Book of Common Prayer
(บทสดุดีของอาสาฟ)
50 องค์ทรงฤทธิ์ พระเจ้า พระยาห์เวห์ตรัสเรียกคนทั้งโลก
จากที่ดวงอาทิตย์ขึ้นจนถึงที่ดวงอาทิตย์ตกให้มาชุมนุมกัน
2 พระเจ้าทรงเปล่งรัศมี
จากศิโยนอันงามพร้อม
3 พระเจ้าของเราเสด็จมาและจะไม่ทรงนิ่งเงียบ
เปลวไฟเผาผลาญอยู่ต่อหน้าพระองค์
พายุโหมกระหน่ำอยู่รอบพระองค์
4 พระองค์ตรัสเรียกชุมนุมฟ้าสวรรค์เบื้องบนและแผ่นดินโลก
เพื่อจะทรงพิพากษาประชากรของพระองค์
5 “บรรดาผู้ที่เราได้ชำระไว้แล้ว จงรวมกันมาหาเรา
ผู้ซึ่งเข้าร่วมพันธสัญญากับเราทางเครื่องบูชา”
6 ฟ้าสวรรค์ป่าวประกาศความชอบธรรมของพระองค์
เพราะพระเจ้าเองทรงเป็นองค์ตุลาการ
เสลาห์
7 “ประชากรของเราเอ๋ย จงฟังและเราจะพูด
อิสราเอลเอ๋ย เราจะแจ้งข้อหาของเจ้า
เราเป็นพระเจ้า พระเจ้าของเจ้า
8 เราไม่ได้ตำหนิเจ้าในเรื่องเครื่องบูชา
หรือเครื่องเผาบูชาที่เจ้านำมาถวายเราอย่างสม่ำเสมอ
9 เราไม่ได้ต้องการวัวหนุ่มจากโรงวัวของเจ้า
หรือแพะจากคอกของเจ้า
10 เพราะสัตว์ทุกชนิดในป่าเป็นของเรา
รวมทั้งสัตว์เลี้ยงบนเนินเขานับพัน
11 เรารู้จักนกทุกตัวบนภูเขาทั้งหลาย
บรรดาสัตว์ในท้องทุ่งเป็นของเรา
12 หากเราหิว เราจะไม่บอกเจ้า
เพราะโลกนี้และสิ่งสารพัดในโลกล้วนเป็นของเรา
13 เรากินเนื้อวัวผู้หรือ?
เราดื่มเลือดแพะหรือ?
14 จงถวายเครื่องบูชาขอบพระคุณแด่พระเจ้า
ทำตามที่ได้ถวายปฏิญาณต่อองค์ผู้สูงสุด
15 และจงร้องทูลเราในยามทุกข์ร้อน
เราจะช่วยกู้เจ้าและเจ้าจะให้เกียรติเรา”
16 ส่วนคนชั่ว พระเจ้าตรัสกับเขาว่า
“เจ้าถือสิทธิ์อะไรท่องบทบัญญัติของเรา
หรืออ้างพันธสัญญาของเรา?
17 ในเมื่อเจ้าเกลียดคำสอนของเรา
และเหวี่ยงถ้อยคำของเราทิ้ง
18 เจ้าเห็นขโมยก็สมรู้ร่วมคิดกับเขา
เจ้าคบหากับคนล่วงประเวณี
19 เจ้าใช้ปากทำชั่ว
ตวัดลิ้นเพื่อล่อลวง
20 เจ้าพร่ำพูดให้ร้ายพี่น้อง
นินทาว่าร้ายกระทั่งพี่น้องร่วมท้องเดียวกัน
21 เจ้าทำสิ่งเหล่านี้ เราก็นิ่งอยู่
เจ้าเลยพลอยคิดว่าเรา[a]ก็เป็นเหมือนเจ้า
แต่เราจะกำราบเจ้า
และกล่าวโทษเจ้าซึ่งๆ หน้า
22 “เจ้าผู้ลืมพระเจ้า จงพิจารณาเรื่องนี้
มิฉะนั้นเราจะฉีกเจ้าเป็นชิ้นๆ โดยไม่มีใครช่วยได้
23 ผู้ที่ถวายเครื่องบูชาขอบพระคุณก็ให้เกียรติเรา
และผู้ที่เตรียมทางของตนไว้ดี
เราก็จะสำแดงความรอดของพระเจ้าแก่เขา[b]”
(ถึงหัวหน้านักร้อง ทำนอง “อย่าทำลาย” มิคทาม[a]ของดาวิด เมื่อซาอูลส่งคนมาดักฆ่าดาวิดที่บ้าน)
59 ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงช่วยข้าพระองค์ให้พ้นจากศัตรู
ขอทรงพิทักษ์รักษาข้าพระองค์ให้พ้นจากบรรดาผู้ที่ลุกขึ้นมาต่อสู้ข้าพระองค์
2 ขอทรงช่วยข้าพระองค์ให้พ้นจากบรรดาคนที่ทำชั่ว
ขอทรงช่วยข้าพระองค์ให้พ้นจากเหล่าคนกระหายเลือด
3 ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ดูเถิด พวกเขาซุ่มดักเอาชีวิตข้าพระองค์!
คนดุร้ายคบคิดกันเล่นงานข้าพระองค์
ทั้งที่ข้าพระองค์ไม่ได้ทำผิดทำบาปอะไร
4 ข้าพระองค์ไม่ได้ทำอะไรผิด แต่พวกเขาก็พร้อมจะเล่นงานข้าพระองค์
ขอทรงลุกขึ้นเพื่อช่วยข้าพระองค์ โปรดทอดพระเนตรความยากลำบากของข้าพระองค์ด้วยเถิด!
5 ข้าแต่พระยาห์เวห์พระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์ พระเจ้าแห่งอิสราเอล
ขอทรงลุกขึ้นลงโทษเหล่าประชาชาติ
ขออย่าทรงเมตตาบรรดาคนทรยศผู้ชั่วร้าย
เสลาห์
6 พวกเขากลับมาในเวลาเย็น
เห่าหอนเหมือนสุนัข
และเพ่นพ่านไปทั่วเมือง
7 ดูสิ่งที่เขาพ่นออกมาจากปาก
ปากของเขาคายดาบออกมา
และพูดว่า “ใครจะได้ยินเรา?”
8 ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า แต่พระองค์ทรงหัวเราะเยาะพวกเขา
ทรงเย้ยหยันประชาชาติทั้งปวงนั้น
9 ข้าแต่องค์ผู้ทรงเป็นกำลังของข้าพระองค์ ข้าพระองค์เฝ้าคอยพระองค์อยู่
ข้าแต่พระเจ้า พระองค์ทรงเป็นป้อมปราการของข้าพระองค์ 10 เป็นพระเจ้าของข้าพระองค์ผู้ทรงเปี่ยมด้วยความรักเมตตา
พระเจ้าจะเสด็จนำหน้าข้าพระองค์
จะทรงให้ข้าพระองค์ยิ้มเยาะบรรดาผู้กล่าวร้ายข้าพระองค์
11 แต่ขออย่าทรงประหารพวกเขา ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า[b] ของข้าพระองค์ทั้งหลาย
เพราะไม่ช้าคนของข้าพระองค์จะลืมเลือน
แต่ขอทรงให้พวกเขาแตกฉานซ่านเซ็นไปด้วยฤทธานุภาพของพระองค์
และกระทำให้พวกเขาล้มลง
12 เพราะบาปบนริมฝีปากของเขา
และเพราะวาจาของเขา
ขอให้เขาติดกับเพราะความยโสโอหังของเขา
เพราะคำสาปแช่งและคำโกหกที่เขาเปล่งออกมา
13 ขอทรงทำลายล้างพวกเขาด้วยพระพิโรธ
ทำลายล้างพวกเขาให้สิ้นซาก
แล้วจะได้รู้กันจนถึงสุดปลายแผ่นดินโลกว่า
พระเจ้าทรงครอบครองเหนือยาโคบ
เสลาห์
14 พวกเขากลับมาในเวลาเย็น
เห่าหอนเหมือนสุนัข
และเพ่นพ่านไปทั่วเมือง
15 พวกเขาป้วนเปี้ยนหาอาหาร
ไม่ได้หนำใจก็ส่งเสียงหอน
16 แต่ข้าพระองค์จะร้องถึงฤทธานุภาพของพระองค์
ข้าพระองค์จะร้องถึงความรักมั่นคงของพระองค์ในยามเช้า
เพราะพระองค์ทรงเป็นป้อมปราการ
เป็นที่ลี้ภัยของข้าพระองค์ในยามเดือดร้อน
17 ข้าแต่องค์ผู้ทรงเป็นกำลังของข้าพระองค์ ข้าพระองค์ร้องเพลงสรรเสริญพระองค์
ข้าแต่พระเจ้า พระองค์ทรงเป็นป้อมปราการ ของข้าพระองค์ เป็นพระเจ้าของข้าพระองค์ผู้ทรงเปี่ยมด้วยความรักเมตตา
(สดด.108:6-13)
(ถึงหัวหน้านักร้อง ทำนอง “ลิลลี่แห่งพันธสัญญา” มิคทาม[c]ของดาวิด เพื่อสอน เมื่อดาวิดสู้กับอารัมนาหะราอิม[d] กับอารัมโซบาห์[e] และเมื่อโยอาบฆ่าชาวเอโดม 12,000 คน ที่หุบเขาเกลือ)
60 ข้าแต่พระเจ้า พระองค์ได้ทรงละทิ้งข้าพระองค์ทั้งหลายแล้ว และทลายที่มั่นของเหล่าข้าพระองค์
พระองค์ได้ทรงพระพิโรธ บัดนี้ ขอทรงโปรดให้ข้าพระองค์ทั้งหลายกลับสู่สภาพดี!
2 พระองค์ได้ทรงเขย่าแผ่นดินและทำให้แยกออก
ขอทรงประสานรอยร้าว เพราะขณะนี้แผ่นดินกำลังสั่นสะเทือน
3 พระองค์ได้ทรงให้ประชากรของพระองค์เผชิญช่วงเวลาแห่งความสิ้นหวัง
พระองค์ประทานเหล้าองุ่นที่ทำให้เหล่าข้าพระองค์ซวนเซ
4 แต่สำหรับผู้ที่ยำเกรงพระองค์นั้น พระองค์ทรงโปรดชูธงขึ้น
คลี่ออกต้านธนู
เสลาห์
5 ขอทรงช่วยกู้ข้าพระองค์ทั้งหลายด้วยพระหัตถ์ขวาของพระองค์
เพื่อบรรดาผู้ที่พระองค์ทรงรักจะรอดพ้น
6 พระเจ้าตรัสจากสถานนมัสการของพระองค์ว่า
“ในชัยชนะ เราจะแบ่งเชเคม
และกำหนดเขตหุบเขาสุคคท
7 กิเลอาดเป็นของเรา มนัสเสห์เป็นของเรา
เอฟราอิมคือหมวกเกราะของเรา
ยูดาห์คือคทาของเรา
8 โมอับเป็นอ่างชำระของเรา
เราเหวี่ยงรองเท้าของเราลงบนเอโดม
และเราจะโห่ร้องด้วยความมีชัยเหนือฟีลิสเตีย”
9 ใครจะพาข้าพระองค์ไปยังเมืองป้อมปราการ?
ใครจะนำข้าพระองค์ไปยังเอโดม?
10 พระองค์ไม่ใช่หรือ ข้าแต่พระเจ้า พระองค์ผู้ได้ทรงทอดทิ้งข้าพระองค์ทั้งหลาย
และไม่ทรงร่วมทัพกับเหล่าข้าพระองค์อีกต่อไป?
11 ขอทรงช่วยข้าพระองค์ทั้งหลายต่อสู้ข้าศึก
เพราะความช่วยเหลือของมนุษย์นั้นไร้ค่า
12 โดยพระเจ้าเราจะมีชัยชนะ
พระองค์จะทรงเหยียบย่ำศัตรูของเรา
93 องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงครอบครองอยู่
พระองค์ทรงฉลองพระองค์ด้วยพระบารมี
องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงฉลองพระองค์ด้วยพระบารมีและทรงเดชานุภาพ
แผ่นดินโลกได้รับการสถาปนาไว้มั่นคง
ไม่อาจคลอนแคลน
2 พระที่นั่งของพระองค์ได้รับการสถาปนาไว้ตั้งแต่ครั้งดึกดำบรรพ์
พระองค์ดำรงอยู่ตลอดนิรันดร์กาล
3 ท้องทะเลซัดขึ้น ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า
ห้วงสมุทรคึกคำราม
ท้องทะเลซัดคลื่นครึกโครม
4 พระองค์ทรงฤทธิ์เกริกไกรกว่าคลื่นคะนองในท้องทะเล
ทรงฤทธิ์เกริกไกรยิ่งกว่าความปั่นป่วนของทะเลคลั่ง
องค์พระผู้เป็นเจ้าเบื้องบนทรงฤทธิ์เกริกไกร
5 กฎเกณฑ์ของพระองค์ตั้งมั่นอยู่
ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าความบริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์
ประดับประดาพระนิเวศของพระองค์เป็นนิตย์
96 (A)จงร้องเพลงบทใหม่ถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า
จงร้องเพลงถวายองค์พระผู้เป็นเจ้าเถิด โลกทั้งโลกเอ๋ย
2 จงร้องเพลงถวายองค์พระผู้เป็นเจ้า สรรเสริญพระนามของพระองค์
จงประกาศความรอดของพระองค์ทุกๆ วัน
3 จงประกาศพระเกียรติสิริของพระองค์ท่ามกลางประชาชาติทั้งหลาย
ประกาศพระราชกิจล้ำเลิศของพระองค์ท่ามกลางชนชาติทั้งมวล
4 เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงยิ่งใหญ่นัก และควรแก่การสรรเสริญเป็นที่สุด
พระองค์ทรงเป็นที่เคารพยำเกรงเหนือพระทั้งปวง
5 เพราะพระของชนชาติต่างๆ เป็นเพียงรูปเคารพ
แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงสร้างฟ้าสวรรค์
6 สง่าราศีและพระบารมีอยู่ต่อหน้าพระองค์
พระเดชานุภาพและพระเกียรติสิริอยู่ในสถานนมัสการของพระองค์
7 ทุกครอบครัวในชนชาติทั้งหลายเอ๋ย จงเทิดทูนองค์พระผู้เป็นเจ้าเถิด
จงเทิดทูนองค์พระผู้เป็นเจ้าถึงพระเกียรติสิริและพระเดชานุภาพของพระองค์
8 จงเทิดทูนองค์พระผู้เป็นเจ้าตามพระเกียรติสิริที่ควรแก่พระนามของพระองค์
จงนำเครื่องบูชาเข้ามายังพระนิเวศของพระองค์
9 จงนมัสการองค์พระผู้เป็นเจ้าในสง่าราศีแห่งความบริสุทธิ์ของพระองค์[a]
โลกทั้งโลกจงสั่นสะท้านต่อหน้าพระองค์
10 จงกล่าวท่ามกลางประชาชาติทั้งหลายว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงครอบครอง”
โลกได้รับการสถาปนาไว้อย่างมั่นคง จะไม่มีวันคลอนแคลน
พระองค์จะทรงพิพากษาชนชาติทั้งหลายอย่างยุติธรรม
11 ฟ้าสวรรค์จงชื่นชมยินดี แผ่นดินโลกจงเปรมปรีดิ์
ท้องทะเลและสรรพสิ่งในนั้นจงแซ่ซ้องกังวาล
12 ท้องทุ่งและทุกสิ่งในนั้นจงร่าเริง
แล้วต้นไม้ในป่าจะร้องเพลง
13 พวกมันจะขับร้องต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้า เพราะพระองค์เสด็จมา
พระองค์เสด็จมาเพื่อพิพากษาแผ่นดินโลก
พระองค์จะทรงพิพากษาโลกด้วยความชอบธรรม
และพิพากษาชนชาติต่างๆ ด้วยความจริงของพระองค์
เอลียาห์กับโอบาดีห์
18 หลังจากนั้นเป็นเวลานาน พระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาถึงเอลียาห์ในปีที่สามว่า “จงไปแสดงตัวต่ออาหับ เราจะให้ฝนตกลงมา” 2 เอลียาห์จึงไปแสดงตัวต่ออาหับ
ในเวลานั้นการกันดารอาหารในสะมาเรียรุนแรงมาก 3 อาหับรับสั่งให้เรียกโอบาดีห์เจ้ากรมวังมาหา (โอบาดีห์เป็นผู้เชื่อที่เข้มแข็งในองค์พระผู้เป็นเจ้า 4 เมื่อครั้งพระนางเยเซเบลเข่นฆ่าผู้เผยพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้า โอบาดีห์ช่วยเหลือผู้เผยพระวจนะหนึ่งร้อยคนให้ไปหลบซ่อนตัวอยู่ในถ้ำสองแห่ง แห่งละห้าสิบคนและจัดส่งอาหารกับน้ำให้) 5 อาหับตรัสกับโอบาดีห์ว่า “จงไปยังตาน้ำหุบเขาทุกแห่งทั่วดินแดน เราอาจจะพบหญ้าพอประทังชีวิตม้าและล่อ จะได้ไม่ต้องฆ่าสัตว์ของเรา” 6 ทั้งสองจึงแบ่งกันออกไปสำรวจดู อาหับเสด็จไปทางหนึ่ง โอบาดีห์ไปอีกทางหนึ่ง
7 ขณะเดินไปตามทาง เอลียาห์ก็มาพบเขา โอบาดีห์จำเอลียาห์ได้ จึงหมอบคำนับลงกับพื้นและกล่าวว่า “นี่เป็นท่านเอลียาห์นายของข้าพเจ้าจริงๆ หรือ?”
8 เอลียาห์ตอบว่า “ถูกแล้ว ไปทูลกษัตริย์เถิดว่า ‘เอลียาห์อยู่ที่นี่’”
9 โอบาดีห์ถามว่า “ข้าพเจ้าทำอะไรผิดหรือ ท่านจึงจะส่งข้าพเจ้าผู้รับใช้ของท่านไปให้อาหับประหาร? 10 พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด ก็ไม่มีชาติใดหรืออาณาจักรใดที่นายของข้าพเจ้าไม่ได้ส่งคนไปค้นหาตัวท่านฉันนั้น และทุกครั้งที่มีชาติใดหรืออาณาจักรใดบอกว่าท่านไม่ได้อยู่ที่นั่น กษัตริย์ก็จะให้พวกเขาสาบานว่าไม่พบท่าน 11 มาตอนนี้ท่านบอกให้ข้าพเจ้าไปทูลเจ้านายว่า ‘เอลียาห์อยู่ที่นี่’ 12 แต่เมื่อข้าพเจ้าไปแล้ว ก็ไม่รู้ว่าพระวิญญาณขององค์พระผู้เป็นเจ้าจะมารับตัวท่านไปไหน หากข้าพเจ้าไปทูลแล้วอาหับเสด็จมาไม่พบท่าน ก็จะทรงประหารข้าพเจ้า ทั้งๆ ที่ข้าพเจ้าผู้รับใช้ของท่านได้ปรนนิบัตินมัสการองค์พระผู้เป็นเจ้ามาตั้งแต่ยังหนุ่มๆ 13 ท่านไม่เคยได้ยินหรือว่า เมื่อครั้งพระนางเยเซเบลเข่นฆ่าผู้เผยพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้านั้น ข้าพเจ้าได้ซ่อนตัวผู้เผยพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้าร้อยคนในถ้ำสองแห่ง แห่งละห้าสิบคน และจัดส่งอาหารกับน้ำให้ 14 มาตอนนี้ท่านบอกให้ไปทูลว่า ‘เอลียาห์อยู่ที่นี่’ กษัตริย์จะประหารชีวิตข้าพเจ้าแน่!”
15 เอลียาห์กล่าวว่า “พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ที่เรารับใช้ทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด เราก็จะแสดงตัวต่ออาหับในวันนี้อย่างแน่นอนฉันนั้น”
เอลียาห์บนภูเขาคารเมล
16 โอบาดีห์จึงไปเข้าเฝ้าอาหับและกราบทูลพระองค์ อาหับก็เสด็จออกมาพบเอลียาห์ 17 เมื่ออาหับเห็นเอลียาห์ก็ตรัสว่า “นี่หรือเจ้าคนที่นำความเดือดร้อนมาสู่อิสราเอล?”
18 เอลียาห์ตอบว่า “ไม่ใช่ข้าพเจ้า ท่านกับวงศ์วานของบิดาของท่านต่างหากที่นำความเดือดร้อนมาสู่อิสราเอล ท่านได้ละทิ้งพระบัญชาขององค์พระผู้เป็นเจ้า ไปติดตามพระบาอัล 19 บัดนี้จงรวมประชากรจากทั่วอิสราเอลมาพบข้าพเจ้าบนภูเขาคารเมล พร้อมทั้งผู้ทำนายของพระบาอัล 450 คน และผู้ทำนายของเจ้าแม่อาเชราห์ 400 คน ซึ่งร่วมโต๊ะเสวยของพระนางเยเซเบล”
ส่องสว่างดั่งดวงดาว
12 ฉะนั้นเพื่อนที่รักทั้งหลาย ในเมื่อท่านได้เชื่อฟังเสมอมา ไม่เพียงขณะที่ข้าพเจ้าอยู่ด้วย แต่ยิ่งเชื่อฟังมากขึ้นขณะที่ข้าพเจ้าไม่อยู่ด้วย ก็จงบากบั่นต่อไปด้วยความเกรงกลัวจนตัวสั่นจนกระทั่งความรอดของท่านบรรลุผล 13 เพราะพระเจ้าคือผู้ทรงกระทำกิจภายในท่าน ให้ท่านตั้งใจและทำตามพระประสงค์อันดีของพระองค์
14 จงทำทุกสิ่งโดยปราศจากการบ่นว่าหรือทุ่มเถียงกัน 15 เพื่อท่านจะปราศจากตำหนิและบริสุทธิ์ เป็นบุตรของพระเจ้าผู้ปราศจากข้อบกพร่องในยุคอันคดโกงและเสื่อมทราม ส่องสว่างท่ามกลางพวกเขาดั่งดวงดาวในจักรวาล 16 ขณะที่ท่านยึดมั่นในพระวจนะแห่งชีวิตเพื่อข้าพเจ้าจะอวดได้ในวันแห่งพระคริสต์ว่าข้าพเจ้าไม่ได้วิ่งหรือลงแรงโดยเปล่าประโยชน์ 17 ถึงแม้ว่าข้าพเจ้ากำลังถูกเทลงบนเครื่องบูชาและการรับใช้ที่มาจากความเชื่อของท่านดั่งเป็นเครื่องดื่มบูชา ข้าพเจ้าก็ยังดีใจและชื่นชมยินดีร่วมกับพวกท่านทั้งปวง 18 ดังนั้นท่านเองก็ควรจะดีใจและชื่นชมยินดีร่วมกับข้าพเจ้าด้วย
ทิโมธีกับเอปาโฟรดิทัส
19 ข้าพเจ้าคาดหวังในองค์พระเยซูเจ้าว่าอีกไม่นานจะส่งทิโมธีไปหาท่าน เพื่อข้าพเจ้าเองจะได้ชื่นใจเมื่อได้รับข่าวเกี่ยวกับท่าน 20 ข้าพเจ้าไม่มีใครอื่นที่เหมือนทิโมธีผู้ซึ่งเอาใจใส่ทุกข์สุขของท่านอย่างแท้จริง 21 เพราะทุกคนมุ่งหาประโยชน์ของตนเอง ไม่ได้คำนึงถึงพระเยซูคริสต์ 22 แต่ท่านทราบอยู่ว่าทิโมธีได้พิสูจน์ตนเองแล้วเพราะเขาได้ร่วมรับใช้กับข้าพเจ้าในการประกาศข่าวประเสริฐเหมือนบุตรรับใช้บิดา 23 ฉะนั้นข้าพเจ้าจึงหวังจะส่งเขามาทันทีที่ข้าพเจ้าเห็นว่าเรื่องต่างๆ เกี่ยวกับข้าพเจ้าจะลงเอยอย่างไร 24 และข้าพเจ้ามั่นใจในองค์พระผู้เป็นเจ้าว่าข้าพเจ้าเองจะมาหาท่านในไม่ช้า
25 แต่ข้าพเจ้าคิดว่าจำเป็นต้องส่งเอปาโฟรดิทัสกลับมาหาท่าน เขาเป็นพี่น้อง เป็นเพื่อนร่วมงาน และเป็นเพื่อนทหารของข้าพเจ้า ทั้งยังเป็นผู้ที่พวกท่านส่งมาเพื่อปรนนิบัติข้าพเจ้าในยามขัดสน 26 เนื่องจากเขาคิดถึงพวกท่านทั้งปวงมากและทุกข์ใจเพราะท่านได้ข่าวว่าเขาป่วย 27 ที่จริงเขาป่วยหนักเกือบตาย แต่พระเจ้าทรงเมตตาเขา และไม่เพียงแต่เขาเท่านั้น แต่ยังทรงเมตตาข้าพเจ้าด้วยเพื่อไม่ให้ข้าพเจ้าเป็นทุกข์ซ้อนทุกข์ 28 ฉะนั้นข้าพเจ้าจึงยิ่งรีบส่งเขามาเพื่อพวกท่านจะได้ดีใจที่เจอเขาอีกและข้าพเจ้าเองจะได้คลายความกระวนกระวายใจ 29 ขอให้ท่านต้อนรับเขาในองค์พระผู้เป็นเจ้าด้วยความชื่นชมยินดีอย่างยิ่ง และจงให้เกียรติคนเช่นนี้ 30 เพราะเขาเกือบตายเพื่องานของพระคริสต์ เขาเสี่ยงชีวิตเพื่อช่วยเหลือข้าพเจ้าในสิ่งที่ท่านไม่สามารถทำได้
หนีไปอียิปต์
13 เมื่อพวกโหราจารย์กลับไปแล้ว ทูตองค์หนึ่งขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาปรากฏแก่โยเซฟในความฝันและสั่งว่า “จงลุกขึ้น พาพระกุมารและมารดาหนีไปยังอียิปต์และอยู่ที่นั่นจนกว่าเราจะบอกให้กลับมา เพราะเฮโรดกำลังจะค้นหาพระกุมารเพื่อประหาร”
14 ในคืนนั้นโยเซฟจึงลุกขึ้นพามารีย์กับพระกุมารเดินทางไปยังอียิปต์ 15 และอยู่ที่นั่นจนเฮโรดสิ้นพระชนม์ ทั้งนี้เป็นไปตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสไว้ผ่านทางผู้เผยพระวจนะว่า “เราเรียกบุตรของเราออกจากอียิปต์”[a]
16 เมื่อเฮโรดตระหนักว่าพวกโหราจารย์หลอกพระองค์ พระองค์ก็กริ้วนัก จึงบัญชาให้ประหารเด็กผู้ชายทั้งปวงในเบธเลเฮมและละแวกใกล้เคียงที่มีอายุตั้งแต่สองขวบลงมา คะเนตามระยะเวลาที่ทราบจากพวกโหราจารย์ 17 ทั้งนี้จึงเป็นจริงตามที่ผู้เผยพระวจนะเยเรมีย์กล่าวไว้ว่า
18 “ได้ยินเสียงหนึ่งในรามาห์
เสียงสะอึกสะอื้นคร่ำครวญ
ราเชลร่ำไห้ถึงบรรดาบุตรของนาง
และไม่ยอมรับคำปลอบโยนใดๆ
เพราะบุตรทั้งหลายจากไปเสียแล้ว”[b]
กลับมานาซาเร็ธ
19 เมื่อเฮโรดสิ้นพระชนม์แล้ว ทูตองค์หนึ่งขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาปรากฏในความฝันแก่โยเซฟที่อียิปต์ 20 และกล่าวว่า “จงลุกขึ้นพาพระกุมารและมารดากลับไปยังอิสราเอลเถิด เพราะบรรดาผู้ที่พยายามเอาชีวิตพระกุมารนั้นตายแล้ว”
21 ดังนั้นโยเซฟจึงลุกขึ้นพาพระกุมารกับมารดามายังดินแดนอิสราเอล 22 แต่เมื่อเขาได้ยินว่าอารเคลาอัสขึ้นครองแคว้นยูเดียแทนเฮโรดผู้เป็นบิดาเขาก็กลัวและไม่กล้าไปที่นั่น เมื่อได้รับคำเตือนในความฝันจึงเลยไปยังแคว้นกาลิลี 23 และอาศัยอยู่ที่เมืองหนึ่งชื่อนาซาเร็ธ จึงเป็นจริงตามที่ได้กล่าวไว้ผ่านทางบรรดาผู้เผยพระวจนะว่า “เขาจะเรียกท่านว่า ชาวนาซาเร็ธ”
Thai New Contemporary Bible Copyright © 1999, 2001, 2007 by Biblica, Inc.® Used by permission. All rights reserved worldwide.