Beginning
ชาวอิสราเอลกลับไปหาพระผู้เป็นเจ้า
30 เราให้ท่านเลือกระหว่างพระพรและคำสาปแช่ง เมื่อสิ่งเหล่านี้ที่เราพูดถึงบังเกิดขึ้นกับท่าน และขณะที่ท่านอยู่ท่ามกลางประชาชาติทั้งปวงซึ่งพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านทำให้ท่านกระจัดกระจายไปอาศัยอยู่ ท่านก็จะระลึกขึ้นได้ถึงสิ่งที่เราให้ท่านเลือก 2 แล้วท่านกับลูกหลานของท่านกลับไปหาพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน และเชื่อฟังในทุกสิ่งที่เราบัญชาท่านในวันนี้อย่างสุดดวงใจและสุดดวงจิตของท่าน 3 และพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านจะให้ความอุดมสมบูรณ์ของท่านคืนสู่สภาพเดิม และมีเมตตาต่อท่าน พระองค์จะรวบรวมพวกท่านจากชนชาติทั้งปวงเพื่อให้มาอยู่ร่วมกันอีก หลังจากที่พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านทำให้ท่านกระจัดกระจายกันออกไปแล้ว 4 แม้ถ้าท่านถูกเนรเทศไปอยู่ถึงสุดฟากฟ้า พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านก็ยังจะรวบรวมท่านมาจากที่นั่น และพระองค์จะไปตามตัวท่านมาจากที่นั่น 5 และพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านจะนำท่านเข้าไปในแผ่นดินซึ่งบรรพบุรุษของท่านเคยยึดครอง เพื่อท่านจะยึดครองแผ่นดินนั้นไว้ และพระองค์จะให้ท่านมีความเจริญและมีจำนวนทายาทมากยิ่งขึ้นกว่าที่บรรพบุรุษของท่านเคยมีเสียอีก 6 และพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านจะให้ท่านปฏิบัติตามพระบัญญัติในใจท่านและในใจของบรรดาผู้สืบเชื้อสายของท่าน เพื่อท่านจะรักพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านอย่างสุดดวงใจและสุดดวงจิตของท่าน เพื่อท่านจะมีชีวิตอยู่ในแผ่นดินต่อไป 7 และพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านจะให้คำสาปแช่งเหล่านั้นตกอยู่กับพวกศัตรูและข้าศึกที่กดขี่ข่มเหงท่าน 8 ท่านจะเชื่อฟังพระผู้เป็นเจ้าอีก และรักษาพระบัญญัติทุกข้อของพระองค์ซึ่งเราบัญชาท่านในวันนี้ 9 พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านจะทำให้ท่านเจริญยิ่งนักในทุกสิ่งที่ท่านทำ ให้มีลูกหลานมากมาย รวมถึงสัตว์เลี้ยงด้วย พืชผลไร่นาก็บริบูรณ์ เพราะพระผู้เป็นเจ้าจะชื่นชอบในตัวท่าน และช่วยให้ท่านเจริญรุ่งเรือง เหมือนกับที่พระองค์ชื่นชอบในบรรพบุรุษของท่าน 10 ถ้าท่านเชื่อฟังพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน โดยรักษาพระบัญญัติและกฎเกณฑ์ของพระองค์ซึ่งเขียนไว้ในหนังสือกฎบัญญัติฉบับนี้ หากว่าท่านหันเข้าหาพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านอย่างสุดดวงใจและสุดดวงจิตของท่าน
เลือกระหว่างชีวิตกับความตาย
11 ด้วยว่าพระบัญญัติที่เราบัญชาท่านในวันนี้ไม่ยากเกินไปสำหรับท่าน และไม่ไกลเกินเอื้อมเช่นกัน 12 ใช่ว่าจะอยู่ในสวรรค์ ซึ่งท่านจะอ้างว่า ‘ใครจะขึ้นไปสวรรค์แทนพวกเรา แล้วนำมาให้เรา เราจึงจะได้ยินและปฏิบัติตาม’ 13 จะอยู่ที่โพ้นทะเลโน่นก็ไม่ใช่ ซึ่งท่านจะอ้างว่า ‘ใครจะข้ามทะเลแทนพวกเรา แล้วนำมาให้เรา เราจึงจะได้ยินและปฏิบัติตาม’ 14 แต่คำกล่าวอยู่ใกล้ท่านคือ อยู่ในปากและในจิตใจของท่าน[a] เพื่อท่านจะปฏิบัติตามได้
15 จงดูเถิด เราได้ให้ท่านเลือกระหว่างชีวิตและความเจริญ ความตายและความเลวร้าย 16 ซึ่งเราได้บัญชาท่านในวันนี้ให้รักพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน ให้ดำเนินในวิถีทางของพระองค์ ให้รักษาพระบัญญัติของพระองค์ กฎเกณฑ์และคำบัญชาของพระองค์ แล้วท่านจะมีชีวิตและทวีจำนวนทายาท และพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านจะอวยพรท่านในแผ่นดินที่ท่านกำลังเข้าไปยึดครอง 17 แต่ถ้าใจของท่านหันเหไปและไม่ฟัง แล้วถูกชักจูงไปกราบนมัสการบรรดาเทพเจ้า และบูชาสิ่งเหล่านั้น 18 เราขอประกาศแก่ท่านในวันนี้ว่าท่านจะย่อยยับอย่างแน่นอน ท่านจะไม่มีชีวิตยั่งยืนในแผ่นดินที่ท่านกำลังข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปยึดครองกัน 19 เราขอให้ฟ้าดินเป็นพยานกล่าวโทษท่านในวันนี้ว่า เราให้ท่านเลือกระหว่างชีวิตกับความตาย พระพรกับคำสาปแช่ง ฉะนั้นจงเลือกชีวิต เพื่อท่านและผู้สืบเชื้อสายของท่านจะได้มีชีวิตอยู่ 20 รักพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน เชื่อฟังพระองค์ และผูกพันอยู่กับพระองค์ เพื่อท่านจะมีชีวิตยืนยาวอยู่ในแผ่นดินที่พระผู้เป็นเจ้าได้ปฏิญาณไว้กับบรรพบุรุษของท่านคือ อับราฮัม อิสอัค และยาโคบ ว่าพระองค์จะมอบให้แก่ท่านเหล่านั้น”
โยชูวารับช่วงต่อจากโมเสส
31 ครั้นแล้วโมเสสก็ออกไปพูดกับชาวอิสราเอลทั้งปวงดังต่อไปนี้คือ 2 “บัดนี้เรามีอายุ 120 ปีแล้ว เราไม่สามารถเคลื่อนไหวไปไหนมาไหนอย่างคล่องแคล่วอีก พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับเราว่า ‘เจ้าจะไม่ได้ข้ามแม่น้ำจอร์แดนนี้’[b] 3 พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านจะนำท่านข้ามไปด้วยพระองค์เอง พระองค์จะกำจัดประชาชาติเหล่านี้ให้พ้นหน้าท่าน เพื่อท่านจะได้ขับไล่พวกเขาออกไป และโยชูวาจะนำท่านข้ามไป ตามที่พระผู้เป็นเจ้ากล่าวไว้ 4 และพระผู้เป็นเจ้าจะกระทำต่อพวกเขาอย่างที่พระองค์กระทำต่อสิโหนและโอกกษัตริย์ทั้งสองของชาวอาโมร์ และต่อแผ่นดินของพวกเขาที่พระองค์กำจัดเสียสิ้น[c] 5 และพระผู้เป็นเจ้าจะมอบตัวพวกเขาให้แก่ท่าน และท่านจะกระทำต่อพวกเขาตามคำบัญญัติที่เราได้บัญชาพวกท่านแล้วทุกประการ 6 จงเข้มแข็งและกล้าหาญเถิด อย่ากลัวหรือหวาดหวั่นเพราะพวกเขา เพราะผู้ที่ไปกับท่านคือพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน พระองค์จะไม่ทำให้ท่านผิดหวังหรือทอดทิ้งท่านไป”[d]
7 ครั้นแล้วโมเสสจึงเรียกตัวโยชูวามาและกล่าวกับท่านต่อหน้าชาวอิสราเอลทั้งปวงว่า “จงเข้มแข็งและกล้าหาญเถิด เพราะท่านจะไปกับชนชาตินี้ เข้าไปในแผ่นดินที่พระผู้เป็นเจ้าได้ปฏิญาณกับบรรพบุรุษของพวกเขาว่าจะมอบให้แก่พวกเขา และท่านจงให้เขาเข้าไปยึดครอง 8 ผู้ที่นำหน้าท่านไปคือพระผู้เป็นเจ้า พระองค์จะสถิตกับท่าน พระองค์จะไม่ทำให้ท่านผิดหวังหรือทอดทิ้งท่านไป อย่ากลัวหรือหวั่นใจเลย”
อ่านกฎบัญญัติให้ฟังทุก 7 ปี
9 ดังนั้น โมเสสเขียนกฎบัญญัตินี้และมอบให้แก่บรรดาปุโรหิตซึ่งเป็นบุตรของชาวเลวีผู้เป็นฝ่ายหามหีบพันธสัญญาของพระผู้เป็นเจ้า และแก่หัวหน้าชั้นผู้ใหญ่ทั้งปวงของอิสราเอล 10 และโมเสสบัญชาพวกเขาว่า “ทุกๆ ปลายปีที่เจ็ดตามกำหนดเวลาของปียกเลิกหนี้สิน ซึ่งอยู่ในระหว่างเทศกาลอยู่เพิง 11 เมื่อชาวอิสราเอลทั้งปวงมาอยู่ ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านในสถานที่ซึ่งพระองค์จะเลือก ท่านจงอ่านกฎบัญญัตินี้ให้ชาวอิสราเอลทั้งปวงฟัง 12 ให้ประชาชนชายและหญิง เด็กๆ และคนต่างด้าวที่อยู่ในเมืองของท่านมา เพื่อให้พวกเขาได้ยินและรู้จักเกรงกลัวพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน และจงปฏิบัติตามกฎบัญญัตินี้ทุกประการด้วยความระมัดระวัง 13 และบรรดาบุตรของพวกเขาที่ไม่รู้กฎบัญญัตินี้จะได้ยินและรู้จักเกรงกลัวพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน ตราบเท่าที่ท่านมีชีวิตอยู่ในแผ่นดินที่ท่านกำลังจะข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปยึดครอง”
14 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโมเสสว่า “ดูเถิด ใกล้วันแล้วที่เจ้าจะต้องตาย จงเรียกโยชูวามา และเจ้าทั้งสองมาด้วยกันยังกระโจมที่นัดหมาย แล้วเราจะมอบหมายหน้าที่แก่เขา” ครั้นแล้วโมเสสและโยชูวาก็ไปยังกระโจมที่นัดหมายด้วยกัน 15 แล้วพระผู้เป็นเจ้าก็ปรากฏที่กระโจมในลักษณะของเมฆก้อนมหึมาดั่งเสาหลัก และเมฆก้อนมหึมาดั่งเสาหลักหยุดอยู่ที่ทางเข้ากระโจม
16 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโมเสสว่า “ดูเถิด เจ้ากำลังจะสิ้นชีวิตไปอยู่กับบรรพบุรุษของเจ้า และชนชาตินี้จะปันใจไปเชื่อในบรรดาเทพเจ้าต่างชาติประหนึ่งหญิงแพศยาของแผ่นดินที่พวกเขากำลังจะเข้าไปอยู่ พวกเขาจะทอดทิ้งเราและไม่รักษาพันธสัญญาที่เราทำไว้กับพวกเขา 17 ความโกรธของเราจะพลุ่งขึ้นต่อพวกเขาในวันนั้น แล้วเราจะทอดทิ้งเขา และซ่อนหน้าจากเขา พวกเขาจะถูกทำลาย จะประสบกับความเลวร้ายและความทุกข์ยาก เขาจะพูดกันในวันนั้นว่า ‘พวกเราประสบสิ่งเลวร้ายเหล่านี้ก็เพราะพระเจ้าของเราไม่อยู่กับพวกเรามิใช่หรือ’ 18 แล้วเราจะซ่อนหน้าในวันนั้น เพราะพวกเขากระทำสิ่งเลวร้ายทั้งปวง โดยหันเข้าหาบรรดาเทพเจ้า
19 บัดนี้ เจ้าจงเขียนบทเพลงนี้สำหรับพวกเขาและสอนชาวอิสราเอลให้ร้องจนขึ้นใจ เพลงนี้จะเป็นพยานกล่าวโทษชาวอิสราเอลให้เรา 20 เพราะเมื่อเรานำพวกเขาเข้าไปในแผ่นดินอันอุดมด้วยน้ำนมและน้ำผึ้ง ซึ่งเราได้ปฏิญาณไว้ว่าจะให้แก่บรรพบุรุษของพวกเขาแล้ว พวกเขาก็กินจนอิ่มหนำและอ้วนพี และจะหันเข้าหาบรรดาเทพเจ้า และบูชาสิ่งเหล่านั้น และหันหลังให้เราและไม่รักษาพันธสัญญาของเรา 21 เมื่อพวกเขาประสบกับความเลวร้ายและความทุกข์ยากมากมาย เพลงนี้ก็จะยืนยันต่อหน้าพวกเขาเหมือนเป็นพยาน เพราะบรรดาผู้สืบเชื้อสายของเขาจะไม่ลืมเพลงที่ร้องจากปากตนเอง เพราะเรารู้จุดประสงค์ที่พวกเขามี ก่อนที่เราจะพาพวกเขาเข้าไปในแผ่นดินที่เราได้ปฏิญาณไว้ว่าจะมอบให้” 22 ดังนั้น โมเสสจึงเขียนเพลงนี้ไว้ในวันเดียวกันนั้น และสอนให้แก่ชาวอิสราเอล
23 และพระองค์มอบหมายหน้าที่แก่โยชูวาบุตรของนูนโดยกล่าวว่า “จงเข้มแข็งและกล้าหาญเถิด เพราะเจ้าจะนำชาวอิสราเอลเข้าไปในแผ่นดินที่เราได้ปฏิญาณไว้ว่าจะให้แก่พวกเขา เราจะอยู่กับเจ้า”
24 เมื่อโมเสสเขียนคำกล่าวในกฎบัญญัตินี้ลงในหนังสือจบแล้ว 25 โมเสสบัญชาชาวเลวีผู้เป็นฝ่ายหามหีบพันธสัญญาของพระผู้เป็นเจ้าว่า 26 “จงเอาหนังสือกฎบัญญัติฉบับนี้ไปวางไว้ที่ข้างหีบพันธสัญญาของพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน เพื่อให้อยู่ที่นั่นเป็นพยานกล่าวโทษท่าน 27 เพราะเราทราบว่าพวกท่านชอบขัดขืนและดื้อรั้นเพียงไร ดูเถิด แม้ว่าขณะนี้เรายังมีชีวิตอยู่กับพวกท่าน พวกท่านก็ยังขัดขืนพระผู้เป็นเจ้า หลังจากเราตายไปแล้ว พวกท่านจะกระทำยิ่งกว่าเพียงไร 28 จงเรียกหัวหน้าชั้นผู้ใหญ่ทั้งปวงและเจ้าหน้าที่ประจำเผ่าของท่านมาประชุมร่วมกับเรา เราจะได้พูดให้พวกเขาได้ยินด้วยหูของเขาเอง และจะให้ฟ้าดินเป็นพยานกล่าวโทษพวกเขา 29 เพราะเราทราบว่าหลังจากที่เราตายไปแล้ว พวกท่านจะประพฤติอย่างเสื่อมทรามอย่างที่สุด และหันไปจากวิถีทางที่เราได้บัญชาไว้ และจากนั้นสิ่งเลวร้ายจะเกิดขึ้นกับพวกท่าน เพราะท่านจะกระทำสิ่งชั่วร้ายในสายตาของพระผู้เป็นเจ้า และยั่วโทสะพระองค์ด้วยสิ่งที่ท่านสร้างขึ้น”
บทเพลงของโมเสส
30 ครั้นแล้ว โมเสสก็กล่าวคำในบทเพลงนี้จนจบ ให้ทุกคนในที่ประชุมของอิสราเอลได้ยินดังนี้ว่า
Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation