Book of Common Prayer
(มัสคิล[a]ของอาสาฟ)
78 ประชากรของข้าพเจ้าเอ๋ย จงฟังคำสอนของข้าพเจ้าเถิด
จงรับฟังวาจาจากปากของข้าพเจ้า
2 ข้าพเจ้าจะเอื้อนเอ่ยคำอุปมา
ข้าพเจ้าจะเผยสิ่งที่ซ่อนเร้นไว้ตั้งแต่โบราณกาล
3 สิ่งที่เราได้ยินและได้ทราบ
สิ่งที่บรรพบุรุษของเราบอกต่อๆ กันมา
4 เราจะไม่ปิดบังไว้จากลูกหลานของพวกเขา
จะบอกแก่คนรุ่นต่อมา
ถึงบรรดาพระราชกิจอันสมควรแก่การสรรเสริญขององค์พระผู้เป็นเจ้า
ถึงฤทธานุภาพของพระองค์และการอัศจรรย์ต่างๆ ที่พระองค์ได้ทรงกระทำ
5 พระองค์ทรงวางกฎเกณฑ์สำหรับยาโคบ
และตั้งบทบัญญัติในอิสราเอล
ซึ่งทรงบัญชาบรรพบุรุษของเรา
ให้สอนลูกหลานของพวกเขา
6 เพื่อชนรุ่นหลังจะได้รู้
แม้แต่ลูกหลานที่จะเกิดมา
และถึงคราวที่พวกเขาจะต้องบอกลูกหลานของตนต่อไป
7 เพื่อพวกเขาจะได้วางใจในพระเจ้า
และไม่ลืมสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำ
และจะปฏิบัติตามพระบัญชาของพระองค์
8 พวกเขาจะได้ไม่ต้องเป็นเหมือนบรรพบุรุษ
ซึ่งดื้อดึงและชอบกบฏ
จิตใจไม่จงรักภักดีต่อพระเจ้า
จิตวิญญาณไม่ซื่อสัตย์ต่อพระองค์
9 แม้ชนเผ่าเอฟราอิมมีธนูเป็นอาวุธครบครัน
ก็ยังหันหลังวิ่งหนีไปในยามสงคราม
10 เพราะเขาไม่รักษาพันธสัญญาของพระเจ้า
ไม่ยอมดำเนินชีวิตตามบทบัญญัติของพระองค์
11 เขาลืมสิ่งที่พระองค์ได้ทรงกระทำ
ลืมการอัศจรรย์ต่างๆ ที่ได้ทรงสำแดงแก่เขา
12 พระองค์ทรงทำการอัศจรรย์ต่อหน้าต่อตาบรรพบุรุษของเขา
ในดินแดนอียิปต์ ในเขตแดนโศอัน
13 พระองค์ทรงแยกทะเลและนำพวกเขาเดินข้ามไป
พระองค์ทรงทำให้น้ำตั้งขึ้นเป็นกำแพง
14 พระองค์ทรงนำเขาด้วยเมฆในยามกลางวัน
และด้วยแสงจากไฟในยามกลางคืน
15 พระองค์ทรงแยกศิลาออกในถิ่นกันดาร
ประทานน้ำพุ่งขึ้นมามากมายเหมือนทะเลให้เขาดื่ม
16 พระองค์ทรงทำให้ธารน้ำไหลออกมาจากศิลา
และให้น้ำไหลรินดั่งแม่น้ำ
17 ถึงกระนั้นพวกเขาก็ยังคงทำบาปต่อพระองค์
กบฏต่อองค์ผู้สูงสุดในถิ่นกันดาร
18 พวกเขาจงใจลองดีกับพระเจ้า
โดยเรียกร้องอาหารที่อยากกิน
19 เขาต่อว่าพระเจ้าว่า
“พระเจ้าทรงจัดสำรับ
ในถิ่นกันดารได้หรือ?
20 เมื่อทรงตีหิน น้ำก็พุ่งออกมา
ลำธารไหลล้น
แต่พระองค์จะประทานอาหารให้พวกเราได้ด้วยหรือ?
พระองค์จะประทานเนื้อให้คนของพระองค์ได้ด้วยหรือ?”
21 เมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงได้ยิน พระองค์ก็กริ้วยิ่งนัก
เพลิงของพระองค์เผาผลาญยาโคบ
พระพิโรธพลุ่งขึ้นต่อสู้อิสราเอล
22 เพราะพวกเขาไม่ได้เชื่อในพระเจ้า
หรือไว้วางใจว่าพระองค์จะทรงช่วยกู้ได้
23 ถึงกระนั้นพระองค์ยังทรงบัญชาฟ้าเบื้องบน
และทรงเปิดประตูสวรรค์
24 พระองค์ทรงให้มานาโปรยปรายลงมาเป็นอาหารของพวกเขา
พระองค์ประทานธัญญาหารจากฟ้าสวรรค์แก่พวกเขา
25 มนุษย์ได้กินอาหารของทูตสวรรค์
พระองค์ประทานอาหารแก่พวกเขาจนอิ่มหนำ
26 พระองค์ทรงให้ลมตะวันออกมาจากฟ้าสวรรค์
และทรงนำลมใต้มาโดยพระเดชานุภาพ
27 พระองค์ทรงให้เนื้อตกลงมามากมายดั่งฝุ่น
คือฝูงนกคลาคล่ำดั่งเม็ดทรายที่ชายทะเล
28 พระองค์ทรงกระทำให้นกเหล่านั้นลงมาที่ค่ายพักแรม
รอบๆ เต็นท์ของพวกเขา
29 พวกเขาได้รับประทานจนอิ่มหนำ
เพราะพระองค์ประทานให้จนสมอยาก
30 แต่ก่อนที่พวกเขาจะอิ่ม
ขณะที่เนื้อยังคาปากอยู่
31 พระพิโรธของพระเจ้าก็พลุ่งขึ้นต่อพวกเขา
พระองค์ทรงประหารคนกำยำล่ำสันที่สุดของพวกเขา
และทรงสังหารคนหนุ่มของอิสราเอล
32 ทั้งๆ ที่เห็นทั้งหมดนี้แล้ว พวกเขาก็ยังคงทำบาปต่อไป
ทั้งๆที่เห็นการอัศจรรย์ต่างๆ ของพระองค์ พวกเขาก็ยังไม่เชื่อ
33 ดังนั้นพระองค์จึงทรงทำให้วันคืนของเขาจบลงอย่างสูญเปล่า
และทำให้ปีเดือนของเขาจบลงด้วยความหวาดหวั่นพรั่นพรึง
34 เมื่อใดก็ตามที่พระเจ้าประหารพวกเขา พวกเขาจะแสวงหาพระองค์
พวกเขาจะกระตือรือร้นหวนกลับมาหาพระองค์อีกครั้ง
35 พวกเขาระลึกได้ว่าพระเจ้าทรงเป็นพระศิลา
ระลึกได้ว่าพระเจ้าผู้สูงสุดทรงเป็นพระผู้ไถ่ของพวกเขา
36 แต่แล้วพวกเขาจะยกยอพระองค์ด้วยลมปาก
มุสาต่อพระองค์ด้วยลิ้นของพวกเขา
37 จิตใจของพวกเขาไม่ได้จงรักภักดีต่อพระองค์
พวกเขาไม่ได้ซื่อสัตย์ต่อพันธสัญญาของพระองค์
38 ถึงกระนั้นพระองค์ยังทรงเมตตากรุณา
พระองค์ทรงอภัยความชั่วช้าของพวกเขา
และไม่ได้ทำลายล้างพวกเขาเสียหมด
หลายต่อหลายครั้งพระองค์ทรงยับยั้งความกริ้ว
ไม่ให้พระพิโรธพลุ่งขึ้นเต็มที่
39 พระองค์ทรงระลึกว่าพวกเขาเป็นเพียงมนุษย์
เป็นแค่ลมวูบหนึ่ง ซึ่งผ่านไปแล้วไม่หวนกลับมา
40 พวกเขากบฏต่อพระองค์ในถิ่นกันดาร
และกระทำให้พระองค์เศร้าพระทัยในดินแดนร้างเปล่าบ่อยเหลือเกิน!
41 พวกเขาลองดีกับพระเจ้าครั้งแล้วครั้งเล่า
พวกยั่วยุองค์บริสุทธิ์แห่งอิสราเอล
42 พวกเขาไม่ได้นึกถึงพระเดชานุภาพ
ในวันที่พระองค์ทรงช่วยพวกเขาให้พ้นจากผู้ข่มเหงรังแก
43 ในวันที่พระองค์ทรงสำแดงหมายสำคัญต่างๆ ในอียิปต์
ทรงสำแดงปาฏิหาริย์ต่างๆ ในดินแดนโศอัน
44 พระองค์ทรงเปลี่ยนน้ำให้เป็นเลือด
จนไม่มีใครอาจดื่มน้ำจากธารน้ำได้
45 พระองค์ทรงส่งฝูงเหลือบมาเล่นงานพวกเขา
และทรงส่งฝูงกบมาทำลายล้างพวกเขา
46 พระองค์ทรงยกพืชผลของพวกเขาให้แก่ตั๊กแตน
ทรงยกผลิตผลของพวกเขาให้แก่ฝูงตั๊กแตน
47 พระองค์ทรงให้ลูกเห็บทำลายเถาองุ่นของพวกเขา
และทรงให้น้ำค้างแข็งทำลายต้นมะเดื่อของพวกเขา
48 พระองค์ทรงให้ลูกเห็บจัดการกับฝูงวัวของพวกเขา
ทรงให้ฟ้าผ่าจัดการกับฝูงปศุสัตว์ของพวกเขา
49 พระองค์ทรงระบายความกริ้วอันเกรี้ยวกราด
ทรงระบายพระพิโรธ ความขุ่นเคืองพระทัย และการเป็นปฏิปักษ์ต่อพวกเขา
ทรงส่งเหล่าทูตสวรรค์ผู้ล้างผลาญมาลงโทษพวกเขา
50 พระองค์ทรงเตรียมทางสำหรับพระพิโรธของพระองค์
พระองค์ไม่ได้ทรงไว้ชีวิตพวกเขา
แต่ทรงหยิบยื่นพวกเขาให้แก่โรคระบาด
51 พระองค์ทรงประหารลูกหัวปีทั้งสิ้นในอียิปต์
คือผลแรกแห่งวัยฉกรรจ์ในเต็นท์ของฮาม
52 แต่พระองค์ทรงนำประชากรของพระองค์ออกมาอย่างฝูงแกะ
พระองค์ทรงนำพวกเขาดั่งนำแกะผ่านถิ่นกันดาร
53 พระองค์ทรงนำพวกเขามาอย่างปลอดภัย พวกเขาจึงไม่หวาดหวั่น
แต่น้ำทะเลซัดท่วมศัตรูของพวกเขา
54 ดังนั้นพระองค์ทรงนำพวกเขามาถึงเขตดินแดนบริสุทธิ์ของพระองค์
มายังดินแดนเทือกเขาซึ่งได้มาโดยพระหัตถ์ขวาของพระองค์
55 พระองค์ทรงขับไล่ชนชาติต่างๆ ไปต่อหน้าต่อตาพวกเขา
และแบ่งสรรปันส่วนดินแดนให้พวกเขาเป็นมรดก
พระองค์ทรงให้เผ่าต่างๆ ของอิสราเอลตั้งถิ่นฐานในบ้านของคนเหล่านั้น
56 แต่พวกเขาก็ยังลองดีกับพระเจ้า
และกบฏต่อองค์ผู้สูงสุด
พวกเขาไม่ยอมปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ของพระองค์
57 เช่นเดียวกับบรรพบุรุษ พวกเขาไม่มีความจงรักภักดีและไม่มีความซื่อสัตย์
เหมือนคันธนูบิดที่ไว้ใจไม่ได้
58 พวกเขายั่วยุพระพิโรธด้วยสถานบูชาบนที่สูงทั้งหลาย
พวกเขากระตุ้นความหึงหวงของพระองค์ด้วยรูปเคารพต่างๆ
59 เมื่อพระเจ้าทรงได้ยิน พระองค์ก็ทรงพระพิโรธยิ่งนัก
พระองค์ไม่ทรงยอมรับอิสราเอลเลย
60 พระองค์ทรงละทิ้งพลับพลาแห่งชิโลห์
ที่ซึ่งพระองค์ประทับท่ามกลางมนุษย์
61 และทรงยินยอมให้หีบพันธสัญญาของพระองค์ถูกยึดไป
ทรงหยิบยื่นสง่าราศีของพระองค์ให้ตกอยู่ในมือของศัตรู
62 พระองค์ทรงกระทำให้ประชากรของพระองค์ตกเป็นเหยื่อของคมดาบ
พระองค์ทรงพระพิโรธต่อผู้ที่เป็นกรรมสิทธิ์ของพระองค์ยิ่งนัก
63 ไฟเผาผลาญหนุ่มฉกรรจ์
ส่วนหญิงสาวไม่มีเพลงสมรส
64 เหล่าปุโรหิตถูกประหารด้วยดาบ
และภรรยาม่ายของพวกเขาก็ไม่สามารถร้องไห้ไว้ทุกข์
65 แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงลุกขึ้นดั่งตื่นจากบรรทม
เหมือนนักรบสร่างจากฤทธิ์เหล้าองุ่น
66 พระองค์ทรงรุกไล่ศัตรูของพระองค์ให้ล่าถอยไป
พระองค์ทรงส่งพวกเขาไปสู่ความอัปยศนิรันดร์
67 แล้วพระองค์ทรงปฏิเสธเต็นท์ของโยเซฟ
พระองค์ไม่ได้ทรงเลือกชนเผ่าเอฟราอิม
68 แต่พระองค์ทรงเลือกเผ่ายูดาห์
และภูเขาศิโยนที่พระองค์ทรงรัก
69 พระองค์ทรงสร้างสถานนมัสการของพระองค์ให้สูงตระหง่านและยืนยง
ดั่งพื้นปฐพีที่พระองค์ทรงสถาปนาไว้เป็นนิตย์
70 พระองค์ทรงเลือกดาวิดผู้รับใช้ของพระองค์
และทรงนำเขาออกมาจากคอกแกะ
71 ทรงนำเขาออกจากการเลี้ยงดูฝูงแกะ
มาเป็นผู้เลี้ยงดูยาโคบประชากรของพระองค์
เลี้ยงดูอิสราเอลผู้เป็นกรรมสิทธิ์ของพระองค์
72 และดาวิดได้เลี้ยงดูพวกเขาด้วยใจซื่อสัตย์สุจริต
นำพวกเขาไปด้วยมืออันเชี่ยวชาญ
ฮันนาห์ถวายซามูเอล
21 เมื่อเอลคานาห์และครอบครัวขึ้นไปถวายเครื่องบูชาประจำปีแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าและปฏิบัติตามที่ถวายปฏิญาณไว้ 22 ฮันนาห์ไม่ได้ไปด้วย นางบอกสามีว่า “รอจนลูกคนนี้หย่านม ดิฉันจะพาเขาไปเข้าเฝ้าต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้าและให้เขาอยู่ที่นั่นตลอดไป”
23 เอลคานาห์สามีของนางบอกนางว่า “ทำตามที่เธอเห็นว่าดีที่สุดก็แล้วกัน รอให้เขาหย่านมก่อน ขอให้เป็นไปตามพระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้าเถิด[a]” นางจึงยังคงอยู่ที่บ้าน เอาใจใส่เลี้ยงดูลูกจนกระทั่งเด็กนั้นหย่านม
24 หลังจากเขาหย่านมแล้ว นางก็พาเด็กชายคนนั้นมายังพระนิเวศขององค์พระผู้เป็นเจ้าที่ชิโลห์ขณะที่เขายังเล็กอยู่ พร้อมด้วยวัวผู้อายุสามปีหนึ่งตัว[b] แป้งประมาณ 22 ลิตร[c] และเหล้าองุ่นหนึ่งถุงหนัง 25 เมื่อพวกเขาฆ่าวัวถวายเสร็จแล้วก็พาเด็กนั้นมาพบเอลี 26 ฮันนาห์กล่าวกับเอลีว่า “ท่านเจ้าข้า ท่านมีชีวิตอยู่แน่ฉันใด ดิฉันคือหญิงซึ่งเคยมายืนอธิษฐานต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าตรงนี้ 27 ดิฉันทูลขอลูกชายคนนี้จากพระองค์ และองค์พระผู้เป็นเจ้าก็ประทานตามคำวิงวอน 28 บัดนี้ดิฉันนำเขามาถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าเพื่อเขาจะเป็นขององค์พระผู้เป็นเจ้าตลอดชีวิตของเขา” แล้วเขาก็นมัสการองค์พระผู้เป็นเจ้าอยู่ที่นั่น
คำอธิษฐานของฮันนาห์
2 แล้วนางฮันนาห์อธิษฐานว่า
“จิตใจของข้าพเจ้าปีติยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้า
ข้าพเจ้าได้รับการชูกำลังขึ้นในองค์พระผู้เป็นเจ้า[d]
ริมฝีปากข้าพเจ้าข่มทับศัตรู
เพราะข้าพเจ้าชื่นชมในการช่วยกู้ของพระองค์
2 “ไม่มีผู้ใดบริสุทธิ์สูงส่งเสมอเหมือนองค์พระผู้เป็นเจ้า
ไม่มีผู้ใดนอกจากพระองค์
ไม่มีศิลาใดเสมอเหมือนพระเจ้าของเรา
3 “อย่าพูดโอหังอีกต่อไป
อย่าปริปากแสดงความจองหองเช่นนั้น
เพราะพระยาห์เวห์เป็นพระเจ้าผู้ทรงรอบรู้
และทรงเป็นผู้ชั่งดูการกระทำทั้งหลาย
4 “คันธนูของนักรบก็ถูกหัก
แต่ผู้ที่ซวนเซได้รับการเสริมกำลัง
5 บรรดาผู้ที่อิ่มหนำต้องออกรับจ้างเลี้ยงชีพ
แต่บรรดาผู้ที่หิวโหยไม่ต้องหิวโหยอีกต่อไป
หญิงหมันมีบุตรเจ็ดคน
แต่หญิงผู้มีบุตรหลายคนก็ร่วงโรยไป
6 “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกำหนดให้ตายหรือให้มีชีวิต
พระองค์ทรงนำไปสู่แดนผู้ตายและให้เป็นขึ้นมา
7 ความยากจนและความร่ำรวยมาจากองค์พระผู้เป็นเจ้า
พระองค์ทรงทำให้ต่ำลงและทรงยกชูขึ้น
8 พระองค์ทรงยกชูผู้ยากไร้ขึ้นจากธุลี
ทรงยกคนขัดสนจากกองขี้เถ้า
พระองค์ทรงให้เขานั่งร่วมกับเจ้านาย
และให้เขาครองบัลลังก์อันทรงเกียรติ
“เพราะรากฐานของแผ่นดินโลกเป็นขององค์พระผู้เป็นเจ้า
พระองค์ทรงสถาปนาโลกไว้บนนั้น
9 พระองค์จะทรงพิทักษ์ปกป้องย่างเท้าของประชากรของพระองค์
ส่วนคนชั่วร้ายจะนิ่งอึ้งอยู่ในความมืด
“คนเราชนะได้ไม่ใช่ด้วยพลัง
10 บรรดาผู้ที่ต่อสู้กับองค์พระผู้เป็นเจ้าจะต้องกระจัดกระจายไป
พระองค์ทรงฟาดฟันพวกเขาด้วยฟ้าผ่าจากสวรรค์
องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงพิพากษาทั่วพิภพ
“พระองค์จะประทานกำลังแก่กษัตริย์ของพระองค์
และเชิดชูผู้ที่ทรงเจิมตั้งไว้”
11 แล้วเอลคานาห์ก็กลับบ้านที่รามาห์ ส่วนเด็กน้อยซามูเอลปรนนิบัติรับใช้ต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้าภายใต้การดูแลของปุโรหิตเอลี
15 ครั้งนั้นเปโตรยืนขึ้นท่ามกลางเหล่าผู้เชื่อ[a] (ประมาณ 120 คน) 16 และกล่าวว่า “พี่น้องทั้งหลาย พระคัมภีร์ต้องเป็นจริงตามที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ตรัสไว้เมื่อนานมาแล้วผ่านพระโอษฐ์ของกษัตริย์ดาวิดเกี่ยวกับยูดาสผู้ซึ่งนำพวกเขามาจับพระเยซู 17 เขาได้เป็นคนหนึ่งในพวกเราและมีส่วนร่วมในพันธกิจนี้”
18 (ยูดาสนำเงินรางวัลที่ได้จากความชั่วช้าของตนไปซื้อที่ดิน ที่นั่นเขาล้มลงศีรษะกระแทกพื้น ลำตัวแตกไส้พุงทะลักออกมาหมด 19 ทุกคนในเยรูซาเล็มได้ยินเรื่องนี้ จึงเรียกที่ดินแปลงนั้นตามภาษาของตนว่า อาเคลดามา คือทุ่งโลหิต)
20 เปโตรกล่าวว่า “เพราะมีเขียนไว้ในพระธรรมสดุดีว่า
“ ‘ขอให้ที่อยู่ของเขาเริศร้าง
อย่าให้มีผู้ใดอาศัยอยู่ที่นั่น’[b]
และ
“ ‘ให้คนอื่นขึ้นมาเป็นผู้นำแทนตำแหน่งของเขา’[c]
21 ฉะนั้นจึงจำเป็นต้องเลือกคนหนึ่งซึ่งได้อยู่กับพวกเราตลอดช่วงที่องค์พระเยซูเจ้าทรงดำเนินอยู่ท่ามกลางพวกเรา 22 ตั้งแต่บัพติศมาของยอห์นจนถึงเวลาที่พระเยซูถูกรับขึ้นไปจากเรา เพราะคนนี้จะต้องเป็นพยานร่วมกับเราว่าพระองค์ได้คืนพระชนม์แล้ว”
23 ดังนั้นพวกเขาจึงเสนอชื่อชายสองคนคือ โยเซฟที่เรียกกันว่าบารซับบาส (และอีกชื่อหนึ่งคือยุสทัส) กับมัทธีอัส 24 จากนั้นพวกเขาอธิษฐานว่า “พระองค์เจ้าข้า พระองค์ทรงทราบจิตใจของทุกคน ขอทรงสำแดงว่าทรงเลือกคนไหนในสองคนนี้ 25 ให้รับพันธกิจแห่งอัครทูตแทนยูดาสผู้ได้ละทิ้งไปสู่ที่ของตน” 26 แล้วพวกเขาจับฉลากได้มัทธีอัสดังนั้นจึงรวมเขาเข้ากับอัครทูตสิบเอ็ดคน
19 พวกธรรมาจารย์และพวกหัวหน้าปุโรหิตหาทางจะจับกุมพระองค์ทันที เพราะรู้ว่าพระองค์ตรัสคำอุปมานี้ว่าพวกตน แต่พวกเขากลัวประชาชน
การเสียภาษีแก่ซีซาร์(A)
20 พวกเขาจับตาดูพระองค์อย่างใกล้ชิดโดยส่งคนสอดแนมซึ่งแสร้งทำเป็นคนซื่อตรงมา หวังจะจับผิดถ้อยคำของพระเยซู จะได้มอบพระองค์ไว้ในอำนาจและการพิพากษาของผู้ว่าการ 21 คนสอดแนมนั้นจึงมาทูลถามพระองค์ว่า “ท่านอาจารย์ เรารู้ว่าท่านพูดและสอนสิ่งที่ถูกต้อง ไม่เข้าข้างใคร แต่สอนทางของพระเจ้าตามความจริง 22 เป็นการถูกต้องหรือไม่ที่เราจะเสียภาษีให้แก่ซีซาร์?”
23 พระเยซูทรงรู้ทันอุบายของพวกเขา จึงตรัสว่า 24 “ไหนเอาเงินหนึ่งเหรียญเดนาริอันมาให้เราดูซิ รูปและคำจารึกบนเหรียญเป็นของใคร?”
25 พวกเขาทูลว่า “ของซีซาร์” พระองค์จึงตรัสว่า “ของของซีซาร์จงให้แก่ซีซาร์ และของของพระเจ้าจงถวายแด่พระเจ้า”
26 พวกเขาไม่สามารถจับผิดสิ่งที่พระองค์ตรัสต่อสาธารณชนได้ และต้องนิ่งอึ้งเพราะประหลาดใจในคำตอบของพระองค์
Thai New Contemporary Bible Copyright © 1999, 2001, 2007 by Biblica, Inc.® Used by permission. All rights reserved worldwide.