Previous Prev Day Next DayNext

Book of Common Prayer

Daily Old and New Testament readings based on the Book of Common Prayer.
Duration: 861 days
Thai New Contemporary Bible (TNCV)
Version
สดุดี 95

95 มาเถิด ให้เราร้องเพลงรื่นเริงถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า
ให้เราโห่ร้องแด่พระศิลาแห่งความรอดของเรา
ให้เรามาเข้าเฝ้าต่อหน้าพระองค์ด้วยการขอบพระคุณ
ให้เราโห่ร้องสดุดีพระองค์ด้วยดนตรีและบทเพลง

เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นพระเจ้ายิ่งใหญ่
เป็นกษัตริย์ยิ่งใหญ่เหนือทวยเทพทั้งมวล
ห้วงลึกแห่งแผ่นดินโลกอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์
ยอดเขาทั้งหลายเป็นของพระองค์
ท้องทะเลเป็นของพระองค์ เพราะพระองค์ทรงสร้างขึ้น
และพระหัตถ์ของพระองค์ทรงปั้นแผ่นดิน

มาเถิด ให้เรากราบนมัสการและหมอบคำนับ
ให้เราคุกเข่าต่อหน้าพระยาห์เวห์พระผู้สร้างของเรา
เพราะพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าของเรา
เราเป็นประชากรที่พระองค์ทรงเลี้ยงดูในทุ่งหญ้าของพระองค์
เป็นฝูงแกะที่พระองค์ทรงอุ้มชูด้วยพระหัตถ์ของพระองค์

วันนี้หากท่านได้ยินพระสุรเสียงของพระองค์
อย่าทำใจแข็งกระด้างเหมือนที่เมรีบาห์[a]
เหมือนที่มัสสา[b]ในถิ่นกันดาร
ที่ซึ่งบรรพบุรุษของพวกเจ้าได้ทดลองเรา
พวกเขาลองดีกับเราทั้งๆ ที่พวกเขาได้เห็นสิ่งต่างๆ ที่เราทำ
10 ตลอดสี่สิบปีเราโกรธคนในชั่วอายุนั้น
และเรากล่าวว่า “พวกเขาเป็นชนชาติที่ใจหลงเตลิด
และพวกเขาไม่รู้จักวิถีทางของเรา”
11 ดังนั้นเราจึงสาบานด้วยความโกรธของเราว่า
“พวกเขาจะไม่มีวันได้เข้าสู่การพักสงบของเรา”

สดุดี 69

(ถึงหัวหน้านักร้อง ทำนอง “ลิลลี่” บทประพันธ์ของดาวิด)

69 ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงช่วยข้าพระองค์ด้วยเถิด
เพราะน้ำท่วมถึงคอข้าพระองค์แล้ว
ข้าพระองค์จมดิ่งลงในตมลึก
ซึ่งไม่มีที่ให้หยั่งเท้า
ข้าพระองค์จมอยู่ในห้วงน้ำลึก
กระแสน้ำท่วมมิดข้าพระองค์
ข้าพระองค์วิงวอนร่ำร้องขอความช่วยเหลือจนอ่อนล้า
คอของข้าพระองค์แห้งผาก
ตาของข้าพระองค์หม่นหมอง
เฝ้าแต่มองหาพระเจ้าของข้าพระองค์
คนที่เกลียดชังข้าพระองค์โดยไม่มีสาเหตุ
มีมากกว่าผมบนศีรษะของข้าพระองค์เสียอีก
ศัตรูผู้มุ่งทำลายล้างข้าพระองค์โดยไม่มีสาเหตุมีมากมายยิ่งนัก
ข้าพระองค์ถูกบีบบังคับให้คืนสิ่งที่ข้าพระองค์ไม่ได้ขโมยมา

ข้าแต่พระเจ้า พระองค์ทรงทราบดีว่าข้าพระองค์โง่เขลา
ความผิดของข้าพระองค์ไม่อาจซ่อนไว้จากพระองค์

ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์
ขออย่าให้ผู้ที่หวังในพระองค์ต้องอับอายเพราะข้าพระองค์
ข้าแต่พระเจ้าแห่งอิสราเอล
ขออย่าให้บรรดาผู้แสวงหาพระองค์
ต้องอดสูเพราะข้าพระองค์
เพราะข้าพระองค์ต้องทนต่อคำเยาะเย้ยถากถางเพราะเห็นแก่พระองค์
และต้องอับอายขายหน้า
ข้าพระองค์กลายเป็นคนแปลกหน้าสำหรับพี่น้องของข้าพระองค์
กลายเป็นคนต่างด้าวสำหรับพี่น้องท้องเดียวกัน
เพราะความร้อนใจเพื่อพระนิเวศของพระองค์ท่วมท้นข้าพระองค์
การหมิ่นประมาทของผู้ที่สบประมาทพระองค์ตกอยู่บนข้าพระองค์
10 เมื่อร่ำไห้และถืออดอาหาร
ข้าพระองค์ต้องทนการเย้ยหยัน
11 เมื่อข้าพระองค์สวมเสื้อผ้ากระสอบ
ผู้คนพูดกระทบกระเทียบข้าพระองค์
12 บรรดาผู้นั่งอยู่ที่ประตูเมืองเยาะเย้ยข้าพระองค์
และข้าพระองค์ตกเป็นเพลงเปรียบเปรยของคนขี้เมา

13 ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า แต่ข้าพระองค์อธิษฐานทูลต่อพระองค์
ในยามที่พระองค์ทรงโปรด
ข้าแต่พระเจ้า โดยความรักยิ่งใหญ่ของพระองค์
ขอทรงตอบข้าพระองค์ด้วยความรอดอันแน่นอนซึ่งมาจากพระองค์
14 ขอทรงดึงข้าพระองค์พ้นจากตมลึกนี้
อย่าให้ข้าพระองค์จมลงไป
ขอทรงช่วยข้าพระองค์ให้พ้นจากบรรดาผู้ที่เกลียดชังข้าพระองค์
ขอทรงช่วยให้พ้นจากห้วงน้ำลึก
15 ขออย่าทรงให้น้ำหลากท่วมมิดข้าพระองค์
หรือให้เหวลึกกลืนข้าพระองค์
หรือให้แดนคนตายงับข้าพระองค์ไว้

16 ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ขอทรงตอบข้าพระองค์ เพราะความรักมั่นคงของพระองค์ล้ำเลิศ
ขอทรงหันมาหาข้าพระองค์ด้วยพระเมตตาคุณอันล้นเหลือ
17 ขออย่าทรงซ่อนพระพักตร์จากผู้รับใช้ของพระองค์
ขอทรงตอบข้าพระองค์โดยเร็วเพราะข้าพระองค์กำลังเดือดร้อน
18 ขอทรงเสด็จมาใกล้ และช่วยกู้ข้าพระองค์ด้วยเถิด
ขอทรงปลดปล่อยข้าพระองค์จากเหล่าศัตรู

19 พระองค์ทรงทราบว่าข้าพระองค์ถูกดูหมิ่น เย้ยหยัน และอับอายเพียงใด
ศัตรูทั้งปวงของข้าพระองค์ก็อยู่ต่อหน้าพระองค์
20 การเย้ยหยันทำให้ดวงใจของข้าพระองค์ชอกช้ำร้าวราน
กลายเป็นคนสิ้นท่าอนาถา
ข้าพระองค์เหลียวหาความเห็นอกเห็นใจแต่ไม่พบเลย
มองหาคนปลอบใจ แต่ไม่มีแม้สักคน
21 พวกเขาเอาน้ำดีรสขมใส่ในอาหารของ ข้าพระองค์
และให้น้ำส้มสายชูเมื่อข้าพระองค์กระหาย

22 ขอให้สำรับที่ตั้งไว้ตรงหน้าพวกเขากลายเป็นบ่วงแร้ว
ขอให้กลายเป็นสิ่งคืนสนองและเป็น[a]กับดัก
23 ขอให้ดวงตาของพวกเขามืดมัวไป พวกเขาจะได้มองไม่เห็น
และขอให้หลังของพวกเขาค้อมลงตลอดไป
24 ขอทรงระบายพระพิโรธใส่พวกเขา
ให้พระพิโรธอันเกรี้ยวกราดตะครุบพวกเขา
25 ขอให้ที่อยู่ของพวกเขาเริศร้าง
อย่าให้มีผู้ใดอาศัยอยู่ในที่พำนักของพวกเขา
26 เพราะพวกเขาข่มเหงผู้ที่พระองค์ทรงโบยตี
และพูดถึงความเจ็บปวดของผู้ที่พระองค์ทรงทำให้บาดเจ็บ
27 ขอทรงกล่าวโทษพวกเขา คดีแล้วคดีเล่า
อย่าให้พวกเขามีส่วนในความรอดของพระองค์
28 ขอให้คนเหล่านี้ถูกลบชื่อออกจากหนังสือแห่งชีวิต
และอย่าให้มีรายชื่อร่วมกับผู้ชอบธรรม

29 ข้าพระองค์เจ็บปวดและทนทุกข์
ข้าแต่พระเจ้า ขอให้ความรอดซึ่งมาจากพระองค์ปกป้องข้าพระองค์ไว้

30 ข้าพเจ้าจะสรรเสริญพระนามของพระเจ้าด้วยบทเพลง
และถวายเกียรติแด่พระองค์ ด้วยการขอบพระคุณ
31 สิ่งนี้จะเป็นที่พอพระทัยองค์พระผู้เป็นเจ้ายิ่งกว่าการถวายวัว
ยิ่งกว่าการถวายวัวผู้ทั้งเขาและกีบ
32 ผู้ตกทุกข์ได้ยากจะเห็นแล้วยินดี
บรรดาท่านผู้แสวงหาพระเจ้าจงเบิกบานใจ
33 องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงสดับฟังผู้ยากไร้
และไม่ทรงดูหมิ่นคนของพระองค์ที่ตกเป็นเชลย

34 ฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก
ทั้งทะเลและสรรพสิ่งในทะเล จงสรรเสริญพระองค์
35 เพราะพระเจ้าจะทรงช่วยกู้ศิโยน
และจะทรงสร้างเมืองต่างๆ ของยูดาห์ขึ้นใหม่
แล้วเหล่าประชากรจะตั้งถิ่นฐานอยู่ที่นั่นและครอบครองเป็นกรรมสิทธิ์
36 ลูกหลานของผู้รับใช้ของพระองค์จะได้รับดินแดนเป็นมรดก
บรรดาผู้ที่รักพระนามของพระองค์จะอาศัยอยู่ที่นั่น

สดุดี 73

บรรพ 3(A)

(บทสดุดีของอาสาฟ)

73 แน่ทีเดียว พระเจ้าทรงดีต่ออิสราเอล
ต่อบรรดาผู้มีใจบริสุทธิ์

แต่สำหรับข้าพเจ้า เท้าของข้าพเจ้าเกือบจะลื่นพลาด
ข้าพเจ้าจวนเจียนจะเสียหลัก
เพราะข้าพเจ้าอิจฉาคนหยิ่งผยอง
เมื่อข้าพเจ้าเห็นความเจริญรุ่งเรืองของคนชั่ว

พวกเขาไม่ต้องดิ้นรนต่อสู้
ร่างกายของเขาแข็งแรงและสุขภาพดี[a]
เขาไม่ต้องแบกรับภาระเหมือนคนอื่นๆ
เขาไม่ต้องเป็นทุกข์ด้วยโรคภัยไข้เจ็บ
ฉะนั้นเขาจึงคล้องความเย่อหยิ่งเป็นสร้อยคอ
เขาสวมความรุนแรงเป็นอาภรณ์คลุมกาย
ความชั่วช้าออกมาจากใจที่ตายด้านของเขา[b]
ความคิดชั่วในจิตใจของเขาไร้ขีดจำกัด
เขาเย้ยหยัน พูดอย่างมุ่งร้าย
และข่มขู่คุกคามอย่างโอหัง
ริมฝีปากของเขาอ้างสิทธิ์เหนือฟ้าสวรรค์
ลิ้นของเขาอวดอ้างกรรมสิทธิ์เหนือแผ่นดินโลก
10 ฉะนั้นคนของเขาจึงหันไปหาพวกเขา
และดื่มห้วงน้ำหมดไปอย่างมากมาย[c]
11 พวกเขาพูดว่า “พระเจ้าจะรู้ได้อย่างไร?
องค์ผู้สูงสุดจะรู้หรือ?”

12 คนชั่วเป็นเช่นนี้แหละ สุขสบายอยู่ร่ำไป
พวกเขาร่ำรวยขึ้นเรื่อยๆ

13 แน่ทีเดียว ข้าพเจ้ารักษาใจให้บริสุทธิ์
และชำระมือให้ปราศจากมลทินโดยเปล่าประโยชน์
14 ข้าพเจ้าถูกรุมเล่นงานวันยังค่ำ
และถูกลงโทษอยู่ทุกเช้า

15 หากข้าพเจ้าได้กล่าวว่า “เราจะพูดเช่นนั้น”
ข้าพเจ้าก็คงจะได้ทรยศต่อลูกๆ ของพระองค์
16 เมื่อข้าพเจ้าพยายามที่จะเข้าใจทั้งหมดนี้
ก็ทำให้ลำบากใจยิ่งนัก
17 จนกระทั่งข้าพเจ้าเข้าไปยังสถานนมัสการของพระเจ้า
ข้าพเจ้าจึงเข้าใจถึงจุดหมายปลายทางสุดท้ายของพวกเขา

18 แน่ทีเดียว พระองค์ทรงให้เขายืนอยู่บนที่ลื่น
พระองค์ทรงเหวี่ยงเขาลงสู่หายนะ
19 เขาถูกทำลายไปทันที
ถูกกวาดล้างหมดสิ้นไปด้วยความสยดสยอง!
20 ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า
เมื่อพระองค์ทรงลุกขึ้นก็เหมือนคนที่ตื่นจากฝัน
พระองค์จะทรงเหยียดหยามเขาว่าเป็นเพียงภาพเพ้อฝัน

21 เมื่อจิตใจของข้าพระองค์ทุกข์โศก
เมื่อดวงวิญญาณของข้าพระองค์ขมขื่น
22 ข้าพระองค์ก็ไม่รู้จักคิดและโง่เขลา
ข้าพระองค์เป็นเหมือนสัตว์เดียรัจฉานต่อพระองค์

23 แต่ถึงกระนั้น ข้าพระองค์ยังอยู่กับพระองค์เสมอ
พระองค์ทรงยึดมือขวาของข้าพระองค์ไว้
24 พระองค์ทรงนำข้าพระองค์ด้วยคำปรึกษาของพระองค์
และภายหลังพระองค์จะทรงรับข้าพระองค์เข้าสู่เกียรติสิริ
25 นอกจากพระองค์แล้วข้าพระองค์มีผู้ใดอื่นในฟ้าสวรรค์หรือ?
และในโลกนี้ข้าพระองค์ไม่ปรารถนาสิ่งใดนอกจากพระองค์
26 กายใจของข้าพระองค์อาจจะเสื่อมถอย
แต่พระเจ้าทรงเป็นพลังใจและเป็นส่วนมรดกของข้าพระองค์ตลอดไป

27 บรรดาผู้ที่ห่างไกลพระองค์จะพินาศ
พระองค์ทรงทำลายล้างคนทั้งปวงที่ไม่ซื่อสัตย์ต่อพระองค์
28 แต่ส่วนข้าพระองค์ ดีเหลือเกินที่ได้เข้ามาใกล้พระเจ้า
ข้าพระองค์ได้ให้พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตเป็นที่ลี้ภัยของข้าพระองค์
ข้าพระองค์จะเล่าถึงพระราชกิจทั้งสิ้นของพระองค์

เยเรมีย์ 5:1-9

ไม่มีใครเที่ยงธรรม

“จงวิ่งไปวิ่งมาตามถนนหนทางในกรุงเยรูซาเล็ม
จงมองไปรอบๆ และพิเคราะห์ดู
จงค้นหาตามลานเมืองต่างๆ
หากเจ้าหาพบแม้แต่คนเดียว
ที่ซื่อสัตย์และแสวงหาความจริง
เราก็จะยกโทษให้เมืองนี้
ถึงแม้พวกเขากล่าวว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด’
พวกเขาก็กำลังสาบานเท็จ”

ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเนตรของพระองค์มองหาความจริงไม่ใช่หรือ?
พระองค์ทรงเฆี่ยนพวกเขา แต่พวกเขาก็ไม่รู้จักเจ็บ
ทรงขยี้พวกเขา แต่พวกเขาก็ไม่ยอมปรับปรุงแก้ไข
พวกเขาทำหน้าด้านหน้าทนยิ่งกว่าหิน
และไม่ยอมกลับตัวกลับใจ
ข้าพเจ้าคิดว่า “คนเหล่านี้เป็นเพียงคนยากไร้
พวกเขาเป็นคนโง่เขลา
เพราะพวกเขาไม่รู้วิถีทางขององค์พระผู้เป็นเจ้า
ไม่รู้ข้อกำหนดของพระเจ้าของตน
ฉะนั้นข้าพเจ้าจะไปหาบรรดาผู้นำ
และจะพูดกับพวกเขา
คนเหล่านั้นย่อมรู้วิถีทางขององค์พระผู้เป็นเจ้า
รู้ข้อกำหนดของพระเจ้าของตนอย่างแน่นอน”
แต่คนเหล่านั้นก็พร้อมใจกันหักแอก
และทลายเครื่องพันธนาการต่างๆ ด้วยเหมือนกัน
ฉะนั้นสิงโตจากป่าจะมาเล่นงานพวกเขา
สุนัขป่าจากทะเลทรายจะเข้าขย้ำ
เสือดาวจะซุ่มอยู่ใกล้เมืองต่างๆ ของพวกเขา
คอยฉีกเนื้อคนที่ออกมานั้นเป็นชิ้นๆ
เพราะการทรยศของพวกเขาร้ายแรงนัก
และชอบหวนกลับไปทำบาป

“ควรหรือที่เราจะอภัยให้พวกเจ้า?
ลูกหลานของพวกเจ้าได้ละทิ้งเรา
และสาบานโดยอ้างพระต่างๆ ซึ่งไม่ใช่พระเจ้า
เราได้จัดหาทุกสิ่งที่จำเป็นให้พวกเขา
แต่พวกเขาก็ยังคบชู้
และแห่กันไปยังสำนักนางโลม
พวกเขาเป็นม้าหนุ่มกลัดมันที่ได้รับการเลี้ยงดูอย่างดี
ต่างกระสันหาภรรยาของเพื่อนบ้าน
จะไม่ให้เราลงโทษพวกเขาเพราะเรื่องนี้หรือ?”
องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น
“จะไม่ให้เราแก้แค้น
ชนชาติที่ประพฤติเยี่ยงนี้หรือ?

โรม 2:25-3:18

25 การเข้าสุหนัตมีคุณค่าถ้าท่านรักษาบทบัญญัติ แต่ถ้าท่านละเมิดบทบัญญัติ ท่านก็จะเหมือนไม่ได้เข้าสุหนัตเลย 26 ถ้าผู้ที่ไม่ได้เข้าสุหนัตทำตามข้อกำหนดของบทบัญญัติจะไม่ถือเสมือนว่าพวกเขาได้เข้าสุหนัตแล้วหรือ? 27 ผู้ที่ไม่ได้เข้าสุหนัตทางกายแต่ยังทำตามบทบัญญัตินั่นแหละจะปรับโทษท่านผู้ซึ่งทั้งๆ ที่มี[a]บทบัญญัติเป็นลายลักษณ์อักษรและได้เข้าสุหนัตแล้วก็ยังเป็นผู้ละเมิดบทบัญญัติ

28 ผู้ที่เป็นยิวแท้ ไม่ใช่คนที่เป็นยิวแต่เพียงภายนอก ทั้งการเข้าสุหนัตแท้ก็ไม่ใช่การเข้าสุหนัตแต่เพียงภายนอกและทางร่างกายเท่านั้น 29 แต่คนที่เป็นยิวแท้คือคนที่เป็นยิวภายใน และการเข้าสุหนัตแท้คือการเข้าสุหนัตทางใจโดยพระวิญญาณ ไม่ใช่โดยบทบัญญัติที่เป็นลายลักษณ์อักษร คำสรรเสริญที่คนเช่นนี้ได้รับไม่ได้มาจากมนุษย์แต่มาจากพระเจ้า

พระเจ้าทรงสัตย์ซื่อ

ถ้าเช่นนั้นการเป็นยิวมีข้อได้เปรียบอย่างไร? หรือการเข้าสุหนัตมีคุณค่าอะไร? มีคุณค่าอย่างมากในทุกด้าน! ประการแรกสุด พวกเขาได้รับมอบหมายให้รักษาพระดำรัสของพระเจ้า

แล้วถ้าบางคนไม่มีความเชื่อเล่าจะเป็นอย่างไร? การที่เขาขาดความเชื่อจะทำให้ความสัตย์ซื่อของพระเจ้าเป็นโมฆะหรือ? ไม่เลย! แม้ทุกคนจะเป็นคนโกหก แต่พระเจ้าทรงสัตย์จริง ตามที่มีเขียนไว้ว่า

“พระองค์จะได้รับการพิสูจน์ว่าทรงเป็นฝ่ายถูกเมื่อตรัส
และชนะเมื่อทรงพิพากษา”[b]

แต่จะว่าอย่างไรถ้าความอธรรมของเราทำให้ความชอบธรรมของพระเจ้าโดดเด่นชัดเจนยิ่งขึ้น? จะว่าพระเจ้าไม่ยุติธรรมหรือที่ทรงให้พระพิโรธลงมาเหนือเรา? (นี่ข้าพเจ้าโต้แย้งแบบมนุษย์) ไม่ใช่อย่างแน่นอน! เพราะหากเป็นเช่นนั้นพระเจ้าจะทรงพิพากษาโลกได้อย่างไร? บางคนอาจแย้งว่า “ในเมื่อความอสัตย์ของข้าพเจ้าทำให้เห็นความสัตย์จริงของพระเจ้าเด่นชัดยิ่งขึ้น ดังนั้นจึงเป็นการเพิ่มพูนพระเกียรติสิริของพระองค์ แล้วทำไมข้าพเจ้ายังถูกตัดสินลงโทษว่าเป็นคนบาปเล่า?” ทำไมไม่กล่าวว่า “ให้เราทำชั่วเพื่อความดีจะได้เกิดขึ้น”? อย่างที่มีบางคนใส่ร้ายว่าเราพูดเช่นนั้น การลงโทษคนแบบนี้ก็สมควรแล้ว

ไม่มีใครชอบธรรมสักคน

เช่นนี้แล้วเราจะสรุปว่าอย่างไร? พวกเราชาวยิวดี[c]กว่าคนอื่นหรือ? ไม่เลย! เราชี้ให้เห็นแล้วว่า ทั้งคนยิวและคนต่างชาติล้วนอยู่ภายใต้บาปเหมือนกันหมด 10 ตามที่มีเขียนไว้ว่า

“ไม่มีสักคนที่ชอบธรรม ไม่มีแม้สักคนเดียวเลย
11 ไม่มีใครที่เข้าใจ
ไม่มีใครที่แสวงหาพระเจ้า
12 ทุกคนล้วนหันเหไป
พวกเขากลายเป็นคนไร้ค่าไปด้วยกัน
ไม่มีสักคนที่ทำดี
ไม่มีแม้แต่คนเดียว”[d]
13 “ลำคอของพวกเขาคือหลุมฝังศพที่เปิดอยู่
พวกเขาตวัดลิ้นปลิ้นปล้อน”[e]
“พิษงูร้ายอยู่ที่ริมฝีปากของพวกเขา”[f]
14 “ริมฝีปากของเขาเต็มไปด้วยคำสาปแช่งและคำเผ็ดร้อน”[g]
15 “เท้าของเขาว่องไวในการทำให้นองเลือด
16 เขาก่อหายนะและทุกข์เข็ญไว้ตามรายทางของเขา
17 ไม่มีความยำเกรงพระเจ้าในสายตาของพวกเขา”[h]
18 “เขาไม่เคยคิดที่จะเกรงกลัวพระเจ้าเลย”[i]

ยอห์น 5:30-47

30 เราทำสิ่งใดโดยลำพังตัวเราเองไม่ได้เลย เราพิพากษาตามที่เราได้ยินเท่านั้น และคำพิพากษาของเรายุติธรรม เพราะเราไม่ได้มุ่งทำให้ตนเองพอใจแต่มุ่งให้พระองค์ผู้ทรงส่งเรามาพอพระทัย

พยานรับรองพระเยซู

31 “ถ้าเราเป็นพยานให้ตนเอง คำพยานของเราก็ไม่น่าเชื่อถือ 32 มีอีกผู้หนึ่งที่เป็นพยานให้เรา และเรารู้ว่าคำพยานของผู้นั้นเกี่ยวกับเราก็เชื่อถือได้

33 “ท่านส่งคนไปหายอห์น และยอห์นได้เป็นพยานถึงความจริง 34 ไม่ใช่ว่าเรายอมรับคำพยานของมนุษย์ แต่เราเอ่ยถึงเรื่องนี้เพื่อท่านจะรอด 35 ยอห์นเป็นตะเกียงที่ลุกอยู่และให้แสงสว่าง และพวกท่านเลือกที่จะชื่นชมความสว่างของยอห์นชั่วขณะหนึ่ง

36 “เรามีคำพยานที่หนักแน่นยิ่งกว่าคำพยานของยอห์น เพราะงานที่พระบิดาทรงมอบหมายให้เราทำให้สำเร็จและเรากำลังทำอยู่นั้นเองเป็นพยานว่าพระบิดาทรงส่งเรามา 37 ทั้งพระบิดาผู้ทรงส่งเรามาพระองค์เองได้ทรงเป็นพยานให้เรา ท่านไม่เคยได้ยินพระสุรเสียงหรือเห็นรูปพรรณสัณฐานของพระองค์ 38 ทั้งพระดำรัสของพระองค์ก็ไม่ได้อยู่ในท่านเพราะท่านไม่เชื่อผู้ที่พระองค์ทรงส่งมา 39 ท่านขยันศึกษา[a]พระคัมภีร์เพราะท่านคิดว่าโดยพระคัมภีร์ท่านจะได้ชีวิตนิรันดร์ พระธรรมเหล่านั้นคือพระคัมภีร์ที่เป็นพยานเกี่ยวกับเรา 40 กระนั้นพวกท่านก็ไม่ยอมมาหาเราเพื่อจะได้ชีวิต

41 “เราไม่ยอมรับการสรรเสริญจากมนุษย์ 42 แต่เรารู้จักพวกท่าน เรารู้ว่าท่านไม่ได้มีความรักของพระเจ้าอยู่ในใจ 43 เราได้มาในพระนามของพระบิดาของเราและท่านไม่ยอมรับเรา แต่ถ้าผู้อื่นมาในนามของเขาเอง ท่านจะยอมรับผู้นั้น 44 ท่านจะเชื่อได้อย่างไร ถ้าหากท่านยอมรับคำสรรเสริญกันเอง แต่ไม่ขวนขวายหาคำสรรเสริญจากพระเจ้าผู้ทรงเป็นพระเจ้าแต่องค์เดียว[b]?

45 “แต่อย่าคิดว่าเราจะฟ้องท่านต่อพระบิดา ผู้ที่ฟ้องท่านคือโมเสสซึ่งท่านได้ตั้งความหวังไว้กับเขา 46 หากท่านเชื่อโมเสส ท่านควรจะเชื่อเราเพราะโมเสสได้เขียนเกี่ยวกับเรา 47 แต่เพราะท่านไม่เชื่อสิ่งที่โมเสสเขียนไว้ ท่านจะเชื่อสิ่งที่เราพูดได้อย่างไร?”

Thai New Contemporary Bible (TNCV)

Thai New Contemporary Bible Copyright © 1999, 2001, 2007 by Biblica, Inc.® Used by permission. All rights reserved worldwide.