Previous Prev Day Next DayNext

Beginning

Read the Bible from start to finish, from Genesis to Revelation.
Duration: 365 days
Thai New Contemporary Bible (TNCV)
Version
อิสยาห์ 36-41

เซนนาเคอริบคุกคามเยรูซาเล็ม(A)

36 ในปีที่สิบสี่แห่งรัชกาลกษัตริย์เฮเซคียาห์ กษัตริย์เซนนาเคอริบแห่งอัสซีเรียมาโจมตีและยึดเมืองป้อมปราการทั้งปวงของยูดาห์ แล้วกษัตริย์อัสซีเรียส่งแม่ทัพพร้อมด้วยทัพใหญ่จากลาคีชมาหากษัตริย์เฮเซคียาห์ที่กรุงเยรูซาเล็ม เมื่อแม่ทัพผู้นั้นมาหยุดอยู่ที่ทางระบายน้ำของสระบน ซึ่งเป็นเส้นทางสู่ลานซักล้าง เจ้ากรมวังเอลียาคิมบุตรฮิลคียาห์ ราชเลขาเชบนา และอาลักษณ์หลวงโยอาห์บุตรอาสาฟ ก็ออกไปพบเขา

แม่ทัพอัสซีเรียกล่าวกับพวกเขาว่า “จงไปบอกเฮเซคียาห์ว่า

“ ‘กษัตราธิราชแห่งอัสซีเรียตรัสว่า เจ้าพึ่งพาสิ่งใดหรือจึงฮึกเหิมถึงเพียงนี้? เจ้าพูดว่าเจ้ามียุทธศาสตร์และแสนยานุภาพ แต่นั่นก็เป็นเพียงลมปาก เจ้าพึ่งใครจึงบังอาจกบฏต่อเรา? ดูสิ เจ้าพึ่งอียิปต์ซึ่งเป็นเหมือนไม้เท้าต้นอ้อที่หัก ใครพิงเข้าก็ถูกเสี้ยนตำเจ็บมือ! ใครพึ่งฟาโรห์แห่งอียิปต์ก็เป็นแบบนี้แหละ และถ้าเจ้ากล่าวกับเราว่า “พวกเราพึ่งพระยาห์เวห์ พระเจ้าของเรา” ก็พระเจ้าองค์นี้ไม่ใช่หรือที่เฮเซคียาห์ทำลายแท่นบูชากับสถานบูชาบนที่สูงทั้งหลาย และกล่าวกับชาวยูดาห์และเยรูซาเล็มว่า “เจ้าจะต้องนมัสการที่แท่นบูชานี้?”

“ ‘มาสิ มาต่อรองกับกษัตริย์อัสซีเรียนายของเรา เราจะให้ม้าสองพันตัวแก่เจ้าหากเจ้าหาคนขี่ม้ามาได้! ต่อให้เจ้าพึ่งรถม้าศึกและม้าจากอียิปต์ก็ไม่อาจต่อกรกับนายทหารที่เล็กที่สุดคนหนึ่งของนายเราได้ 10 ยิ่งกว่านั้นเจ้าคิดว่าเรามาโจมตีและทำลายดินแดนนี้โดยปราศจากองค์พระผู้เป็นเจ้าหรือ? องค์พระผู้เป็นเจ้าเองนั่นแหละที่บอกให้เรายกทัพมาโจมตีและทำลายดินแดนนี้’ ”

11 แล้วเอลียาคิม เชบนา และโยอาห์กล่าวแก่แม่ทัพนั้นว่า “โปรดพูดกับผู้รับใช้ของท่านเป็นภาษาอาราเมคเถิด เพราะเราฟังเข้าใจ อย่าใช้ภาษาฮีบรูเลย เดี๋ยวผู้คนบนกำแพงจะได้ยิน”

12 แต่แม่ทัพนั้นตอบว่า “นายเราใช้เรามาพูดกับเจ้าและนายของเจ้าเท่านั้นหรือ? ไม่ใช่กับพวกที่นั่งอยู่บนกำแพงด้วยหรือ? พวกนั้นก็เหมือนเจ้า จะต้องกินอุจจาระและดื่มปัสสาวะของตัวเอง”

13 แล้วแม่ทัพอัสซีเรียก็ยืนขึ้นร้องบอกเป็นภาษาฮีบรูว่า “จงฟังความจากกษัตราธิราชแห่งอัสซีเรีย! 14 กษัตริย์ตรัสดังนี้ว่า อย่าปล่อยให้เฮเซคียาห์หลอกลวงพวกเจ้า เขาช่วยกู้พวกเจ้าไม่ได้หรอก! 15 อย่าปล่อยให้เฮเซคียาห์เกลี้ยกล่อมเจ้าให้วางใจในองค์พระผู้เป็นเจ้า อย่าเชื่อเมื่อเขาบอกว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงช่วยกู้เราแน่นอน เมืองนี้จะไม่ตกอยู่ในกำมือกษัตริย์อัสซีเรีย’

16 “อย่าไปฟังเฮเซคียาห์ กษัตริย์อัสซีเรียตรัสดังนี้ว่า จงสวามิภักดิ์ต่อเราและออกมาหาเรา แล้วพวกเจ้าทุกคนจะได้กินองุ่นและมะเดื่อจากสวนของตน และดื่มน้ำจากบ่อของตน 17 จนกว่าเราจะมาพาเจ้าไปดินแดนหนึ่งซึ่งเหมือนดินแดนของเจ้าเอง เป็นดินแดนที่มีเมล็ดข้าว เหล้าองุ่นใหม่ ขนมปัง และสวนองุ่นอันอุดมสมบูรณ์

18 “อย่ายอมให้เฮเซคียาห์หลอกพวกเจ้าให้หลงผิด เมื่อเขากล่าวว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงช่วยกอบกู้พวกเรา’ มีพระของชาติไหนบ้างที่กอบกู้ดินแดนของตนให้พ้นจากมือกษัตริย์อัสซีเรียได้? 19 ไหนล่ะบรรดาเทพเจ้าแห่งฮามัทและอารปัด? ไหนล่ะบรรดาเทพเจ้าแห่งเสฟารวาอิม? พระเหล่านั้นช่วยสะมาเรียให้พ้นจากมือของเราได้หรือ? 20 มีเทพเจ้าองค์ไหนในชนชาติเหล่านี้บ้างที่สามารถช่วยดินแดนของตนให้รอดจากเราได้? ก็แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าจะสามารถช่วยกอบกู้เยรูซาเล็มจากมือของเราได้หรือ?”

21 แต่เหล่าประชากรนิ่งเงียบ ไม่โต้ตอบสักคำเดียว เพราะกษัตริย์ได้ตรัสสั่งว่า “อย่าตอบเขา”

22 แล้วเจ้ากรมวังเอลียาคิมบุตรฮิลคียาห์ ราชเลขาเชบนา และอาลักษณ์หลวงโยอาห์บุตรอาสาฟ จึงกลับไปเข้าเฝ้าเฮเซคียาห์ด้วยเสื้อผ้าฉีกขาด และกราบทูลตามที่แม่ทัพอัสซีเรียได้กล่าวไว้

คำพยากรณ์ว่าเยรูซาเล็มจะได้รับการช่วยกู้(B)

37 เมื่อกษัตริย์เฮเซคียาห์ทรงได้ยินเช่นนั้นก็ทรงฉีกฉลองพระองค์ สวมผ้ากระสอบ แล้วเสด็จเข้าสู่พระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทรงใช้เจ้ากรมวังเอลียาคิม ราชเลขาเชบนา และบรรดาปุโรหิตอาวุโสให้ไปพบผู้เผยพระวจนะอิสยาห์บุตรอาโมศ ทุกคนล้วนสวมชุดผ้ากระสอบ พวกเขากล่าวกับอิสยาห์ว่า “เฮเซคียาห์ตรัสดังนี้ว่า วันนี้เป็นวันแห่งความทุกข์ระทม การประณามหยามเหยียด และความอับอาย เหมือนเมื่อทารกพร้อมจะเกิด แต่ผู้เป็นแม่ไม่มีแรงจะเบ่งออกมา บางทีพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านจะทรงได้ยินถ้อยคำของแม่ทัพ ซึ่งกษัตริย์อัสซีเรียเจ้านายของเขาใช้ให้มาหมิ่นประมาทพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ และพระองค์จะทรงลงโทษเขาเนื่องด้วยถ้อยคำที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านทรงได้ยินนั้น ดังนั้นขอโปรดอธิษฐานเผื่อพวกเราที่เหลืออยู่เพียงหยิบมือนี้ด้วยเถิด”

เมื่อข้าราชบริพารของกษัตริย์เฮเซคียาห์มาพบอิสยาห์ อิสยาห์ก็กล่าวกับพวกเขาว่า “จงไปบอกนายของท่านว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้ว่า อย่ากลัวสิ่งที่ได้ยิน คือถ้อยคำซึ่งลูกน้องของกษัตริย์อัสซีเรียได้หมิ่นประมาทเรา จงฟังเถิด! เรากำลังจะบันดาลวิญญาณอย่างหนึ่งในตัวเขา เพื่อเมื่อเขาได้ยินรายงานบางอย่าง เขาจะกลับไปยังประเทศของตน และเราจะให้เขาตายด้วยดาบที่นั่น’ ”

ฝ่ายแม่ทัพอัสซีเรียได้ข่าวว่ากษัตริย์ของตนเสด็จออกจากลาคีชแล้ว ก็ถอนทัพไป และพบพระองค์กำลังรบอยู่กับเมืองลิบนาห์

แล้วเซนนาเคอริบได้รับรายงานว่าทีรหะคาห์กษัตริย์ชาวคูช[a]แห่งอียิปต์ยกทัพจะมาสู้รบกับพระองค์ เมื่อได้ยินดังนั้นพระองค์จึงทรงส่งคนกลับมาแจ้งแก่เฮเซคียาห์ว่า 10 “จงไปบอกกษัตริย์เฮเซคียาห์แห่งยูดาห์ดังนี้ว่า อย่ายอมให้พระเจ้าซึ่งเจ้าพึ่งพานั้นหลอกลวงเจ้าเมื่อพระองค์ตรัสว่า ‘เยรูซาเล็มจะไม่ตกอยู่ในมือกษัตริย์อัสซีเรีย’ 11 เจ้าก็รู้ดีว่าบรรดากษัตริย์อัสซีเรียได้ทำอะไรแก่ประเทศทั้งปวงบ้าง กษัตริย์เหล่านั้นได้ทำลายล้างทุกสิ่งทุกอย่างราบคาบ แล้วเจ้าจะได้รับการช่วยกู้หรือ? 12 บรรดาพระของชนชาติต่างๆ ที่บรรพบุรุษของเราได้ทำลายล้างไปนั้นได้ช่วยกอบกู้พวกเขาไว้หรือ อย่างพระทั้งหลายของโกซาน ฮาราน เรเซฟ และชาวเอเดนในเทลอัสสาร์? 13 ไหนล่ะกษัตริย์ฮามัท กษัตริย์อารปัด กษัตริย์เสฟารวาอิม เฮนา และอิฟวาห์?”

คำอธิษฐานของเฮเซคียาห์(C)

14 เมื่อเฮเซคียาห์ทรงรับสาส์นฉบับนี้และอ่านจบ ก็เสด็จไปยังพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้าและทรงคลี่สาส์นนั้นออกต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้า 15 แล้วเฮเซคียาห์ทรงอธิษฐานต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า 16 “ข้าแต่พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์พระเจ้าแห่งอิสราเอล ผู้ประทับอยู่บนพระที่นั่งระหว่างเครูบ พระองค์ผู้เดียวทรงเป็นพระเจ้าเหนือมวลอาณาจักรของโลก พระองค์ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก 17 ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ขอทรงเงี่ยพระกรรณสดับฟัง ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ขอทรงทอดพระเนตรและสดับฟังถ้อยคำทั้งสิ้นซึ่งเซนนาเคอริบส่งมาสบประมาทพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่

18 “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า เป็นความจริงที่ว่าบรรดากษัตริย์อัสซีเรียได้ทำลายล้างชนชาติทั้งปวงนี้ และแผ่นดินของพวกเขา 19 และได้เผาทำลายพระของพวกเขาทิ้งเพราะพระเหล่านั้นไม่ใช่พระเจ้า เป็นเพียงแต่ไม้และหินที่ทำขึ้นด้วยมือมนุษย์ 20 บัดนี้ข้าแต่พระยาห์เวห์พระเจ้าของข้าพระองค์ทั้งหลาย ขอทรงช่วยข้าพระองค์ทั้งหลายให้พ้นจากเงื้อมมือของเขา เพื่อมวลอาณาจักรในโลกนี้จะได้รู้ว่า พระยาห์เวห์พระองค์แต่เพียงผู้เดียวเท่านั้นทรงเป็นพระเจ้า[b]

เซนนาเคอริบจะล่มจม(D)

21 จากนั้นอิสยาห์บุตรอาโมศจึงให้นำความมาทูลเฮเซคียาห์ว่า “พระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสดังนี้ว่า เพราะเจ้าได้อธิษฐานเรื่องกษัตริย์เซนนาเคอริบแห่งอัสซีเรียต่อเรา 22 องค์พระผู้เป็นเจ้าจึงตรัสถึงเขาดังนี้ว่า

“ธิดาพรหมจารีแห่งศิโยน[c]
ดูหมิ่นและเยาะเย้ยเจ้า
ธิดาแห่งเยรูซาเล็ม[d]
ส่ายหน้าเมื่อเจ้าเตลิดหนี
23 ใครนะที่เจ้าเย้ยหยันและลบหลู่?
เจ้าขึ้นเสียง
และทำตาหยิ่งยโสใส่ใคร?
ก็องค์บริสุทธิ์แห่งอิสราเอลน่ะสิ!
24 เจ้าใช้ผู้สื่อสารของเจ้า
มากล่าววาจาลบหลู่องค์พระผู้เป็นเจ้า
และเจ้าได้กล่าวว่า
‘ด้วยรถม้าศึกมากมายของข้า
ข้าได้ขึ้นไปถึงบรรดายอดเขาสูง
สู่สุดยอดแห่งเลบานอน
ข้าได้โค่นบรรดาสนซีดาร์ที่สูงที่สุด
และต้นสนที่ดีเยี่ยมที่สุด
ข้าได้ขึ้นไปถึงยอดที่สูงที่สุด
คือป่าอันอุดมสมบูรณ์ที่สุด
25 ข้าได้ขุดบ่อน้ำหลายบ่อในต่างแดน[e]
และดื่มน้ำที่นั่น
ด้วยส้นเท้าของข้า
ลำธารทั้งหลายของอียิปต์ก็แห้งเหือด’

26 “เจ้าไม่เคยได้ยินเลยหรือ?
เราได้บัญชาไว้ตั้งนานมาแล้ว
เราได้วางแผนไว้ตั้งแต่อดีต
และบัดนี้เราก็ทำให้เป็นไปตามนั้น
คือให้เจ้าพิชิตเมืองป้อมปราการทั้งหลาย
ทำให้กลายเป็นกองหิน
27 ชาวเมืองเหล่านั้นหมดอำนาจ
ถดถอยและอับอาย
พวกเขาเหมือนพืชในทุ่งนา
เหมือนหน่ออ่อนเขียวสด
เหมือนหญ้างอกขึ้นบนหลังคา
ถูกแดดแผดเผา[f]ก่อนจะโตขึ้นมา

28 “แต่เรารู้จักเจ้าดี
ไม่ว่าความเป็นมาหรือความเป็นไปของเจ้า
และรู้ที่เจ้าฉุนเฉียวใส่เรา
29 เพราะเจ้าเกรี้ยวกราดใส่เรา
และเพราะวาจาโอหังของเจ้าเข้าหูเรา
เราจะเอาเบ็ดเกี่ยวจมูกของเจ้า
และเอาบังเหียนใส่ปากของเจ้า
และเราจะทำให้เจ้าหันกลับไป
ตามเส้นทางที่เจ้ามา

30 “เฮเซคียาห์เอ๋ย นี่จะเป็นหมายสำคัญแก่เจ้าคือ

“ปีนี้เจ้าจะกินพืชพันธุ์ที่งอกขึ้นเอง
และปีที่สองก็จะกินพืชพันธุ์ที่ออกผลตามมา
แต่ในปีที่สาม จงหว่านและเก็บเกี่ยว
จงทำสวนองุ่นและกินผลของมัน
31 ประชากรยูดาห์ที่เหลืออยู่เพียงหยิบมือนั้น
จะหยั่งรากและเกิดผลอีกครั้งหนึ่ง
32 เพราะจะมีคนที่เหลือรอดอยู่หยิบมือหนึ่งมาจากเยรูซาเล็ม
และผู้รอดชีวิตกลุ่มหนึ่งจะมาจากภูเขาศิโยน
ความกระตือรือร้นของพระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์
จะกระทำให้สำเร็จตามนี้

33 “ฉะนั้นองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสถึงกษัตริย์อัสซีเรียดังนี้ว่า

“เขาจะไม่ได้เข้ามาในเมืองนี้
หรือยิงธนูที่นี่
เขาจะไม่มาถือโล่อยู่หน้าเมือง
หรือสร้างเชิงเทินล้อมโจมตีมัน
34 เขามาทางไหนก็จะกลับไปทางนั้น
เขาจะไม่ได้เข้ามาในเมืองนี้”
            องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น

35 “เราจะปกป้องและช่วยเมืองนี้ไว้
เพื่อเห็นแก่เราเองและเห็นแก่ดาวิดผู้รับใช้ของเรา!”

36 แล้วทูตสวรรค์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าก็ออกไปประหารคนในค่ายของอัสซีเรีย 185,000 คน วันรุ่งขึ้นเมื่อผู้คนตื่นขึ้น ก็เห็นซากศพเกลื่อนกลาด! 37 กษัตริย์เซนนาเคอริบแห่งอัสซีเรียจึงทรงให้รื้อค่ายและถอนทัพกลับไปยังเมืองนีนะเวห์และประทับอยู่ที่นั่น

38 วันหนึ่งขณะที่ทรงนมัสการอยู่ในวิหารของพระนิสรอคของพระองค์ อัดรัมเมเลคและชาเรเซอร์โอรสของพระองค์เองได้ปลงพระชนม์พระองค์ด้วยดาบ แล้วหนีไปยังดินแดนอารารัต และเอสารฮัดโดนโอรสอีกองค์หนึ่งของพระองค์ขึ้นครองราชย์แทน

เฮเซคียาห์ประชวร(E)

38 ครั้งนั้นเฮเซคียาห์ประชวรหนักใกล้สิ้นพระชนม์ ผู้เผยพระวจนะอิสยาห์บุตรอาโมศมาเข้าเฝ้าพระองค์และทูลว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้ว่า จงจัดการบ้านเมืองให้เรียบร้อยเพราะเจ้าจะไม่หายป่วย แต่เจ้ากำลังจะตาย”

เฮเซคียาห์หันพระพักตร์เข้าหากำแพง และอธิษฐานทูลองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าขอทรงระลึกว่าข้าพระองค์ได้ดำเนินชีวิตอยู่ในทางของพระองค์อย่างซื่อสัตย์ ยอมอุทิศตนอย่างสิ้นสุดใจ และทำสิ่งที่ดีในสายพระเนตรของพระองค์อย่างไร” แล้วเฮเซคียาห์ก็ทรงกันแสงอย่างขมขื่น

แล้วพระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาถึงอิสยาห์ความว่า “จงไปบอกเฮเซคียาห์ว่า ‘พระยาห์เวห์พระเจ้าของดาวิดบรรพบุรุษของท่านตรัสดังนี้ว่า เราได้ยินคำอธิษฐานและได้เห็นน้ำตาของเจ้าแล้ว เราจะต่ออายุให้เจ้าอีกสิบห้าปี เราจะช่วยเจ้ากับเมืองนี้ให้พ้นจากมือกษัตริย์อัสซีเรีย เราจะปกป้องเมืองนี้ไว้

“ ‘นี่เป็นหมายสำคัญที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงให้แก่ท่านเพื่อแสดงว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงทำตามที่ทรงสัญญาไว้คือ “เราจะทำให้เงาที่ดวงอาทิตย์ทอดลงมาบนนาฬิกาแดดของอาหัสเคลื่อนถอยหลังไปสิบขั้น” ’ ” ดังนั้นแสงอาทิตย์จึงถอยหลังกลับไปจากที่เดิมสิบขั้น

เมื่อกษัตริย์เฮเซคียาห์แห่งยูดาห์หายประชวร พระองค์ทรงเขียนไว้ว่า

10 ข้าพเจ้าได้กล่าวว่า “บัดนี้ชีวิตของข้าพเจ้าได้มาถึงช่วงที่รุ่งโรจน์ที่สุด
ก็จะต้องผ่านเข้าประตูแห่งความตาย
และปีเดือนที่เหลืออยู่ก็จะต้องถูกฉกฉวยไปหรือ?”
11 ข้าพเจ้าได้พูดว่า “ข้าพเจ้าจะไม่ได้เห็นองค์พระผู้เป็นเจ้า อีก
จะไม่เห็นองค์พระผู้เป็นเจ้า ในแดนผู้มีชีวิตอีกต่อไป
ข้าพเจ้าจะไม่ได้เห็นมนุษยชาติอีกแล้ว
และจะไม่ได้อยู่ร่วมกับเพื่อนมนุษย์ในโลกนี้[g]อีกต่อไป
12 เรือนของข้าพเจ้าถูกรื้อและนำไปจากข้าพเจ้า
เหมือนเต็นท์ของคนเลี้ยงแกะถูกถอนออกไป
ข้าพเจ้าม้วนเก็บชีวิตของข้าพเจ้าเหมือนช่างทอ
และพระองค์ทรงตัดข้าพเจ้าออกจากหูก
ทั้งวันทั้งคืนพระองค์ทรงนำข้าพเจ้ามาถึงจุดจบ
13 ข้าพเจ้าอดทนรอคอยตราบจนรุ่งสาง
แต่พระองค์ทรงหักกระดูกทั้งสิ้นของข้าพเจ้าประหนึ่งสิงโต
ทั้งวันทั้งคืนพระองค์ทรงนำข้าพเจ้ามาถึงจุดจบ
14 ข้าพเจ้าร้องอย่างนกนางแอ่นและนกเดินดง
ข้าพเจ้าครวญครางเหมือนนกเขา
ดวงตาของข้าพเจ้าหมองช้ำเมื่อเพ่งมองฟ้าสวรรค์
ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพระองค์เป็นทุกข์ยิ่งนัก โปรดเสด็จมาช่วยข้าพระองค์ด้วยเถิด!”

15 แต่ข้าพเจ้าจะทูลอะไรได้?
พระองค์ได้ตรัสกับข้าพเจ้า และเป็นพระองค์เองที่ทรงทำการนี้
ข้าพเจ้าจะดำเนินด้วยความถ่อมใจตลอดชีวิตของข้าพเจ้า
เพราะความร้าวรานในวิญญาณของข้าพเจ้า
16 ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า มนุษย์ดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยสิ่งเหล่านี้
และจิตวิญญาณของข้าพระองค์พบชีวิตในสิ่งเหล่านี้ด้วย
พระองค์ทรงทำให้ข้าพระองค์หายป่วย
และให้ข้าพระองค์มีชีวิตอยู่
17 แน่นอน ที่ข้าพระองค์ทุกข์ทรมานเช่นนี้
ก็เป็นผลดีแก่ข้าพระองค์เอง
โดยความรักของพระองค์ พระองค์ทรงปกป้องข้าพระองค์
ให้พ้นจากห้วงหายนะ
พระองค์ทรงนำบาปทั้งสิ้นของข้าพระองค์
ไปไว้ข้างหลังพระองค์
18 เพราะหลุมฝังศพไม่สามารถสรรเสริญพระองค์
ความตายไม่สามารถร้องเพลงสรรเสริญพระองค์
ผู้ที่ลงไปสู่เหวลึก
ไม่สามารถหวังในความซื่อสัตย์ของพระองค์
19 ผู้มีชีวิตเท่านั้นสามารถสรรเสริญพระองค์
เหมือนที่ข้าพระองค์กำลังทำอยู่ในวันนี้
บิดาทั้งหลายบอกถึงความซื่อสัตย์ของพระองค์
แก่ลูกๆ ของพวกเขา

20 องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงช่วยข้าพเจ้าให้รอด
และพวกเราจะร้องเพลงคลอด้วยเครื่องสาย
ตลอดวันคืนชีวิตของพวกเรา
ในพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้า

21 อิสยาห์ได้กล่าวว่า “จงเตรียมยาพอกจากมะเดื่อ แล้วนำไปพอกที่ฝีนั้น พระองค์จะหายประชวร”

22 เฮเซคียาห์ได้ตรัสถามว่า “อะไรจะเป็นหมายสำคัญให้รู้ว่าเราจะขึ้นไปยังพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้าได้อีก?”

คณะทูตจากบาบิโลน(F)

39 ครั้งนั้นเมโรดัคบาลาดันโอรสของกษัตริย์บาลาดันแห่งบาบิโลนได้ทราบข่าวว่าเฮเซคียาห์ประชวรและบัดนี้ทรงหายเป็นปกติแล้ว ก็ส่งสาสน์และของกำนัลมาให้เฮเซคียาห์ เฮเซคียาห์ต้อนรับคณะทูตด้วยความปลาบปลื้มพระทัย และทรงอวดสมบัติทั้งสิ้นในท้องพระคลังให้พวกเขาชม คือเงิน ทอง เครื่องเทศ น้ำมันอย่างดี อาวุธยุทโธปกรณ์ทั้งหมด และทุกสิ่งทุกอย่างที่มี ไม่มีสักสิ่งเดียวในพระราชวังหรือทั่วอาณาจักรที่เฮเซคียาห์ไม่ได้อวด

แล้วผู้เผยพระวจนะอิสยาห์มาเข้าเฝ้ากษัตริย์เฮเซคียาห์และทูลถามว่า “คนพวกนี้พูดอะไร? และพวกเขามาจากไหน?”

เฮเซคียาห์ตรัสตอบว่า “มาจากบาบิโลนดินแดนอันไกลโพ้น”

ผู้เผยพระวจนะทูลถามว่า “พวกเขาได้เห็นอะไรในวังของท่านบ้าง?”

เฮเซคียาห์ตรัสตอบว่า “พวกเขาเห็นทุกสิ่งทุกอย่างในวังของเรา ไม่มีสักสิ่งเดียวในท้องพระคลังที่เราไม่ได้ให้พวกเขาดู”

อิสยาห์จึงกล่าวแก่เฮเซคียาห์ว่า “จงฟังพระดำรัสของพระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ที่ว่า เวลานั้นจะมาถึงอย่างแน่นอน เมื่อทุกอย่างในวังของเจ้าและทุกสิ่งที่บรรพบุรุษของเจ้าได้สะสมไว้จวบจนบัดนี้จะถูกกวาดไปยังบาบิโลน จะไม่มีอะไรเหลือเลย องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้ และวงศ์วานของเจ้าบางคน เลือดเนื้อเชื้อไขของเจ้าเองจะถูกกวาดต้อนไป ต้องกลายเป็นขันทีอยู่ในวังของกษัตริย์บาบิโลน”

เฮเซคียาห์ตรัสตอบว่า “พระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้าตามที่ท่านว่ามาก็ดีอยู่” เพราะเฮเซคียาห์ดำริว่า “อย่างน้อยก็ยังจะมีความสงบสุขและความมั่นคงปลอดภัยในชั่วอายุของเรา”

พระเจ้าทรงปลอบโยน

40 พระเจ้าของท่านตรัสว่า
จงปลอบโยน จงปลอบโยนประชากรของเรา
จงกล่าวแก่เยรูซาเล็มอย่างอ่อนโยน
และแจ้งให้เธอทราบว่า
เธอได้ผ่านความทุกข์ลำเค็ญแล้ว
บาปของเธอได้รับการชดใช้แล้ว
ซึ่งเธอได้รับโทษจากพระหัตถ์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าครบถ้วน[h]แล้ว
ตามบาปทั้งสิ้นที่เธอทำไป

เสียงของผู้หนึ่งร้องว่า
“จงเตรียมทางในถิ่นกันดาร
สำหรับองค์พระผู้เป็นเจ้า[i]
จงทำทางหลวงของพระเจ้า[j]
ในถิ่นกันดารให้ตรงไป
หุบเขาทุกแห่งจะถูกยกขึ้น
ภูเขาและเนินเขาทุกแห่งจะถูกทำให้ต่ำลง
พื้นดินขรุขระจะถูกทำให้เรียบ
ที่ลุ่มๆ ดอนๆ จะถูกทำให้เป็นที่ราบ
แล้วพระเกียรติสิริขององค์พระผู้เป็นเจ้าจะได้รับการเปิดเผย
และมวลมนุษยชาติจะได้เห็นร่วมกัน
เพราะพระโอษฐ์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าได้ตรัสไว้แล้ว”

เสียงหนึ่งกล่าวแก่ข้าพเจ้าว่า “จงร้องเถิด”
และข้าพเจ้าถามว่า “ข้าพเจ้าควรจะร้องว่าอะไร?”

เสียงนั้นกล่าวว่า “มวลมนุษยชาตินั้นเหมือนหญ้า
และเกียรติทั้งปวงของพวกเขาก็เหมือนดอกไม้ในท้องทุ่ง
ต้นหญ้าเหี่ยวเฉาและดอกไม้ร่วงโรยไป
เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงหายใจรดใส่มัน
แน่ทีเดียว มนุษย์เราก็เหมือนหญ้า
ต้นหญ้าเหี่ยวเฉาและดอกไม้ร่วงโรยไป
แต่พระวจนะของพระเจ้าของเรายืนยงนิรันดร์”

ท่านผู้นำข่าวดีมายังศิโยน
จงขึ้นไปบนภูเขาสูง
ท่านผู้นำข่าวดีมายังเยรูซาเล็ม[k]
จงป่าวร้องสุดเสียง
จงป่าวร้องให้สุดเสียง อย่ากลัวเลย
จงร้องบอกเมืองต่างๆ ของยูดาห์ว่า
“นี่คือพระเจ้าของท่าน!”
10 ดูเถิด พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตเสด็จมาด้วยฤทธิ์อำนาจ
พระกรของพระองค์ครอบครองเพื่อพระองค์
ดูเถิด บำเหน็จรางวัลของพระองค์ก็อยู่ที่พระองค์
และพระองค์ทรงนำค่าตอบแทนของพระองค์มาด้วย
11 พระองค์ทรงเลี้ยงดูฝูงแกะของพระองค์ดั่งคนเลี้ยงแกะ
พระองค์ทรงรวบรวมบรรดาลูกแกะไว้ในอ้อมพระกร
โอบอุ้มไว้แนบพระทรวง
พระองค์ทรงนำแม่แกะที่มีลูกอย่างอ่อนสุภาพ

12 ใครเล่าที่ตวงห้วงน้ำไว้ในอุ้งมือ
และวัดขนาดฟ้าสวรรค์ด้วยฝ่ามือ?
ใครหนอบรรจุผงคลีของโลกไว้ในภาชนะ
และชั่งน้ำหนักของภูเขาบนตาชั่ง
และชั่งเนินเขาด้วยตราชู?
13 ใครเล่าจะเข้าใจพระทัย[l]ขององค์พระผู้เป็นเจ้า
หรือเป็นที่ปรึกษาให้คำแนะนำแก่พระองค์ได้?
14 ใครหนอที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงปรึกษาเพื่อพระองค์จะทรงรู้แจ้ง?
และใครหนอสอนหนทางที่ถูกต้องแก่พระองค์?
ใครหนอที่ให้ความรู้
และชี้แนะทางแห่งความเข้าใจให้แก่พระองค์ได้?

15 แน่ทีเดียว ประชาชาติทั้งสิ้นเหมือนน้ำหยดหนึ่งในถัง
เทียบได้กับผงคลีบนตาชั่ง
พระเจ้าทรงชั่งเกาะต่างๆ เหมือนมันเป็นเพียงผงคลีดิน
16 เลบานอนไม่พอเป็นฟืนสำหรับแท่นบูชา
สัตว์ทั้งปวงของมันไม่พอเป็นเครื่องเผาบูชา
17 ในสายพระเนตรของพระองค์ ประชาชาติทั้งปวงก็ไร้ค่า
พวกเขามีค่าอะไรสำหรับพระองค์
พวกเขาไร้ค่ายิ่งกว่าศูนย์

18 เช่นนี้แล้วท่านจะเอาพระเจ้าเปรียบกับใคร?
ท่านจะเอาพระองค์ไปเทียบกับเทวรูปองค์ไหน?
19 ส่วนรูปเคารพนั้น ช่างก็หล่อขึ้น
แล้วช่างทองจึงหุ้มด้วยทอง
และทำสร้อยเงินให้มัน
20 คนที่ยากจนเกินกว่าจะหาของถวายเช่นนั้น
ก็จะหาไม้ที่ไม่ผุ
เขาหาช่างฝีมือผู้ชำนาญ
เพื่อทำรูปเคารพตั้งไว้ไม่ให้ล้มลง

21 ท่านไม่รู้หรือ?
ท่านไม่เคยได้ยินเลยหรือ?
ไม่มีผู้ใดบอกท่านตั้งแต่ต้นหรือ?
ท่านไม่เข้าใจตั้งแต่ครั้งวางฐานรากของโลกหรือ?
22 พระองค์ประทับบนบัลลังก์เหนือเส้นรอบวงของโลก
และประชากรโลกก็เหมือนตั๊กแตน
พระองค์ทรงคลี่ฟ้าสวรรค์ออกเหมือนคลี่ผ้าม่าน
ทรงขึงมันเหมือนเต็นท์สำหรับพักอาศัย
23 พระองค์ทรงนำบรรดาเจ้านายมาถึงความสูญสิ้น
และลดค่าเหล่าผู้ปกครองของโลกให้เป็นศูนย์
24 พวกเขาถูกหว่าน
และปลูกขึ้นไม่ทันไร
แม้รากก็ยังไม่ทันหยั่งลึกในดิน
พระองค์ก็ทรงเป่าลมใส่และพวกเขาก็เหี่ยวเฉาไป
เหมือนแกลบถูกกวาดไปในพายุหมุน

25 องค์บริสุทธิ์สูงส่งตรัสว่า “เจ้าจะเปรียบเรากับใคร?
ผู้ใดจะเทียบเทียมเราได้?”
26 จงเงยหน้าขึ้นมองฟ้าสวรรค์เถิด
ใครสร้างสิ่งทั้งปวงเหล่านี้?
ผู้ทรงนำดวงดาวออกมาทีละดวง
และขานชื่อของมัน
โดยฤทธิ์อำนาจอันยิ่งใหญ่และพละกำลังอันเกรียงไกรของพระองค์
จึงไม่มีดาวขาดหายไปสักดวง

27 ยาโคบเอ๋ย เหตุใดท่านจึงพูด
อิสราเอลเอ๋ย เหตุใดท่านจึงบ่นว่า
“ทางของเราถูกซ่อนไว้จากองค์พระผู้เป็นเจ้า
นั่นคือพระเจ้าของเราไม่ทรงแยแสเรื่องของเรา”?
28 ท่านไม่เคยรู้หรือ?
ท่านไม่เคยได้ยินหรอกหรือ?
พระยาห์เวห์ทรงเป็นพระเจ้านิรันดร์
พระผู้สร้างทุกสิ่งในโลก
พระองค์จะไม่ทรงอ่อนล้าหรือเหน็ดเหนื่อย
ความเข้าใจของพระองค์ไม่มีผู้ใดหยั่งถึงได้
29 พระองค์ทรงประทานกำลังแก่ผู้อ่อนล้า
และทรงเพิ่มพละกำลังแก่ผู้อ่อนแอ
30 แม้คนหนุ่มสาวยังเหน็ดเหนื่อยและอ่อนล้า
และชายหนุ่มก็ยังสะดุดล้ม
31 แต่บรรดาผู้ที่รอคอยองค์พระผู้เป็นเจ้าด้วยความหวัง
จะฟื้นกำลังขึ้นใหม่
พวกเขาจะกางปีกทะยานขึ้นเหมือนนกอินทรี
พวกเขาจะวิ่งไปโดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
พวกเขาจะเดินไปโดยไม่อ่อนระโหยโรยแรง

องค์พระผู้ช่วยแห่งอิสราเอล

41 “เกาะทั้งหลายเอ๋ย จงเงียบและฟังเรา!
ให้ประชาชาติต่างๆ ฟื้นกำลังขึ้นใหม่!
ให้พวกเขาก้าวออกมาพูดข้างหน้านี้
ให้เรามาพบกันในสถานพิพากษา

“ใครหนอดลใจบุคคลผู้นี้จากตะวันออก
ให้มาทำหน้าที่ของตนอย่างชอบธรรม[m]?
พระองค์ทรงมอบประชาชาติต่างๆ แก่เขา
และสยบบรรดากษัตริย์ต่อหน้าเขา
พระองค์ทรงใช้ดาบของเขาฟาดฟันกษัตริย์เหล่านั้นเป็นธุลี
คันธนูของเขาทำให้กษัตริย์เหล่านั้นเหมือนแกลบปลิวฟุ้งไป
เขาตามล่าคนเหล่านั้นไปโดยไม่ได้รับอันตราย
ตามเส้นทางซึ่งเขาไม่เคยเหยียบย่างมาก่อน
ใครหนอกระทำเช่นนี้จนสำเร็จ
ที่เป็นผู้เรียกคนในชั่วอายุต่างๆ มาตั้งแต่ต้น?
เรา พระยาห์เวห์เป็นปฐมและอวสาน
เราคือผู้นั้น”

เกาะทั้งหลายเห็นแล้วก็หวาดกลัว
สุดปลายแผ่นดินโลกสั่นสะท้าน
พวกเขาเข้ามาใกล้และออกมาข้างหน้า
ต่างช่วยเหลือกัน
และกล่าวแก่พี่น้องของตนว่า “เข้มแข็งเข้าไว้!”
ช่างฝีมือให้กำลังใจช่างทอง
ผู้ใช้ค้อนก็ให้กำลังใจผู้ตีทั่ง
เขากล่าวถึงงานบัดกรีว่า “ดี”
เขาเอาตะปูตอกรูปเคารพ มันจะได้ไม่ล้มคว่ำลง

“ส่วนเจ้า อิสราเอลผู้รับใช้ของเรา
ยาโคบผู้ซึ่งเราได้เลือกสรรไว้
เจ้าผู้เป็นลูกหลานของอับราฮัมสหายของเรา
เราพาเจ้ามาจากสุดปลายแผ่นดินโลก
เราเรียกเจ้ามาจากมุมไกลโพ้นที่สุด
เราบอกเจ้าว่า ‘เจ้าเป็นผู้รับใช้ของเรา’
เราได้เลือกสรรเจ้า และไม่เคยทอดทิ้งเจ้า
10 ดังนั้น อย่ากลัวเลย เพราะเราอยู่กับเจ้า
อย่าท้อแท้ เพราะเราเป็นพระเจ้าของเจ้า
เราจะทำให้เจ้าเข้มแข็งขึ้นและจะช่วยเจ้า
เราจะชูเจ้าไว้ด้วยมือขวาอันชอบธรรมของเรา

11 “บรรดาผู้ที่เกรี้ยวกราดต่อเจ้า
จะอับอายขายหน้าและอัปยศอดสูอย่างแน่นอน
ผู้ที่ต่อต้านเจ้า
จะสิ้นค่าและพินาศไป
12 ถึงแม้เจ้าจะมองหาศัตรู
เจ้าก็จะไม่พบ
บรรดาผู้ที่รบกับเจ้า
จะหมดค่าอย่างสิ้นเชิง
13 เพราะเราคือพระยาห์เวห์ พระเจ้าของเจ้า
ผู้จับมือขวาของเจ้าไว้
และบอกกับเจ้าว่า อย่ากลัวเลย
เราจะช่วยเจ้า
14 อย่ากลัวเลย เจ้าหนอนยาโคบเอ๋ย
อิสราเอลน้อยๆ เอ๋ย
เพราะเราเองจะช่วยเจ้า” องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น
พระองค์ทรงเป็นองค์บริสุทธิ์แห่งอิสราเอลผู้ไถ่เจ้า
15 “ดูเถิด เราจะทำให้เจ้าเป็นดั่งเลื่อนนวดข้าว
ที่ใหม่และคม มีฟันหลายซี่
เจ้าจะนวดและบดขยี้ภูเขาต่างๆ
ทำให้เนินเขาทั้งหลายเป็นเหมือนแกลบ
16 เจ้าจะซัดมัน ลมจะหอบมันขึ้น
และพายุจะพัดมันกระจายไป
ส่วนเจ้าจะปีติยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้า
และภาคภูมิใจในองค์บริสุทธิ์แห่งอิสราเอล

17 “คนยากไร้และขัดสนเสาะหาน้ำดื่ม แต่ไม่มีเลย
ลิ้นของเขาแห้งผากด้วยความกระหาย
แต่เรา พระยาห์เวห์จะตอบเขา
เรา พระเจ้าแห่งอิสราเอลจะไม่ทอดทิ้งพวกเขาเลย
18 เราจะทำให้แม่น้ำไหลบนที่สูงซึ่งแห้งแล้ง
และให้มีธารน้ำพุในหุบเขา
เราจะเปลี่ยนถิ่นกันดารเป็นสระน้ำ
และเปลี่ยนผืนดินแตกระแหงให้กลายเป็นธารน้ำพุ
19 เราจะปลูกต้นสนซีดาร์และต้นกระถินเทศ
ต้นน้ำมันเขียวและต้นมะกอกในทะเลทราย
และเราจะปลูกต้นสนชนิดต่างๆ ไว้ในถิ่นกันดาร
ทั้งสนเฟอร์และสนไซเปรสด้วย
20 เพื่อคนทั้งปวงจะเห็นและรู้
จะพิเคราะห์และเข้าใจ
ว่าพระหัตถ์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าทรงทำการนี้
องค์บริสุทธิ์แห่งอิสราเอลทรงสร้างมันขึ้น”

21 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “จงเสนอคดีความของเจ้า”
องค์กษัตริย์ของยาโคบตรัสว่า “จงแสดงข้อพิสูจน์ของเจ้ามาเถิด”
22 “จงนำบรรดารูปเคารพของเจ้าเข้ามาบอกพวกเรา
ว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น
จงเล่าความเป็นไปแต่เดิม
เพื่อเราจะพิจารณาและรับรู้จุดจบ
หรือจะเล่าให้พวกเราฟังถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้น
23 จงบอกพวกเรามาเถิดว่าอนาคตจะมีอะไรบ้าง
เพื่อเราจะรู้ว่าพวกเจ้าเป็นเทพเจ้า
ทำอะไรสักอย่างสิ จะดีหรือชั่วก็ได้
เพื่อเราจะได้ท้อแท้และหวาดหวั่น
24 แต่พวกเจ้าต่ำต้อยด้อยค่ายิ่งกว่าศูนย์
และผลงานของเจ้าล้วนไร้ค่า
ผู้ที่เลือกเจ้าก็น่าชิงชัง

25 “เราได้เรียกบุคคลผู้หนึ่งจากทางเหนือ และเขาก็มา
เขามาจากที่ดวงอาทิตย์ขึ้น เขาร้องเรียกนามของเรา
เขาเหยียบย่ำบรรดาผู้ปกครองเหมือนย่ำปูน
ราวกับช่างปั้นย่ำดินเหนียว
26 ใครเล่าบอกถึงสิ่งนี้ให้เรารู้มาตั้งแต่ต้น
หรือบอกไว้ตั้งแต่แรก เราจึงพูดได้ว่า ‘ถูกอย่างที่เขาบอก’?
ไม่มีใครพูดไว้
ไม่มีใครแจ้งไว้ก่อน
ไม่มีใครได้ยินอะไรจากเจ้าเลย
27 เราเป็นคนแรกที่บอกศิโยนว่า ‘ดูเถิด พวกเขามาแล้ว!’
เรามอบทูตแห่งข่าวดีให้เยรูซาเล็ม
28 เรามองดูแต่ไม่มีใครสักคน
ไม่มีแม้สักคนเดียวในพวกเขาที่จะให้คำปรึกษาแนะนำ
ไม่มีใครตอบเมื่อเราถาม
29 ดูเถิด พวกเขาล้วนแต่จอมปลอม!
การกระทำของเขาล้วนไร้ค่า
เทวรูปต่างๆ ของเขาเป็นเพียงลมและความสับสน

Thai New Contemporary Bible (TNCV)

Thai New Contemporary Bible Copyright © 1999, 2001, 2007 by Biblica, Inc.® Used by permission. All rights reserved worldwide.