Beginning
อัมโนนและทามาร์
13 อับซาโลมบุตรชายของดาวิดมีน้องสาวสวยคนหนึ่งชื่อทามาร์ อัมโนนบุตรชายอีกคนหนึ่งของดาวิดเกิดรักทามาร์ขึ้นมา 2 และอัมโนนรู้สึกอึดอัดมากจนเจ็บป่วยเพราะทามาร์น้องสาวของตน เธอเป็นพรหมจารี และดูเหมือนว่าเขาจะทำอะไรกับเธอไม่ได้เลย 3 แต่อัมโนนมีเพื่อนคนหนึ่งชื่อโยนาดับบุตรของชิเมอาห์พี่ชายของดาวิด โยนาดับเป็นคนเจ้าเล่ห์ 4 โยนาดับพูดกับอัมโนนว่า “โอ บุตรของกษัตริย์ ทำไมท่านจึงดูหน้าตาห่อเหี่ยววันแล้ววันเล่าเช่นนี้ ท่านจะไม่บอกให้ข้าพเจ้าทราบบ้างหรือ” อัมโนนตอบว่า “เรารักทามาร์น้องสาวของอับซาโลมพี่ชายเรา” 5 โยนาดับบอกว่า “ท่านไปนอนที่เตียงของท่าน แสร้งทำเป็นว่าป่วย พอบิดาของท่านมาหาท่าน ท่านก็พูดว่า ‘โปรดให้ทามาร์น้องสาวข้าพเจ้ามาหา และนำอาหารมาให้รับประทาน ให้เตรียมอาหารต่อหน้า ข้าพเจ้าจะได้เห็นและรับประทานจากมือของเธอ’” 6 อัมโนนจึงนอนลง และแสร้งทำเป็นว่าป่วย และเมื่อกษัตริย์มาเยี่ยม อัมโนนพูดกับกษัตริย์ว่า “โปรดให้ทามาร์น้องสาวข้าพเจ้ามาเยี่ยมและทำขนมสักสองชิ้นต่อหน้าข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะได้รับประทานจากมือของเธอ”
7 ดาวิดจึงให้คนไปบอกทามาร์ที่วังว่า “เจ้าจงไปที่บ้านอัมโนนพี่ชายของเจ้า และเตรียมอาหารให้เขา” 8 ทามาร์จึงไปที่บ้านอัมโนนพี่ชายของเธอ ไปยังที่ที่เขานอนอยู่ เธอหยิบแป้งมานวด ทำขนมให้เขาเห็น และทำให้สุก 9 เธอตักขนมออกจากกระทะต่อหน้าเขา แต่อัมโนนก็ยังไม่ยอมรับประทาน และพูดว่า “ให้ทุกคนออกไปให้พ้นหน้าเรา” ทุกคนจึงออกไป 10 แล้วอัมโนนบอกทามาร์ว่า “นำอาหารเข้ามาในห้อง เราจะได้รับประทานจากมือของเธอ” ทามาร์ก็นำขนมที่เธอทำเข้าไปในห้องให้อัมโนนพี่ชายของเธอ 11 แต่พอเธอนำขนมเข้าไปใกล้เพื่อให้รับประทาน เขาก็จับตัวเธอ และพูดว่า “น้องพี่ มานอนกับพี่เถิด” 12 เธอตอบว่า “ไม่ได้หรอก พี่ชาย อย่าข่มขืนน้อง เพราะการกระทำเช่นนี้ไม่สมควรจะเกิดขึ้นในอิสราเอล อย่ากระทำสิ่งที่น่าอดสูเช่นนี้ 13 สำหรับน้อง น้องจะแบกรับความอับอายไว้ที่ไหน สำหรับพี่ พี่จะเป็นเช่นคนโง่เขลาที่น่าอดสูคนหนึ่งในอิสราเอล ฉะนั้น โปรดพูดกับกษัตริย์ เพราะท่านจะไม่หวงแหนน้องจากพี่หรอก” 14 แต่เขาก็ไม่ฟังเธอ และในเมื่อเขาแข็งแรงกว่าเธอ เขาจึงขืนใจและข่มขืนเธอ
15 หลังจากนั้นอัมโนนก็กลับเกลียดชังเธอยิ่งนัก จนถึงขั้นที่เขาเกลียดเธอหนักยิ่งกว่าความรักที่เคยมีต่อเธอ อัมโนนบอกเธอว่า “ลุกขึ้น ไปให้พ้น” 16 แต่เธอพูดว่า “ทำอย่างนั้นไม่ได้ การที่พี่ให้น้องกลับออกไป จะเป็นความผิดร้ายแรงยิ่งกว่าสิ่งที่พี่เพิ่งกระทำต่อน้อง” แต่เขาไม่ยอมฟังเธอ 17 เขาเรียกผู้รับใช้ของเขามาและสั่งว่า “เอาตัวผู้หญิงคนนี้ไปให้พ้นหน้าเรา และปิดประตูลงกลอนเสียด้วย” 18 เธอสวมเสื้อคลุมยาวมีแขน เป็นชุดที่บรรดาธิดาพรหมจารีของกษัตริย์สวม ดังนั้นเขาจึงเอาตัวเธอออกไป และปิดประตูลงกลอนเสีย 19 ทามาร์เอาขี้เถ้าโปรยบนศีรษะของเธอ ฉีกเสื้อคลุมยาวที่สวมอยู่ มือกุมศีรษะร้องครวญครางเสียงดังขณะที่เดินจากไป
20 อับซาโลมพี่ชายเธอถามเธอว่า “อัมโนนพี่ของเจ้าได้อยู่กับเจ้าแล้วอย่างนั้นหรือ อย่าทุกข์ใจไปเลย เขาเป็นพี่ชายของเจ้า ไม่ต้องไปใส่ใจนัก” ดังนั้น ทามาร์ใช้ชีวิตอยู่อย่างผู้หญิงโดดเดี่ยวในบ้านของอับซาโลมพี่ชายเธอ 21 ครั้นกษัตริย์ดาวิดทราบเรื่องนี้ ท่านโกรธกริ้วมาก 22 แต่อับซาโลมไม่พูดกับอัมโนนถึงเรื่องใดๆ ทั้งสิ้น เพราะอับซาโลมเกลียดชังอัมโนน ที่เขาข่มขืนทามาร์น้องสาวของตน
อับซาโลมฆ่าอัมโนน
23 หลังจากนั้น 2 ปีเต็ม อับซาโลมกำลังให้คนตัดขนแกะอยู่ที่บาอัลฮาโซร์ ซึ่งอยู่ใกล้เอฟราอิม และอับซาโลมได้เชิญบรรดาบุตรของกษัตริย์มาด้วย 24 และอับซาโลมไปหากษัตริย์และพูดว่า “ดูเถิด ผู้รับใช้ของท่านกำลังให้คนตัดขนแกะ ขอเชิญกษัตริย์และบริวารของท่านไปกับข้าพเจ้าเถิด” 25 แต่กษัตริย์กล่าวกับอับซาโลมว่า “อย่าเลย ลูกเอ๋ย เราอย่าไปกันหมดทุกคนเลย กลัวว่าจะไปเป็นภาระกับเจ้า” อับซาโลมคะยั้นคะยอท่าน ท่านก็ไม่ไป แต่ให้พรเขา 26 อับซาโลมจึงพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นแล้ว โปรดให้อัมโนนพี่ชายไปกับพวกเราเถิด” และกษัตริย์ถามว่า “ทำไมเขาจึงควรจะไปกับเจ้า” 27 แต่ว่าอับซาโลมยังคะยั้นคะยอท่าน จนกระทั่งท่านยอมให้อัมโนนและบรรดาบุตรทุกคนของกษัตริย์ไปกับเขา 28 อับซาโลมสั่งบรรดาผู้รับใช้ของเขาว่า “จงจับตาดูให้ดีว่า หลังจากดื่มเหล้าองุ่นแล้ว อัมโนนสำราญใจเมื่อใด และเวลาที่เราบอกเจ้าว่า ‘จัดการอัมโนน’ ก็จงฆ่าเขาเสีย ไม่ต้องกลัว เราเป็นคนสั่งการให้เจ้าทำ จงเข้มแข็งและกล้าหาญเอาไว้” 29 ดังนั้นบรรดาผู้รับใช้ของอับซาโลมก็กระทำต่ออัมโนนตามที่อับซาโลมสั่งให้ทำ และบรรดาบุตรทุกคนของกษัตริย์ก็ลุกขึ้นขี่ล่อของตนหนีไป
30 ขณะที่พวกเขากำลังเดินทางไป ดาวิดได้ยินมาว่า “อับซาโลมได้ฆ่าบุตรของกษัตริย์หมดทุกคน ไม่มีใครรอดได้สักคนเดียว” 31 กษัตริย์จึงลุกขึ้นฉีกเสื้อผ้าของท่าน และนอนลงที่พื้นดิน บรรดาผู้รับใช้ทุกคนที่อยู่ด้วยก็ฉีกเสื้อผ้าของตน 32 แต่โยนาดับบุตรของชิเมอาห์พี่ชายของดาวิดพูดว่า “ขออย่าให้เจ้านายของข้าพเจ้ากล่าวว่า เขาได้ฆ่าบุตรทุกคนของท่าน เพราะอัมโนนผู้เดียวที่สิ้นชีวิต และเป็นไปตามคำสั่งของอับซาโลม เขาตั้งใจไว้แล้วตั้งแต่วันที่อัมโนนข่มขืนทามาร์น้องสาวของเขา 33 ฉะนั้น บัดนี้ ขออย่าให้เจ้านายผู้เป็นกษัตริย์ใส่ใจถึงกับคิดไปก่อนว่า บุตรทุกคนของกษัตริย์สิ้นชีวิตหมดแล้ว เพราะเป็นอัมโนนผู้เดียวที่สิ้นชีวิต”
อับซาโลมหนีไปยังเกชูร์
34 ฝ่ายอับซาโลมก็ได้หนีไป ทหารหนุ่มที่เฝ้ายามเงยหน้าขึ้นมองดู ดูเถิด มีคนจำนวนมากกำลังมาจากถนนโฮโรนาอิมที่ข้างภูเขา 35 โยนาดับพูดกับกษัตริย์ว่า “ดูเถิด บรรดาบุตรของกษัตริย์มาแล้ว ตามที่ข้าพเจ้าพูดไว้ แล้วก็เกิดขึ้นจริง” 36 ทันทีที่เขาพูดจบ ดูเถิด บรรดาบุตรของกษัตริย์ก็มาและส่งเสียงร้องไห้ด้วยความเศร้าใจ กษัตริย์และผู้รับใช้ทั้งปวงของท่านก็ร้องรำพันด้วยความขมขื่น
37 อับซาโลมได้หนีไปอยู่กับทัลมัยบุตรของอัมมีฮูดกษัตริย์แห่งเกชูร์ ฝ่ายดาวิดก็ยังร้องคร่ำครวญถึงอัมโนนบุตรของท่านวันแล้ววันเล่า 38 อับซาโลมได้หนีไปอยู่ที่เกชูร์เป็นเวลา 3 ปี 39 เมื่อกษัตริย์ได้รับการปลอบประโลมเรื่องที่อัมโนนสิ้นชีวิตแล้ว ท่านก็หวนอาลัยถึงอับซาโลม
อับซาโลมกลับไปยังเยรูซาเล็ม
14 เมื่อโยอาบบุตรของนางเศรุยาห์ทราบว่าใจของกษัตริย์หวนคิดถึงอับซาโลม 2 โยอาบจึงให้คนไปยังเมืองเทโคอา ไปพาหญิงผู้เรืองปัญญาคนหนึ่งมาจากที่นั่น และบอกนางว่า “ขอให้แสร้งทำเป็นคนรับจ้างร้องคร่ำครวญ สวมเสื้อผ้าของคนไว้ทุกข์ อย่าชโลมน้ำมัน แต่ทำเป็นคนร้องคร่ำครวญให้คนตายมาหลายวันแล้ว 3 ไปหากษัตริย์ และพูดกับท่านตามนี้” แล้วโยอาบก็กำชับนางว่าจะพูดอย่างไร
4 ครั้นหญิงจากเมืองเทโคอาผู้นั้นมาหากษัตริย์ นางซบหน้าลงกับพื้นทำความเคารพ และพูดว่า “โอ กษัตริย์ โปรดช่วยข้าพเจ้าด้วย” 5 กษัตริย์ถามนางว่า “เจ้าทุกข์ใจเรื่องอะไร” นางตอบว่า “ข้าพเจ้าเป็นม่าย สามีเสียแล้ว 6 ข้าพเจ้ามีบุตรสองคน เขาวิวาทกันในทุ่ง ไม่มีใครห้ามให้เขาหยุด คนหนึ่งฆ่าอีกคนหนึ่งตาย 7 บัดนี้ ทั้งตระกูลกลับต่อว่าข้าพเจ้า พูดกันว่า ‘มอบตัวคนที่ฆ่าพี่ชายของเขาให้เราเถิด เราจะได้กำจัดชีวิตของเขาให้สิ้นไป แลกกับชีวิตของพี่ชายที่เขาฆ่า เราจะได้กำจัดทายาทด้วย’ ซึ่งเป็นเหมือนว่าพวกเขาจะดับถ่านที่ลุกอยู่เพียงก้อนเดียวที่ข้าพเจ้าเหลืออยู่ โดยไม่มีชื่อหรือผู้สืบเชื้อสายของสามีอยู่บนโลกนี้อีกเลย”
8 และกษัตริย์กล่าวกับหญิงนั้นว่า “เจ้าจงกลับบ้านไป และเราจะจัดการเรื่องของเจ้าให้” 9 แล้วหญิงจากเทโคอาคนนั้นพูดกับกษัตริย์ว่า “เจ้านายผู้เป็นกษัตริย์ ขอให้ความผิดตกอยู่กับข้าพเจ้าและครอบครัวข้าพเจ้าเถิด ขอให้กษัตริย์และบัลลังก์ของท่านไร้ความผิด” 10 กษัตริย์กล่าวว่า “ถ้าหากว่าใครพูดอะไรกับเจ้า ก็จงพาเขามาหาเรา และเขาจะไม่แตะต้องเจ้าอีกเลย” 11 นางพูดอีกว่า “ขอให้กษัตริย์วิงวอนต่อพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน เพื่อให้ผู้ตามล่าล้างแค้นหยุดฆ่า และบุตรของข้าพเจ้าจะไม่ถูกสังหาร” ท่านกล่าวว่า “ตราบที่พระผู้เป็นเจ้ามีชีวิตอยู่ฉันใด ผมสักเส้นเดียวของบุตรของเจ้าจะไม่ตกลงบนพื้นดิน”
12 หญิงนั้นพูดว่า “โปรดให้ข้าพเจ้าพูดอะไรบางอย่างกับเจ้านายผู้เป็นกษัตริย์เถิด” ท่านกล่าวว่า “พูดเถิด” 13 หญิงนั้นจึงพูดว่า “ทำไมท่านจึงได้วางแผนกระทำเช่นนี้ต่อคนของพระเจ้า เมื่อกษัตริย์กล่าวดังนี้ เท่ากับท่านกล่าวโทษท่านเองมิใช่หรือ เพราะท่านไม่ได้พาบุตรที่ถูกเนรเทศกลับมา 14 ถึงอย่างไรเราทุกคนก็ต้องตาย เราเป็นเหมือนน้ำที่หกบนพื้นดิน และจะเก็บรวมขึ้นมาอีกก็ไม่ได้ แต่พระเจ้าไม่พรากชีวิตไป และพระองค์หาหนทางเพื่อผู้ที่ถูกเนรเทศจะได้หลุดพ้นจากการเป็นคนที่ใครๆ ไม่ยอมรับ 15 บัดนี้ข้าพเจ้ากล่าวเช่นนี้กับเจ้านายผู้เป็นกษัตริย์ ก็เพราะผู้คนข่มขู่ให้ข้าพเจ้ากลัว และข้าพเจ้าผู้รับใช้ของท่านก็คิดในใจอยู่ว่า ‘เราจะขอร้องกษัตริย์ กษัตริย์อาจจะตอบคำขอร้องของผู้รับใช้ของท่าน 16 เพราะกษัตริย์จะฟังและช่วยผู้รับใช้ของท่าน ให้พ้นจากมือของคนที่จะทำลายข้าพเจ้าพร้อมกับบุตรของข้าพเจ้า เพื่อไม่ให้เรารับมรดกจากพระเจ้า’ 17 และผู้รับใช้ของท่านคิดในใจว่า ‘คำพูดของเจ้านายผู้เป็นกษัตริย์จะทำให้ข้าพเจ้าอุ่นใจ’ เพราะว่าเจ้านายผู้เป็นกษัตริย์เป็นดั่งทูตสวรรค์ของพระเจ้า ที่หยั่งรู้ความดีและความชั่ว ขอพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านจงอยู่กับท่านเถิด”
18 แล้วกษัตริย์ก็ตอบหญิงนั้นว่า “ไม่ว่าสิ่งใดที่เราถามเจ้า เจ้าอย่าปิดบังไปจากเรา” และหญิงนั้นพูดว่า “ขอให้เจ้านายผู้เป็นกษัตริย์กล่าวมาเถิด” 19 กษัตริย์กล่าวว่า “โยอาบมีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องทั้งหมดนี้หรือเปล่า” หญิงนั้นตอบว่า “เจ้านายผู้เป็นกษัตริย์ ตราบที่ท่านมีชีวิตอยู่ฉันใด ไม่มีผู้ใดเลี่ยงคำตอบที่เจ้านายผู้เป็นกษัตริย์ถามเมื่อสักครู่นี้ โยอาบผู้รับใช้ของท่านที่เป็นผู้สั่งข้าพเจ้า เป็นโยอาบที่ให้ข้าพเจ้าผู้รับใช้ของท่านพูดตามนั้น 20 โยอาบผู้รับใช้ของท่านกระทำเช่นนี้ก็เพื่อจะให้เหตุการณ์เปลี่ยนไปจากที่เป็นอยู่ แต่ว่าเจ้านายของข้าพเจ้ามีสติปัญญาดั่งสติปัญญาของทูตสวรรค์ของพระเจ้า คือทราบทุกสิ่งในโลกนี้”
21 แล้วกษัตริย์ก็กล่าวกับโยอาบว่า “เอาล่ะ เราอนุญาตให้ตามนี้ ไปพาชายหนุ่มอับซาโลมกลับมา” 22 โยอาบก็ซบหน้าลงกับพื้นด้วยความเคารพ และอวยพรท่าน และโยอาบพูดว่า “โอ เจ้านายผู้เป็นกษัตริย์ วันนี้ ผู้รับใช้ของท่านทราบแล้วว่า ข้าพเจ้าเป็นที่โปรดปรานในสายตาของท่าน กษัตริย์จึงได้อนุญาตตามคำขอร้องให้แก่ผู้รับใช้ของท่าน” 23 แล้วโยอาบก็ลุกขึ้นไปยังเมืองเกชูร์ และพาอับซาโลมมายังเยรูซาเล็ม 24 และกษัตริย์กล่าวว่า “ให้เขาแยกไปอยู่ที่บ้านของเขาเอง อย่าให้เขามาหาเรา” อับซาโลมจึงแยกอยู่ในบ้านของตน และไม่ได้เข้าไปหากษัตริย์
ดาวิดให้อภัยอับซาโลม
25 ทั่วทั้งอิสราเอล ไม่มีใครได้รับคำชมว่ารูปงามเท่ากับอับซาโลม ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า เขาไม่มีที่ติเลย 26 เมื่อเขาตัดผม (ด้วยว่าทุกปีตอนปลายปี เขาตัดผมเมื่อผมหนักศีรษะ เขาก็ตัดออก) ผมที่ตัดออกชั่งน้ำหนักได้ 200 เชเขล[a] ตามมาตราน้ำหนักของกษัตริย์ 27 อับซาโลมมีบุตรชาย 3 คน และบุตรหญิง 1 คนชื่อ ทามาร์ เธอเป็นหญิงรูปงาม
28 อับซาโลมอยู่ที่เยรูซาเล็มเป็นเวลา 2 ปีเต็ม โดยไม่ได้เข้าไปหากษัตริย์ 29 และอับซาโลมให้คนไปตามโยอาบ เพื่อวานให้เขาไปหากษัตริย์ แต่โยอาบก็ไม่มาหา เขาจึงให้ไปตามโยอาบเป็นครั้งที่สอง แต่โยอาบก็ไม่มา 30 เขาจึงบอกบรรดาผู้รับใช้ว่า “ดูโน่น นาของโยอาบถัดไปจากนาของเรา เขามีข้าวบาร์เลย์ที่นั่น เจ้าไปจุดไฟเผาเสีย” บรรดาผู้รับใช้ของอับซาโลมก็ไปจุดไฟเผานา 31 โยอาบจึงไปหาอับซาโลมที่บ้าน และถามเขาว่า “ทำไมผู้รับใช้ของท่านจึงจุดไฟเผานาของข้าพเจ้า” 32 อับซาโลมตอบโยอาบว่า “ดูเถิด เราฝากคนไปบอกท่านว่า ‘มาหาเราที่นี่ เราจะให้ท่านไปถามกษัตริย์ว่า “ข้าพเจ้าต้องออกมาจากเกชูร์ทำไม ข้าพเจ้าอยู่ที่นั่นก็ยังจะดีกว่า” ฉะนั้น บัดนี้ ท่านให้เราไปหากษัตริย์เถิด และถ้าเรามีความผิดอย่างไร ก็ให้กษัตริย์ประหารเรา’” 33 โยอาบจึงไปหากษัตริย์และเรียนท่าน ท่านจึงให้เรียกอับซาโลมมา อับซาโลมจึงไปหากษัตริย์ และก้มหน้าลงที่พื้น ณ เบื้องหน้ากษัตริย์ และกษัตริย์ก็จูบแก้มอับซาโลม
อับซาโลมวางแผนร้าย
15 จากนั้นต่อมา อับซาโลมก็หารถศึกและม้าไว้ใช้ และมีทหารวิ่งนำหน้าเขาไป 50 คน 2 อับซาโลมมักจะตื่นนอนแต่เช้าตรู่ และไปยืนที่ข้างทางประตูเมือง เมื่อผู้ใดมีเรื่องขัดแย้งที่ต้องมาให้กษัตริย์ตัดสิน อับซาโลมจะเรียกถามเขาว่า “เจ้ามาจากเมืองไหน” และเมื่อเขาพูดว่า “ผู้รับใช้ของท่านเป็นคนจากเผ่านั้นเผ่านี้ในอิสราเอล” 3 อับซาโลมจะพูดว่า “ดูสิ ข้อหาของเจ้าก็ดีและถูกต้อง แต่ว่ากษัตริย์ไม่ได้แต่งตั้งใครให้ฟังเรื่องของเจ้า” 4 แล้วอับซาโลมก็พูดว่า “ถ้าหากว่าเราเป็นผู้วินิจฉัยในแผ่นดินแล้ว ทุกคนที่มีเรื่องขัดแย้งหรือข้อหาใดๆ ก็มาหาเราได้ และเราจะให้ความเป็นธรรมแก่เขา” 5 และเมื่อใดที่คนเข้ามาใกล้เขาเพื่อแสดงความเคารพ เขาก็จะยื่นมือออกไปจับตัวคนนั้น และจูบแก้มเขา 6 อับซาโลมกระทำเช่นนั้นกับชาวอิสราเอลทุกคนที่มาหากษัตริย์ เพื่อให้ท่านตัดสินความ อับซาโลมจึงชนะใจชาวอิสราเอล
7 เมื่อเวลาผ่านไป 4 ปีเต็ม อับซาโลมพูดกับกษัตริย์ว่า “ขอได้โปรดให้ข้าพเจ้าไปมอบของถวายที่เฮโบรนตามคำสัญญาของข้าพเจ้า ที่ได้ให้ไว้กับพระผู้เป็นเจ้าเถิด 8 เพราะว่าผู้รับใช้ของท่านได้ให้คำสัญญาขณะอยู่ที่เมืองเกชูร์ในอารัมว่า ‘ถ้าพระผู้เป็นเจ้าจะนำข้าพเจ้ากลับมายังเมืองเยรูซาเล็มอย่างแน่แท้แล้ว ข้าพเจ้าจะนมัสการพระผู้เป็นเจ้า’” 9 กษัตริย์กล่าวว่า “จงไปอย่างสันติสุขเถิด” เขาจึงไปยังเมืองเฮโบรน 10 แต่อับซาโลมได้ให้บรรดาผู้ส่งข่าวไปทั่วทุกเผ่าของอิสราเอลเป็นการลับ ไปบอกว่า “ทันทีที่ท่านทั้งหลายได้ยินเสียงแตรงอน จงพูดว่า ‘อับซาโลมเป็นกษัตริย์ที่เฮโบรน’” 11 เมื่ออับซาโลมออกไปจากเยรูซาเล็ม เขาได้เชิญชายจำนวน 200 คนไปเป็นแขกรับเชิญด้วย เขาเหล่านั้นไปด้วยโดยไม่ทราบว่าเพราะเหตุใด 12 ในขณะที่อับซาโลมกำลังมอบของถวาย เขาให้คนไปตามอาหิโธเฟลชาวกิโลห์ผู้ปรึกษาของดาวิด ให้มาจากกิโลห์เมืองของเขา และแผนการร้ายที่คบคิดก็แข็งกร้าวยิ่งขึ้น บรรดาคนที่เห็นชอบด้วยกับอับซาโลมก็เพิ่มมากขึ้น
ดาวิดหนีไปจากเยรูซาเล็ม
13 ผู้ส่งข่าวคนหนึ่งมาหาดาวิดและเรียนว่า “ใจของชาวอิสราเอลไปอยู่กับอับซาโลมเสียแล้ว” 14 ดาวิดจึงกล่าวกับบรรดาผู้รับใช้ทั้งปวงที่อยู่กับท่านที่เยรูซาเล็มว่า “ลุกขึ้นเถิด พวกเราหนีไปได้แล้ว มิฉะนั้นพวกเราจะไม่มีทางหนีรอดอับซาโลมไปได้ ให้ออกไปโดยเร็ว กลัวว่าเขาจะจับเราได้อย่างรวดเร็วและทำให้พวกเราพินาศ และฆ่าคนในเมืองจนราบเป็นหน้ากลอง” 15 บรรดาผู้รับใช้ของกษัตริย์เรียนกษัตริย์ว่า “ดูเถิด ผู้รับใช้ของกษัตริย์พร้อมจะปฏิบัติตามที่เจ้านายผู้เป็นกษัตริย์ตัดสินใจทุกประการ” 16 ดังนั้นกษัตริย์จึงออกไป และทั้งครัวเรือนก็ตามท่านไปด้วย กษัตริย์ปล่อยภรรยาน้อย 10 คนไว้ดูแลวัง 17 และกษัตริย์จึงออกไป และคนทั้งปวงก็ตามท่านไป และมาหยุดที่บ้านหลังท้ายสุดที่ชานเมือง
18 บรรดาทหารทั้งปวงเดินผ่านท่านไป ชาวเคเรธและชาวเปเลททั้งปวง และชาวกัททั้ง 600 คนที่ติดตามท่านมาจากเมืองกัท ได้เดินผ่านกษัตริย์ไป 19 และกษัตริย์กล่าวกับอิททัยชาวกัทว่า “ทำไมเจ้าจึงไปกับพวกเรา กลับไปอยู่กับกษัตริย์อับซาโลมเถิด เพราะว่าเจ้าเป็นคนต่างด้าวและถูกเนรเทศมาจากบ้านเมืองของเจ้า 20 เจ้าเพิ่งมาถึงเมื่อวานนี้ แล้วเราจะบังคับเจ้าให้ซัดเซพเนจรไปด้วยกับพวกเราอย่างนั้นหรือ เราจะไปไหนก็ยังไม่รู้เลย เจ้าจงกลับไป และพาพี่น้องเจ้าไปด้วย และขอให้พระผู้เป็นเจ้าแสดงความรักอันมั่นคงและความสัตย์จริงแก่เจ้า” 21 แต่อิททัยตอบกษัตริย์ว่า “ตราบที่พระผู้เป็นเจ้ามีชีวิตอยู่ฉันใด และตราบที่เจ้านายผู้เป็นกษัตริย์มีชีวิตอยู่ฉันใด ไม่ว่าเจ้านายผู้เป็นกษัตริย์จะอยู่หนใด ไม่ว่ามีชีวิตหรือสิ้นชีวิตก็ตาม ผู้รับใช้ของท่านจะไปที่นั่นด้วย” 22 ดาวิดกล่าวกับอิททัยว่า “ถ้าเช่นนั้นก็ไปกันเถิด เจ้าจงเดินหน้าต่อไป” ดังนั้นอิททัยชาวกัทก็เดินต่อไปกับทหารของท่าน พร้อมกับคนที่อยู่ในการดูแลของท่านทุกคน 23 คนทั่วทั้งแผ่นดินร้องไห้เสียงดังขณะที่ทุกคนเดินผ่านไป และกษัตริย์ข้ามน้ำขิดโรนในหุบเขา และทุกคนก็เดินต่อไปตามทางที่จะไปยังถิ่นทุรกันดาร
24 ดูเถิด ศาโดกก็อยู่ที่นั่นด้วย และชาวเลวีทั้งปวงที่อยู่กับท่านก็กำลังหามหีบพันธสัญญาของพระเจ้า และเมื่อวางหีบของพระเจ้าลงแล้ว อาบียาธาร์ก็ขึ้นไปถวายเครื่องสักการะ จนกว่าทุกคนเดินออกจากเมืองไปหมดแล้ว 25 แล้วกษัตริย์กล่าวกับศาโดกว่า “จงหามหีบของพระเจ้ากลับเข้าไปในเมือง ถ้าหากว่าเราเป็นที่โปรดปรานในสายตาของพระผู้เป็นเจ้า พระองค์จะนำเรากลับมา และให้เราเห็นหีบนั้นกับที่พำนักของพระองค์ด้วย 26 แต่ถ้าพระองค์กล่าวว่า ‘เราไม่พอใจเจ้า’ ดูเถิด เราอยู่นี่ ให้พระองค์กระทำต่อข้าพเจ้าตามที่พระองค์เห็นสมควร” 27 กษัตริย์กล่าวกับศาโดกปุโรหิตอีกว่า “ท่านเป็นผู้รู้มิใช่หรือ กลับเข้าไปในเมืองโดยสันติกับอาหิมาอัสบุตรของท่านและโยนาธานบุตรของอาบียาธาร์ 28 เราจะรอที่เขตลำน้ำที่ลุยข้ามได้ในถิ่นทุรกันดารจนกว่าท่านจะส่งข่าวให้เราทราบ” 29 ดังนั้นศาโดกและอาบียาธาร์จึงหามหีบของพระเจ้ากลับไปยังเยรูซาเล็ม และพักอยู่ที่นั่น
30 แต่ดาวิดเดินต่อไป ขึ้นเนินที่ภูเขามะกอก ร้องไห้ขณะที่เดินไปด้วยเท้าเปล่าและมีผ้าคลุมศีรษะ และทุกคนที่ติดตามท่านไปก็คลุมศีรษะเช่นกัน ต่างเดินร้องไห้ขึ้นไป 31 มีคนเรียนดาวิดว่า “อาหิโธเฟลเป็นหนึ่งในพวกที่กบฏร่วมกับอับซาโลม” ดาวิดกล่าวว่า “โอ พระผู้เป็นเจ้า โปรดทำให้คำปรึกษาของอาหิโธเฟลกลายเป็นคำที่โง่เขลาเถิด”
32 ขณะที่ดาวิดกำลังเดินถึงยอดเขา ซึ่งเป็นที่นมัสการพระเจ้า ดูเถิด หุชัยชาวอาร์คีมาพบกับท่าน เสื้อที่เขาสวมก็ฉีกขาด เศษดินอยู่บนศีรษะ 33 ดาวิดกล่าวกับเขาว่า “ถ้าท่านไปกับเรา ท่านก็จะเป็นภาระแก่เรา 34 แต่ถ้าท่านกลับเข้าเมืองไปและบอกอับซาโลมว่า ‘โอ กษัตริย์ ข้าพเจ้าจะเป็นข้ารับใช้ของท่าน ดังที่ข้าพเจ้าเป็นข้ารับใช้ของบิดาของท่านในอดีต ฉะนั้นในเวลานี้ ข้าพเจ้าจะเป็นข้ารับใช้ของท่าน’ แล้วท่านจะช่วยทำให้คำปรึกษาของอาหิโธเฟลล้มเหลวเพื่อเรา 35 ศาโดกปุโรหิต และอาบียาธาร์จะอยู่ที่นั่นด้วยกับท่านมิใช่หรือ ดังนั้นไม่ว่าท่านได้ยินสิ่งใดในวังของกษัตริย์ ก็จงบอกให้ศาโดกและอาบียาธาร์ฟัง 36 ดูเถิด บุตรทั้งสองของพวกเขาคือ อาหิมาอัสบุตรของศาโดก และโยนาธานบุตรของอาบียาธาร์ ก็อยู่กับเขาที่นั่นด้วย และเรื่องทุกเรื่องที่ท่านได้ยินมา ก็ส่งคนทั้งสองมาบอกให้เรารู้เถิด” 37 ดังนั้นหุชัยเพื่อนของดาวิดจึงเข้าไปในเมือง ขณะเดียวกับที่อับซาโลมกำลังเข้าไปในเยรูซาเล็ม
Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation