Beginning
หัวขวานลอยน้ำ
6 กลุ่มผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าพูดกับเอลีชาว่า “เห็นไหมว่า สถานที่ซึ่งพวกเราอาศัยอยู่ภายใต้การควบคุมของท่านนั้นเล็กเกินไปสำหรับพวกเรา 2 เราไปที่แม่น้ำจอร์แดนกันเถิด พวกเราจะหาไม้ซุงกันคนละต้น และสร้างที่อยู่เพื่ออาศัยอยู่กันที่นั่น” ท่านตอบว่า “ไปสิ” 3 คนหนึ่งพูดว่า “ขอให้ท่านไปด้วยกันกับผู้รับใช้ของท่าน” ท่านตอบว่า “เราจะไป” 4 ท่านจึงไปกับพวกเขา เมื่อมาถึงแม่น้ำจอร์แดน พวกเขาก็โค่นต้นไม้ 5 แต่ขณะที่คนหนึ่งกำลังโค่นซุง หัวขวานของเขาก็ตกลงในน้ำ เขาร้องขึ้นว่า “แย่แล้ว เจ้านายของข้าพเจ้า เป็นขวานที่เราขอยืมมาเสียด้วย” 6 และคนของพระเจ้าพูดว่า “มันตกที่ไหนล่ะ” เมื่อเขาชี้ให้เห็นว่าที่ไหน ท่านก็ตัดไม้ท่อนหนึ่ง และโยนลงไปที่นั่น ท่านก็ทำให้เหล็กลอยน้ำได้ 7 ท่านพูดว่า “หยิบขึ้นมา” เขาก็ยื่นมือไปจับหัวขวานขึ้นมา
ม้าและรถศึกไฟ
8 เมื่อกษัตริย์แห่งอารัมโจมตีอิสราเอล ท่านได้ปรึกษาหารือกับบรรดาข้าราชการ และกล่าวว่า “เราจะตั้งค่ายของเราที่นี่ที่นั่น” 9 แต่คนของพระเจ้าใช้คนไปแจ้งกษัตริย์แห่งอิสราเอลว่า “ท่านควรระวังที่จะไม่ผ่านไปทางนี้ เพราะว่าชาวอารัมกำลังจะไปที่นั่น” 10 กษัตริย์แห่งอิสราเอลจึงเตือนประชาชนที่อาศัยอยู่ในที่แห่งนั้น คนของพระเจ้าเตือนกษัตริย์อยู่เป็นประจำ และกษัตริย์ได้รับความปลอดภัยเสมอ
11 เรื่องนี้ทำให้กษัตริย์แห่งอารัมวุ่นวายใจมาก จึงเรียกข้าราชการมา และพูดกับพวกเขาว่า “บอกได้ไหมว่าใครในพวกของเราที่เป็นฝ่ายกษัตริย์แห่งอิสราเอล” 12 หนึ่งในกลุ่มข้าราชการตอบว่า “โอ เจ้านายผู้เป็นกษัตริย์ ไม่มีผู้ใดหรอก นอกจากเอลีชา ผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าที่อยู่ในอิสราเอล เป็นผู้ทูลกษัตริย์แห่งอิสราเอลให้ทราบว่า ท่านกล่าวสิ่งใดบ้าง แม้จะเป็นคำที่กล่าวในห้องนอนของท่าน” 13 ท่านพูดว่า “ไปดูซิว่า เขาอยู่ที่ไหน เราจะได้ให้คนไปจับตัวเขามา” มีคนทูลท่านว่า “ดูเถิด เขาอยู่ในโดธาน” 14 ดังนั้น ท่านจึงส่งกองทัพใหญ่ไปกับม้าและรถศึก ไปถึงในเวลากลางคืน แล้วพวกเขาก็ล้อมเมืองไว้
