วเบาที่ใช้ฝัดร่อนหรือชำระล้าง 12 ลมแรงกล้าขนาดนี้มาจากเรา เป็นเรานั่นแหละที่ประกาศโทษแก่พวกเขา”

13 ดูเถิด เขาปรากฏตัวขึ้นเหมือนเมฆ
    รถศึกของเขาเหมือนพายุหมุน
ม้าของเขาว่องไวยิ่งกว่านกอินทรี
    วิบัติเกิดแก่พวกเรา เพราะพวกเราย่อยยับแล้ว
14 “โอ เยรูซาเล็มเอ๋ย จงชำระจิตใจของเจ้าให้พ้นจากความชั่ว
    เพื่อเจ้าจะได้รอดพ้น
ความคิดชั่วร้ายของเจ้าจะฝังอยู่
    กับเจ้านานแค่ไหน
15 ด้วยว่า มีเสียงประกาศจากดาน
    และประกาศความวิบัติจากภูเขาเอฟราอิม
16 จงเตือนบรรดาประชาชาติว่า เขากำลังมา
    จงประกาศแก่เยรูซาเล็มว่า
‘ผู้ล้อมเมืองมาจากแดนไกล
    พวกเขาร้องตะโกนเสียงดังเพื่อโจมตีเมืองต่างๆ ของยูดาห์
17 พวกเขาตีวงล้อมอย่างผู้ดูแลรักษาไร่นา
    เพราะเมืองนั้นได้ดื้อดึงต่อเรา’”
    พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น
18 “วิถีทางและการกระทำของเจ้า
    เป็นเหตุให้สิ่งนี้เกิดขึ้นกับตัวเจ้าเอง
เป็นความพินาศที่เกิดขึ้นกับเจ้า
    และมันขมขื่น
    ทิ่มแทงใจของเจ้า”

ความปวดร้าวมีต่อยูดาห์

19 ความปวดร้าวของข้าพเจ้า ความปวดร้าวของข้าพเจ้า
    ข้าพเจ้าบิดตัวด้วยความเจ็บปวดแสนสาหัส
ใจข้าพเจ้าทุกข์ระทมและสะอื้น
    ข้าพเจ้านิ่งเงียบไม่ได้แล้ว
เพราะข้าพเจ้าได้ยินเสียงแตรงอน
    ซึ่งเป็นเสียงเตือนศึก
20 สิ่งเลวร้ายเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีก
    ทั่วทั้งแผ่นดินพังพินาศ
ทันทีทันใดกระโจมของข้าพเจ้าถูกทำลาย
    ม่านของข้าพเจ้าเสียหายในพริบตา
21 ข้าพเจ้าจะต้องเห็นธง
    และได้ยินเสียงแตรงอนนานแค่ไหน

22 “ด้วยว่า ชนชาติของเราโง่เขลา
    พวกเขาไม่รู้จักเรา
เขาเป็นเด็กโง่
    ไม่มีความเข้าใจ
พวกเขาชำนาญในการกระทำความชั่ว
    และไม่รู้ว่ากระทำความดีได้อย่างไร”

23 ข้าพเจ้ามองดูแผ่นดินโลก
    ดูเถิด มันยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง อีกทั้งยังว่างเปล่า
และมองดูฟ้าสวรรค์
    ซึ่งไม่มีแสงสว่าง
24 ข้าพเจ้ามองดูภูเขา
    ดูเถิด มันกำลังสั่นไหว
    และเนินเขาทุกลูกขยับไปมา
25 ข้าพเจ้ามองดู ดูเถิด ไม่มีมนุษย์
    และนกในอากาศทุกตัวบินหนีไปแล้ว
26 ข้าพเจ้ามองดู ดูเถิด แผ่นดินอันอุดมกลายเป็นถิ่นทุรกันดาร
    และเมืองทั้งหมดถูกพังทลายลง
    ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้า เบื้องหน้าความกริ้วอันร้อนแรงของพระองค์

27 เพราะพระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้ว่า “ทั่วทั้งแผ่นดินจะเป็นที่รกร้าง แต่เราจะไม่ทำลายจนหมดสิ้น

28 แผ่นดินโลกจะร้องคร่ำครวญให้กับสิ่งนี้
    และฟ้าสวรรค์เบื้องบนมืดลง
เพราะเราได้กล่าวไว้ เราได้ตัดสินใจแล้ว
    เราไม่ได้เปลี่ยนใจ และเราจะไม่หันกลับ”

29 ผู้คนของทุกเมืองเผ่นหนี
    เมื่อได้ยินเสียงทหารม้าและนักธนู
พวกเขาเข้าไปซ่อนในพุ่มไม้ทึบ
    ปีนขึ้นบนก้อนหิน
ทิ้งเมืองให้ร้างไว้
    ไม่มีใครอยู่ในเมืองเลย
30 โอ ผู้ที่หายนะ
เจ้าหมายความว่าอย่างไรที่เจ้าสวมเครื่องนุ่งห่มสีแดงสด
    และประดับด้วยเครื่องประดับทองคำ
    เจ้าใช้สีทาตาให้ดูโตขึ้น
เจ้าแต่งตัวให้สวยโดยไร้ประโยชน์
    บรรดาคนรักของเจ้าดูหมิ่นเจ้า
    พวกเขาต้องการเอาชีวิตเจ้า
31 ด้วยว่า ข้าพเจ้าได้ยินเสียงร้องราวกับหญิงที่เจ็บครรภ์
    ปวดร้าวราวกับคนที่คลอดลูกคนแรก
เสียงร้องของธิดาแห่งศิโยนพยายามสูดลมหายใจเข้า
    ยื่นมือออกพลางพูดว่า
“วิบัติจงเกิดแก่ข้าพเจ้า
    ข้าพเจ้าจะเป็นลมต่อหน้าพวกฆาตกร”

เยรูซาเล็มปฏิเสธที่จะกลับใจ

“จงวิ่งไปให้ทั่วทุกถนนของเยรูซาเล็ม
    จงสังเกตดู
ค้นหาที่ลานชุมนุมในเมือง
    และดูซิว่าเจ้าจะพบใครสักคน
ที่มีความเที่ยงธรรม
    และแสวงหาความจริง
เพื่อเราจะให้อภัยทั้งเมืองได้
ถึงแม้พวกเขาจะพูดว่า ‘ตราบที่พระผู้เป็นเจ้ามีชีวิตอยู่ฉันใด’
    พวกเขาก็สาบานไม่จริง”
โอ พระผู้เป็นเจ้า พระองค์มองหาผู้ยึดมั่นในความจริงแน่ทีเดียว
พระองค์ได้ฟาดฟันพวกเขา
    แต่เขากลับไม่รู้สึกปวดร้าวเลย
พระองค์ทำให้พวกเขาเกือบพินาศ
    แต่พวกเขาก็ยังเพิกเฉยต่อบทเรียนที่ได้รับ
พวกเขาทำให้หน้าแข็งกระด้างยิ่งกว่าหิน
    และปฏิเสธที่จะกลับใจ

ข้าพเจ้าจึงพูดว่า “คนเหล่านี้เป็นเพียงผู้ยากไร้
    พวกเขาไร้ความคิดอ่าน
เพราะพวกเขาไม่รู้จักวิถีทางของพระผู้เป็นเจ้า
    ความเที่ยงธรรมของพระเจ้าของเขา
ข้าพเจ้าจะไปหาบรรดาผู้ที่มีอิทธิพล
    และจะพูดกับเขา
เพราะพวกเขารู้จักวิถีทางของพระผู้เป็นเจ้า
    ความเที่ยงธรรมของพระเจ้าของเขา”
แต่พวกเขาทุกคนเป็นเหมือนกัน คือได้หักแอก
    และตัดสิ่งที่ผูกไว้ให้หลุดออกไป

ฉะนั้น สิงโตจากป่าตัวหนึ่งจะฆ่าพวกเขา
    สุนัขป่าจากทะเลทรายตัวหนึ่งจะฉีกร่างของพวกเขาออกเป็นชิ้นๆ
เสือดาวตัวหนึ่งคอยจับจ้องเมืองของพวกเขา
    ทุกคนที่ฝ่าออกไปจะถูกฉีกร่างออกเป็นชิ้นๆ
เพราะพวกเขาล่วงละเมิดหลายประการ
    และหันเหไปจากพระเจ้าครั้งแล้วครั้งเล่า

“เราจะให้อภัยเจ้าได้อย่างไร
    ลูกๆ ของเจ้าได้ทอดทิ้งเราแล้ว
    และยังได้สาบานต่อรูปเคารพซึ่งไม่ใช่เทพเจ้า
เราจัดหาทุกสิ่งให้แก่พวกเขา
    แต่พวกเขาก็ยังไม่ซื่อสัตย์ต่อเรา
    และกรูกันไปยังบ้านหญิงแพศยา
พวกเขาเป็นเหมือนม้าตัวผู้สำหรับทำพันธุ์ที่ถูกเลี้ยงไว้อย่างดีและมีกำลังมาก
    แต่ละตัวมีความใคร่ต่อภรรยาเพื่อนบ้านของตน

พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า

เราควรจะลงโทษพวกเขา
    เพราะเรื่องเหล่านี้มิใช่หรือ
และเราควรจะแก้แค้นประชาชาติ
    ที่เป็นอย่างนี้มิใช่หรือ

10 จงเดินไปให้ทั่วแนวไร่องุ่นและทำลายเสีย
    แต่อย่าทำลายจนหมดสิ้น
ตัดกิ่งก้านองุ่นลงให้หมด
    เพราะไม่ใช่กิ่งก้านของพระผู้เป็นเจ้า

11 พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า

เพราะพงศ์พันธุ์อิสราเอลและพงศ์พันธุ์ยูดาห์
    ร้ายกาจต่อเราเหลือเกิน
12 พวกเขาไม่ได้พูดความจริงในเรื่องของพระผู้เป็นเจ้า
    และได้พูดว่า ‘พระองค์จะไม่ทำอะไรหรอก
ความวิบัติจะไม่เกิดขึ้นกับพวกเรา
    เราจะไม่เผชิญกับการสู้รบหรือการอดอยาก
13 บรรดาผู้เผยคำกล่าวจะเป็นดั่งลม
    พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้กล่าวสิ่งใดผ่านพวกเขา
ขอให้สิ่งที่พวกเขาพูดเกิดขึ้นกับพวกเขา’”

พระผู้เป็นเจ้าประกาศคำตัดสิน

14 ฉะนั้น พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าจอมโยธากล่าวดังนี้

“เพราะพวกเขาได้พูดเช่นนี้
ดูเถิด เราทำให้คำกล่าวของเราเป็นดั่งไฟในปากของเจ้า
    ประชาชนเหล่านี้จะเป็นดั่งไม้ และไฟจะเผาไหม้พวกเขา”

15 พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนี้ว่า

“ดูเถิด พงศ์พันธุ์อิสราเอลเอ๋ย
    เรากำลังนำประชาชาติหนึ่งจากแดนไกลมาโจมตีเจ้า
เป็นประชาชาติที่ทรหดอดทน
    เป็นประชาชาติมาแต่โบราณ
เป็นประชาชาติที่มีภาษาที่เจ้าไม่รู้จัก
    และไม่สามารถเข้าใจได้ว่าเขาพูดอะไร
16 แล่งธนูของพวกเขาเปรียบได้กับถ้ำเก็บศพที่เปิดไว้
    ทุกคนเป็นนักรบผู้กล้าหาญ
17 พวกเขาจะกินอาหารและสิ่งที่เจ้าเก็บเกี่ยวจนหมดสิ้น
    เขาจะฆ่าบุตรชายและบุตรหญิงของเจ้าเสียสิ้น
เขาจะฆ่าแพะแกะและโคของเจ้าให้หมด
    เขาจะกินจากเถาองุ่นและต้นมะเดื่อของเจ้าจนหมดสิ้น
พวกเขาจะโจมตีเมืองต่างๆ ของเจ้า
    ที่คุ้มกันไว้อย่างแข็งแกร่งด้วยคมดาบ”

18 พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนี้ว่า “แต่ถึงแม้ในเวลานั้น เราก็จะไม่กำจัดพวกเจ้าจนหมดสิ้น 19 และเมื่อประชาชนของเจ้าพูดว่า ‘ทำไมพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของพวกเราจึงได้กระทำสิ่งเหล่านี้ต่อพวกเรา’ เจ้าจงพูดกับพวกเขาว่า ‘เพราะพวกเจ้าได้ทอดทิ้งเรา และไปนมัสการบรรดาเทพเจ้าต่างชาติในแผ่นดินของเจ้า เจ้าก็จะไปรับใช้พวกชาวต่างชาติในแผ่นดินที่ไม่ได้เป็นของเจ้า’

20 จงประกาศแก่พงศ์พันธุ์ยาโคบ
    ให้เป็นที่รู้ในยูดาห์ว่า
21 โอ จงฟังให้ดี ประชาชนผู้โง่เขลาและไร้สติเอ๋ย
    เจ้ามีตาแต่มองไม่เห็น
    มีหูแต่ไม่ได้ยิน”

22 พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนี้ว่า

“พวกเจ้าไม่เกรงกลัวเราหรือ
    เจ้าไม่สะทกสะท้าน ณ เบื้องหน้าเราหรือ
เราใช้ทรายเป็นเขตกั้นสำหรับทะเล
    เป็นที่กั้นอันถาวรที่จะข้ามไปไม่ได้
แม้ว่าคลื่นซัดแต่ไม่สามารถข้ามไปได้
    แม้ว่าคลื่นคำรามแต่ก็พังทลายผ่านไปไม่ได้
23 แต่ประชาชนเหล่านี้มีใจดื้อดึงและขัดขืน
    พวกเขาออกนอกลู่นอกทางและจากเราไป
24 พวกเขาไม่แม้แต่จะคิดในใจว่า
    ‘พวกเราควรจะเกรงกลัวพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเรา
พระองค์ให้ฝนตกตามฤดูกาล
    คือฝนต้นฤดูและฝนปลายฤดู
และให้พวกเราได้เก็บเกี่ยวตามกำหนด’
25 ความชั่วของพวกเจ้าทำให้สิ่งเหล่านั้นไม่เกิดขึ้น
    และบาปของพวกเจ้าทำให้ไม่ได้รับสิ่งดีๆ
26 เพราะพวกคนชั่วอยู่ในหมู่ชนชาติของเรา
    พวกเขาซุ่มรออย่างคนคอยดักนก
    พวกเขาวางกับดักเพื่อจับมนุษย์
27 บ้านของพวกเขามีแต่ความลวงหลอก
    เหมือนกับกรงที่เต็มไปด้วยนก
ฉะนั้นพวกเขาจึงกลายเป็นคนใหญ่โตและมั่งมี
28     พวกเขาอ้วนพี พวกเขาอ้วนท้วน
และกระทำความชั่วอย่างไม่มีขอบเขต
    และตัดสินคนด้วยความไม่เป็นธรรม
เขาเอาเปรียบเด็กกำพร้าเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง
    และไม่ปกป้องให้ผู้ยากไร้ใช้สิทธิของเขา

29 พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า

เราควรจะลงโทษพวกเขาเพราะเรื่องเหล่านี้มิใช่หรือ
    และเราควรจะแก้แค้นประชาชาติ
    ที่เป็นอย่างนี้มิใช่หรือ

30 สิ่งที่เลวร้ายและน่ากลัว
    ได้เกิดขึ้นในแผ่นดิน
31 บรรดาผู้เผยคำกล่าวเผยความอย่างผิดๆ
    ส่วนบรรดาปุโรหิตก็ปกครองไปตามคำบัญชาของพวกเขา
ชนชาติของเราก็ยินดีทำตาม
    แต่ในที่สุดพวกเจ้าจะทำอย่างไร

ศัตรูล้อมรอบเยรูซาเล็ม

โอ ชาวเบนยามินเอ๋ย เพื่อความปลอดภัยของเจ้า
    จงหนีไปจากเยรูซาเล็ม
จงเป่าแตรงอนในเทโคอา
    และยกสัญญาณที่เบธฮัคเคเรม
เพราะความเลวร้าย และความวิบัติปรากฏ
    ให้เห็นว่ามาจากทิศเหนือ
เราจะทำลายธิดาแห่งศิโยน
    ผู้น่ารักและบอบบาง
บรรดาผู้นำกับพรรคพวกจะมาโจมตีเมือง
    พวกเขาจะตั้งกระโจมรอบเมือง
    และแต่ละคนจะตั้งค่ายของตนเอง
พวกเขาจะพูดว่า ‘เตรียมอาวุธโจมตีเมือง
    ลุกขึ้นเถิด เราไปโจมตีในเวลาที่ไม่คาดคิดกันเถิด
พวกเราโชคร้ายจริง เพราะชักจะสายแล้ว
    เพราะตะวันจะตกแล้ว
ลุกขึ้นเถิด เราไปโจมตีตอนกลางคืนกันเถิด
    ไปพังวังที่เมืองนั้นกันเถิด’”

เพราะพระผู้เป็นเจ้าจอมโยธากล่าวว่า

“จงโค่นต้นไม้ในเมืองลง
    ก่อเชิงเทินขึ้นเพื่อโจมตีเมืองเยรูซาเล็ม
นี่คือเมืองที่ต้องถูกลงโทษ
    ภายในเมืองนั้นไม่มีอะไรนอกจากการกดขี่ข่มเหง
บ่อน้ำมีน้ำไหลซึมออกมาเช่นไร
    เมืองนั้นก็มีความชั่วร้ายซึมออกมาเช่นนั้น
เป็นที่ได้ยินว่า ภายในเมืองมีความรุนแรงและการทำลาย
    เราเห็นผู้คนรับทุกข์ทรมานและบาดเจ็บ
โอ เยรูซาเล็มเอ๋ย จงรับคำเตือน
    มิฉะนั้นเราจะสะบัดหลังใส่เจ้า
เราจะทำให้เจ้ากลายเป็นที่รกร้าง
    เป็นแผ่นดินที่ไม่มีผู้คนอาศัยอยู่”

พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธากล่าวดังนี้

“ให้พวกเขารวบรวมชาวอิสราเอลที่ยังมีชีวิตเหลืออยู่
    อย่าให้ขาดแม้คนเดียว
เหมือนการเก็บผลจากเถาองุ่น จงตรวจดูทุกกิ่งก้านซ้ำอีก
    เหมือนผู้ที่กำลังเก็บผลองุ่น”
10 ข้าพเจ้าควรจะพูดและเตือนใครล่วงหน้า
    เพื่อให้เขาได้ยินบ้าง
ดูเถิด หูของพวกเขาปิด
    พวกเขาไม่ได้ยิน
ดูเถิด คำกล่าวของพระผู้เป็นเจ้าเป็นที่น่าดูหมิ่นของพวกเขา
    และพวกเขาไม่ยินดีกับคำกล่าวด้วยเลย
11 ฉะนั้น ความกริ้วของพระผู้เป็นเจ้าที่มีต่อพวกเขาอยู่เต็มอกข้าพเจ้า
    ข้าพเจ้าเก็บไว้ต่อไปไม่ได้แล้ว
พระองค์กล่าวว่า “จงปล่อยออกมาบนเด็กๆ ตามถนน
    และบนชายหนุ่มที่ชุมนุมกันอยู่
ทั้งสามีและภรรยาจะเผชิญกับการลงโทษนี้
    ทั้งผู้สูงวัยและคนชรา
12 บ้านของพวกเขาจะตกเป็นของผู้อื่น
    ไร่นาและภรรยาก็เช่นกัน
เพราะเราจะยื่นมือของเราออก
    เพื่อลงโทษบรรดาผู้อยู่อาศัยของแผ่นดิน”
    พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น
13 “นับตั้งแต่ผู้ด้อยสุดจนถึงผู้มีอำนาจมากที่สุด
    ทุกคนโลภเพราะหวังผลประโยชน์ของตนเอง
และนับตั้งแต่ผู้เผยคำกล่าวจนถึงปุโรหิต
    ทุกคนไม่ซื่อสัตย์
14 พวกเขาทำราวกับว่า ปัญหาของชนชาติของเราไม่ร้ายแรง
    จึงได้พูดว่า ‘มีสันติสุข มีสันติสุข’
    ทั้งๆ ที่ไม่มีสันติสุข
15 พวกเขารู้สึกอับอายเมื่อเขาประพฤติสิ่งที่น่าชังหรือ
    ไม่เลย พวกเขาไม่รู้สึกอับอาย
    แม้แต่สีหน้าก็ยังไม่แสดงความอับอาย
ฉะนั้น พวกเขาจะพินาศร่วมกับคนเหล่านั้นที่พินาศ
    เมื่อเราทำโทษพวกเขา พวกเขาก็จะถึงจุดจบ”
    พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนั้น

16 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวว่า

“จงยืนที่ข้างถนนและมองดู
    และถามหาทางโบราณ
ซึ่งเป็นหนทางที่ดี เจ้าจงเดินในทางนั้น
    และเจ้าจะพบที่พักพิงของจิตวิญญาณ
แต่พวกเขากลับพูดว่า ‘พวกเราจะไม่เดินในทางนั้น’
17 เราจัดให้มีบรรดาผู้เฝ้ายามให้แก่เจ้าด้วยการพูดว่า
    ‘จงเอาใจใส่ต่อเสียงแตรงอน’
แต่พวกเขากลับพูดว่า ‘พวกเราจะไม่สนใจ’
18 ฉะนั้น โอ บรรดาประชาชาติเอ๋ย จงฟังเถิด
    และปวงชนเอ๋ย จงเอาใจใส่ให้ดีว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับพวกเขา
19 แผ่นดินโลกเอ๋ย จงฟัง
    ดูเถิด เรากำลังทำให้ชนชาตินี้วิบัติ
    จากผลของความชั่วร้ายของพวกเขา
เพราะเขาไม่เอาใจใส่ต่อคำพูดของเรา
    และพวกเขาไม่ยอมรับกฎบัญญัติของเรา
20 กำยานที่มาจากเช-บา
    หรืออ้อหอมที่มาจากแดนไกล จะเป็นประโยชน์อะไรสำหรับเรา
เราไม่รับสัตว์ที่เผาเป็นของถวาย
    เครื่องสักการะไม่เป็นที่พอใจเรา”

21 ฉะนั้น พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้ว่า

“ดูเถิด เราจะทำให้พวกเขามีอุปสรรค
    ทั้งพ่อและลูกๆ จะอ่อนล้าและสิ้นกำลัง
    บรรดาเพื่อนบ้านและเพื่อนๆ จะสิ้นชีวิต”

22 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวว่า

“ดูเถิด ชนชาติหนึ่งกำลังมา
    จากดินแดนทางเหนือ
ประชาชาติที่มีอำนาจชาติหนึ่งกำลังเตรียมศึก
    จากที่ไกลสุดของแผ่นดินโลก
23 พวกเขาหยิบคันธนูและหอก
    เป็นพวกที่โหดร้ายปราศจากความเมตตา
    เสียงของพวกเขาเป็นเหมือนเสียงทะเลครืนครั่น
ขี่ม้าราวกับคนที่พร้อมจะโจมตีเจ้า
    โอ ธิดาแห่งศิโยนเอ๋ย”
24 พวกเราได้ยินถึงเรื่องนั้น
    มือของเราอ่อนปวกเปียก
ความหวาดหวั่นครอบงำพวกเรา
    และเจ็บปวดราวกับหญิงเจ็บครรภ์
25 อย่าออกไปในไร่นา
    หรือเดินบนถนน
เพราะศัตรูถือดาบ
    มีความน่ากลัวอยู่รอบด้าน
26 โอ บุตรหญิงของชนชาติของข้าพเจ้าเอ๋ย จงสวมผ้ากระสอบ
    และกลิ้งในกองขี้เถ้า
ร้องคร่ำครวญเหมือนร้องให้กับบุตรชายที่มีเพียงคนเดียว
    ร้องรำพันด้วยความขมขื่น
เพราะผู้ทำลาย
    จะโจมตีพวกเราในทันที

27 “เราได้ทำให้เจ้าเป็นผู้ทดสอบในหมู่ชนชาติของเราเหมือนทดสอบโลหะ
    เพื่อให้เจ้ารู้และทดสอบว่าพวกเขาเป็นอย่างไร
28 พวกเขาทุกคนขัดขืนด้วยความดื้อรั้น
    ช่างนินทาว่าร้ายไปทั่ว
พวกเขาแข็งเหมือนทองสัมฤทธิ์และเหล็กกล้า
    ทุกคนคดโกง
29 เตาหลอมโลหะลุกโพลง
    แต่สารตะกั่วถูกไฟเผาจนมอดไหม้
การหลอมจึงไร้ประโยชน์
    เพราะคนชั่วไม่ถูกแยกออก
30 พวกเขาได้ชื่อว่า ขี้เงินที่ไร้ค่า
    เพราะพระผู้เป็นเจ้าไม่ยอมรับพวกเขา”

New Thai Version (NTV-BIBLE)

Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation