Beginning
อิชโบเชทถูกปลงพระชนม์
4 เมื่ออิชโบเชทราชโอรสของซาอูลทรงทราบว่าอับเนอร์เสียชีวิตที่เมืองเฮโบรนก็ทรงหวาดหวั่น และชาวอิสราเอลทั้งปวงก็ตื่นตกใจ 2 อิชโบเชทมีหัวหน้ากองโจรสองคน คือบาอานาห์และเรคาบ ทั้งสองเป็นบุตรของริมโมนเผ่าเบนยามินแห่งเมืองเบเอโรท ซึ่งถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของเบนยามิน 3 เพราะชาวเบเอโรทหนีไปอาศัยอยู่ที่เมืองกิททาอิมในฐานะคนต่างถิ่นตราบจนทุกวันนี้
4 (โยนาธานราชโอรสของซาอูลมีบุตรชายคนหนึ่งซึ่งขาพิการทั้งสองข้าง เพราะขณะที่เด็กนั้นอายุห้าขวบ มีคนนำข่าวซาอูลกับโยนาธานจากยิสเรเอลมาแจ้ง พี่เลี้ยงจึงอุ้มขึ้นและพาหนี แต่ด้วยความรีบเด็กนั้นจึงตกลงมาและเป็นง่อย เขาชื่อว่า เมฟีโบเชท)
5 ฝ่ายเรคาบและบาอานาห์ บุตรของริมโมนชาวเมืองเบเอโรทออกเดินทางมายังตำหนักของอิชโบเชทและมาถึงในเวลาใกล้เที่ยง ขณะอิชโบเชทกำลังบรรทมพักเที่ยง 6 ทั้งสองเข้าไปยังส่วนในของตำหนักและทำทีว่าจะเข้าไปเอาข้าวสาลี แล้วพวกเขาก็แทงที่ท้องของอิชโบเชท จากนั้นเรคาบกับบาอานาห์ก็หนีไป
7 ทั้งสองเข้าไปในตำหนักขณะอิชโบเชทบรรทมอยู่บนพระแท่นในห้องบรรทม หลังจากพวกเขาจ้วงแทงและปลงพระชนม์แล้ว ก็ตัดพระเศียรและหิ้วหนีมาตลอดคืนตามเส้นทางอาราบาห์ 8 เขานำพระเศียรอิชโบเชทมาเข้าเฝ้าดาวิดที่เมืองเฮโบรน และกราบทูลว่า “นี่คือศีรษะของอิชโบเชทราชโอรสของซาอูล ศัตรูผู้พยายามตามฆ่าฝ่าพระบาท วันนี้องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงแก้แค้นต่อซาอูลและลูกหลานของเขาเพื่อฝ่าพระบาทแล้ว”
9 ดาวิดตรัสตอบเรคาบและบาอานาห์สองพี่น้องซึ่งเป็นบุตรของริมโมนชาวเมืองเบเอโรทว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงกอบกู้เราพ้นจากความทุกข์ร้อนทั้งปวงนั้นทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด 10 เมื่อมีคนมาบอกเราว่า ‘กษัตริย์ซาอูลสิ้นพระชนม์แล้ว’ โดยหลงคิดว่าเอาข่าวดีมาบอกเรา เราก็ได้จับฆ่าในศิกลากฉันนั้น นั่นเป็นบำเหน็จที่เราให้สำหรับข่าวของเขา 11 ยิ่งกว่านั้นสักเท่าใดเราจะตอบแทนอย่างสาสมกับคนสารเลวที่ลอบฆ่าคนบริสุทธิ์ถึงในบ้านทั้งๆ ที่เขายังหลับอยู่บนเตียง เราไม่ควรเอาชีวิตเจ้ามาทดแทนและกำจัดเจ้าออกจากแผ่นดินหรือ!”
12 แล้วดาวิดจึงตรัสสั่งทหารให้ฆ่าเรคาบกับบาอานาห์ ตัดมือและเท้าของคนทั้งสองออกมา เอาร่างแขวนไว้ข้างสระในเมืองเฮโบรน แต่พวกเขาก็นำพระเศียรของอิชโบเชทไปฝังไว้ในอุโมงค์ฝังศพของอับเนอร์ที่เมืองเฮโบรน
ดาวิดเป็นกษัตริย์ปกครองอิสราเอล(A)
5 ชนอิสราเอลทุกเผ่ามาเข้าเฝ้าดาวิดที่เมืองเฮโบรน และทูลว่า “ข้าพระบาททั้งหลายเป็นพี่น้องร่วมสายโลหิตของฝ่าพระบาท 2 ตั้งแต่ในรัชกาลของกษัตริย์ซาอูล ฝ่าพระบาทก็ทรงเป็นผู้นำอิสราเอลในการรบ องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ตรัสกับฝ่าพระบาทไว้ว่า ‘เจ้าจะเป็นผู้เลี้ยงดูและเป็นผู้ปกครองอิสราเอลประชากรของเรา’ ”
3 เมื่อผู้อาวุโสทั้งปวงของอิสราเอลมาเข้าเฝ้ากษัตริย์ดาวิดที่เมืองเฮโบรน กษัตริย์ทรงทำสัญญากับพวกเขาที่นั่นต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้า และพวกเขาเจิมตั้งดาวิดเป็นกษัตริย์ปกครองอิสราเอล
4 เมื่อดาวิดขึ้นเป็นกษัตริย์พระองค์ทรงมีพระชนมายุสามสิบพรรษา และทรงครองราชย์อยู่สี่สิบปี 5 พระองค์ทรงปกครองเหนือยูดาห์เจ็ดปีหกเดือนที่เมืองเฮโบรน และปกครองเหนืออิสราเอลกับยูดาห์ทั้งหมดสามสิบสามปีที่กรุงเยรูซาเล็ม
ดาวิดพิชิตเยรูซาเล็ม(B)
6 ดาวิดและกองทหารเดินทัพไปยังเยรูซาเล็มเพื่อรบกับชาวเยบุสซึ่งอาศัยอยู่ที่นั่น คนเหล่านั้นบอกกับดาวิดว่า “เจ้าเข้ามาในนี้ไม่ได้หรอก แม้แต่คนตาบอดและคนง่อยก็ยังโยนเจ้าออกไปได้” พวกเขาคิดว่า “ดาวิดไม่อาจบุกเข้าไปได้” 7 แต่ดาวิดก็ยึดป้อมแห่งศิโยนเมืองดาวิดได้
8 ในวันนั้นดาวิดตรัสว่า “ใครก็ตามที่จะพิชิตพวกเยบุสได้จะต้องเข้าไปทางอุโมงค์ส่งน้ำ เพื่อบุกเข้าประชิดตัวและฆ่า ‘พวกคนตาบอดและคนง่อย’ ซึ่งเป็นศัตรูของดาวิด[a]” นี่เป็นเหตุให้ผู้คนพูดกันว่า “ ‘คนตาบอดกับคนง่อย’ จะไม่ได้เข้าไปในวัง”
9 ดาวิดจึงประทับอยู่ในป้อมปราการนั้น และขนานนามว่า “เมืองดาวิด” พระองค์ทรงสร้างเมืองรอบๆ ตั้งแต่มิลโล[b]เข้าไปข้างใน 10 ดาวิดเริ่มยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เพราะพระยาห์เวห์พระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์สถิตอยู่ด้วย
11 ฝ่ายกษัตริย์ฮีรามแห่งไทระได้ส่งผู้สื่อสารมาเข้าเฝ้าดาวิดพร้อมทั้งซุงไม้สนซีดาร์ และช่างไม้กับช่างก่อมาสร้างพระราชวังของดาวิด 12 ดาวิดทรงตระหนักว่าที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงสถาปนาเขาเป็นกษัตริย์ปกครองอิสราเอล และทรงเชิดชูอาณาจักรของเขา ก็เพื่อเห็นแก่อิสราเอลประชากรของพระองค์
13 หลังจากที่ย้ายจากเมืองเฮโบรนมาประทับที่กรุงเยรูซาเล็ม ดาวิดได้อภิเษกสมรสกับมเหสีองค์อื่นๆ และมีสนมหลายคน มีราชโอรสราชธิดาเพิ่มอีกหลายองค์ 14 ราชโอรสซึ่งประสูติที่กรุงเยรูซาเล็มได้แก่ ชัมมุอา โชบับ นาธัน โซโลมอน 15 อิบฮาร์ เอลีชูอา เนเฟก ยาเฟีย 16 เอลีชามา เอลียาดา และเอลีเฟเลท
ดาวิดพิชิตฟีลิสเตีย(C)
17 เมื่อชาวฟีลิสเตียได้ข่าวว่าดาวิดได้รับการเจิมตั้งให้เป็นกษัตริย์ปกครองอิสราเอล ก็ระดมพลทั้งหมดมาตามหาดาวิด แต่ดาวิดทรงทราบเรื่องจึงเสด็จเข้าในที่มั่น 18 ครั้นชาวฟีลิสเตียมาถึงก็กระจายพลทั่วหุบเขาเรฟาอิม 19 ดาวิดจึงทูลถามองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า “ข้าพระองค์ควรออกไปโจมตีพวกฟีลิสเตียหรือไม่? พระองค์จะทรงมอบพวกเขาไว้ในมือของข้าพระองค์หรือไม่?”
องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสตอบว่า “ไปเถิด เพราะเราจะมอบพวกฟีลิสเตียให้เจ้าแน่นอน”
20 ดาวิดจึงบุกเข้าโจมตีทัพฟีลิสเตียที่บาอัลเปราซิมและมีชัยชนะ ดาวิดตรัสว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงถาโถมเข้าใส่ศัตรูของข้าพเจ้าดั่งสายน้ำเชี่ยว” ที่แห่งนั้นจึงได้ชื่อว่า บาอัลเปราซิม[c] 21 ครั้งนั้นดาวิดและกองทหารยึดเทวรูปซึ่งชาวฟีลิสเตียทิ้งไว้ได้มากมาย
22 แต่ชาวฟีลิสเตียกลับมาอีก และกระจายกำลังทั่วหุบเขาเรฟาอิม 23 ดาวิดจึงทูลถามองค์พระผู้เป็นเจ้าและพระองค์ตรัสว่า “อย่าบุกโจมตีทางด้านหน้า แต่จงโอบล้อมด้านหลัง แล้วรุกเข้าโจมตีทางด้านหน้าของหมู่ต้นยางสน 24 เมื่อเจ้าได้ยินเสียงคล้ายเสียงย่ำเท้าบนยอดต้นยางสน จงบุกเข้าไปโดยเร็ว เพราะเป็นสัญญาณว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าได้เสด็จไปล่วงหน้าเพื่อเล่นงานกองทัพฟีลิสเตียแล้ว” 25 ดังนั้นดาวิดก็ทำตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสสั่ง และทำลายล้างชาวฟีลิสเตียตลอดทางตั้งแต่เมืองกิเบโอน[d] จนถึงเมืองเกเซอร์
ดาวิดอัญเชิญหีบพันธสัญญามายังเยรูซาเล็ม(D)
6 แล้วดาวิดนำพลอิสราเอลที่เลือกสรรแล้วสามหมื่นคน 2 ไปยังบาอาลาห์แห่งยูดาห์[e] เพื่ออัญเชิญหีบพันธสัญญาของพระเจ้าซึ่งเรียกตามพระนามคือ พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ผู้ประทับระหว่างเครูบบนหีบนั้น 3 พวกเขาตั้งหีบพันธสัญญาของพระเจ้าบนเกวียนใหม่ และนำลงมาจากบ้านของอาบีนาดับซึ่งอยู่บนภูเขา โดยมีอุสซาห์กับอาหิโยบุตรอาบีนาดับเป็นผู้นำเกวียน 4 ที่บรรทุกหีบพันธสัญญาของพระเจ้าและอาหิโยเดินนำหน้า 5 ดาวิดและปวงชนอิสราเอลเฉลิมฉลองอย่างเต็มที่ต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้า มีการขับร้องและบรรเลงดนตรี[f]ด้วยพิณเขาคู่ พิณใหญ่ รำมะนา กรับและฉาบ
6 เมื่อพวกเขามาถึงลานนวดข้าวของนาโคน วัวสะดุดเสียหลัก อุสซาห์ยื่นมือออกไปยึดหีบพันธสัญญาของพระเจ้าไว้ 7 พระพิโรธขององค์พระผู้เป็นเจ้าจึงพลุ่งขึ้นต่ออุสซาห์ และทรงประหารเขาที่บังอาจทำอย่างไม่ยำเกรงพระองค์ เขาตายอยู่ข้างหีบพันธสัญญาของพระเจ้า
8 ดาวิดไม่พอพระทัยเพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพระพิโรธอุสซาห์ ที่แห่งนั้นจึงได้ชื่อว่า เปเรศอุสซาห์[g]จวบจนบัดนี้
9 ในวันนั้นดาวิดรู้สึกเกรงกลัวองค์พระผู้เป็นเจ้าและตรัสว่า “เราจะนำหีบพันธสัญญาขององค์พระผู้เป็นเจ้ากลับบ้านได้อย่างไร?” 10 ฉะนั้นจึงทรงดำริไม่นำหีบพันธสัญญาขององค์พระผู้เป็นเจ้ากลับมายังเมืองดาวิด แต่นำไปไว้ที่บ้านของโอเบดเอโดมแห่งกัท 11 หีบพันธสัญญาขององค์พระผู้เป็นเจ้าอยู่ที่นั่นเป็นเวลาสามเดือน องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอวยพรแก่โอเบดเอโดมแห่งกัทและทุกคนในครัวเรือน
12 มีคนมาทูลกษัตริย์ดาวิดว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอวยพรครอบครัวโอเบดเอโดมและทุกสิ่งที่เขามีเนื่องด้วยหีบพันธสัญญาของพระเจ้า” ดังนั้นดาวิดจึงเสด็จไปอัญเชิญหีบพันธสัญญาของพระเจ้าจากบ้านของโอเบดเอโดมมายังเมืองดาวิดด้วยความยินดี 13 เมื่อผู้หามหีบพันธสัญญาขององค์พระผู้เป็นเจ้าเดินไปได้หกก้าว ดาวิดก็ถวายวัวผู้หนึ่งตัวและลูกวัวขุนหนึ่งตัว 14 ดาวิดทรงสวมเอโฟดลินิน เต้นรำต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างสุดกำลัง 15 ดาวิดและอิสราเอลทั้งปวงอัญเชิญหีบพันธสัญญาขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาท่ามกลางเสียงโห่ร้องและเสียงแตร
16 ขณะที่หีบพันธสัญญาขององค์พระผู้เป็นเจ้าผ่านเข้ามาในเมืองดาวิด มีคาลราชธิดาของซาอูลมองจากหน้าต่างเห็นกษัตริย์ดาวิดทรงโลดเต้นและร่ายรำต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้าก็นึกดูแคลนอยู่ในใจ
17 พวกเขาอัญเชิญหีบพันธสัญญาขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาตั้งไว้ในเต็นท์ซึ่งดาวิดทรงจัดเตรียมไว้ แล้วดาวิดถวายเครื่องเผาบูชา และเครื่องสันติบูชาต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้า 18 หลังจากที่ถวายเครื่องเผาบูชาและเครื่องสันติบูชาเสร็จแล้ว ดาวิดก็ทรงอำนวยพรแก่ประชากรในพระนามของพระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ 19 และประทานขนมปัง อินทผลัมอัด และขนมลูกเกดอย่างละหนึ่งก้อนแก่ทุกคนทั้งชายและหญิง แล้วประชาชนทั้งปวงพากันกลับบ้าน
20 ส่วนดาวิดเสด็จกลับวังมาอวยพรแก่บรรดาเชื้อพระวงศ์ แต่มีคาลราชธิดาของซาอูลออกมารับเสด็จ และตรัสว่า “วันนี้กษัตริย์แห่งอิสราเอลสง่าภาคภูมิจริงนะ ทรงเปลื้องอาภรณ์ต่อหน้าทาสหญิงเหมือนคนถ่อยไร้ยางอาย!”
21 ดาวิดตรัสว่า “เราทำเช่นนี้ต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงเลือกและแต่งตั้งเราให้เป็นผู้ปกครองเหนืออิสราเอลประชากรขององค์พระผู้เป็นเจ้าแทนที่จะเลือกราชบิดาของเจ้าหรือคนใดคนหนึ่งในวงศ์ตระกูลของเขา ดังนั้นเราจะเฉลิมฉลองต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้า 22 แม้ว่าเราจะดูไร้เกียรติมากกว่านี้และดูด้อยค่าในสายตาของเราเอง แต่พวกทาสหญิงที่เจ้าเอ่ยมาก็จะยังคงให้เกียรติเรา”
23 และมีคาลราชธิดาของซาอูลก็ไม่มีราชโอรสราชธิดาเลยตลอดชีวิต
คำสัญญาของพระเจ้าต่อดาวิด(E)
7 หลังจากกษัตริย์ดาวิดเข้าประทับในพระราชวัง และองค์พระผู้เป็นเจ้าประทานการพักสงบจากศัตรูรอบด้านแล้ว 2 ดาวิดตรัสกับผู้เผยพระวจนะนาธันว่า “ดูเถิด เราอยู่ในวังไม้สนซีดาร์ ในขณะที่หีบพันธสัญญาของพระเจ้ายังคงอยู่ในเต็นท์”
3 นาธันทูลว่า “ขอทรงทำตามพระดำริของฝ่าพระบาทเถิดเพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าสถิตกับฝ่าพระบาท”
4 ในคืนนั้น มีพระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาถึงนาธันความว่า
5 “จงไปบอกดาวิดผู้รับใช้ของเราว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้ว่า เจ้าจะเป็นผู้สร้างวิหารให้เราอยู่หรือ? 6 เราไม่เคยอยู่ในวิหารเลยนับตั้งแต่เรานำอิสราเอลออกมาจากอียิปต์จวบจนทุกวันนี้ เราย้ายจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งโดยมีเต็นท์เป็นที่สถิต 7 ไม่ว่าเราไปที่ไหนกับชนอิสราเอล เราเคยออกปากกับผู้ปกครองคนใดซึ่งเราสั่งให้เลี้ยงดูอิสราเอลประชากรของเราหรือว่า “ทำไมไม่สร้างวิหารด้วยไม้สนซีดาร์ให้เรา?” ’
8 “บัดนี้จงบอกดาวิดผู้รับใช้ของเราว่าพระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ตรัสว่า ‘เราพาเจ้าออกมาจากทุ่งหญ้า จากการต้อนฝูงแกะมาปกครองอิสราเอลประชากรของเรา 9 เราอยู่กับเจ้าไม่ว่าเจ้าไปที่ไหน และเราทำลายศัตรูทั้งปวงของเจ้าออกไปให้พ้นหน้าเจ้า บัดนี้เราจะทำให้นามของเจ้าเลื่องลือไปเหมือนนามบุคคลสำคัญทั้งหลายของโลก 10 และเราจัดเตรียมที่แห่งหนึ่งให้อิสราเอลประชากรของเราตั้งรกราก เพื่อเขาจะมีบ้านเรือนเป็นของตนเองและไม่ต้องถูกรบกวนอีก คนชั่วจะไม่มาข่มเหงรังแกพวกเขาอย่างที่เคยทำอีกต่อไป 11 และเป็นอย่างนั้นเรื่อยมานับตั้งแต่เราได้แต่งตั้งผู้นำทั้งหลาย[h]ให้ปกครองอิสราเอล เรายังจะให้เจ้าพักสงบจากศัตรูทั้งปวงอีกด้วย
“ ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศต่อเจ้าว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าเองจะทรงสถาปนาวงศ์วานหนึ่งเพื่อเจ้า 12 เมื่อเจ้าหมดอายุขัยและล่วงลับไปอยู่กับบรรพบุรุษของเจ้าแล้ว เราจะตั้งบุตรชายคนหนึ่งของเจ้าขึ้นครองราชย์ต่อจากเจ้า เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเจ้าเอง เราจะสถาปนาอาณาจักรของเขา 13 เขาจะเป็นผู้สร้างวิหารเพื่อนามของเรา และเราจะสถาปนาบัลลังก์แห่งอาณาจักรของเขาตลอดกาล 14 เราจะเป็นบิดาของเขาและเขาจะเป็นบุตรของเรา เมื่อเขาทำผิด เราจะใช้มนุษย์เป็นไม้เรียวลงโทษเขา โดยให้มนุษย์เฆี่ยนตีเขา 15 แต่ความรักมั่นคงของเราจะไม่พรากไปจากเขา ไม่เหมือนที่เราพรากเอาไปจากซาอูลผู้ซึ่งเราถอดถอนออกไปต่อหน้าเจ้า 16 วงศ์ตระกูลและอาณาจักรของเจ้าจะดำรงอยู่ตลอดไปต่อหน้าเรา[i] บัลลังก์ของเจ้าจะยั่งยืนเป็นนิตย์’ ”
17 นาธันจึงกราบทูลพระดำรัสทั้งสิ้นที่ทรงเปิดเผยนี้ให้ดาวิดทราบ
คำอธิษฐานของดาวิด(F)
18 จากนั้นกษัตริย์ดาวิดจึงเสด็จเข้าไปประทับนั่งต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้าและทูลว่า
“ข้าแต่พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิต ข้าพระองค์เป็นผู้ใดเล่า วงศ์ตระกูลของข้าพระองค์เป็นใครหนอ พระองค์จึงทรงนำข้าพระองค์มาถึงเพียงนี้? 19 และไม่เพียงเท่านี้ ข้าแต่พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิต พระองค์ยังตรัสถึงอนาคตของวงศ์วานผู้รับใช้ของพระองค์ ทรงกรุณาต่อมนุษย์เช่นนี้เสมอๆ หรือ ข้าแต่พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิต?
20 “ดาวิดจะกราบทูลอะไรมากไปกว่านี้ได้? เพราะพระองค์ทรงรู้จักผู้รับใช้ของพระองค์ ข้าแต่พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิต 21 พระองค์ทรงกระทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่นี้และให้เป็นที่ประจักษ์แก่ผู้รับใช้เพราะเห็นแก่พระวจนะของพระองค์ และตามพระประสงค์ของพระองค์
22 “ข้าแต่พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิต พระองค์ทรงยิ่งใหญ่นัก! เท่าที่ข้าพระองค์ทั้งหลายได้ยินมากับหู ไม่มีผู้ใดเสมอเหมือนพระองค์ ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากพระองค์ 23 และมีชนชาติใดเล่าทั่วพิภพที่เสมอเหมือนอิสราเอลประชากรของพระองค์ ที่พระเจ้าเสด็จมาไถ่เขาในฐานะประชากรเพื่อพระองค์เอง และเพื่อนำเกียรติยศมาสู่พระนามของพระองค์ ทรงกระทำการอัศจรรย์อันยิ่งใหญ่น่าเกรงขาม โดยขับไล่ประชาชาติต่างๆ และพระของพวกเขาออกไปให้พ้นหน้าประชากรของพระองค์ซึ่งทรงไถ่ออกจากอียิปต์[j] 24 พระองค์ทรงตั้งอิสราเอลเป็นกรรมสิทธิ์ของพระองค์เองตลอดนิรันดร์ ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าของพวกเขา
25 “และบัดนี้ ข้าแต่พระเจ้าพระยาห์เวห์ ขอทรงกระทำตามพระสัญญาเกี่ยวกับผู้รับใช้และวงศ์วานตลอดไป 26 เพื่อพระนามของพระองค์จะยิ่งใหญ่นิรันดร แล้วคนทั้งหลายจะกล่าวว่า ‘พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์คือพระเจ้าแห่งอิสราเอล!’ และวงศ์วานดาวิดผู้รับใช้ของพระองค์จะได้รับการสถาปนาไว้ต่อหน้าพระองค์
27 “ข้าแต่พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ พระเจ้าแห่งอิสราเอล พระองค์ได้ทรงเปิดเผยสิ่งนี้แก่ผู้รับใช้ของพระองค์ และทรงตรัสว่า ‘เราจะสถาปนาวงศ์วานหนึ่งเพื่อเจ้า’ ดังนั้นผู้รับใช้ของพระองค์จึงกล้าทูลอธิษฐานเช่นนี้ 28 ข้าแต่พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิต พระองค์ทรงเป็นพระเจ้า! พระดำรัสของพระองค์เชื่อถือได้ และพระองค์ทรงสัญญาจะประทานสิ่งดีเหล่านี้ให้แก่ผู้รับใช้ของพระองค์ 29 บัดนี้ขอทรงโปรดอวยพรวงศ์วานผู้รับใช้ของพระองค์ให้ยืนยงตลอดไปในสายพระเนตรของพระองค์ เพราะพระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตได้ตรัสไว้เช่นนั้น ขอให้วงศ์วานผู้รับใช้ของพระองค์ได้รับการอวยพรจากพระองค์ตลอดกาลนานเถิด”
Thai New Contemporary Bible Copyright © 1999, 2001, 2007 by Biblica, Inc.® Used by permission. All rights reserved worldwide.