Book of Common Prayer
(บทสดุดีของอาสาฟ)
50 องค์ทรงฤทธิ์ พระเจ้า พระยาห์เวห์ตรัสเรียกคนทั้งโลก
จากที่ดวงอาทิตย์ขึ้นจนถึงที่ดวงอาทิตย์ตกให้มาชุมนุมกัน
2 พระเจ้าทรงเปล่งรัศมี
จากศิโยนอันงามพร้อม
3 พระเจ้าของเราเสด็จมาและจะไม่ทรงนิ่งเงียบ
เปลวไฟเผาผลาญอยู่ต่อหน้าพระองค์
พายุโหมกระหน่ำอยู่รอบพระองค์
4 พระองค์ตรัสเรียกชุมนุมฟ้าสวรรค์เบื้องบนและแผ่นดินโลก
เพื่อจะทรงพิพากษาประชากรของพระองค์
5 “บรรดาผู้ที่เราได้ชำระไว้แล้ว จงรวมกันมาหาเรา
ผู้ซึ่งเข้าร่วมพันธสัญญากับเราทางเครื่องบูชา”
6 ฟ้าสวรรค์ป่าวประกาศความชอบธรรมของพระองค์
เพราะพระเจ้าเองทรงเป็นองค์ตุลาการ
เสลาห์
7 “ประชากรของเราเอ๋ย จงฟังและเราจะพูด
อิสราเอลเอ๋ย เราจะแจ้งข้อหาของเจ้า
เราเป็นพระเจ้า พระเจ้าของเจ้า
8 เราไม่ได้ตำหนิเจ้าในเรื่องเครื่องบูชา
หรือเครื่องเผาบูชาที่เจ้านำมาถวายเราอย่างสม่ำเสมอ
9 เราไม่ได้ต้องการวัวหนุ่มจากโรงวัวของเจ้า
หรือแพะจากคอกของเจ้า
10 เพราะสัตว์ทุกชนิดในป่าเป็นของเรา
รวมทั้งสัตว์เลี้ยงบนเนินเขานับพัน
11 เรารู้จักนกทุกตัวบนภูเขาทั้งหลาย
บรรดาสัตว์ในท้องทุ่งเป็นของเรา
12 หากเราหิว เราจะไม่บอกเจ้า
เพราะโลกนี้และสิ่งสารพัดในโลกล้วนเป็นของเรา
13 เรากินเนื้อวัวผู้หรือ?
เราดื่มเลือดแพะหรือ?
14 จงถวายเครื่องบูชาขอบพระคุณแด่พระเจ้า
ทำตามที่ได้ถวายปฏิญาณต่อองค์ผู้สูงสุด
15 และจงร้องทูลเราในยามทุกข์ร้อน
เราจะช่วยกู้เจ้าและเจ้าจะให้เกียรติเรา”
16 ส่วนคนชั่ว พระเจ้าตรัสกับเขาว่า
“เจ้าถือสิทธิ์อะไรท่องบทบัญญัติของเรา
หรืออ้างพันธสัญญาของเรา?
17 ในเมื่อเจ้าเกลียดคำสอนของเรา
และเหวี่ยงถ้อยคำของเราทิ้ง
18 เจ้าเห็นขโมยก็สมรู้ร่วมคิดกับเขา
เจ้าคบหากับคนล่วงประเวณี
19 เจ้าใช้ปากทำชั่ว
ตวัดลิ้นเพื่อล่อลวง
20 เจ้าพร่ำพูดให้ร้ายพี่น้อง
นินทาว่าร้ายกระทั่งพี่น้องร่วมท้องเดียวกัน
21 เจ้าทำสิ่งเหล่านี้ เราก็นิ่งอยู่
เจ้าเลยพลอยคิดว่าเรา[a]ก็เป็นเหมือนเจ้า
แต่เราจะกำราบเจ้า
และกล่าวโทษเจ้าซึ่งๆ หน้า
22 “เจ้าผู้ลืมพระเจ้า จงพิจารณาเรื่องนี้
มิฉะนั้นเราจะฉีกเจ้าเป็นชิ้นๆ โดยไม่มีใครช่วยได้
23 ผู้ที่ถวายเครื่องบูชาขอบพระคุณก็ให้เกียรติเรา
และผู้ที่เตรียมทางของตนไว้ดี
เราก็จะสำแดงความรอดของพระเจ้าแก่เขา[b]”
(ถึงหัวหน้านักร้อง ทำนอง “อย่าทำลาย” มิคทาม[a]ของดาวิด เมื่อซาอูลส่งคนมาดักฆ่าดาวิดที่บ้าน)
59 ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงช่วยข้าพระองค์ให้พ้นจากศัตรู
ขอทรงพิทักษ์รักษาข้าพระองค์ให้พ้นจากบรรดาผู้ที่ลุกขึ้นมาต่อสู้ข้าพระองค์
2 ขอทรงช่วยข้าพระองค์ให้พ้นจากบรรดาคนที่ทำชั่ว
ขอทรงช่วยข้าพระองค์ให้พ้นจากเหล่าคนกระหายเลือด
3 ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ดูเถิด พวกเขาซุ่มดักเอาชีวิตข้าพระองค์!
คนดุร้ายคบคิดกันเล่นงานข้าพระองค์
ทั้งที่ข้าพระองค์ไม่ได้ทำผิดทำบาปอะไร
4 ข้าพระองค์ไม่ได้ทำอะไรผิด แต่พวกเขาก็พร้อมจะเล่นงานข้าพระองค์
ขอทรงลุกขึ้นเพื่อช่วยข้าพระองค์ โปรดทอดพระเนตรความยากลำบากของข้าพระองค์ด้วยเถิด!
5 ข้าแต่พระยาห์เวห์พระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์ พระเจ้าแห่งอิสราเอล
ขอทรงลุกขึ้นลงโทษเหล่าประชาชาติ
ขออย่าทรงเมตตาบรรดาคนทรยศผู้ชั่วร้าย
เสลาห์
6 พวกเขากลับมาในเวลาเย็น
เห่าหอนเหมือนสุนัข
และเพ่นพ่านไปทั่วเมือง
7 ดูสิ่งที่เขาพ่นออกมาจากปาก
ปากของเขาคายดาบออกมา
และพูดว่า “ใครจะได้ยินเรา?”
8 ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า แต่พระองค์ทรงหัวเราะเยาะพวกเขา
ทรงเย้ยหยันประชาชาติทั้งปวงนั้น
9 ข้าแต่องค์ผู้ทรงเป็นกำลังของข้าพระองค์ ข้าพระองค์เฝ้าคอยพระองค์อยู่
ข้าแต่พระเจ้า พระองค์ทรงเป็นป้อมปราการของข้าพระองค์ 10 เป็นพระเจ้าของข้าพระองค์ผู้ทรงเปี่ยมด้วยความรักเมตตา
พระเจ้าจะเสด็จนำหน้าข้าพระองค์
จะทรงให้ข้าพระองค์ยิ้มเยาะบรรดาผู้กล่าวร้ายข้าพระองค์
11 แต่ขออย่าทรงประหารพวกเขา ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า[b] ของข้าพระองค์ทั้งหลาย
เพราะไม่ช้าคนของข้าพระองค์จะลืมเลือน
แต่ขอทรงให้พวกเขาแตกฉานซ่านเซ็นไปด้วยฤทธานุภาพของพระองค์
และกระทำให้พวกเขาล้มลง
12 เพราะบาปบนริมฝีปากของเขา
และเพราะวาจาของเขา
ขอให้เขาติดกับเพราะความยโสโอหังของเขา
เพราะคำสาปแช่งและคำโกหกที่เขาเปล่งออกมา
13 ขอทรงทำลายล้างพวกเขาด้วยพระพิโรธ
ทำลายล้างพวกเขาให้สิ้นซาก
แล้วจะได้รู้กันจนถึงสุดปลายแผ่นดินโลกว่า
พระเจ้าทรงครอบครองเหนือยาโคบ
เสลาห์
14 พวกเขากลับมาในเวลาเย็น
เห่าหอนเหมือนสุนัข
และเพ่นพ่านไปทั่วเมือง
15 พวกเขาป้วนเปี้ยนหาอาหาร
ไม่ได้หนำใจก็ส่งเสียงหอน
16 แต่ข้าพระองค์จะร้องถึงฤทธานุภาพของพระองค์
ข้าพระองค์จะร้องถึงความรักมั่นคงของพระองค์ในยามเช้า
เพราะพระองค์ทรงเป็นป้อมปราการ
เป็นที่ลี้ภัยของข้าพระองค์ในยามเดือดร้อน
17 ข้าแต่องค์ผู้ทรงเป็นกำลังของข้าพระองค์ ข้าพระองค์ร้องเพลงสรรเสริญพระองค์
ข้าแต่พระเจ้า พระองค์ทรงเป็นป้อมปราการ ของข้าพระองค์ เป็นพระเจ้าของข้าพระองค์ผู้ทรงเปี่ยมด้วยความรักเมตตา
(สดด.108:6-13)
(ถึงหัวหน้านักร้อง ทำนอง “ลิลลี่แห่งพันธสัญญา” มิคทาม[c]ของดาวิด เพื่อสอน เมื่อดาวิดสู้กับอารัมนาหะราอิม[d] กับอารัมโซบาห์[e] และเมื่อโยอาบฆ่าชาวเอโดม 12,000 คน ที่หุบเขาเกลือ)
60 ข้าแต่พระเจ้า พระองค์ได้ทรงละทิ้งข้าพระองค์ทั้งหลายแล้ว และทลายที่มั่นของเหล่าข้าพระองค์
พระองค์ได้ทรงพระพิโรธ บัดนี้ ขอทรงโปรดให้ข้าพระองค์ทั้งหลายกลับสู่สภาพดี!
2 พระองค์ได้ทรงเขย่าแผ่นดินและทำให้แยกออก
ขอทรงประสานรอยร้าว เพราะขณะนี้แผ่นดินกำลังสั่นสะเทือน
3 พระองค์ได้ทรงให้ประชากรของพระองค์เผชิญช่วงเวลาแห่งความสิ้นหวัง
พระองค์ประทานเหล้าองุ่นที่ทำให้เหล่าข้าพระองค์ซวนเซ
4 แต่สำหรับผู้ที่ยำเกรงพระองค์นั้น พระองค์ทรงโปรดชูธงขึ้น
คลี่ออกต้านธนู
เสลาห์
5 ขอทรงช่วยกู้ข้าพระองค์ทั้งหลายด้วยพระหัตถ์ขวาของพระองค์
เพื่อบรรดาผู้ที่พระองค์ทรงรักจะรอดพ้น
6 พระเจ้าตรัสจากสถานนมัสการของพระองค์ว่า
“ในชัยชนะ เราจะแบ่งเชเคม
และกำหนดเขตหุบเขาสุคคท
7 กิเลอาดเป็นของเรา มนัสเสห์เป็นของเรา
เอฟราอิมคือหมวกเกราะของเรา
ยูดาห์คือคทาของเรา
8 โมอับเป็นอ่างชำระของเรา
เราเหวี่ยงรองเท้าของเราลงบนเอโดม
และเราจะโห่ร้องด้วยความมีชัยเหนือฟีลิสเตีย”
9 ใครจะพาข้าพระองค์ไปยังเมืองป้อมปราการ?
ใครจะนำข้าพระองค์ไปยังเอโดม?
10 พระองค์ไม่ใช่หรือ ข้าแต่พระเจ้า พระองค์ผู้ได้ทรงทอดทิ้งข้าพระองค์ทั้งหลาย
และไม่ทรงร่วมทัพกับเหล่าข้าพระองค์อีกต่อไป?
11 ขอทรงช่วยข้าพระองค์ทั้งหลายต่อสู้ข้าศึก
เพราะความช่วยเหลือของมนุษย์นั้นไร้ค่า
12 โดยพระเจ้าเราจะมีชัยชนะ
พระองค์จะทรงเหยียบย่ำศัตรูของเรา
(ถึงหัวหน้านักร้อง บทเพลง บทสดุดี)
66 แผ่นดินโลกทั้งสิ้นเอ๋ย! จงโห่ร้องยินดีถวายแด่พระเจ้า
2 จงร้องเพลงเทิดทูนพระเกียรติสิริแห่งพระนามของพระองค์
จงให้การสรรเสริญเต็มด้วยสง่าราศี!
3 จงทูลพระเจ้าว่า “พระราชกิจของพระองค์ น่าครั่นคร้ามยิ่งนัก!
ฤทธานุภาพของพระองค์ยิ่งใหญ่จริงๆ
จนเหล่าศัตรูต้องยอมสยบต่อหน้าพระองค์
4 คนทั่วโลกจะน้อมนมัสการพระองค์
พวกเขาร้องเพลงสรรเสริญพระองค์
พวกเขาแซ่ซ้องพระนามของพระองค์”
เสลาห์
5 มาเถิด มาดูสิ่งที่พระเจ้าทรงกระทำ
พระราชกิจเพื่อมวลมนุษย์ช่างน่าครั่นคร้ามยิ่งนัก!
6 พระองค์ทรงเปลี่ยนทะเลให้กลายเป็นพื้นแห้ง
พวกเขาเดินข้ามน้ำไป
มาเถิด ให้เราชื่นชมยินดีในพระองค์
7 พระองค์ทรงครอบครองอยู่นิรันดร์ด้วยฤทธานุภาพของพระองค์
ทรงจับตาดูประชาชาติทั้งหลาย
อย่าให้พวกที่ชอบกบฏลุกขึ้นมาต่อสู้พระองค์
เสลาห์
8 ชนชาติทั้งหลายเอ๋ย จงสรรเสริญพระเจ้าของเรา
ให้เสียงสรรเสริญพระองค์ได้ยินทั่วกัน
9 พระองค์ทรงรักษาชีวิตของเราไว้
ทรงคุ้มครองเท้าของเราไม่ให้พลาด
10 ข้าแต่พระเจ้า พระองค์ทรงทดสอบพวกข้าพระองค์
ทรงหล่อหลอมพวกข้าพระองค์ให้บริสุทธิ์เหมือนหลอมเงิน
11 พระองค์ทรงกักขังพวกข้าพระองค์
และทรงวางภาระหนักบนหลังพวกข้าพระองค์
12 พระองค์ทรงให้คนควบม้าทับศีรษะของพวกข้าพระองค์
พวกข้าพระองค์ต้องลุยน้ำลุยไฟ
แต่แล้วพระองค์ก็ทรงนำพวกข้าพระองค์มาสู่ดินแดนอันอุดมสมบูรณ์
13 ข้าพระองค์จะมายังพระวิหารของพระองค์พร้อมด้วยเครื่องเผาบูชา
และทำตามคำสัตย์ปฏิญาณที่ให้ไว้กับพระองค์
14 ตามที่ข้าพระองค์ได้ลั่นวาจาถวายปฏิญาณไว้
ยามเมื่อตกทุกข์ได้ยาก
15 ข้าพระองค์จะถวายสัตว์อ้วนพีเป็นเครื่องบูชา
และถวายแกะผู้
ข้าพระองค์จะถวายวัวผู้และแพะ
เสลาห์
16 ฟังทางนี้เถิด ทุกท่านที่ยำเกรงพระเจ้า
ข้าพเจ้าจะเล่าให้ฟังว่าพระองค์ทรงกระทำสิ่งใดเพื่อข้าพเจ้าบ้าง
17 ข้าพเจ้าร้องทูลพระองค์ด้วยปาก
และสรรเสริญพระองค์ด้วยลิ้น
18 หากข้าพเจ้าได้บ่มความชั่วไว้ในใจ
องค์พระผู้เป็นเจ้าคงจะไม่ทรงสดับฟัง
19 แต่แน่ทีเดียวพระเจ้าทรงฟัง
และทรงได้ยินคำอธิษฐานของข้าพเจ้า
20 สรรเสริญพระเจ้า
ผู้ไม่ทรงปฏิเสธคำอธิษฐานของข้าพเจ้า
หรือยับยั้งความรักมั่นคงของพระองค์จากข้าพเจ้า!
(ถึงหัวหน้านักร้อง บรรเลงเครื่องสาย บทสดุดี บทเพลง)
67 ขอพระเจ้าทรงเมตตาและอวยพรข้าพระองค์ทั้งหลาย
ขอให้พระพักตร์ทอแสงเหนือข้าพระองค์ทั้งหลาย
เสลาห์
2 เพื่อให้คนทั่วโลกทราบถึงวิถีทางของพระองค์
และประชาชาติทั้งหลายรู้ถึงความรอดของพระองค์
3 ข้าแต่พระเจ้า ขอให้ชนชาติต่างๆ สรรเสริญพระองค์
ขอให้ประชาชาติทั่วโลกสรรเสริญพระองค์
4 ขอให้นานาประเทศปีติยินดีและร้องเพลงด้วยความชื่นบาน
เพราะพระองค์ทรงปกครองชนชาติต่างๆ อย่างเที่ยงธรรม
และทรงนำประชาชาติทั้งหลายของโลก
เสลาห์
5 ข้าแต่พระเจ้า ขอให้ชนชาติต่างๆ สรรเสริญพระองค์
ขอให้ประชาชาติทั่วโลกสรรเสริญพระองค์
6 แล้วแผ่นดินจะเกิดดอกออกผล
และพระเจ้า องค์พระเจ้าของเรา จะทรงอวยพรเรา
7 ขอพระเจ้าทรงอวยพรเราต่อไป
เพื่อคนทั่วทุกมุมโลกยำเกรงพระองค์
3 ฝ่ายซามูเอลสิ้นชีวิตไปแล้ว และคนอิสราเอลทั้งปวงพากันไว้อาลัยให้เขา เขาถูกฝังไว้ที่รามาห์ซึ่งเป็นบ้านเกิด ซาอูลได้ทรงกำจัดคนทรงและหมอดูทั้งหมดไปจากแผ่นดิน
4 ชาวฟีลิสเตียรวมพลมาตั้งค่ายที่ชูเนม ส่วนซาอูลรวมพลอิสราเอลทั้งหมดและตั้งค่ายอยู่ที่กิลโบอา 5 เมื่อซาอูลทอดพระเนตรเห็นกองทัพฟีลิสเตียก็ทรงหวาดกลัวยิ่งนัก 6 และทูลถามองค์พระผู้เป็นเจ้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ทรงตอบเลย ไม่ว่าทางความฝัน ทางอูริม หรือทางผู้เผยพระวจนะ 7 ซาอูลจึงตรัสสั่งมหาดเล็กว่า “จงไปตามหาหญิงคนทรงเพื่อเราจะได้ไปถามนาง”
พวกเขากล่าวว่า “มีอยู่คนหนึ่งในเอนโดร์”
8 ซาอูลจึงปลอมพระองค์โดยสวมเสื้อผ้าของผู้อื่นไปที่บ้านของหญิงคนทรงในเวลากลางคืน มีผู้ติดตามสองคน ซาอูลตรัสว่า “เราอยากจะพูดกับวิญญาณผู้ตายคนหนึ่ง จงเรียกเขามาตามที่เราเอ่ยชื่อ”
9 แต่หญิงนั้นกล่าวว่า “ท่านย่อมทราบดีว่าซาอูลได้ทรงทำอะไร พระองค์ทรงกวาดล้างคนทรงกับหมอดูให้หมดแผ่นดิน ทำไมท่านจึงวางกับดักเพื่อฆ่าดิฉัน”
10 ซาอูลสาบานแก่นางโดยอ้างองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด เจ้าจะไม่ถูกลงโทษเพราะเรื่องนี้ฉันนั้น”
11 หญิงนั้นจึงถามว่า “จะให้เรียกใครขึ้นมา?”
ซาอูลตรัสว่า “ให้เรียกซามูเอลขึ้นมา”
12 เมื่อหญิงนั้นเห็นซามูเอล ก็ร้องเสียงหลงและกล่าวกับซาอูลว่า “เหตุใดฝ่าพระบาทจึงทรงหลอกหม่อมฉัน? ฝ่าพระบาทคือซาอูล!”
13 กษัตริย์ตรัสว่า “อย่ากลัวไปเลย เจ้าเห็นอะไรบ้าง?”
นางทูลว่า “หม่อมฉันเห็นวิญญาณดวงหนึ่ง[a]ขึ้นมาจากแผ่นดิน”
14 ซาอูลตรัสถามว่า “หน้าตาท่าทางเป็นยังไง?”
หญิงนั้นทูลว่า “ชายชราสวมเสื้อคลุมคนหนึ่งกำลังขึ้นมา”
ซาอูลจึงทรงทราบว่าเป็นซามูเอล และหมอบกราบซบพระพักตร์ลงกับพื้น
15 ซามูเอลถามว่า “ทำไมท่านจึงมารบกวนและเรียกเรากลับมาอีก?”
ซาอูลตรัสตอบว่า “ข้าพเจ้ากำลังเดือดร้อนมาก ชาวฟีลิสเตียรบกับข้าพเจ้าอยู่ และพระเจ้าทรงละทิ้งข้าพเจ้า พระองค์ไม่ทรงตอบเลย ไม่ว่าทางผู้เผยพระวจนะหรือความฝัน ข้าพเจ้าจึงเรียกท่านมาเพื่อถามว่าควรทำอย่างไร”
16 ซามูเอลกล่าวว่า “ทำไมจึงมาปรึกษาเรา ในเมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงหันพระพักตร์หนีและกลายเป็นศัตรูกับเจ้า? 17 องค์พระผู้เป็นเจ้าก็ทรงกระทำตามที่ได้พยากรณ์ตรัสไว้ผ่านทางเรา องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงริบอาณาจักรจากมือของเจ้าและมอบให้ดาวิดเพื่อนบ้านของเจ้า 18 เนื่องจากเจ้าไม่เชื่อฟังองค์พระผู้เป็นเจ้าหรือสนองพระพิโรธของพระองค์ที่มีต่อชาวอามาเลข วันนี้องค์พระผู้เป็นเจ้าจึงทรงกระทำกับเจ้าเช่นนี้ 19 องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงมอบทั้งเจ้าและอิสราเอลแก่ชาวฟีลิสเตีย พรุ่งนี้เจ้ากับลูกๆ จะมาอยู่กับเรา องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงมอบกองทัพอิสราเอลแก่ฟีลิสเตียด้วย”
20 ซาอูลทรงล้มลงเหยียดยาวบนพื้นทันที รู้สึกตกพระทัยกลัวยิ่งนักเพราะถ้อยคำของซามูเอล ทั้งทรงหมดแรงเพราะความหิว เนื่องจากไม่ได้เสวยสิ่งใดเลยตลอดทั้งวันทั้งคืน
การประชุมสภาที่เยรูซาเล็ม
15 มีบางคนจากแคว้นยูเดียมาที่เมืองอันทิโอกและสอนพวกพี่น้องว่า “ถ้าท่านไม่เข้าสุหนัตตามธรรมเนียมที่โมเสสสอนไว้ ท่านก็จะไม่ได้รับความรอด” 2 คำสอนนี้ทำให้เปาโลกับบารนาบัสโต้แย้งถกเถียงกับพวกเขาอย่างรุนแรง ดังนั้นเปาโลและบารนาบัสจึงได้รับการแต่งตั้งพร้อมกับผู้เชื่อบางคนให้ขึ้นไปพบเหล่าอัครทูตและผู้ปกครองที่เยรูซาเล็มเกี่ยวกับปัญหานี้ 3 คริสตจักรได้ส่งพวกเขาไป และขณะเดินทางผ่านแคว้นฟีนิเซียกับสะมาเรียพวกเขาก็ได้เล่าเรื่องที่คนต่างชาติกลับใจใหม่ ข่าวนี้ทำให้พี่น้องทั้งปวงยินดียิ่งนัก 4 เมื่อมาถึงกรุงเยรูซาเล็มพวกเขาก็ได้รับการต้อนรับจากคริสตจักร เหล่าอัครทูตและผู้ปกครองและได้รายงานทุกสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงกระทำผ่านพวกเขาให้คนเหล่านั้นฟัง
5 จากนั้นผู้เชื่อบางคนซึ่งอยู่ในกลุ่มพวกฟาริสียืนขึ้นกล่าวว่า “คนต่างชาติต้องเข้าสุหนัตและปฏิบัติตามบทบัญญัติของโมเสส”
6 เหล่าอัครทูตและผู้ปกครองประชุมกันเพื่อพิจารณาปัญหานี้ 7 หลังจากอภิปรายกันมากแล้วเปโตรก็ลุกขึ้นกล่าวว่า “พี่น้องทั้งหลาย ท่านทราบอยู่แล้วว่าก่อนหน้านี้พระเจ้าได้ทรงเลือกสรรข้าพเจ้าจากพวกท่านให้ประกาศเรื่องราวของข่าวประเสริฐแก่คนต่างชาติเพื่อพวกเขาจะได้ยินและเชื่อ 8 พระเจ้าผู้ทรงทราบจิตใจได้ทรงสำแดงว่าทรงรับพวกเขาโดยประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์แก่เขาเหมือนที่พระองค์ประทานแก่เรา 9 พระองค์ไม่ได้ทรงแยกว่าพวกเขากับพวกเราแตกต่างกันเพราะพระองค์ทรงชำระจิตใจของพวกเขาโดยความเชื่อ 10 ก็แล้วบัดนี้เหตุใดท่านจึงพยายามลองดีกับพระเจ้าโดยวางแอกลงบนคอของสาวกเหล่านั้น? แอกซึ่งไม่ว่าเราหรือบรรพบุรุษของเราล้วนแบกไม่ไหว 11 อย่าเลย! เราเชื่อว่าที่เรารอดก็โดยพระคุณขององค์พระเยซูเจ้าของเราเช่นเดียวกับพวกเขา”
ทรงรักษาคนถูกผีสิง(A)
5 เมื่อพวกเขาข้ามฟากมาถึงดินแดนเกราซา[a] 2 เมื่อพระเยซูทรงขึ้นจากเรือมีชายคนหนึ่งซึ่งถูกวิญญาณชั่ว[b]เข้าสิงออกจากอุโมงค์ฝังศพมาหาพระองค์ 3 เขาอาศัยอยู่ตามอุโมงค์ ใครๆ ก็มัดเขาไว้ไม่อยู่แม้จะใช้โซ่ตรวนก็ตาม 4 เพราะเคยล่ามโซ่ใส่ตรวนมือเท้าของเขาหลายครั้งแล้ว แต่เขาก็กระชากโซ่ตรวนขาด ไม่มีใครแข็งแรงพอจะทำให้เขาสิ้นพยศ 5 เขาร้องอึงอยู่ตามอุโมงค์ฝังศพและตามเนินเขาทั้งวันทั้งคืนและเอาหินกรีดเนื้อตัวเอง
6 เมื่อเขาเห็นพระเยซูแต่ไกลก็วิ่งมาคุกเข่าต่อหน้าพระองค์ 7 และตะโกนสุดเสียงว่า “พระเยซู พระบุตรของพระเจ้าสูงสุด พระองค์ต้องการอะไรจากข้าพระองค์หรือ? ขอทรงสาบานต่อพระเจ้าว่าจะไม่ทรมานข้าพระองค์!” 8 เพราะพระเยซูได้ตรัสกับมันว่า “เจ้าวิญญาณชั่ว จงออกมาจากชายคนนี้!”
9 แล้วพระเยซูตรัสถามว่า “เจ้าชื่ออะไร?”
มันตอบว่า “ชื่อกอง เพราะเรามีด้วยกันหลายตน” 10 และมันพร่ำอ้อนวอนพระเยซูไม่ให้ขับไล่พวกมันออกจากถิ่นนั้น
11 ไม่ไกลจากที่นั่นมีสุกรฝูงใหญ่หากินอยู่บนเนินเขา 12 พวกผีจึงทูลวิงวอนพระเยซูว่า “ขอให้พวกข้าพระองค์ไปสิงในสุกรฝูงนั้นเถิด” 13 เมื่อทรงอนุญาต วิญญาณชั่วเหล่านั้นก็ออกจากชายผู้นั้นและเข้าไปสิงในสุกร แล้วสุกรทั้งฝูงราวสองพันตัวก็กระโจนจากหน้าผาลงทะเลสาบจมน้ำตายหมด
14 บรรดาคนเลี้ยงสุกรวิ่งเข้าไปเล่าเรื่องนี้ในเมืองและในชนบทโดยรอบ ผู้คนพากันออกมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น 15 เมื่อพวกเขามาหาพระเยซูก็เห็นชายที่เคยถูกผีทั้งกองเข้าสิงนั่งอยู่ที่นั่นสวมใส่เสื้อผ้าและมีสติดี พวกเขาก็กลัว 16 ผู้ที่เห็นเหตุการณ์จึงเล่าเรื่องที่เกิดกับคนที่ถูกผีสิงและสุกรนั้นให้ประชาชนฟัง 17 พวกเขาจึงทูลวิงวอนพระเยซูให้ไปจากเขตแดนของเขา
18 ขณะพระเยซูจะเสด็จลงเรือ คนที่เคยถูกผีสิงนั้นอ้อนวอนขอไปกับพระองค์ 19 พระเยซูไม่ทรงอนุญาต แต่ตรัสว่า “จงกลับบ้านไปหาครอบครัวของท่าน และบอกพวกเขาว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกระทำการเพื่อท่านมากเพียงใดและทรงเมตตาต่อท่านอย่างไร” 20 เขาจึงทูลลาไปป่าวประกาศในแคว้นเดคาโปลิส[c]ว่าพระเยซูทรงกระทำการเพื่อเขามากเพียงไร คนทั้งปวงก็ประหลาดใจ
Thai New Contemporary Bible Copyright © 1999, 2001, 2007 by Biblica, Inc.® Used by permission. All rights reserved worldwide.