15 เมื่อคนรับใช้ของคนของพระเจ้าลุกขึ้นแต่เช้าตรู่ เขาก็ออกไปข้างนอก ดูเถิด กองทัพทหารกับม้าและรถศึกล้อมเมืองไว้ คนรับใช้พูดว่า “แย่แล้ว เจ้านายของข้าพเจ้า เราจะทำอย่างไรดี” 16 ท่านตอบว่า “อย่ากลัวเลย เพราะว่าคนของพวกเรามีมากกว่าคนของพวกเขา” 17 เอลีชาจึงอธิษฐานว่า “โอ พระผู้เป็นเจ้า ขอโปรดเปิดตาให้เขามองเห็นด้วยเถิด” ดังนั้น พระผู้เป็นเจ้าจึงเปิดตาของคนรับใช้หนุ่ม และเขาก็เห็น ดูเถิด ภูเขาเต็มไปด้วยม้าและรถศึกเพลิงล้อมรอบเอลีชา 18 เมื่อชาวอารัมลงมาโจมตี เอลีชาอธิษฐานต่อพระผู้เป็นเจ้าว่า “ขอพระองค์ทำให้คนเหล่านี้ตาบอดไปเถิด” ดังนั้นพระองค์ทำให้คนเหล่านั้นตาบอดไป ดังที่เอลีชาอธิษฐานขอ 19 และเอลีชาพูดกับพวกเขาว่า “พวกเจ้ามาผิดทางแล้ว ที่นี่ไม่ใช่เมือง จงตามข้าไป และข้าจะพาพวกเจ้าไปพบคนที่เจ้ากำลังตามหา” และท่านก็นำพวกเขาไปสะมาเรีย
20 ทันทีที่พวกเขาเข้าไปในสะมาเรีย เอลีชาพูดว่า “โอ พระผู้เป็นเจ้า ขอโปรดเปิดตาให้ชายเหล่านี้มองเห็นด้วยเถิด” ดังนั้น พระผู้เป็นเจ้าเปิดตาของพวกเขา และพวกเขาก็มองเห็น ดูเถิด พวกเขาอยู่ที่ใจกลางเมืองสะมาเรีย 21 ทันทีที่กษัตริย์แห่งอิสราเอลเห็นพวกเขา ท่านพูดกับเอลีชาว่า “บิดาของเรา ท่านจะให้เราฆ่าพวกเขาไหม จะให้เราฆ่าพวกเขาไหม” 22 ท่านตอบว่า “อย่าฆ่าพวกเขา ท่านจะใช้ดาบและธนูฆ่าคนที่ท่านจับตัวมาเป็นเชลยหรือ เอาอาหารและน้ำมาให้พวกเขาดื่มกิน และปล่อยเขากลับไปหาเจ้านายของเขาเถิด” 23 ท่านจึงเตรียมการเลี้ยงใหญ่ เมื่อพวกเขารับประทานและดื่มจนเมามายแล้ว ท่านก็ปล่อยพวกเขากลับไปหานายของพวกเขา ต่อจากนั้นชาวอารัมก็ไม่ได้มาโจมตีแผ่นดินอิสราเอลอีกเลย
เบนฮาดัดโจมตีสะมาเรีย
24 หลังจากนั้น เบนฮาดัดกษัตริย์แห่งอารัมก็ได้รวบรวมกำลังทหารทั้งกองทัพ และไปล้อมเมืองสะมาเรีย 25 เกิดทุพภิกขภัยที่ร้ายแรงในสะมาเรีย ช่วงเวลาที่พวกเขาล้อมเมืองนั้น แม้แต่หัวลาหัวหนึ่งก็ขายได้เป็นเงิน 80 เชเขล และมูลนกหนึ่งส่วนสี่คัฟ[a]ก็ยังขายได้เป็นเงิน 5 เชเขล 26 ขณะที่กษัตริย์แห่งอิสราเอลเดินผ่านไปบนกำแพงเมือง หญิงผู้หนึ่งส่งเสียงร้องกับท่านว่า “เจ้านายผู้เป็นกษัตริย์ โปรดช่วยด้วย” 27 ท่านตอบว่า “ถ้าพระผู้เป็นเจ้าจะไม่ช่วยเจ้า แล้วเราจะช่วยเจ้าได้อย่างไร จากลานนวดข้าวน่ะหรือ หรือว่าจากที่สกัดเหล้าองุ่น” 28 และกษัตริย์ถามนางว่า “เจ้ามีปัญหาอะไร” นางตอบว่า “หญิงคนนี้บอกข้าพเจ้าว่า ‘ยกลูกชายของเธอให้พวกเรากินในวันนี้ และเราจะกินลูกชายของฉันในวันรุ่งขึ้น’ 29 พวกเราจึงได้ต้มลูกชายของข้าพเจ้ากิน พอวันรุ่งขึ้นข้าพเจ้าพูดกับนางว่า ‘ยกลูกชายของเธอให้พวกเรากินสิ’ แต่ว่านางกลับซ่อนตัวลูกชายของนาง” 30 เมื่อกษัตริย์ได้ยินเรื่องเล่าของหญิงคนนั้น ท่านก็ฉีกเสื้อของท่าน ขณะนั้นท่านกำลังผ่านไปบนกำแพงเมือง ประชาชนก็มองเห็น ดูเถิด เสื้อตัวในที่ท่านสวมเป็นผ้ากระสอบ 31 และท่านกล่าวว่า “ขอคนของพระเจ้ากระทำต่อเราเช่นเดียวกัน หรือไม่ก็ยิ่งกว่า ถ้าหากว่าศีรษะของเอลีชาบุตรชาฟัทไม่หลุดจากบ่าในวันนี้”
32 ขณะนั้นเอลีชากำลังนั่งอยู่ที่บ้านท่าน และบรรดาหัวหน้าชั้นผู้ใหญ่ก็นั่งอยู่ด้วย ฝ่ายกษัตริย์ก็ได้ใช้ผู้ส่งสาสน์ให้ไปเรียกท่านมา แต่ก่อนที่เขาจะมาถึง เอลีชาพูดกับหัวหน้าชั้นผู้ใหญ่ว่า “ท่านเห็นไหมว่า ผู้สังหารท่านนี้ใช้คนมาตัดหัวเรา ดูเอาก็แล้วกัน เมื่อผู้ส่งสาสน์มาถึง จงปิดประตู และอย่าปล่อยให้เขาเข้ามา เสียงฝีเท้าของเจ้านายของเขาต้องตามหลังเขามาอย่างแน่นอน” 33 ขณะที่ท่านกำลังพูดอยู่ ผู้ส่งสาสน์มาถึงท่านและพูดว่า “เราจะรอรับความช่วยเหลือจากพระผู้เป็นเจ้าต่อไปทำไม ในเมื่อความทุกข์ร้อนนี้มาจากพระองค์”
7 เอลีชาพูดว่า “ขอท่านฟังคำกล่าวของพระผู้เป็นเจ้า พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้ว่า พรุ่งนี้ประมาณเวลานี้ ที่ประตูเมืองสะมาเรีย แป้งสาลีชั้นเยี่ยม 1 สอาห์[b]จะขายได้ราคาเพียงเชเขลเดียว และข้าวบาร์เลย์ 2 สอาห์ ก็ขายเพียงเชเขลเดียว” 2 และนายทหารคนสนิทของกษัตริย์พูดกับคนของพระเจ้าว่า “แม้หากว่าพระผู้เป็นเจ้าจะเป็นผู้เปิดประตูน้ำในฟ้าสวรรค์ ก็ยังเป็นไปไม่ได้ที่เรื่องเช่นนี้จะเกิดขึ้น” แต่ท่านกล่าวว่า “ท่านจะเห็นด้วยตาของท่านเอง แต่ท่านก็จะไม่ได้กินอาหารพวกนั้นเลย”
ชาวอารัมหลบหนี
3 ที่ประตูเมือง มีชายโรคเรื้อน 4 คนพูดกันว่า “เราจะนั่งกันอยู่ที่นี่ไปจนตายทำไม 4 ถ้าเราพูดว่า ‘เราเข้าไปในเมืองกัน’ ในเมืองเกิดทุพภิกขภัย และพวกเราจะตายที่นั่น และถ้าเรานั่งกันอยู่ที่นี่ เราก็ตายเหมือนกัน มาเถิด เราไปที่ค่ายของชาวอารัมกัน ถ้าพวกเขาไว้ชีวิตเรา เราก็จะรอดชีวิต และถ้าพวกเขาฆ่าเรา เราก็ตายอย่างเดียว” 5 ดังนั้นเวลาพลบค่ำ พวกเขาจึงพากันไปที่ค่ายของชาวอารัม ทันทีที่ถึงค่ายของชาวอารัม ดูเถิด ไม่มีใครสักคน 6 เพราะว่าพระผู้เป็นเจ้าบันดาลให้กองทัพของชาวอารัมได้ยินเสียงรถศึกและม้า เป็นเสียงกองทัพใหญ่ จนพวกเขาพูดกันว่า “ดูเถิด กษัตริย์แห่งอิสราเอลได้จ้างบรรดากษัตริย์ของชาวฮิตและอียิปต์มาโจมตีพวกเรา” 7 ดังนั้น พวกเขาจึงหลบหนีไปในตอนพลบค่ำ และทิ้งกระโจม ม้า และลาของตน ทิ้งค่ายไว้อย่างนั้น และหนีเพื่อเอาชีวิตรอด 8 เมื่อคนโรคเรื้อนเหล่านั้นมาถึงค่าย พวกเขาก็เข้าไปดื่มกินในกระโจม และขนเงิน ทองคำ และเสื้อผ้าไปซ่อน แล้วก็กลับไปขนของออกมาจากกระโจมอื่นอีก และเอาของไปซ่อน
9 ครั้นแล้วพวกเขาพูดกันว่า “พวกเราไม่ได้ทำสิ่งที่ถูกต้อง วันนี้เป็นวันที่มีข่าวดี ถ้าหากว่าพวกเราเก็บเรื่องเงียบไว้และรอจนกระทั่งรุ่งเช้า เราคงจะต้องถูกลงโทษ ฉะนั้นไปกันเดี๋ยวนี้เลย เราไปแจ้งที่วังของกษัตริย์กันเถิด” 10 ดังนั้นพวกเขาจึงไปเรียกนายประตูเมือง และบอกเขาว่า “พวกเราไปยังค่ายของชาวอารัม ดูเถิด เราไม่เห็นหรือได้ยินเสียงใครที่นั่นเลย ไม่มีใครนอกจากม้าและลาที่ผูกไว้ และกระโจมก็กางอยู่อย่างนั้น” 11 และพวกนายประตูก็ประกาศเสียงดังที่วังของกษัตริย์ให้ทราบเรื่อง 12 กษัตริย์ลุกขึ้นกลางดึก และกล่าวแก่เหล่าข้าราชการว่า “เราจะบอกให้ท่านรู้ว่าชาวอารัมได้วางแผนจะทำอะไรกับพวกเรา พวกเขารู้ว่าพวกเรากำลังหิวโหย จึงได้ออกจากค่ายเพื่อไปซ่อนตัวที่กลางทุ่ง โดยคิดว่า ‘เมื่อพวกเขาออกมาจากเมือง เราก็จะจับพวกเขาทั้งเป็น และยึดเมืองไว้’” 13 ข้าราชการของท่านคนหนึ่งทูลว่า “เอาอย่างนี้ ให้เราส่งผู้ชายขี่ม้า 5 ตัวที่เหลืออยู่ออกไป ถ้าพวกเขาถูกจับฆ่า มันก็ร้ายพอๆ กับการที่คนอิสราเอลที่กำลังรอความตายอยู่ในเมือง เราส่งพวกเขาไปแล้วดูว่า จะมีอะไรเกิดขึ้น” 14 ดังนั้นผู้ชายบางคนถูกเลือกให้ไปกับรถศึกและม้า กษัตริย์ใช้พวกเขาให้ตามไปสำรวจดูกองทัพของชาวอารัม ท่านสั่งว่า “จงไปดูว่าเป็นอย่างไร” 15 พวกเขาก็ตามไปดูถึงแม่น้ำจอร์แดน ดูเถิด ชาวอารัมหนีไปอย่างรวดเร็ว พวกเขาจึงได้โยนเสื้อผ้าและสัมภาระทิ้งระหว่างทางขณะที่ออกไป ผู้สืบข่าวก็กลับมารายงานแก่กษัตริย์
16 และประชาชนก็ออกไปปล้นระดมค่ายของชาวอารัม ดังนั้นแป้งสาลีชั้นเยี่ยมขายได้เพียงเชเขลเดียว และข้าวบาร์เลย์ 2 สอาห์ ก็ขายได้เชเขลเดียว ตามคำกล่าวของพระผู้เป็นเจ้า 17 กษัตริย์ได้แต่งตั้งให้นายทหารคนสนิทของท่านรับผิดชอบดูแลประตูเมือง เขาถูกประชาชนเหยียบตายที่ประตูเมือง ตามที่คนของพระเจ้าได้พูดไว้ เมื่อครั้งที่กษัตริย์ลงมาพบกับท่าน 18 เมื่อคนของพระเจ้าได้ทูลกษัตริย์ว่า “พรุ่งนี้ประมาณเวลานี้ ที่ประตูเมืองสะมาเรีย ข้าวบาร์เลย์ 2 สอาห์จะขายได้เพียงเชเขลเดียว และแป้งสาลีชั้นเยี่ยม 1 สอาห์ก็ขายได้เชเขลเดียว” 19 นายทหารคนสนิทผู้นั้นตอบคนของพระเจ้าว่า “แม้หากว่าพระผู้เป็นเจ้าจะเป็นผู้เปิดประตูน้ำในฟ้าสวรรค์ ก็ยังเป็นไปไม่ได้ที่เรื่องเช่นนี้จะเกิดขึ้น” และท่านกล่าวว่า “ท่านจะเห็นด้วยตาของท่านเอง แต่ท่านก็จะไม่ได้กินอาหารพวกนั้นเลย” 20 และเรื่องนั้นก็เกิดขึ้นกับเขา เพราะว่าประชาชนเหยียบเขาตายที่ประตูเมือง
ชาวชูเนมได้ที่ดินกลับคืน
8 ก่อนหน้านี้ เอลีชาได้บอกหญิงคนที่ท่านช่วยให้บุตรชายมีชีวิตคืนมาว่า “ไปเถิด จงพาทั้งครัวเรือนของเจ้าเดินทางไป และไปหาที่อาศัยเท่าที่ท่านจะอยู่ได้ เพราะพระผู้เป็นเจ้าสั่งให้เกิดทุพภิกขภัยในแผ่นดิน ยาวนานถึง 7 ปี”[c] 2 หญิงคนนั้นจึงเดินทางไป และทำตามคำของคนของพระเจ้า นางไปกับครัวเรือนของนาง และอาศัยอยู่ในแผ่นดินของชาวฟีลิสเตีย 7 ปี 3 ปลายปีที่เจ็ด เมื่อนางกลับมาจากแผ่นดินของชาวฟีลิสเตีย นางก็ไปร้องทุกข์ต่อกษัตริย์เรื่องบ้านและที่ดินของนาง 4 ฝ่ายกษัตริย์ก็กำลังพูดอยู่กับเกหะซีคนรับใช้ของคนของพระเจ้าว่า “จงเล่าเรื่องอัศจรรย์ต่างๆ ที่เอลีชาได้กระทำให้เราฟัง” 5 ขณะที่เขากำลังทูลกษัตริย์ว่า เอลีชาทำให้คนตายมีชีวิตขึ้นได้อย่างไร ดูเถิด หญิงที่ท่านช่วยให้บุตรชายมีชีวิตคืนมา ก็มาร้องทุกข์ต่อกษัตริย์เรื่องบ้านและที่ดินของนาง และเกหะซีทูลว่า “โอ เจ้านายผู้เป็นกษัตริย์ หญิงคนนี้แหละ นี่ก็คือบุตรชายของนางที่เอลีชาช่วยให้มีชีวิตคืนมา” 6 เมื่อกษัตริย์ถามหญิงผู้นั้น นางก็ทูลเรื่องราวให้ท่านฟัง ดังนั้นกษัตริย์จึงมอบหมายให้ขันทีคนหนึ่งช่วยนาง และกำชับว่า “จงไปนำทุกสิ่งกลับคืนมาให้นาง รวมถึงผลิตผลที่ได้จากนา นับตั้งแต่วันที่นางจากไปจนถึงบัดนี้”
ฮาซาเอลประหารเบนฮาดัด
7 ฝ่ายเอลีชาก็มายังเมืองดามัสกัส เบนฮาดัดกษัตริย์แห่งอารัมป่วยอยู่ มีคนทูลให้ท่านทราบว่า “คนของพระเจ้าได้มาถึงที่นี่” 8 กษัตริย์กล่าวกับฮาซาเอลว่า “เจ้าจงไปพบกับคนของพระเจ้า แล้วเอาของกำนัลไปด้วย และถามพระผู้เป็นเจ้าผ่านท่านว่า ‘เราจะหายจากโรคนี้ไหม’” 9 ฮาซาเอลจึงไปพบกับเอลีชา โดยนำสินค้าชั้นเยี่ยมจากดามัสกัสเป็นของกำนัลบรรทุกอูฐไป 40 ตัว เมื่อมาถึงก็ได้ยืนต่อหน้าท่าน และพูดว่า “เบนฮาดัดกษัตริย์แห่งอารัมผู้เคารพนับถือท่าน ใช้ข้าพเจ้ามาหาท่าน เพื่อถามว่า ‘เราจะหายจากโรคนี้ไหม’” 10 เอลีชาตอบเขาว่า “จงไปบอกท่านว่า ‘ท่านจะหายจากโรคนี้อย่างแน่นอน’ แต่พระผู้เป็นเจ้าบอกให้เราทราบแล้วว่า ท่านจะสิ้นชีวิตอย่างแน่นอน” 11 ท่านจ้องดูฮาซาเอลอยู่ชั่วขณะหนึ่ง จนกระทั่งฮาซาเอลรู้สึกอึดอัดใจ แล้วคนของพระเจ้าก็ร้องไห้ 12 ฮาซาเอลถามว่า “ทำไมเจ้านายของข้าพเจ้าจึงร้องไห้” ท่านตอบว่า “เพราะเรารู้ถึงความเลวร้ายที่เจ้าจะกระทำต่อชาวอิสราเอล เจ้าจะเอาไฟเผาเมืองต่างๆ ที่พวกเขาคุ้มกันไว้อย่างแข็งแกร่ง เจ้าจะใช้ดาบฆ่าคนหนุ่มๆ และเด็กๆ ถูกเหวี่ยงกระดูกหักตาย และฟันท้องของหญิงมีครรภ์” 13 ฮาซาเอลพูดว่า “ข้ารับใช้อย่างข้าพเจ้าเป็นเพียงคนต่ำต้อย แล้วจะกระทำการครั้งยิ่งใหญ่นี้ได้อย่างไร” เอลีชาตอบว่า “พระผู้เป็นเจ้าบอกให้เราทราบแล้วว่า เจ้าจะเป็นกษัตริย์ปกครองอารัม” 14 แล้วเขาก็จากเอลีชา และกลับไปหานายของเขา กษัตริย์ถามเขาว่า “เอลีชาพูดอะไรกับเจ้า” เขาตอบว่า “เอลีชากล่าวว่า ท่านจะหายป่วยแน่” 15 แต่พอวันรุ่งขึ้น เขาใช้ผ้าคลุมเตียงจุ่มน้ำ และคลุมไว้ที่หน้าเบนฮาดัดจนสิ้นชีวิต และฮาซาเอลก็ขึ้นมาเป็นกษัตริย์แทน
เยโฮรัมครองราชย์ในยูดาห์
16 ในปีที่ห้าของโยรัมบุตรอาหับกษัตริย์แห่งอิสราเอล เยโฮรัมบุตรเยโฮชาฟัทกษัตริย์แห่งยูดาห์ก็เริ่มครองราชย์ 17 ท่านมีอายุ 32 ปีเมื่อเริ่มเป็นกษัตริย์ และท่านครองราชย์ 8 ปีในเยรูซาเล็ม 18 และท่านดำเนินชีวิตตามแบบอย่างบรรดากษัตริย์แห่งอิสราเอล เหมือนกับที่พงศ์พันธุ์ของอาหับได้กระทำ เพราะว่าบุตรหญิงของอาหับเป็นภรรยาของท่าน และท่านกระทำสิ่งที่ชั่วร้ายในสายตาของพระผู้เป็นเจ้า 19 ถึงกระนั้นพระผู้เป็นเจ้าก็ไม่ต้องการทำลายยูดาห์ เพราะเห็นแก่ดาวิดผู้รับใช้ของพระองค์ ในเมื่อพระองค์ได้สัญญาว่าจะมอบผู้สืบเชื้อสายให้แก่ท่าน และแก่บุตรหลานของท่านตลอดไป[d]
20 ในรัชสมัยของเยโฮรัม เอโดมขัดขืนต่อการปกครองของยูดาห์ และแต่งตั้งกษัตริย์ปกครองพวกของตน 21 ครั้นแล้วเยโฮรัมจึงยกทัพไปยังศาอีร์พร้อมกับขบวนรถศึกของท่าน ชาวเอโดมก็ยกทัพมาล้อมท่าน แต่ท่านและผู้บัญชาการรถศึกตีฝ่าชาวเอโดมออกไปได้ในเวลากลางคืน และพวกทหารของท่านก็หนีกลับบ้านไป 22 ดังนั้นเอโดมไม่ยอมอยู่ใต้การปกครองของยูดาห์มาจนถึงทุกวันนี้ ในเวลาเดียวกันลิบนาห์ก็ไม่ยอมอยู่ใต้การปกครองเช่นกัน 23 กิจอื่นๆ ทั้งสิ้นของเยโฮรัม และทุกสิ่งที่ท่านกระทำ ก็ได้มีบันทึกไว้แล้วในหนังสือแห่งพงศาวดารของบรรดากษัตริย์แห่งยูดาห์มิใช่หรือ 24 เยโฮรัมสิ้นชีวิตและถูกนำไปวางรวมกับบรรพบุรุษของท่าน ศพถูกบรรจุไว้ในเมืองของดาวิด และอาหัสยาห์บุตรของท่านครองราชย์แทนท่าน
อาหัสยาห์ครองราชย์ในยูดาห์
25 ในปีที่สิบสองของโยรัมบุตรอาหับกษัตริย์แห่งอิสราเอล อาหัสยาห์บุตรเยโฮรัมกษัตริย์แห่งยูดาห์ก็เริ่มครองราชย์ 26 อาหัสยาห์มีอายุ 22 ปีเมื่อเริ่มเป็นกษัตริย์ และท่านครองราชย์ 1 ปีในเยรูซาเล็ม มารดาของท่านชื่อ อาธาลิยาห์ นางเป็นหลานสาวของอมรีกษัตริย์แห่งอิสราเอล 27 ท่านดำเนินชีวิตตามแบบอย่างพงศ์พันธุ์ของอาหับ และกระทำสิ่งที่ชั่วร้ายในสายตาของพระผู้เป็นเจ้า เหมือนกับที่พงศ์พันธุ์ของอาหับได้กระทำ เพราะว่าท่านเป็นบุตรเขยในพงศ์พันธุ์ของอาหับ
28 ท่านไปกับโยรัมบุตรอาหับ เพื่อทำสงครามต่อสู้กับฮาซาเอลกษัตริย์แห่งอารัมที่ราโมทกิเลอาด ชาวอารัมทำให้โยรัมได้รับบาดเจ็บ 29 กษัตริย์โยรัมกลับไปรับการรักษาที่ยิสเรเอล เพราะชาวอารัมทำให้ท่านบาดเจ็บที่รามาห์เมื่อต่อสู้กับฮาซาเอลกษัตริย์แห่งอารัม และอาหัสยาห์บุตรเยโฮรัมกษัตริย์แห่งยูดาห์จึงไปเยี่ยมโยรัมบุตรอาหับที่ยิสเรเอล เพราะท่านป่วย
Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation