Beginning
พระผู้เป็นเจ้าไม่ยอมรับซาอูล
15 ซามูเอลพูดกับซาอูลว่า “ข้าพเจ้าเป็นคนที่พระผู้เป็นเจ้าใช้ให้มาเจิมท่านเป็นกษัตริย์ปกครองคนของพระองค์ คือชาวอิสราเอล ฉะนั้นบัดนี้ขอท่านฟังคำพูดของพระผู้เป็นเจ้า 2 พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธากล่าวว่า ‘เราจะลงโทษพวกอามาเลข ตามที่เขาได้กระทำต่ออิสราเอล ต่อต้านพวกเขาในขณะที่กำลังออกไปจากประเทศอียิปต์[a] 3 เวลานี้จงไปโจมตีพวกอามาเลข และทำลายทุกสิ่งที่เป็นของพวกเขา อย่าไว้ชีวิตใคร ฆ่าทั้งชายและหญิง เด็กๆ และทารก โคและแกะ อูฐและลา’”
4 ดังนั้นซาอูลจึงเกณฑ์พลและตรวจพลที่เทลาอิม มีทหารราบ 200,000 คน และชาย 10,000 คนจากเผ่ายูดาห์ 5 ซาอูลไปยังเมืองของชาวอามาเลข และดักซุ่มที่ธารน้ำในหุบเขา 6 แล้วท่านพูดกับชาวเคนว่า “ไปเถิด จงไปเสียจากชาวอามาเลข เพื่อเราจะไม่ต้องทำลายพวกท่านรวมไปกับพวกเขาด้วย เพราะว่าพวกท่านกรุณาต่อชาวอิสราเอลทั้งปวง ในเวลาที่เขาออกมาจากประเทศอียิปต์”[b] ดังนั้นชาวเคนจึงแยกย้ายออกไปจากชาวอามาเลข 7 และซาอูลก็โจมตีชาวอามาเลข ตั้งแต่ฮาวิลาห์ไปจนถึงชูร์ซึ่งอยู่ทางตะวันออกของอียิปต์ 8 ท่านจับอากักกษัตริย์ของชาวอามาเลขได้ทั้งเป็น ท่านทำลายล้างทุกชีวิตด้วยคมดาบ 9 แต่ซาอูลและพวกทหารไว้ชีวิตอากักและแกะกับโคที่ดีที่สุด รวมทั้งลูกโคและลูกแกะอ้วนพี คือทุกสิ่งที่ดีๆ พวกเขาไม่ยอมทำลายให้เสียสิ้น แต่ทุกสิ่งที่ไม่มีค่าและอ่อนแอนั้น พวกเขาทำลายล้างจนหมดสิ้น
10 พระผู้เป็นเจ้าจึงกล่าวกับซามูเอลว่า 11 “เราเสียใจที่ได้แต่งตั้งซาอูลให้เป็นกษัตริย์ เพราะว่าเขาได้หันไปจากเรา และไม่ได้กระทำตามคำบัญชาของเรา” ซามูเอลไม่สบายใจ ท่านจึงได้ร้องเรียกถึงพระผู้เป็นเจ้าตลอดทั้งคืน 12 วันรุ่งขึ้นซามูเอลลุกขึ้นแต่เช้าตรู่ และไปพบกับซาอูล แต่มีคนบอกท่านว่า “ซาอูลไปที่ภูเขาคาร์เมลแล้ว ท่านไปตั้งสถานที่ระลึกที่นั่นเพื่อเป็นเกียรติแก่ตนเอง และลงไปยังกิลกาลต่ออีกด้วย” 13 เมื่อซามูเอลตามหาซาอูลพบแล้ว ซาอูลพูดว่า “พระผู้เป็นเจ้าอวยพรให้แก่ท่าน เราได้กระทำตามคำสั่งของพระผู้เป็นเจ้าแล้ว” 14 แต่ซามูเอลพูดว่า “แล้วเสียงร้องจากฝูงแพะแกะและฝูงโคล่ะ มันเรื่องอะไรกัน” 15 ซาอูลตอบว่า “พวกทหารเอาฝูงสัตว์มาจากพวกอามาเลข และไว้ชีวิตแพะแกะและโคที่ดีที่สุด เพื่อถวายเป็นเครื่องสักการะแด่พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน และที่เหลือ เราก็ได้ทำลายล้างจนหมดสิ้นแล้ว” 16 ซามูเอลพูดกับซาอูลว่า “หยุดได้แล้ว ให้เราบอกท่านเถิดว่าพระผู้เป็นเจ้ากล่าวอะไรกับเราเมื่อคืนนี้” ซาอูลตอบว่า “บอกเราเถิด”
17 ซามูเอลพูดว่า “แม้ว่าท่านเคยคิดว่า ท่านไม่ใช่คนสำคัญนัก แล้วท่านไม่ได้มาเป็นผู้นำของบรรดาเผ่าของอิสราเอลหรือ พระผู้เป็นเจ้าเจิมท่านให้เป็นกษัตริย์ปกครองอิสราเอล 18 และพระองค์มอบหมายให้ท่านออกไปปฏิบัติงาน โดยกล่าวว่า ‘จงไปทำลายล้างชาวอามาเลขซึ่งเป็นคนบาปให้หมดสิ้น ทำศึกสงครามกับพวกนั้นจนเจ้าปราบทุกคนให้สูญสิ้น’ 19 ทำไมท่านจึงไม่เชื่อฟังพระผู้เป็นเจ้า ทำไมท่านจึงได้ตะครุบเอาสิ่งที่ริบได้ และกระทำชั่วในสายตาของพระผู้เป็นเจ้า” 20 ซาอูลพูดกับซามูเอลว่า “แต่เราเชื่อฟังพระผู้เป็นเจ้าแล้ว เราปฏิบัติไปตามที่พระผู้เป็นเจ้ามอบหมายให้เราทำ เราพาอากักกษัตริย์ของพวกเขากลับมา และเราทำลายล้างพวกอามาเลขจนหมดสิ้น 21 พวกทหารเอาฝูงแพะแกะและฝูงโคจากที่ริบมาได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่ถูกกำหนดให้พินาศ เพื่อเป็นเครื่องสักการะแด่พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านที่กิลกาล”
22 ซามูเอลพูดว่า
“พระผู้เป็นเจ้ายินดีในสัตว์ที่เผาเป็นของถวาย
และเครื่องสักการะ มากเท่ากับการเชื่อฟังพระผู้เป็นเจ้าหรือ
การเชื่อฟังดีกว่าเครื่องสักการะ
และการฟังก็ดีกว่าไขมันจากแกะตัวผู้
23 เพราะว่าการขัดขืนเป็นดั่งบาปของการทำนายอนาคต
และความยโสเป็นดั่งความชั่วของการบูชารูปเคารพ
เพราะท่านไม่ได้กระทำตามคำกล่าวของพระผู้เป็นเจ้า
พระองค์ไม่ยอมรับท่านเป็นกษัตริย์แล้ว”
24 ซาอูลพูดกับซามูเอลว่า “เราได้กระทำบาปแล้ว เราได้ละเมิดคำบัญชาของพระผู้เป็นเจ้าและสิ่งที่ท่านแจ้ง เรากลัวผู้คน เราจึงยอมทำตามพวกเขา 25 เวลานี้เราขอร้องท่าน โปรดให้อภัยบาปของเรา และกลับไปกับเรา เราจะได้นมัสการพระผู้เป็นเจ้า” 26 แต่ซามูเอลพูดกับท่านว่า “เราจะไม่กลับไปกับท่าน ท่านไม่ได้กระทำตามคำกล่าวของพระผู้เป็นเจ้า และพระผู้เป็นเจ้าไม่ยอมรับท่านเป็นกษัตริย์ปกครองอิสราเอลแล้ว” 27 ขณะที่ซามูเอลหันกลับเพื่อจะจากไป ซาอูลคว้าชายเสื้อท่านไว้ เสื้อก็ขาด 28 ซามูเอลพูดกับท่านว่า “พระผู้เป็นเจ้าได้ฉีกอาณาจักรของอิสราเอลไปจากท่านในวันนี้ และมอบให้แก่คนร่วมชาติของท่านอีกคนหนึ่งซึ่งดีกว่าท่าน 29 พระองค์ผู้เป็นพระบารมีของอิสราเอลไม่พูดปดหรือเปลี่ยนใจ เพราะพระองค์ไม่ใช่มนุษย์ที่จะเปลี่ยนใจ” 30 ซาอูลตอบว่า “เราได้กระทำบาปแล้ว แต่โปรดให้เกียรติเราต่อหน้าบรรดาหัวหน้าชั้นผู้ใหญ่ของประชาชน และต่อหน้าอิสราเอล ท่านกลับมากับเราเถิด เราจะได้นมัสการพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน” 31 ดังนั้นซามูเอลจึงกลับไปกับซาอูล และซาอูลก็ได้นมัสการพระผู้เป็นเจ้า
32 ซามูเอลกล่าวว่า “พาอากักกษัตริย์ของชาวอามาเลขมาให้เรา” อากักก็มาหาท่านด้วยความมั่นใจและคิดว่า “จังหวะที่จะต้องตายคงผ่านพ้นไปแล้วเป็นแน่” 33 แต่ซามูเอลพูดว่า “เท่าที่คมดาบของท่านได้ทำให้ผู้หญิงบางคนไร้บุตรฉันใด มารดาของท่านก็จะไร้บุตรในบรรดาผู้หญิงฉันนั้น” และซามูเอลก็ประหารอากักต่อหน้าพระผู้เป็นเจ้าที่กิลกาล
34 จากนั้นซามูเอลก็ไปยังรามาห์ แต่ซาอูลขึ้นไปยังวังของท่านที่กิเบอาห์แห่งซาอูล 35 ซามูเอลไม่ได้ไปพบซาอูลอีกจนวันสิ้นชีวิต กระนั้นก็ตามซามูเอลยังร้องคร่ำครวญถึงซาอูล และพระผู้เป็นเจ้าเสียใจที่พระองค์แต่งตั้งซาอูลให้เป็นกษัตริย์ปกครองอิสราเอล
ดาวิดกษัตริย์ที่ได้รับการเจิม
16 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับซามูเอลว่า “เจ้าจะเศร้าใจเพราะซาอูลไปนานแค่ไหน เราไม่รับเขาเป็นกษัตริย์ปกครองอิสราเอลแล้ว จงเติมน้ำมันให้เต็มเขาสัตว์ แล้วไปเถิด เราจะให้เจ้าไปหาเจสซีชาวเบธเลเฮม เพราะเราได้เตรียมกษัตริย์ผู้หนึ่งจากบรรดาบุตรของเขาไว้แล้วสำหรับเรา” 2 ซามูเอลพูดว่า “ข้าพเจ้าจะไปได้อย่างไร ถ้าซาอูลทราบเรื่อง ท่านก็จะฆ่าข้าพเจ้าตาย” และพระผู้เป็นเจ้ากล่าวว่า “จงเอาลูกโคตัวเมียตัวหนึ่งไปกับเจ้า และบอกว่า ‘เรามาเพื่อถวายเครื่องสักการะแด่พระผู้เป็นเจ้า’ 3 และจงเชิญเจสซีมาที่ถวายเครื่องสักการะ และเราจะบอกเจ้าว่าควรจะทำอะไร และเจ้าจะเจิมคนที่เราบอกให้เจ้ารู้” 4 ซามูเอลกระทำตามที่พระผู้เป็นเจ้าสั่ง ท่านจึงไปยังเบธเลเฮม บรรดาหัวหน้าชั้นผู้ใหญ่ของเมืองก็ออกมาพบกับท่าน ตัวสั่นเทาและพูดกับท่านว่า “ท่านมาอย่างสันติหรือ” 5 ท่านตอบว่า “มาอย่างสันติสิ เรามาเพื่อถวายเครื่องสักการะแด่พระผู้เป็นเจ้า พวกท่านจงชำระตัวให้บริสุทธิ์ และไปยังที่ถวายเครื่องสักการะกับเรา” ท่านก็ชำระตัวเจสซีและบรรดาบุตรให้บริสุทธิ์ และเชิญพวกเขาไปยังที่ถวายเครื่องสักการะ
6 เมื่อเขาเหล่านั้นมาถึง ซามูเอลก็มองเอลีอับพร้อมกับคิดว่า “คนที่พระผู้เป็นเจ้าจะเจิมอยู่เบื้องหน้าพระองค์แล้วอย่างแน่นอน” 7 แต่พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับซามูเอลว่า “อย่ามองแต่เพียงร่างที่ปรากฏให้เห็น หรือดูความสูงของเขา เพราะเราไม่รับเขา พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้เห็นเหมือนกับมนุษย์เห็น มนุษย์มองสิ่งที่ปรากฏให้เห็นแต่ภายนอก แต่พระผู้เป็นเจ้ามองที่จิตใจ” 8 และเจสซีเรียกอาบีนาดับมา และให้เขาเดินผ่านหน้าซามูเอล และซามูเอลพูดว่า “พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้เลือกคนนี้เช่นกัน” 9 เจสซีจึงเรียกชัมมาห์ให้มาเดินผ่านหน้า และซามูเอลพูดว่า “พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้เลือกคนนี้เช่นกัน” 10 เจสซีให้บุตรทั้งเจ็ดของเขามาเดินผ่านหน้าซามูเอล ซามูเอลพูดกับเจสซีว่า “พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้เลือกบุตรทั้งหมดนี้” 11 ครั้นแล้วซามูเอลพูดกับเจสซีว่า “บุตรของท่านทุกคนอยู่ที่นี่หรือ” เขาตอบว่า “ยังเหลือคนที่เล็กสุด แต่เขากำลังเฝ้าฝูงแกะอยู่” ซามูเอลพูดกับเจสซีว่า “ให้คนไปพาตัวเขามาที่นี่ เพราะพวกเราจะไม่นั่งลงจนกว่าเขาจะมาที่นี่” 12 เขาจึงให้คนไปตามตัวเข้ามา เขาเป็นคนผิวออกแดงๆ ดวงตาเป็นประกายและรูปงาม และพระผู้เป็นเจ้ากล่าวว่า “ลุกขึ้น และเจิมเขาเถิด คนนี้แหละ” 13 ครั้นแล้วซามูเอลจึงเจิมเขาด้วยน้ำมันจากเขาสัตว์ในท่ามกลางบรรดาพี่ๆ และดาวิดก็เปี่ยมด้วยอานุภาพแห่งพระวิญญาณพระผู้เป็นเจ้าตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นไป แล้วซามูเอลลุกขึ้นและกลับไปยังรามาห์
ดาวิดรับใช้ซาอูล
14 ครั้งนั้น พระวิญญาณพระผู้เป็นเจ้าได้จากซาอูลไปแล้ว และวิญญาณอันชั่วร้ายที่พระผู้เป็นเจ้าส่งมาก็ทรมานท่าน 15 บรรดาผู้รับใช้ของซาอูลพูดกับท่านว่า “ดูเถิด วิญญาณอันชั่วร้ายที่พระเจ้าส่งมาก็กำลังทรมานท่านอยู่ 16 ขอให้นายท่านบัญชาผู้รับใช้ทั้งปวงในที่นี้ ไปหาชายคนหนึ่งที่เล่นพิณเล็กด้วยความชำนาญมา เผื่อเวลาวิญญาณอันชั่วร้ายที่พระเจ้าส่งมาเข้าตัวท่าน เขาจะได้เล่นพิณ และท่านจะได้หายดี” 17 ซาอูลจึงพูดกับบรรดาผู้รับใช้ว่า “ไปเสาะหาชายคนหนึ่งที่สามารถเล่นพิณเก่ง พาเขามาหาเรา” 18 คนหนึ่งในพวกชายหนุ่มตอบว่า “ดูเถิด ข้าพเจ้าเคยเห็นบุตรคนหนึ่งของเจสซีชาวเบธเลเฮม เขาเล่นพิณเก่ง กล้าหาญ เป็นนักรบ มีโวหารดี และลักษณะก็ดี และพระผู้เป็นเจ้าสถิตกับเขา” 19 ดังนั้นซาอูลให้ผู้ส่งข่าวไปบอกเจสซีว่า “จงให้ดาวิดบุตรของท่าน ที่เฝ้าฝูงแกะอยู่มาหาเรา” 20 เจสซีจึงบรรทุกลาตัวหนึ่งด้วยขนมปัง ถุงหนังใส่เหล้าองุ่น 1 ถุง และแพะหนุ่ม 1 ตัว ให้ดาวิดบุตรของตนนำไปให้ซาอูล 21 ดาวิดไปเข้าเฝ้าซาอูล และคอยรับใช้ท่าน ซาอูลรักดาวิดมาก และเขาได้เป็นคนถืออาวุธของท่าน 22 และซาอูลให้คนไปบอกเจสซีว่า “ให้ดาวิดอยู่รับใช้เราต่อไปเถิด เพราะเขาเป็นที่โปรดปรานของเรามาก” 23 และเมื่อใดที่วิญญาณอันชั่วร้ายที่พระเจ้าส่งมาเข้าตัวท่าน ดาวิดก็เอาพิณเล็กมาเล่นด้วยตนเอง ซาอูลจึงรู้สึกสดชื่นและหายดี และวิญญาณชั่วร้ายก็จากท่านไป
ดาวิดกับโกลิอัท
17 ชาวฟีลิสเตียได้รวบรวมกองทหารเพื่อทำสงคราม และประชุมกันที่โสโคห์ซึ่งอยู่ในเขตยูดาห์ ตั้งค่ายอยู่ระหว่างโสโคห์และอาเซคาห์ที่เอเฟสดัมมิม 2 ซาอูลและบรรดาชายชาวอิสราเอลประชุมกัน และตั้งค่ายอยู่ในหุบเขาเอลาห์ และยืนแถวในแนวรบกับชาวฟีลิสเตีย 3 ชาวฟีลิสเตียยืนอยู่ทางฟากหนึ่งของภูเขา และชาวอิสราเอลยืนอยู่อีกฟากหนึ่ง มีหุบเขากั้นระหว่าง 2 ฝ่าย 4 ผู้ต่อสู้ตัวเอกแห่งเมืองกัทคนหนึ่งสูง 6 ศอก ชื่อโกลิอัท ออกมาจากค่ายของชาวฟีลิสเตีย 5 เขามีหมวกทองสัมฤทธิ์สวมศีรษะ สวมเสื้อเกราะป้องกันตัว เสื้อเป็นทองสัมฤทธิ์หนัก 5,000 เชเขล[c] 6 และมีเกราะทองสัมฤทธิ์ป้องกันขา และมีหอกซัดทองสัมฤทธิ์ผูกไว้บนหลังของเขา 7 ด้ามแหลนของเขาเหมือนไม้กระพั่นของคนทอผ้า ปลายแหลนเป็นเหล็กหนัก 600 เชเขล และคนแบกโล่เดินล่วงหน้าเขาไป 8 โกลิอัทยืนตะโกนบอกชาวอิสราเอลที่ยืนแถวในแนวรบว่า “ทำไมพวกเจ้าออกมายืนแถวเตรียมรบเล่า ข้าไม่ใช่ชาวฟีลิสเตียหรือ และเจ้าเป็นคนรับใช้ของซาอูลมิใช่หรือ จงเลือกชายคนใดคนหนึ่งออกมา ให้เขาลงมาหาข้า 9 ถ้าเขาสามารถสู้และฆ่าข้าได้ พวกเราก็จะเป็นคนรับใช้ของพวกเจ้า แต่ถ้าข้าสู้ชนะและฆ่าเขาตาย พวกเจ้าก็จะเป็นคนรับใช้ของพวกเรา และรับใช้พวกเรา” 10 ชาวฟีลิสเตียคนนั้นพูดว่า “วันนี้เราขอท้าแนวรบของอิสราเอล ส่งชายคนใดคนหนึ่งให้ออกมาสู้กับเราตัวต่อตัว” 11 ครั้นซาอูลและชาวอิสราเอลได้ยินชาวฟีลิสเตียพูดเช่นนั้น ก็ตกใจและหวาดกลัวมาก
12 ดาวิดเป็นบุตรคนหนึ่งของเจสซีชาวเอฟราธาห์แห่งเบธเลเฮมในยูดาห์ เจสซีมีบุตร 8 คน และในช่วงเวลาของซาอูล เจสซีก็ชราและมีอายุมากแล้ว 13 บุตร 3 คนแรกของเจสซีได้ติดตามซาอูลไปสู้รบบ้างแล้ว บุตรทั้งสามที่ได้ไปสู้รบชื่อ เอลีอับบุตรหัวปี อาบีนาดับคนถัดไป และชัมมาห์คนที่สาม 14 ดาวิดเป็นคนสุดท้อง 3 คนแรกติดตามซาอูลไป 15 แต่ดาวิดไปๆ มาๆ ระหว่างซาอูลและกลับไปเลี้ยงดูฝูงแกะของบิดาที่เบธเลเฮม 16 ชาวฟีลิสเตียคนนั้นได้ออกมาท้าทายอย่างไม่หยุดยั้ง ทั้งเช้าทั้งเย็นเป็นเวลา 40 วัน
17 เจสซีพูดกับดาวิดบุตรของตนว่า “เจ้าเอาข้าวคั่ว 1 เอฟาห์[d] กับขนมปัง 10 ก้อนไป เอาไปให้พี่ๆ ของเจ้าที่ค่ายโดยเร็ว 18 เอาเนยแข็ง 10 ก้อนไปให้ผู้บังคับกองพันด้วย ไปดูซิว่าพวกพี่ชายของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง และเอาอะไรจากพวกเขากลับมาพิสูจน์ให้เห็นด้วย”
19 ขณะนั้นซาอูล พวกพี่ชายของดาวิด และชายอิสราเอลคนอื่นๆ กำลังสู้รบกับพวกชาวฟีลิสเตียในหุบเขาเอลาห์ 20 ดาวิดลุกขึ้นแต่เช้าตรู่ ปล่อยให้คนเฝ้าแกะดูแลฝูงแกะ และหอบของที่เจสซีสั่งให้เอาไป เขาเดินทางถึงค่ายขณะที่กองทัพกำลังออกไปเผชิญหน้ากันด้วยเสียงโห่ร้องของสนามรบ 21 ชาวอิสราเอลและชาวฟีลิสเตียยืนแถวในแนวรบ กองทัพปะทะกับกองทัพ 22 ดาวิดจึงให้ของที่หอบมาไว้กับคนดูแลสัมภาระ และวิ่งไปยังกองรบที่ยืนแถวอยู่ และไปทักทายพวกพี่ๆ 23 ขณะที่เขากำลังพูดกับพวกพี่ๆ ดูเถิด ผู้ต่อสู้ตัวเอกชื่อโกลิอัทชาวฟีลิสเตียแห่งเมืองกัท ก็ก้าวออกมาจากแนวรบของพวกฟีลิสเตีย และพูดเหมือนกับที่เคยพูดมาแล้ว และดาวิดได้ยินเขาพูด
24 เมื่อชายชาวอิสราเอลทุกคนเห็นโกลิอัท พวกเขาก็ถอยหนีไปด้วยความกลัวยิ่งนัก 25 ชายชาวอิสราเอลจึงพูดขึ้นว่า “เจ้าเคยเห็นคนที่ขึ้นมาแล้วหรือยัง เขาขึ้นมาเพื่อท้าทายอิสราเอลอย่างแน่นอน กษัตริย์ของเราจะมอบรางวัลอย่างมั่งคั่งให้แก่คนที่ฆ่าเขาได้ และจะมอบบุตรสาวของท่านให้ด้วย อีกทั้งครอบครัวของเขาจะมีอิสระทุกอย่างในประเทศอิสราเอล” 26 ดาวิดพูดกับบรรดาชายที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ว่า “จะเกิดอะไรขึ้นกับคนที่ฆ่าชาวฟีลิสเตียคนนี้ และช่วยอิสราเอลให้พ้นจากคำดูหมิ่นได้ ชาวฟีลิสเตียที่ไม่ได้เข้าสุหนัตผู้นี้เป็นใคร เขาจึงท้าทายกองทัพของพระเจ้าผู้ดำรงชีวิต” 27 และประชาชนก็ตอบเหมือนกันว่า “คนที่ฆ่าเขาตายจะได้รับสิ่งดังกล่าวนั้นแหละ”
28 ฝ่ายเอลีอับพี่ชายคนหัวปีของเขาได้ยินดาวิดพูดกับพวกผู้ชาย เอลีอับจึงโกรธดาวิดมาก และถามว่า “เจ้าลงมาทำไม และเจ้าปล่อยแกะไม่กี่ตัวไว้กับใครในถิ่นทุรกันดาร ข้ารู้ความหยิ่งผยองของเจ้า และเจ้าคิดในสิ่งชั่วร้าย เป็นเพราะเจ้าอยากลงมาดูการสู้รบนั่นเอง” 29 ดาวิดจึงตอบว่า “เราไม่ได้ทำอะไรผิด เพียงแต่พูดไม่กี่คำเท่านั้น” 30 แล้วเขาก็หันไปทางคนอื่น และพูดเหมือนเดิมอีก และประชาชนก็ตอบเขาเหมือนเดิมอีกเช่นกัน
31 เมื่อคนได้ยินสิ่งที่ดาวิดพูด เขาก็ไปพูดให้ซาอูลฟัง ท่านจึงให้คนไปตามตัวมา 32 ดาวิดพูดกับซาอูลว่า “อย่าให้ใครใจเสียเพราะชายคนนั้น ผู้รับใช้ของท่านจะไปต่อสู้กับชาวฟีลิสเตียคนนั้นเอง” 33 ซาอูลพูดกับดาวิดว่า “เจ้าไม่สามารถไปต่อสู้กับชาวฟีลิสเตียคนนั้นได้หรอก เพราะเจ้ายังมีอายุน้อยอยู่ แต่เขาเป็นนักรบมาตั้งแต่เยาว์วัยแล้ว” 34 แต่ดาวิดพูดกับซาอูลว่า “ผู้รับใช้ของท่านเคยเฝ้าดูฝูงแกะให้พ่อ และเมื่อใดที่มีสิงโตหรือหมีมาตะครุบลูกแกะไปจากฝูง 35 ข้าพเจ้าก็ไล่ตามไปสู้ และช่วยลูกแกะรอดจากปากสิงโต แต่ถ้ามันกระโจนใส่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็คว้าขนที่คอ และทุบตีมันจนตาย 36 ผู้รับใช้ของท่านได้ต่อสู้ชนะสิงโตและหมีมาแล้ว และชาวฟีลิสเตียที่ไม่ได้เข้าสุหนัตผู้นี้ก็จะเป็นเหมือนสัตว์เหล่านั้น เพราะเขาท้ากองทัพของพระเจ้าผู้ดำรงอยู่” 37 และดาวิดพูดว่า “พระผู้เป็นเจ้าผู้ช่วยข้าพเจ้าให้รอดจากอุ้งเท้าสิงโตและหมี ก็จะช่วยข้าพเจ้าให้รอดจากเงื้อมมือของชาวฟีลิสเตียผู้นี้” ซาอูลจึงพูดกับดาวิดว่า “ไปเถิด และขอให้พระผู้เป็นเจ้าสถิตกับเจ้า”
38 ครั้นแล้วซาอูลก็ให้ดาวิดสวมชุดออกศึกของท่าน ท่านสวมหมวกทองสัมฤทธิ์บนศีรษะ และให้สวมเสื้อเกราะป้องกันตัวให้เขา 39 ดาวิดสะพายดาบของท่านทับชุดออกศึก แล้วพยายามเดินไป แต่เดินไม่ได้ เพราะไม่เคยสวมมาก่อน ดาวิดจึงพูดกับซาอูลว่า “ข้าพเจ้าสวมชุดแบบนี้ไปต่อสู้ไม่ได้หรอก เพราะไม่เคยใช้” ดาวิดจึงปลดออก 40 แล้วเขาก็ถือไม้เท้าของเขา และเลือกก้อนหิน 5 ก้อนจากธารน้ำ เก็บใส่ถุงที่คนเลี้ยงแกะใช้กัน มือถือสลิง[e] แล้วเขาก็เดินไปหาชาวฟีลิสเตียผู้นั้น
41 ชาวฟีลิสเตียเดินหน้าเข้าหาดาวิด พร้อมกับมีคนถือโล่เดินนำหน้าเขา 42 เมื่อชาวฟีลิสเตียมองเห็นดาวิดก็ดูถูกเขา เพราะเป็นเพียงเด็ก ผิวออกแดงๆ และรูปงาม 43 ชาวฟีลิสเตียพูดกับดาวิดว่า “ข้าเป็นหมาหรือไง เจ้าจึงถือไม้มาด้วย” และชาวฟีลิสเตียผู้นั้นก็แช่งด่าดาวิดในนามเทพเจ้าของเขา 44 ชาวฟีลิสเตียพูดกับดาวิดว่า “มาหาข้าสิ ข้าจะได้เอาเนื้อเจ้าให้นกในอากาศกับสัตว์ป่าในทุ่งกิน” 45 แล้วดาวิดพูดกับชาวฟีลิสเตียว่า “ท่านมีดาบ แหลน และหอกซัดมาหาเรา แต่เรามาหาท่านด้วยพระนามของพระผู้เป็นเจ้าจอมโยธา พระเจ้าของกองทัพของอิสราเอลที่ท่านท้าทาย 46 วันนี้พระผู้เป็นเจ้าจะมอบท่านไว้ในมือของเรา และเราจะปราบท่าน และตัดหัวท่าน และเราจะเอาศพทหารของชาวฟีลิสเตียให้นกในอากาศกับสัตว์ป่าในโลกกิน เพื่อทั่วทั้งโลกจะได้รู้ว่ามีพระเจ้าในอิสราเอล 47 และทุกคนที่อยู่ที่นี่จะได้รู้ว่าพระผู้เป็นเจ้าไม่ได้ช่วยให้รอดด้วยดาบและแหลน เพราะการสู้รบเป็นของพระผู้เป็นเจ้า และพระองค์จะมอบท่านไว้ในมือของพวกเรา”
48 เมื่อชาวฟีลิสเตียผู้นั้นก้าวเข้าไปหาดาวิดใกล้ยิ่งขึ้น ดาวิดจึงรีบวิ่งสู่สนามรบเพื่อปะทะกับชาวฟีลิสเตียผู้นั้น 49 ดาวิดหยิบก้อนหินที่อยู่ในถุงออกมาก้อนหนึ่ง และเหวี่ยงถูกหน้าผากของชาวฟีลิสเตีย หินก้อนนั้นฝังเข้าไปในหน้าผาก และเขาก็ทรุดตัวลงบนพื้นดิน
50 ดังนั้นดาวิดชนะชาวฟีลิสเตียด้วยสลิงและก้อนหินก้อนเดียว ปราบชาวฟีลิสเตียและฆ่าเขาได้ ดาวิดไม่มีแม้แต่ดาบติดตัว 51 ดาวิดวิ่งไปและก้มดูชาวฟีลิสเตียคนนั้น ควักดาบออกจากฝัก ฆ่าเขาให้ตายและตัดหัวด้วย เมื่อชาวฟีลิสเตียทั้งปวงเห็นว่าผู้ต่อสู้ตัวเอกของพวกเขาตายเสียแล้ว จึงพากันหนีเตลิดไป 52 ฝ่ายชาวอิสราเอลและยูดาห์ก็วิ่งไปข้างหน้าพร้อมกับเสียงโห่ร้องไล่ตามชาวฟีลิสเตียไปจนถึงเมืองกัทและประตูเมืองเอโครน ชาวฟีลิสเตียที่บาดเจ็บจึงล้มลงตามทางตั้งแต่ชาอาราอิม ไปจนถึงเมืองกัทและเอโครน 53 ชาวอิสราเอลไล่ล่าชาวฟีลิสเตียไปแล้วก็กลับมา เพื่อริบข้าวของไปจากค่าย 54 ฝ่ายดาวิดก็เอาหัวของชาวฟีลิสเตียคนนั้นไปที่เมืองเยรูซาเล็ม และเก็บเสื้อเกราะของโกลิอัทไว้ในกระโจมของตน
55 ทันทีที่ซาอูลเห็นดาวิดออกไปต่อสู้กับชาวฟีลิสเตียคนนั้น ท่านถามอับเนอร์ผู้บังคับกองพันทหารว่า “อับเนอร์ เจ้าหนุ่มน้อยคนนี้เป็นบุตรของใคร” อับเนอร์ตอบว่า “ข้าแต่กษัตริย์ ข้าพเจ้าพูดตามตรงว่า ข้าพเจ้าไม่ทราบ” 56 และกษัตริย์กล่าวว่า “ไปไถ่ถามดูสิว่าเด็กหนุ่มคนนั้นเป็นบุตรของใคร” 57 ขณะที่ดาวิดกลับมาจากการฆ่าฟันชาวฟีลิสเตีย อับเนอร์ก็พาไปหาซาอูลพร้อมกับหัวของชาวฟีลิสเตียยังอยู่ในมือ 58 ซาอูลจึงกล่าวกับเขาว่า “เจ้าหนุ่มน้อย เจ้าเป็นบุตรของใคร” ดาวิดตอบว่า “ข้าพเจ้าเป็นบุตรของเจสซีชาวเบธเลเฮมผู้รับใช้ของท่าน”
Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation