Book of Common Prayer
(ถึงหัวหน้านักร้อง ทำนอง “ลิลลี่แห่งพันธสัญญา” บทสดุดีของอาสาฟ)
80 ข้าแต่พระผู้เลี้ยงของอิสราเอล ขอทรงสดับฟัง
พระองค์ผู้ทรงนำโยเซฟอย่างนำฝูงแกะ
พระองค์ผู้ทรงประทับเหนือเครูบ ขอทรงสำแดงพระเกียรติสิริของพระองค์
2 ต่อหน้าเอฟราอิม เบนยามิน และมนัสเสห์
ขอทรงสำแดงพระเดชานุภาพ
มาช่วยข้าพระองค์ทั้งหลาย
3 ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงให้ข้าพระองค์ทั้งหลายคืนสู่สภาพดี
ขอพระพักตร์ของพระองค์ทอแสงเหนือข้าพระองค์ทั้งหลาย
เพื่อข้าพระองค์ทั้งหลายจะได้รับการช่วยให้รอด
4 ข้าแต่พระยาห์เวห์พระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์
พระพิโรธของพระองค์จะคุกรุ่น
ต่อคำอธิษฐานของเหล่าประชากรของพระองค์ไปอีกนานเท่าใด?
5 พระองค์ทรงให้พวกเขากินน้ำตาต่างอาหาร
ทรงให้พวกเขาดื่มน้ำตาเต็มอิ่ม
6 พระองค์ทรงกระทำให้ข้าพระองค์ทั้งหลายเป็นที่ดูหมิ่นของบรรดาเพื่อนบ้าน
และเหล่าศัตรูเย้ยหยันเรา
7 ข้าแต่พระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์ ขอทรงให้ข้าพระองค์ทั้งหลายคืนสู่สภาพดี
ขอพระพักตร์ของพระองค์ทอแสงเหนือข้าพระองค์ทั้งหลาย
เพื่อข้าพระองค์ทั้งหลายจะได้รับการช่วยให้รอด
8 พระองค์ทรงนำเถาองุ่นออกมาจากอียิปต์
ทรงขับไล่ชนชาติต่างๆ ออกไปและปลูกเถาองุ่นนั้นไว้
9 พระองค์ทรงหักร้างถางพงและพรวนดิน
แล้วเถาองุ่นก็หยั่งรากงอกคลุมทั่วดินแดน
10 แผ่ร่มเงาปกคลุมภูเขาต่างๆ
ชูกิ่งก้านคลุมสนซีดาร์อันสูงใหญ่
11 แผ่สาขาไปจดทะเล[a]
ชูแขนงไปถึงแม่น้ำ[b]
12 เหตุใดพระองค์จึงทรงพังกำแพงลง?
ทุกคนที่ผ่านไปมาก็เด็ดผลองุ่นไป
13 หมูป่ารุมทึ้งเถาองุ่น
และสรรพสัตว์แห่งท้องทุ่งก็รุมกิน
14 ข้าแต่พระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์! ขอทรงกลับมาหาข้าพระองค์ทั้งหลายเถิด
โปรดทอดพระเนตรจากฟ้าสวรรค์
มาดูแลเถาองุ่นนี้เถิด!
15 รากที่พระหัตถ์ขวาของพระองค์ได้ทรงปลูกไว้
บุตร[c]ซึ่งพระองค์ทรงชุบเลี้ยงมาเพื่อพระองค์เอง
16 เถาองุ่นของพระองค์ถูกโค่น ถูกเผาวอดวาย
เมื่อพระองค์ทรงกำราบ เหล่าประชากรก็พินาศ
17 ขอให้พระหัตถ์ของพระองค์อยู่เหนือผู้นั้นที่อยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระองค์
ผู้เป็นบุตรมนุษย์ที่พระองค์ทรงเชิดชูขึ้นเพื่อพระองค์เอง
18 แล้วข้าพระองค์ทั้งหลายจะไม่หันหนีจากพระองค์อีก
ขอทรงฟื้นฟูข้าพระองค์ทั้งหลายและข้าพระองค์ทั้งหลายจะร้องทูลออกพระนามของพระองค์
19 ข้าแต่พระยาห์เวห์พระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์ ขอทรงให้ข้าพระองค์ทั้งหลายคืนสู่สภาพดี
ขอพระพักตร์ของพระองค์ทอแสงเหนือข้าพระองค์ทั้งหลาย
เพื่อข้าพระองค์ทั้งหลายจะได้รับการช่วยให้รอด
(ถึงหัวหน้านักร้อง ถึงเยดูธูน บทสดุดีของอาสาฟ)
77 ข้าพเจ้าร้องทูลขอให้พระเจ้าทรงช่วย
ข้าพเจ้าร้องทูลให้พระเจ้าทรงสดับฟัง
2 ยามทุกข์ยาก ข้าพเจ้าแสวงหาองค์พระผู้เป็นเจ้า
ยามค่ำคืนข้าพเจ้าชูมือวิงวอนไม่อ่อนล้า
จิตวิญญาณของข้าพเจ้าไม่ยอมรับการปลอบประโลม
3 ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ระลึกถึงพระองค์ และร้องคร่ำครวญ
ข้าพระองค์ครุ่นคิดและจิตวิญญาณของข้าพระองค์อ่อนระโหยไป
เสลาห์
4 พระองค์ทรงทำให้ตาของข้าพระองค์ไม่อาจปิดลงได้
ข้าพระองค์ทนทุกข์จนพูดไม่ออก
5 ข้าพระองค์คิดถึงวันคืนที่ผ่านมา
ปีเดือนซึ่งล่วงเลยมานานแล้ว
6 ข้าพระองค์นึกถึงบทเพลงที่ร้องในยามค่ำคืน
จิตใจของข้าพระองค์ครุ่นคิดและจิตวิญญาณก็เสาะหา
7 “องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงทอดทิ้งตลอดไปหรือ?
พระองค์จะไม่ทรงโปรดปรานอีกเลยหรือ?
8 ความรักมั่นคงของพระองค์สูญสิ้นไปเป็นนิตย์แล้วหรือ?
พระสัญญาของพระองค์ล้มเลิกไปตลอดกาลหรือ?
9 พระเจ้าทรงลืมที่จะเมตตากรุณาแล้วหรือ?
พระองค์ทรงระงับความสงสารเพราะพิโรธแล้วหรือ?”
เสลาห์
10 แล้วข้าพเจ้าก็คิดว่า “ข้าพเจ้าจะร้องอุทธรณ์ในเรื่องนี้
คือเรื่องปีเดือนที่องค์ผู้สูงสุดทรงสำแดงฤทธานุภาพแห่งพระหัตถ์ขวาของพระองค์”[a]
11 ข้าพเจ้าจะระลึกถึงพระราชกิจทั้งปวงขององค์พระผู้เป็นเจ้า
ข้าพเจ้าจะระลึกถึงการอัศจรรย์ต่างๆ ของพระองค์ในครั้งเก่าก่อน
12 ข้าพเจ้าจะใคร่ครวญถึงพระราชกิจทั้งสิ้นของพระองค์
และตรึกตรองพระราชกิจอันเกรียงไกรทั้งปวงของพระองค์
13 ข้าแต่พระเจ้า พระมรรคาของพระองค์บริสุทธิ์
พระใดเล่ายิ่งใหญ่เสมอเหมือนพระเจ้าของเรา?
14 พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงกระทำการอัศจรรย์
ทรงสำแดงเดชานุภาพท่ามกลางชนชาติต่างๆ
15 โดยพระกรอันเกรียงไกร พระองค์ทรงไถ่ประชากรของพระองค์
คือวงศ์วานยาโคบและโยเซฟ
เสลาห์
16 เมื่อห้วงน้ำเห็นพระองค์ ข้าแต่พระเจ้า
ห้วงน้ำเห็นพระองค์ก็คร้ามกลัว
ห้วงลึกก็สะทกสะท้าน
17 เมฆเทฝนลงมา ท้องฟ้ากึกก้องคำราม
ลูกศรของพระองค์แวบวาบไปมา
18 เสียงฟ้าร้องของพระองค์ดังมาจากพายุหมุน
ฟ้าแลบจุดประกายสว่างแก่พิภพ
ปฐพีก็สั่นสะเทือนและหวั่นไหว
19 พระมรรคาของพระองค์ผ่านทะเล
ทางของพระองค์ผ่านห้วงน้ำหลาก
แม้ไม่เห็นรอยพระบาทของพระองค์
20 พระองค์ทรงนำประชากรของพระองค์ไปดั่งฝูงแกะ
โดยมือของโมเสสและอาโรน
(บทสดุดีของอาสาฟ)
79 ข้าแต่พระเจ้า ชนชาติทั้งหลายได้รุกรานกรรมสิทธิ์ของพระองค์
พวกเขาทำให้พระวิหารศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์เป็นมลทิน
พวกเขาทำให้เยรูซาเล็มกลายเป็นซากปรักหักพัง
2 พวกเขาปล่อยให้ศพผู้รับใช้ของพระองค์
เป็นอาหารของฝูงนกในอากาศ
ให้เนื้อประชากรของพระองค์ตกเป็นอาหารของสัตว์ร้ายในแผ่นดิน
3 พวกเขาทำให้เลือดหลั่งรินทั่วเยรูซาเล็ม
ดั่งน้ำนอง
ไม่มีใครสักคนที่จะจัดการฝังศพ
4 ข้าพระองค์ทั้งหลายตกเป็นคำเปรียบเปรยของเพื่อนบ้าน
เป็นที่ดูหมิ่นและเยาะเย้ยของชนชาติโดยรอบ
5 อีกนานเพียงใด ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า? พระองค์จะทรงพระพิโรธไปตลอดกาลหรือ?
อีกนานเพียงใดที่ความหึงหวงของพระองค์จะเผาผลาญดั่งไฟ?
6 ขอทรงเทพระพิโรธลงเหนือชนชาติทั้งหลาย
ที่ไม่ยอมรับพระองค์
ลงเหนืออาณาจักรต่างๆ
ที่ไม่ยอมร้องทูลโดยออกพระนามของพระองค์
7 เพราะพวกเขาได้กลืนกินยาโคบ
และทำลายล้างภูมิลำเนาของเขา
8 ขออย่าทรงให้โทษบาปของบรรพบุรุษมาตกกับข้าพระองค์ทั้งหลาย
ขอพระเมตตามาถึงข้าพระองค์ทั้งหลายโดยเร็ว
เพราะข้าพระองค์ทั้งหลายตกต่ำที่สุด
9 ข้าแต่พระเจ้าองค์พระผู้ช่วยให้รอดของข้าพระองค์ทั้งหลาย ขอทรงช่วยข้าพระองค์ทั้งหลายเถิด
เพื่อเห็นแก่เกียรติสิริแห่งพระนามของพระองค์
โปรดช่วยกู้และอภัยบาปของข้าพระองค์ทั้งหลาย
เพื่อเห็นแก่พระนามของพระองค์
10 เหตุใดจะให้ชนชาติต่างๆ พูดได้ว่า
“พระเจ้าของพวกเขาอยู่ที่ไหน?”
ต่อหน้าต่อตาของเรา ขอให้ชนชาติทั้งหลายรับรู้โดยทั่วกันว่า
พระเจ้าทรงแก้แค้นแทนโลหิตที่หลั่งรินของผู้รับใช้ของพระองค์
11 ขอให้เสียงครวญครางของเหล่านักโทษมาถึงต่อหน้าพระองค์
โดยอานุภาพแห่งพระกรของพระองค์
ขอทรงไว้ชีวิตผู้ถูกสั่งประหาร
12 ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ขอทรงแก้แค้นบรรดาคนที่อยู่ล้อมรอบข้าพระองค์
ซึ่งกำลังลบหลู่พระองค์ให้รับโทษหนักถึงเจ็ดเท่า
13 แล้วข้าพระองค์ทั้งหลายผู้เป็นประชากรของพระองค์
เป็นแกะแห่งทุ่งหญ้าของพระองค์
จะสรรเสริญพระองค์เป็นนิตย์
ข้าพระองค์ทั้งหลายจะสรรเสริญเทิดทูนพระองค์สืบไปทุกชั่วอายุ
ชนอิสราเอลสารภาพบาป
9 ในวันที่ยี่สิบสี่ของเดือนเดียวกัน ชาวอิสราเอลมาชุมนุมกัน ถืออดอาหาร สวมเสื้อผ้ากระสอบ และโปรยฝุ่นธุลีบนศีรษะ 2 เชื้อสายชนอิสราเอลแยกตัวออกจากชาวต่างชาติทั้งปวง พวกเขายืนประจำที่และสารภาพบาปของตนและความชั่วร้ายของบรรพบุรุษของพวกเขา 3 พวกเขายืนอยู่กับที่และอ่านบทบัญญัติของพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเขาเป็นเวลาสามชั่วโมง และอีกสามชั่วโมงสารภาพบาปและนมัสการพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเขา 4 คนเลวีบางคนได้แก่ เยชูอา บานี ขัดมีเอล เชบานิยาห์ บุนนี เชเรบิยาห์ บานี และเคนานี ยืนอยู่บนขั้นบันได พวกเขาร้องทูลพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเขาด้วยเสียงอันดัง 5 และคนเลวีได้แก่ เยชูอา ขัดมีเอล บานี ฮาชับเนยาห์ เชเรบิยาห์ โฮดียาห์ เชบานิยาห์ และเปธาหิยาห์ กล่าวว่า “จงยืนขึ้นสรรเสริญพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านผู้ทรงดำรงอยู่ตั้งแต่นิรันดร์กาลจวบจนนิรันดร์กาล[a]”
“ขอถวายสรรเสริญแด่พระนามอันสูงส่งของพระองค์ ขอให้เป็นที่เทิดทูนเหนือการยกย่องสรรเสริญทั้งปวง 6 พระองค์ผู้เดียวทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทรงสร้างฟ้าสวรรค์ ทรงสร้างแม้กระทั่งฟ้าสวรรค์สูงสุดและดวงดาวทั้งปวงในฟากฟ้า ทรงสร้างแผ่นดินโลกกับท้องทะเลและสรรพสิ่งในนั้น พระองค์ประทานชีวิตแก่ทุกสิ่ง และชาวสวรรค์นมัสการพระองค์
7 “พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าพระยาห์เวห์ ผู้ทรงเลือกสรรอับรามและนำเขาออกมาจากเมืองเออร์ของชาวเคลเดียและประทานนามแก่เขาว่าอับราฮัม 8 พระองค์ทรงเห็นว่าเขามีใจซื่อสัตย์ต่อพระองค์ และทรงทำพันธสัญญากับเขาว่าจะประทานดินแดนของชาวคานาอัน ชาวฮิตไทต์ ชาวอาโมไรต์ ชาวเปริสซี ชาวเยบุส และชาวเกอร์กาชีแก่วงศ์วานของเขา พระองค์ทรงทำตามพระสัญญาเพราะพระองค์ทรงชอบธรรม
9 “พระองค์ทอดพระเนตรความทุกข์ยากของบรรพบุรุษของข้าพระองค์ทั้งหลายในอียิปต์ ทรงฟังคำร้องทูลของพวกเขาที่ทะเลแดง[b] 10 พระองค์ทรงแสดงหมายสำคัญและการอัศจรรย์ต่างๆ เพื่อต่อสู้กับฟาโรห์ เหล่าข้าราชบริพาร และชาวอียิปต์ทั้งปวง เพราะทรงทราบว่าชาวอียิปต์ปฏิบัติต่อบรรพบุรุษของข้าพระองค์ทั้งหลายอย่างเย่อหยิ่ง พระองค์ทรงทำให้พระนามของพระองค์เลื่องลือมาจนถึงทุกวันนี้ 11 พระองค์ทรงแยกทะเลออกเพื่อบรรพบุรุษของข้าพระองค์ทั้งหลายจะได้เดินข้ามบนดินแห้ง แต่พระองค์ทรงกวาดศัตรูที่รุกไล่มาลงในห้วงน้ำลึก เหมือนก้อนหินตกสู่กระแสน้ำเชี่ยว 12 พระองค์ทรงนำพวกเขาด้วยเสาเมฆในเวลากลางวันและเสาเพลิงในเวลากลางคืนเพื่อให้ความสว่างตามทางที่จะไป
13 “พระองค์เสด็จลงมาเหนือภูเขาซีนายและตรัสกับเขาเหล่านั้นจากฟ้าสวรรค์ และประทานกฎระเบียบกับบทบัญญัติที่เที่ยงตรงและถูกต้องและประทานกฎหมายกับพระบัญชาอันดีงาม 14 พระองค์ทรงสอนพวกเขาให้รู้จักสะบาโตอันบริสุทธิ์ของพระองค์ และประทานพระบัญชา กฎหมาย และบทบัญญัติผ่านทางโมเสสผู้รับใช้ของพระองค์ 15 ยามพวกเขาหิว พระองค์ประทานอาหารจากฟ้าสวรรค์ ยามพวกเขากระหายก็ประทานน้ำจากศิลา พระองค์ทรงบัญชาให้พวกเขาเข้าไปยึดครองดินแดนซึ่งพระองค์ได้ทรงยกพระหัตถ์ปฏิญาณมอบให้แก่พวกเขาแล้ว
16 “แต่บรรพบุรุษของข้าพระองค์ทั้งหลายเย่อหยิ่งและดื้อดึง ไม่ยอมเชื่อฟังพระบัญชาของพระองค์ 17 ไม่ยอมรับฟัง และไม่ได้จดจำการอัศจรรย์ต่างๆ ที่ทรงทำในหมู่พวกเขา แต่กลับใจแข็งและคิดคดทรยศ และตั้งผู้นำคนหนึ่งเพื่อพากันกลับไปเป็นทาสในอียิปต์ แต่พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ให้อภัย ทรงเปี่ยมด้วยพระคุณและความเอ็นดูสงสาร ทรงพระพิโรธช้าและเปี่ยมด้วยความรัก ฉะนั้นพระองค์จึงไม่ได้ทรงทอดทิ้งพวกเขา 18 แม้แต่ขณะที่พวกเขาได้หล่อเทวรูปลูกวัวขึ้นสำหรับตนและประกาศว่า ‘นี่คือพระเจ้าผู้พาเราออกมาจากอียิปต์’ หรือขณะที่พวกเขาหมิ่นประมาทอย่างร้ายแรง
19 “เนื่องด้วยพระกรุณาคุณอันยิ่งใหญ่ พระองค์ไม่ได้ทรงละทิ้งพวกเขาไว้ในถิ่นกันดาร เสาเมฆยังคงนำพวกเขาไปตามทางในเวลากลางวันและเสาเพลิงยังส่องทางตลอดค่ำคืน 20 พระองค์ประทานพระวิญญาณล้ำเลิศมาสั่งสอนพวกเขา พระองค์ไม่ได้ให้มานาของพระองค์ขาดจากปากของพวกเขาและพระองค์ประทานน้ำดับความกระหายให้พวกเขา 21 ตลอดสี่สิบปีพระองค์ทรงเลี้ยงดูพวกเขาในถิ่นกันดาร พวกเขาไม่ขัดสนสิ่งใด เสื้อผ้าของเขาไม่ได้เก่าคร่ำคร่าและเท้าก็ไม่ได้บวมช้ำ
22 “พระองค์ทรงมอบอาณาจักรและชนชาติต่างๆ แก่พวกเขา ทรงแบ่งสรรปันส่วนให้แม้แต่ชายแดนที่ไกลโพ้น พวกเขายึดครองดินแดนของกษัตริย์สิโหนแห่งเฮชโบน[c]และดินแดนของกษัตริย์โอกแห่งบาชาน 23 พระองค์ทรงโปรดให้พวกเขามีลูกหลานมากมายเหมือนดวงดาวในท้องฟ้า และนำพวกเขามายังดินแดนซึ่งพระองค์ตรัสสั่งบรรพบุรุษของพวกเขาให้เข้าครอบครอง 24 ลูกหลานของพวกเขาเข้ายึดครองดินแดนนั้น พระองค์ทรงปราบชาวคานาอันซึ่งอยู่ในดินแดนนั้นลงต่อหน้าพวกเขา ทรงมอบชาวคานาอัน รวมทั้งกษัตริย์และประชาชนในดินแดนนั้นแก่พวกเขา แล้วแต่พวกเขาจะจัดการตามใจชอบ 25 พวกเขายึดหัวเมืองป้อมปราการและดินแดนอันอุดมสมบูรณ์ ครอบครองบ้านเรือนที่มีแต่ของดีๆ ทั้งนั้น มีบ่อน้ำที่ขุดแล้ว สวนองุ่น สวนมะกอก และผลหมากรากไม้อุดมสมบูรณ์ พวกเขาจึงอิ่มหนำและอิ่มเอมกับความประเสริฐเลิศล้ำของพระองค์
บาบิโลนล่ม
18 หลังจากนั้นข้าพเจ้าเห็นทูตสวรรค์อีกองค์หนึ่งลงมาจากสวรรค์ ทูตนี้มีอำนาจยิ่งใหญ่และรัศมีของท่านทำให้โลกสว่างไสว 2 ท่านประกาศด้วยเสียงกึกก้องว่า
“ล่มแล้ว! บาบิโลนมหานครได้ล่มสลายแล้ว!
นครนี้ได้กลายเป็นเรือนปีศาจ
และเป็นที่สิงสู่ของวิญญาณชั่ว[a]
เป็นที่สิงสู่ของนกทุกชนิดที่เป็นมลทินและน่าชิงชัง
3 เพราะมวลประชาชาติได้ดื่มเหล้าองุ่นแห่งการล่วงประเวณีของมัน
ซึ่งทำให้คลุ้มคลั่งไป
บรรดากษัตริย์ของโลกร่วมประเวณีกับมัน
และพ่อค้าทั้งหลายของโลกร่ำรวยขึ้นด้วยความฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือยของมัน”
4 แล้วข้าพเจ้าได้ยินอีกเสียงหนึ่งดังมาจากสวรรค์ ว่า
“ประชากรของเราเอ๋ย ออกมาจากนครนั้นเถิด
เพื่อเจ้าจะได้ไม่มีส่วนร่วมในบาปผิดของมัน
เพื่อเจ้าจะได้ไม่ต้องรับภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นกับมัน
5 เพราะบาปของนครนั้นกองสูงขึ้นถึงสวรรค์แล้ว
พระเจ้าทรงจดจำความผิดอันชั่วร้ายของมันได้
6 จงคืนให้แก่มันเหมือนกับที่มันได้ให้ผู้อื่น
จงคืนสนองมันสองเท่าของสิ่งที่มันได้ทำ
จงผสมเหล้าให้แรงเป็นสองเท่าของถ้วยที่มันให้คนอื่น
7 มันฟุ้งเฟ้อบำรุงบำเรอตัวเองเท่าใด
จงให้ทุกข์โศกความทรมานแก่มันเท่านั้น
มันลำพองใจว่า
‘ข้านั่งบัลลังก์เป็นราชินี ข้าไม่ใช่หญิงม่าย
ข้าจะไม่มีวันทุกข์โศก’
8 ฉะนั้นภายในวันเดียวภัยพิบัติต่างๆ จะจู่โจมนครนั้น
คือความตาย ความทุกข์โศก และความอดอยาก
มันจะถูกไฟเผาวอดวาย
เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงพิพากษามันนั้นทรงฤทธิ์
สิ่งที่เป็นมลทิน(A)
15 แล้วพวกฟาริสีและธรรมาจารย์จากกรุงเยรูซาเล็มมาทูลถามพระเยซูว่า 2 “เหตุใดสาวกของท่านจึงละเมิดธรรมเนียมของผู้อาวุโส? พวกเขาไม่ล้างมือก่อนรับประทานอาหาร!”
3 พระเยซูตรัสว่า “แล้วทำไมพวกท่านละเมิดพระบัญชาของพระเจ้าด้วยเห็นแก่ธรรมเนียมเล่า? 4 เพราะพระเจ้าตรัสว่า ‘จงให้เกียรติบิดามารดาของเจ้า’[a] และ ‘ผู้ใดแช่งด่าบิดามารดาจะต้องมีโทษถึงตาย’[b] 5 แต่พวกท่านบอกว่าหากใครพูดกับบิดามารดาว่า ‘สิ่งใดๆ จากข้าพเจ้าซึ่งอาจเป็นประโยชน์แก่ท่านก็เป็นของที่ได้อุทิศถวายแด่พระเจ้าแล้ว’ 6 เขาจึงไม่ได้ ‘ให้เกียรติบิดา[c]’ ด้วยสิ่งนั้น เหตุนี้ท่านจึงทำให้พระวจนะของพระเจ้าเป็นโมฆะไปเพราะเห็นแก่ธรรมเนียมของท่าน 7 เจ้าคนหน้าซื่อใจคด อิสยาห์พูดถูกแล้วเมื่อเขาเผยพระวจนะเกี่ยวกับพวกเจ้าว่า
8 “ ‘ประชากรเหล่านี้ยกย่องเราแต่ปาก
แต่ใจของพวกเขาห่างไกลจากเรา
9 พวกเขานมัสการเราโดยเปล่าประโยชน์
คำสอนของพวกเขาเป็นเพียงกฎเกณฑ์ที่มนุษย์สอนกันมา’[d]”
10 พระเยซูทรงเรียกฝูงชนเข้ามาหาพระองค์และตรัสว่า “จงฟังและเข้าใจเถิดว่า 11 สิ่งที่เข้าไปในปากมนุษย์ไม่ได้ทำให้เขา ‘เป็นมลทิน’ แต่สิ่งที่ออกจากปากของเขาต่างหากที่ทำให้เขา ‘เป็นมลทิน’ ”
12 แล้วเหล่าสาวกมาทูลถามพระองค์ว่า “พระองค์ทรงทราบหรือไม่ว่าพวกฟาริสีขัดเคืองยิ่งนักเมื่อได้ยินเช่นนี้?”
13 พระองค์ตรัสว่า “ต้นไม้ทุกต้นที่พระบิดาของเราในสวรรค์ไม่ได้ปลูกไว้จะถูกขุดรากถอนโคน 14 ช่างเขาเถิด เขาเป็นคนนำทางที่ตาบอด[e] ถ้าคนตาบอดนำทางให้คนตาบอด ทั้งคู่ก็จะตกหลุมตกบ่อ”
15 เปโตรทูลว่า “ขอทรงอธิบายคำอุปมานี้แก่พวกข้าพระองค์เถิด”
16 พระเยซูตรัสถามพวกเขาว่า “พวกท่านยังไม่เข้าใจอีกหรือ? 17 ไม่เห็นหรือว่าสิ่งใดๆ ที่เข้าไปในปากมนุษย์ก็ลงท้องแล้วออกจากร่างกาย? 18 แต่สิ่งที่ออกมาจากปากนั้นออกมาจากใจ และสิ่งเหล่านี้ทำให้มนุษย์ ‘เป็นมลทิน’ 19 เพราะความคิดชั่ว การเข่นฆ่า การล่วงประเวณี การผิดศีลธรรมทางเพศ การลักขโมย การเป็นพยานเท็จ การนินทาว่าร้าย ล้วนออกมาจากจิตใจ 20 สิ่งเหล่านี้ทำให้มนุษย์ ‘เป็นมลทิน’ ส่วนการรับประทานอาหารโดยไม่ได้ล้างมือไม่ได้ทำให้ ‘เป็นมลทิน’ ”
Thai New Contemporary Bible Copyright © 1999, 2001, 2007 by Biblica, Inc.® Used by permission. All rights reserved worldwide.