Beginning
ความเชื่อ
11 ความเชื่อคือ ความแน่ใจในสิ่งที่เราหวังไว้ และมั่นใจกับสิ่งที่เรามองไม่เห็น 2 เป็นเพราะความเชื่อนั่นแหละ คนโบราณจึงได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้า 3 เป็นเพราะความเชื่อ เราจึงเข้าใจว่าจักรวาลถูกสร้างขึ้นโดยคำสั่งของพระเจ้า ดังนั้นสิ่งที่มองเห็นถูกสร้างขึ้นจากสิ่งที่ไม่ปรากฏให้เห็น
4 เป็นเพราะความเชื่อ อาเบลจึงถวายเครื่องสักการะที่ดีกว่าของคาอินให้แด่พระเจ้า เป็นเพราะความเชื่อ เขาจึงได้รับความเห็นชอบว่าเป็นคนชอบธรรม เมื่อพระเจ้าชมว่าของถวายของเขาดี และเป็นเพราะความเชื่อ อาเบลจึงยังพูดได้แม้เขาจะตายแล้วก็ตาม 5 เป็นเพราะความเชื่อ เอโนคจึงถูกรับตัวขึ้นไป เพื่อท่านจะได้ไม่ประสบความตาย ไม่มีใครหาท่านพบ เพราะพระเจ้าได้รับตัวท่านขึ้นไป ก่อนที่ท่านจะถูกรับตัวไปท่านได้รับความเห็นชอบ เพราะเป็นผู้ที่ทำให้พระเจ้าพอใจ 6 และเป็นไปไม่ได้ที่จะทำให้พระเจ้าพอใจหากไม่มีความเชื่อ เพราะทุกคนที่เข้าหาพระเจ้าจะต้องเชื่อว่าพระองค์เป็นจริง และเป็นผู้ให้รางวัลแก่คนที่แสวงหาพระองค์ 7 เป็นเพราะความเชื่อ โนอาห์จึงเชื่อฟังและสร้างเรือใหญ่ขึ้น เพื่อให้ครอบครัวของท่านรอดชีวิต เมื่อพระเจ้าเตือนเรื่องที่ยังไม่ได้ปรากฏให้เห็น เป็นเพราะความเชื่อ ท่านแสดงให้เห็นว่าโลกถูกกล่าวโทษ และโนอาห์เป็นผู้ได้รับความชอบธรรมซึ่งเกิดจากความเชื่อ
8 เป็นเพราะความเชื่อ อับราฮัมจึงเชื่อฟังโดยเดินทางออกไปยังที่ท่านจะได้รับเป็นมรดกเมื่อพระเจ้าเรียกท่าน ท่านเดินทางไปโดยไม่ทราบว่าจะไปไหน 9 เป็นเพราะความเชื่อ ท่านจึงตั้งรกรากอยู่ในดินแดนที่พระเจ้าสัญญาให้ไว้ราวกับคนแปลกหน้าในต่างแดน ท่านอาศัยอยู่ในกระโจมเช่นเดียวกับอิสอัคและยาโคบ ซึ่งเป็นผู้รับมรดกร่วมกันตามพระสัญญาเดียวกัน 10 เพราะอับราฮัมตั้งตาคอยที่จะได้เมืองซึ่งมีฐานรากที่ออกแบบและสร้างขึ้นโดยพระเจ้า 11 เป็นเพราะความเชื่อ แม้อับราฮัมจะมีอายุเกินวัย (และนางซาราห์เองก็เป็นหมัน) ก็ยังสามารถเป็นบิดาได้ เพราะท่านเชื่อว่าพระองค์รักษาคำมั่นสัญญาที่ได้ให้ไว้ 12 ฉะนั้นจากชายคนหนึ่งซึ่งชราจนเสมือนคนที่ตายแล้ว ก็มีผู้สืบเชื้อสายมากมายราวกับดวงดาวในท้องฟ้า และอย่างเม็ดทรายที่ชายฝั่งทะเลซึ่งนับไม่ถ้วน
13 คนเหล่านั้นทุกคนเมื่อตายไปก็ยังมีความเชื่อ โดยไม่ได้รับสิ่งที่พระเจ้าสัญญาไว้ เป็นเพียงแต่ได้เห็น และยินดีกับพระสัญญาทั้งหลายแต่ไกล และยอมรับอย่างเปิดเผยว่า พวกเขาเป็นคนแปลกหน้าและเป็นคนต่างแดนในโลก 14 บรรดาคนที่พูดเช่นนี้ก็แสดงให้เห็นชัดแล้วว่า พวกเขาแสวงหาแผ่นดินของตนเอง 15 และที่จริงแล้ว ถ้าเขานึกถึงแผ่นดินที่เขาได้จากมา เขาก็จะกลับไปได้ 16 แต่เท่าที่เป็นไป พวกเขาต้องการแผ่นดินที่ดีกว่า นั่นก็คือที่เป็นอย่างสวรรค์ ฉะนั้นพระเจ้าไม่ละอายที่พวกเขาจะเรียกพระองค์ว่าพระเจ้าของพวกเขา ในเมื่อพระองค์ได้เตรียมเมืองไว้ให้แล้ว
17 เป็นเพราะความเชื่อ อับราฮัมจึงได้มอบอิสอัคเป็นเครื่องสักการะเมื่อพระเจ้าทดสอบท่าน และท่านซึ่งได้รับพระสัญญาก็เกือบจะมอบบุตรคนเดียวของท่านเป็นเครื่องสักการะแล้ว 18 แม้พระเจ้าได้กล่าวกับท่านดังนี้แล้วว่า “เจ้าจะมีบรรดาผู้สืบเชื้อสายโดยผ่านทางอิสอัค”[a] 19 อับราฮัมเชื่อว่าพระเจ้าสามารถให้คนฟื้นคืนชีวิตจากความตาย ฉะนั้นกล่าวโดยอุปมาได้ว่า ท่านได้รับบุตรกลับคืนจากความตาย 20 เป็นเพราะความเชื่อ อิสอัคจึงได้ให้พรแก่ยาโคบและเอซาวสำหรับอนาคตของท่านทั้งสอง 21 เป็นเพราะความเชื่อ ขณะที่ยาโคบกำลังจะตาย ท่านก็ได้ให้พรแก่บุตรทั้งสองของโยเซฟ แล้วได้พิงอยู่กับปลายไม้เท้าของตนขณะที่นมัสการพระเจ้า 22 เป็นเพราะความเชื่อ โยเซฟจึงได้พูดถึงการอพยพของชาวอิสราเอลออกจากประเทศอียิปต์ และสั่งเรื่องกระดูกของท่านเมื่อท่านกำลังจะตาย
23 เป็นเพราะความเชื่อ บิดามารดาของโมเสสจึงได้ซ่อนตัวท่านไว้เป็นเวลา 3 เดือนนับตั้งแต่เกิด เพราะทั้งสองเห็นว่าท่านไม่ใช่เด็กธรรมดาและไม่กลัวคำบัญชาของกษัตริย์เลย 24 เป็นเพราะความเชื่อ โมเสสจึงได้ไม่ยอมให้ผู้คนเรียกท่าน ว่าเป็นบุตรของธิดากษัตริย์ฟาโรห์เมื่อท่านเติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว 25 ท่านเลือกการทนทุกข์ร่วมกับคนของพระเจ้า มากกว่าการเพลิดเพลินกับความสำราญในบาปเพียงชั่วระยะหนึ่ง 26 ท่านพิจารณาเห็นว่า การที่ถูกเหยียดหยามเพื่อพระคริสต์ มีค่ายิ่งกว่าสมบัติทั้งปวงของประเทศอียิปต์ เพราะท่านคาดหวังในรางวัลที่จะได้รับ 27 เป็นเพราะความเชื่อ ท่านจึงได้จากประเทศอียิปต์ไป โดยไม่กลัวความโกรธของกษัตริย์ ท่านบากบั่นต่อไปราวกับว่าท่านเห็นองค์ผู้ที่ไม่ปรากฏแก่สายตา 28 เป็นเพราะความเชื่อ ท่านจึงได้ทำพิธีปัสกา และสั่งให้ประพรมเลือดด้วย เพื่อผู้ที่ทำลายบุตรหัวปีจะได้ไม่แตะต้องบุตรหัวปีของชาวอิสราเอล
29 เป็นเพราะความเชื่อ ชาวอิสราเอลจึงได้เดินข้ามทะเลแดงเหมือนเดินบนดินแห้ง และเมื่อชาวอียิปต์ลองทำบ้างก็จมน้ำตาย 30 เป็นเพราะความเชื่อ กำแพงเมืองเยรีโคจึงพังทลายลงหลังจากชาวอิสราเอลเดินรอบๆ เป็นเวลา 7 วัน 31 เป็นเพราะความเชื่อ ราหับหญิงแพศยาจึงไม่ตายไปกับพวกที่ไม่เชื่อฟัง เพราะนางได้ต้อนรับพวกสอดแนมด้วยความเป็นมิตร
32 แล้วข้าพเจ้าจะพูดอะไรมากกว่านี้อีกเล่า ข้าพเจ้าไม่มีเวลาพอที่จะบอกเรื่องกิเดโอน บาราค แซมสัน เยฟธาห์ ดาวิด ซามูเอล และผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าทั้งหลาย 33 ซึ่งด้วยความเชื่อ จึงมีชัยชนะได้อาณาจักรต่างๆ การปฏิบัติที่แสดงถึงความชอบธรรม ได้รับพระสัญญา ปิดปากสิงโต 34 ดับไฟที่ไหม้โหมกระหน่ำ หลุดพ้นจากคมดาบ จากคนอ่อนแอก็กลายเป็นคนเข้มแข็งได้ กลายเป็นคนแข็งแกร่งในสงคราม ตีกองทัพชาติอื่นๆ จนแตกพ่ายไป 35 พวกผู้หญิงได้พวกของตนที่ตายแล้วกลับฟื้นคืนชีวิต แต่บางคนถูกทรมาน และไม่ยอมรับการปลดปล่อย เพื่อพวกเขาจะได้ฟื้นคืนชีวิตที่ดีกว่านั้นอีก 36 บางคนก็ประสบกับการเยาะเย้ยและเฆี่ยนตี อีกทั้งถูกล่ามโซ่กับจำคุกด้วย 37 บางคนถูกขว้างด้วยก้อนหิน บ้างก็ถูกเลื่อยเป็น 2 ท่อน [พวกเขาถูกทดสอบใจ][b] บางคนถูกฆ่าตายด้วยคมดาบ บ้างก็ต้องนุ่งห่มด้วยหนังแกะหนังแพะเร่ร่อนไป สิ้นเนื้อประดาตัว ถูกกดขี่ข่มเหงและทารุณ 38 โลกไม่ดีพอสำหรับคนเหล่านี้ พวกเขาพเนจรไปในถิ่นทุรกันดารและตามภูเขา ตามถ้ำและอยู่ในโพรงใต้ดิน
39 คนเหล่านี้ได้รับการเห็นชอบเพราะความเชื่อของเขา แต่ก็ยังไม่ได้รับสิ่งที่พระเจ้าได้สัญญาไว้ 40 เพราะพระเจ้าได้เตรียมสิ่งที่ดีกว่าไว้ให้พวกเรา เพื่อว่าพวกเขาจะเพียบพร้อมทุกประการได้ ก็ต่อเมื่อมีพวกเราทั้งหลายรวมอยู่ด้วย
พระเจ้าฝึกบรรดาบุตรให้มีวินัย
12 ฉะนั้น ในเมื่อเรามีผู้ยืนยันมากมายอยู่รอบข้างเช่นนี้ ขอให้เรากำจัดทุกสิ่งที่เหนี่ยวรั้งเรา และบาปซึ่งเกาะเราไว้แน่น และขอให้เราบากบั่นเช่นเดียวกับการวิ่งแข่งขันที่จะต้องวิ่งต่อไป 2 ขอให้เราใฝ่ใจในพระเยซูซึ่งเป็นผู้เบิกทางให้แก่ความเชื่อของเรา และทำให้ความเชื่อนั้นบริบูรณ์ เป็นเพราะความยินดีที่กำลังรอคอยพระองค์อยู่ พระองค์จึงไม่ได้นึกถึงความอัปยศอดสูเพราะการสิ้นชีวิตบนไม้กางเขน และพระองค์ก็ได้นั่งอยู่ ณ เบื้องขวาของบัลลังก์ของพระเจ้า
3 จงนึกถึงพระองค์ผู้อดทนต่อคนบาปซึ่งมุ่งร้ายต่อพระองค์มากเช่นนั้น ท่านจะได้ไม่อ่อนใจและท้อถอย 4 การที่ท่านต่อสู้กับบาป ท่านยังไม่ได้ยืนหยัดสู้จนถึงกับต้องเสียโลหิตเลย 5 แล้วท่านก็ได้ลืมคำที่ให้กำลังใจซึ่งเจาะจงถึงท่านว่าเป็นบรรดาบุตรคือ
“บุตรเอ๋ย เจ้าจงเอาใจใส่เมื่อพระผู้เป็นเจ้าฝึกให้มีวินัย
และอย่าท้อถอยเมื่อพระองค์ว่ากล่าวตักเตือนเจ้า
6 เพราะพระผู้เป็นเจ้าฝึกคนที่พระองค์รักให้มีวินัย
และพระองค์ลงโทษทุกคนที่พระองค์รับไว้เป็นบุตร”[c]
7 จงอดทนต่อความยากลำบากที่เป็นการฝึกให้มีวินัย พระเจ้าปฏิบัติต่อท่านเสมือนว่าท่านเป็นบุตร บุตรแบบไหนที่บิดาไม่ฝึกให้มีวินัย 8 ถ้าท่านไม่ได้รับการฝึกให้มีวินัย (และทุกคนก็ต้องได้ผ่านการฝึกให้มีวินัย) ท่านก็เป็นบุตรนอกกฎหมาย คือไม่ใช่บุตรที่แท้ 9 ยิ่งไปกว่านั้นเรามีบรรดาบิดาที่เป็นมนุษย์เป็นผู้ฝึกเราให้มีวินัย และเราก็นับถือท่าน แล้วเราจะไม่ยอมเชื่อฟังพระบิดาฝ่ายวิญญาณมากกว่าหรือ เพื่อเราจะได้มีชีวิต 10 เพราะบรรดาบิดาของเราฝึกให้เรามีวินัยเพียงชั่วขณะหนึ่งตามที่คิดว่าดีที่สุดแล้ว แต่พระเจ้าฝึกเราเพื่อประโยชน์ของเราเอง เราจะได้มีส่วนร่วมในความบริสุทธิ์ของพระองค์ 11 ขณะที่การฝึกให้มีวินัยเกิดขึ้นทุกครั้ง ก็ดูเหมือนว่าไม่น่ายินดีเลย แต่น่าเจ็บปวด และต่อมาภายหลัง คนที่ได้รับการฝึกจะได้เก็บเกี่ยวผลแห่งความชอบธรรมและสันติสุข
12 ฉะนั้น จงทำให้มือที่อ่อนแอ และเข่าที่อ่อนแรงมีพลังขึ้น 13 และ “ทำทางเดินให้ตรงเพื่อเท้าของเจ้า”[d] เพื่อขาที่เป๋จะได้ไม่พลิก แต่จะหายเป็นปกติ
การเตือนไม่ให้พลาดพระคุณของพระเจ้า
14 จงพยายามอยู่อย่างสงบสุขกับคนทั้งหลายและด้วยความบริสุทธิ์ใจ เพราะถ้าปราศจากความบริสุทธิ์แล้วจะไม่มีใครเห็นพระผู้เป็นเจ้า 15 จงระวังว่าไม่มีใครพลาดพระคุณของพระเจ้า และไม่มีความขมขื่นที่เป็นเสมือนรากฝังอยู่ในใจจนงอกขึ้น อันเป็นเหตุให้เกิดความยุ่งยาก และทำให้คนเป็นอันมากมีมลทิน 16 อย่าให้ผู้ใดประพฤติผิดทางเพศหรือขาดคุณธรรม เช่นเอซาวที่ขายสิทธิ์ของการได้รับมรดกของเขาในฐานะเป็นบุตรหัวปีไป เพื่อเห็นแก่อาหารมื้อเดียว 17 พวกท่านก็ทราบว่า ต่อมาภายหลังเมื่อเขาต้องการรับพรนี้เป็นมรดก เขาก็ถูกปฏิเสธ เขาไม่มีหนทางแก้ไขสิ่งใดได้เลยแม้จะพยายามแสวงหาพรจนน้ำตาไหลก็ตาม
18 ท่านไม่ได้มาถึงภูเขาที่จับต้องได้ ซึ่งลุกไหม้เป็นไฟในความมืด อีกทั้งมีความมืดมนและลมพายุ 19 หรือเสียงแตรดัง เสียงพูดซึ่งพวกคนที่ได้ยินก็ขอร้องไม่ให้พูดกับเขาอีกต่อไป 20 เพราะเขาไม่สามารถทนต่อคำสั่งที่ว่า “ถ้าแม้สัตว์แตะต้องภูเขา มันก็จะถูกหินขว้างตาย”[e] 21 ภาพที่เห็นนั้นน่ากลัวจนโมเสสกล่าวว่า “ข้าพเจ้ากลัวจนตัวสั่น”[f] 22 แต่ท่านทั้งหลายได้มาถึงภูเขาศิโยนและถึงเมืองเยรูซาเล็มแห่งสวรรค์ คือเมืองของพระเจ้าผู้ดำรงอยู่ พวกท่านได้มาถึงที่ชุมนุมอันน่ายินดีของทูตสวรรค์ ซึ่งมีจำนวนมากมายเกินที่จะนับได้ 23 และถึงคริสตจักรของบรรดาบุตรหัวปีที่มีชื่อบันทึกในสวรรค์ ท่านได้มาถึงพระเจ้าที่เป็นผู้พิพากษาของคนทั้งปวง มาถึงวิญญาณของคนทั้งปวงที่มีความชอบธรรมและเพียบพร้อมทุกประการแล้ว 24 และได้มาถึงพระเยซูผู้เป็นคนกลางของพันธสัญญาใหม่ ระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์ และถึงโลหิตที่ประพรมซึ่งร้องด้วยคำพูดที่ดีกว่าโลหิตของอาเบล
25 จงระวังว่าท่านจะไม่ปฏิเสธที่จะฟังพระองค์ผู้กำลังพูดอยู่ ถ้าพวกเขาหนีไม่พ้น เพราะปฏิเสธที่จะฟังผู้ที่ได้ตักเตือนเขาในโลกแล้ว พวกเรายิ่งจะหนีไม่พ้น ยิ่งไปกว่านั้นสักเท่าใด ถ้าเราหันหลังให้พระองค์ผู้เตือนจากสวรรค์ 26 และเสียงของพระองค์ทำให้แผ่นดินโลกสั่นสะเทือนในเวลานั้น แต่บัดนี้พระองค์ได้สัญญาไว้ว่า “ไม่เพียงแต่แผ่นดินโลกเท่านั้นที่เราจะทำให้สั่นสะเทือนอีกครั้งหนึ่ง แต่ทั้งฟ้าสวรรค์ด้วย”[g] 27 คำที่ว่า “อีกครั้งหนึ่ง” ชี้ให้เห็นว่าสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นจะถูกทำให้สั่นสะเทือนและถูกกำจัดเสีย เพื่อว่าสิ่งที่ไม่ถูกสั่นสะเทือนจะได้คงอยู่ 28 ฉะนั้นในเมื่อเรากำลังรับอาณาจักรที่ไม่อาจสั่นคลอนได้ ขอให้เราขอบคุณและนมัสการพระเจ้า ตามที่พระองค์โปรดด้วยความเคารพและยำเกรง 29 ด้วยว่าพระเจ้าของเราเป็นดั่งไฟเผาผลาญ
เครื่องสักการะอันเป็นที่พอใจของพระเจ้า
13 จงรักกันฉันพี่น้องเสมอไป 2 อย่าละเลยที่จะแสดงการต้อนรับคนแปลกหน้า เพราะว่าการกระทำเช่นนี้บางคนได้ต้อนรับทูตสวรรค์โดยไม่รู้ตัว 3 จงระลึกถึงคนที่ถูกจำขังเหมือนกับว่าท่านอยู่ในคุกด้วยกันกับพวกเขา และระลึกถึงคนที่ถูกกดขี่ข่มเหงเหมือนกับว่าท่านเองทนทุกข์ด้วย 4 จงให้การสมรสเป็นที่นับถือแก่คนทั้งปวง และจงให้เตียงสมรสปราศจากมลทิน เพราะพระเจ้าจะกล่าวโทษผู้ประพฤติผิดทางเพศและผู้ผิดประเวณี 5 อย่าให้ชีวิตของท่านตกเป็นทาสของความรักเงิน จงพอใจกับสิ่งที่ท่านมี เพราะพระองค์เองกล่าวว่า “ไม่มีวันที่เราจะจากหรือทอดทิ้งเจ้าไป”[h] 6 ดังนั้นพวกเราพูดด้วยความมั่นใจได้ว่า
“พระผู้เป็นเจ้าเป็นผู้ช่วยของข้าพเจ้า
ข้าพเจ้าจะไม่หวั่นกลัว
มนุษย์จะทำอะไรต่อข้าพเจ้าได้หรือ”[i]
7 จงระลึกถึงเหล่าผู้นำของท่านที่ประกาศคำกล่าวของพระเจ้าแก่ท่าน จงพิจารณาดูผลที่เกิดจากความประพฤติของเขา และจงทำตามอย่างความเชื่อของเขา 8 พระเยซูคริสต์เป็นเหมือนเดิม ทั้งวานนี้ วันนี้ และตลอดไป 9 อย่ายอมให้การสั่งสอนแปลกๆ สารพันอย่างนำท่านไปในทางที่ผิด จะเป็นการดีถ้ากำลังใจของเราดีขึ้นได้โดยพระคุณ ไม่ใช่โดยอาหารที่กินตามกฎเกณฑ์ ซึ่งไม่เป็นประโยชน์แก่พวกที่ถือตามเลย 10 พวกเรามีแท่นบูชาแท่นหนึ่ง และบรรดาผู้รับใช้ที่กระโจมไม่มีสิทธิ์รับประทานของจากแท่นนั้นได้ 11 หัวหน้ามหาปุโรหิตนำเลือดสัตว์เข้าไปในอภิสุทธิสถานเป็นเครื่องสักการะเพื่อลบล้างบาป แต่ร่างของสัตว์ถูกเผาที่นอกค่าย 12 และพระเยซูก็ทนทุกข์ทรมานอยู่นอกเขตประตูเมืองด้วย เพื่อให้คนทั้งหลายเป็นผู้บริสุทธิ์ได้โดยโลหิตของพระองค์เอง 13 ขอให้พวกเราออกไปหาพระองค์ที่นอกค่ายเถิด เพื่อทนกับความเหยียดหยามที่พระองค์รับ 14 ด้วยว่า ณ ที่นี้ พวกเราไม่มีเมืองอันถาวร แต่เรากำลังแสวงหาเมืองที่จะมีในภายหน้า 15 ฉะนั้นขอให้เราถวายเครื่องสักการะแห่งการสรรเสริญแด่พระเจ้าโดยผ่านพระเยซูต่อไปเถิด คือเครื่องถวายจากริมฝีปากที่สารภาพรับพระนามของพระองค์ 16 อย่าลืมกระทำความดีและแบ่งปันให้แก่กันและกัน เพราะพระเจ้าพอใจกับเครื่องสักการะแบบนั้น
17 จงเชื่อฟังและยอมอยู่ใต้อำนาจของเหล่าผู้นำของท่าน เพราะเขาห่วงใยและดูแลท่านอยู่เสมอ และต้องรายงานความรับผิดชอบของเขา จงเชื่อฟังเขา เพื่อเขาจะได้ยินดีในการทำงาน มิฉะนั้นจะกลายเป็นภาระกับเขา และท่านจะไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย
18 จงอธิษฐานเพื่อเรา พวกเราแน่ใจว่าเรามีมโนธรรมที่ดี ต้องการประพฤติสิ่งที่ดีงามทุกอย่าง 19 ข้าพเจ้าขอด้วยความจริงใจให้พวกท่านอธิษฐาน เพื่อว่าข้าพเจ้าจะได้มาหาท่านในไม่ช้า
คำลงท้าย
20 ขอพระเจ้าแห่งสันติสุข ผู้โปรดให้พระเยซู องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา คือผู้เลี้ยงดูฝูงแกะที่ยิ่งใหญ่ และฟื้นขึ้นจากความตายโดยโลหิตแห่งพันธสัญญาอันเป็นนิรันดร์ 21 ช่วยให้ท่านพร้อมเสมอที่จะประพฤติตามความประสงค์ของพระองค์ และสำแดงการกระทำในหมู่เราตามความพอใจของพระองค์โดยผ่านพระเยซูคริสต์ ขอพระบารมีจงมีแด่พระองค์ชั่วนิรันดร์กาลเถิด อาเมน
22 พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าขอร้องให้ท่านอดทนฟังคำเตือนที่ให้กำลังใจท่าน ด้วยว่าข้าพเจ้าเขียนถึงท่านอย่างสั้นๆ เท่านั้น 23 จงทราบไว้ด้วยว่าทิโมธีน้องชายของเราได้รับการปลดปล่อยแล้ว ถ้าเขามาถึงทันเวลา เขาก็จะมาหาท่านด้วยกันกับข้าพเจ้า 24 ช่วยฝากความคิดถึงมายังเหล่าผู้นำของท่าน และผู้บริสุทธิ์ของพระเจ้าทุกคน บรรดาผู้ที่มาจากประเทศอิตาลีฝากความคิดถึงมาด้วย
25 ขอพระคุณจงอยู่กับท่านทุกคนเถิด
Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation