Book of Common Prayer
เครื่องบูชาที่พระเจ้ายอมรับ
บทเพลงสดุดีของอาสาฟ[a]
50 พระยาห์เวห์พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่
กำลังเรียกทุกคนบนโลกนี้จากทิศตะวันออกไปจนถึงทิศตะวันตก
2 พระองค์เปล่งแสงสว่างออกมาจากศิโยน
เมืองที่สวยงามเลิศ
3 พระเจ้าของพวกเรากำลังมา แต่ไม่ได้มาอย่างเงียบๆ
มีเพลิงเผาผลาญนำอยู่หน้าพระองค์
และมีพายุมหึมาพัดอยู่รอบๆพระองค์
4 พระองค์เรียกฟ้าสวรรค์เบื้องบนและแผ่นดินโลกเบื้องล่าง
ให้มาเป็นพยานในการตัดสินคนของพระองค์
5 พระเจ้าพูดว่า “ให้รวบรวมคนพวกนั้นที่ผูกมัดตัวเองกับเรา
คนพวกนั้นที่ทำข้อตกลงกับเราผ่านทางสัตวบูชา”
6 แล้วฟ้าสวรรค์ก็ได้ประกาศถึงความยุติธรรมของพระองค์
เพราะพระเจ้ากำลังจะตัดสิน เซลาห์
7 “ประชาชนของเรา ฟังให้ดี แล้วเราจะพูด
อิสราเอล ฟังให้ดี เพราะเราจะเป็นพยานต่อต้านเจ้า
เราคือพระเจ้า พระเจ้าของเจ้า
8 เราจะไม่ติเตียนเจ้าเกี่ยวกับเครื่องบูชาและเครื่องเซ่นไหว้ต่างๆของเจ้า
เพราะเจ้าได้ถวายสิ่งเหล่านี้ให้กับเราเป็นประจำ
9 แต่เราจะไม่รับวัวผู้จากบ้านของเจ้า
และไม่รับแพะจากคอกของเจ้า
10 เพราะสัตว์ป่าทุกตัวเป็นของเรา
รวมทั้งวัวทุกตัวตามเทือกเขานับพันๆลูก
11 เรารู้จักนกทุกตัวบนภูเขาทั้งหลาย
รวมทั้งแมลงทุกตัวที่เคลื่อนไหวอยู่ตามท้องทุ่ง
12 ถ้าเราหิว เราจะไม่บอกเจ้า
เพราะเราเป็นเจ้าของโลกนี้ และทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่บนมัน
13 เราไม่กินเนื้อวัว
และไม่ดื่มเลือดแพะ
14 แต่ให้การขอบพระคุณเป็นเครื่องบูชาที่พวกเจ้าเอามาถวายเรา[b]
และให้แก้บนของเจ้าต่อพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุดด้วย
15 เมื่อเจ้าพบกับความทุกข์ยาก ก็ให้เรียกหาเรา
แล้วเราจะช่วยกู้เจ้า แล้วเจ้าจะได้สรรเสริญเรา”
16 แต่กับคนชั่ว พระเจ้าพูดว่า
“เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาท่องกฎต่างๆของเรา
เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาพูดถึงบัญญัติต่างๆของเรา
17 ในเมื่อเจ้าเกลียดชังการถูกอบรมสั่งสอน
และโยนคำสั่งสอนของเราทิ้งไปข้างหลังเจ้า
18 เจ้าคบกับโจรทุกคนที่เจ้าพบ
และยังมีส่วนร่วมกับคนที่เล่นชู้
19 เจ้าปล่อยให้ปากของเจ้าพูดเรื่องชั่วช้า
และปล่อยให้ลิ้นของเจ้าหลอกลวง
20 เจ้ากล่าวโทษน้องชายของเจ้า
และเจ้าพูดใส่ร้ายพี่น้องท้องเดียวกัน
21 เจ้าทำสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด และเราก็ไม่ได้ว่าอะไร
ดังนั้น เจ้าจึงพลอยคิดว่าเราเป็นเหมือนกับเจ้า
แต่ตอนนี้ เรากำลังวางข้อกล่าวหาเหล่านี้ไว้ต่อหน้าต่อตาเจ้า
และเราจะประณามเจ้าในสิ่งที่เจ้าได้ทำ
22 พวกเจ้าทั้งหลายที่หลงลืมพระเจ้า ให้เข้าใจในสิ่งที่เราพูดไป
ไม่อย่างนั้น เราจะฉีกเนื้อของเจ้าออกเป็นชิ้นๆแล้วจะไม่มีใครสักคนมาช่วยพวกเจ้า
23 คนที่นำการขอบคุณมาถวายเป็นเครื่องบูชา[c] คนๆนั้นก็ให้เกียรติกับเรา
คนที่ใช้ชีวิตอย่างถูกต้อง
เราจะให้เขาเห็นพลังของเราในการช่วยกู้”
ขอปกป้องข้าพเจ้าจาก “ไอ้พวกหมา”
ถึงหัวหน้านักร้อง ให้ร้องโดยใช้ทำนอง “อย่าทำลาย” เพลงมิคทาม[a]ของดาวิด ที่เขียนตอนที่ซาอูลส่งคนไปเฝ้าบ้านของดาวิดเพื่อฆ่าเขา[b]
59 พระเจ้าของข้าพเจ้า โปรดช่วยข้าพเจ้าให้รอดพ้นจากศัตรูของข้าพเจ้าด้วยเถิด
โปรดช่วยปกป้องข้าพเจ้าให้รอดพ้นจากผู้คนที่ลุกขึ้นต่อต้านข้าพเจ้าด้วยเถิด
2 โปรดช่วยชีวิตข้าพเจ้าให้รอดพ้นจากคนชั่วร้าย
โปรดช่วยกู้ข้าพเจ้าจากคนกระหายเลือดเหล่านั้นด้วยเถิด
3 ข้าแต่พระยาห์เวห์ พวกเขาดักซุ่มคอยฆ่าข้าพเจ้า
คนโหดร้ายพวกนั้นด้อมตามคอยตะครุบข้าพเจ้า
ทั้งๆที่ข้าพเจ้าไม่ได้ทำผิดหรือทำบาปอะไรเลย
4 ข้าพเจ้าไม่ได้ทำอะไรผิด แต่พวกเขาก็รีบเร่งมาที่นี่และเตรียมโจมตีข้าพเจ้า
โปรดลุกขึ้นมาช่วยข้าพเจ้าด้วยเถิด ช่วยมาดูว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น
5 ข้าแต่พระยาห์เวห์ พระเจ้าผู้มีฤทธิ์ทั้งสิ้น พระเจ้าของชนชาติอิสราเอล
โปรดลุกขึ้นมาลงโทษชนชาติเหล่านั้น โปรดอย่าได้มีเมตตาต่อคนทรยศที่ชั่วร้ายพวกนั้น เซลาห์
6 พวกเขากลับมาในตอนเย็น ขู่คำรามเหมือนฝูงหมา
และเดินด้อมๆมองๆ หาเหยื่อไปทั่วเมือง
7 ฟังเสียงของพวกเขาดูสิ เห่าออกมาเป็นคำเย้ยหยัน
ริมฝีปากเชือดเฉือนอย่างดาบ
และพวกเขาก็พูดว่า “ไม่มีคนอื่นได้ยินหรอก”
8 ข้าแต่พระยาห์เวห์ ขอพระองค์หัวเราะเยาะพวกเขา
และทำให้พวกเขาทุกคนอับอายด้วยเถิด
9 ข้าแต่พระเจ้า พระองค์เป็นพละกำลังของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะคอยให้พระองค์มาช่วย[c]
เพราะพระองค์เป็นป้อมปราการของข้าพเจ้า
10 พระเจ้าของข้าพเจ้ารักข้าพเจ้าและจะมาช่วยข้าพเจ้า
พระองค์จะให้ข้าพเจ้าเห็นพวกศัตรูของข้าพเจ้าพ่ายแพ้
11 โปรดอย่าฆ่าพวกศัตรูของข้าพเจ้าให้หมดในทีเดียว ไม่อย่างนั้น คนของข้าพเจ้าอาจจะลืมว่าพระองค์เป็นผู้ที่ทำให้พวกเขาชนะ
ข้าแต่องค์เจ้าชีวิต ผู้เป็นโล่ของพวกเรา
โปรดใช้พลังอำนาจของพระองค์ทำให้ศัตรูแตกกระเจิงและล้มลง
12 สิ่งที่เขาพูดทำให้ริมฝีปากเขาเป็นบาป
ขอให้เขาตกลงไปในกับดักแห่งความเย่อหยิ่งจองหอง
คำสาปแช่งและคำโกหกของเขาเอง
13 ทำลายพวกเขาด้วยความโกรธของพระองค์
ทำลายพวกเขาให้หมดเกลี้ยงตลอดไป
แล้วคนทั่วโลกจะได้รู้ว่า
พระเจ้าครอบครองอยู่เหนือชนชาติของยาโคบ เซลาห์
14 พวกเขากลับมาในตอนเย็นขู่คำรามเหมือนฝูงหมา
และเดินด้อมๆมองๆหาเหยื่อไปทั่วเมือง
15 พวกเขาจะเร่ร่อนหาอาหารไปมา
และถ้าพวกเขากินไม่อิ่ม พวกเขาคงจะอยู่ทั้งคืน[d]
16 ข้าพเจ้าจะร้องเพลงถึงพลังของพระองค์
ในตอนเช้าข้าพเจ้าจะชื่นชมยินดีในความรักมั่นคงของพระองค์
เพราะพระองค์เป็นป้อมปราการของข้าพเจ้า
พระองค์เป็นที่กำบังในยามทุกข์ยาก
17 ข้าแต่พระเจ้า พระองค์เป็นพละกำลังของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะร้องเพลงสรรเสริญพระองค์
เพราะพระองค์เป็นป้อมปราการของข้าพเจ้า
และเป็นพระเจ้าที่มีความรักมั่นคงต่อข้าพเจ้า
อธิษฐานขอชัยชนะหลังจากสู้รบแพ้
(สดด. 108:6-13)
ถึงหัวหน้านักร้อง ให้ร้องเพลงโดยใช้ทำนอง “ดอกลิลลี่แห่งสัญญา” เพลงมิคทามของดาวิด สำหรับการสั่งสอน เขียนในช่วงที่ดาวิดต่อสู้กับชาวอารัมนาหะราอิมและชาวอารัมโซบาห์ ตอนขากลับโยอาบได้ฆ่าทหารชาวเอโดมไปหนึ่งหมื่นสองพันคนที่หุบเขาเกลือ[e]
60 ข้าแต่พระเจ้า พระองค์ทอดทิ้งพวกเรา
และทลายกำแพงของพวกเรา
พระองค์โกรธพวกเรา
โปรดนำพวกเรากลับไปสู่สภาพเดิมด้วยเถิด
2 พระองค์ทำให้แผ่นดินไหวและแยกแผ่นดินออก
โปรดซ่อมรอยร้าวด้วยเถิดเพราะมันกำลังจะพังทลาย
3 พระองค์ทำให้คนของพระองค์เดือดร้อนจนล้มโซเซไป
เหมือนกับพระองค์มอมเหล้าองุ่นเราจนโซซัดโซเซไป
4 พระองค์ยกธงให้กับคนที่เกรงกลัวพระองค์เห็น
เพื่อพวกเขาจะได้หนีคมธนูที่วิ่งเข้าไปหา เซลาห์
5 ช่วยตอบข้าพเจ้าด้วยและใช้มือขวาอันทรงพลังของพระองค์
ช่วยพวกเราให้รอดด้วยเถิดเพื่อคนที่พระองค์รักจะหนีไปได้
6 ในวิหารของพระองค์ พระเจ้าพูดว่า
“เราจะชนะและเราจะวัดและจัดสรรปันส่วนเมืองเชเคม
และหุบเขาสุคคทให้กับคนของเรา
7 ดินแดนกิเลอาดเป็นของเรา ดินแดนมนัสเสห์เป็นของเรา
เผ่าเอฟราอิมเป็นหมวกเหล็กของเรา
ส่วนเผ่ายูดาห์ เป็นคทา[f] ของเรา
8 ชนชาติโมอับเป็นอ่างล้างของเรา
เราโยนรองเท้าของเราให้ชนชาติเอโดมที่เป็นทาสของเรา
เราโห่ร้องอย่างผู้มีชัยเหนือดินแดนฟิลิสเตีย”
9 ใครเล่าจะนำข้าพเจ้าไปยึดเมืองที่มีกำแพงแน่นหนานั้น
ใครเล่าจะนำข้าพเจ้าไปไกลถึงดินแดนเอโดม
10 เพราะพระองค์ทอดทิ้งพวกเราแล้ว ไม่ใช่หรือ
ข้าแต่พระเจ้า พระองค์ไม่ไปร่วมทัพกับพวกเราแล้ว
11 ข้าแต่พระเจ้า ช่วยเหลือพวกเราต่อสู้กับศัตรูด้วยเถิด
เพราะความช่วยเหลือจากมนุษย์ ไม่มีประโยชน์
12 ต้องเป็นความช่วยเหลือจากพระเจ้าเท่านั้นพวกเราถึงจะชนะ
พระองค์จะเหยียบย่ำศัตรูของพวกเรา
ขอบคุณพระยาห์เวห์สำหรับชัยชนะ
118 ให้ขอบคุณพระยาห์เวห์ เพราะพระองค์ดี
ความรักมั่นคงของพระองค์จะคงอยู่ตลอดไป
2 ให้ชนชาติอิสราเอล พูดว่า
“ความรักมั่นคงของพระองค์จะคงอยู่ตลอดไป”
3 ให้ครอบครัวของอาโรน พูดว่า
“ความรักมั่นคงของพระองค์จะคงอยู่ตลอดไป”
4 ให้พวกผู้ที่ยำเกรงพระยาห์เวห์ พูดว่า
“ความรักมั่นคงของพระองค์จะคงอยู่ตลอดไป”
5 ตอนที่ข้าพเจ้าจนตรอก ข้าพเจ้าร้องเรียกพระยาห์เวห์
แล้วพระองค์ตอบและช่วยให้ข้าพเจ้าหลุดพ้นออกมา
6 พระยาห์เวห์อยู่ฝ่ายข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจึงไม่หวาดกลัว
มนุษย์จะทำอะไรข้าพเจ้าได้
7 พระยาห์เวห์อยู่ฝ่ายข้าพเจ้า เป็นผู้ช่วยเหลือข้าพเจ้า
และข้าพเจ้าจะเห็นคนที่เกลียดชังข้าพเจ้าพ่ายแพ้
8 ลี้ภัยในพระยาห์เวห์
ย่อมดีกว่าพึ่งพาในมนุษย์
9 ลี้ภัยในพระยาห์เวห์
ย่อมดีกว่าพึ่งพาในพวกผู้นำที่ยิ่งใหญ่
10 ชนชาติทั้งหมดเคยล้อมข้าพเจ้าไว้
แต่ด้วยฤทธิ์อำนาจของพระยาห์เวห์ ข้าพเจ้าได้ขับไล่พวกมันไปหมด
11 ถูกแล้ว พวกนั้นเคยล้อมข้าพเจ้าไว้ทุกด้าน
แต่ด้วยฤทธิ์อำนาจของพระยาห์เวห์ ข้าพเจ้าขับไล่พวกมันไปหมด
12 พวกศัตรูล้อมรอบข้าพเจ้าไว้เหมือนกับฝูงผึ้ง
แต่แล้ว พวกมันก็มอดดับไปอย่างรวดเร็วเหมือนกับไฟไหม้พงหนาม
ด้วยฤทธิ์อำนาจของพระยาห์เวห์ข้าพเจ้าขับไล่พวกมันไปหมด
13 พวกมันพยายามอย่างหนักที่จะทำลายข้าพเจ้า
แต่พระยาห์เวห์ช่วยข้าพเจ้าไว้
14 พระองค์เป็นพละกำลังและเป็นที่คุ้มภัยของข้าพเจ้า
พระองค์มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของข้าพเจ้า
15 เสียงโห่ร้องชื่นชมยินดีและเสียงเพลงแห่งชัยชนะดังอยู่ในเต็นท์ของพวกผู้ที่ทำตามใจพระเจ้า
มือขวาของพระยาห์เวห์ทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่เกรียงไกร
16 มือขวาของพระยาห์เวห์นำชัยชนะมาให้
มือขวาของพระยาห์เวห์ทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่เกรียงไกร
17 ข้าพเจ้าจะไม่ตายแต่จะอยู่ต่อไป
แล้วข้าพเจ้าจะเล่าถึงสิ่งต่างๆที่พระยาห์เวห์ทำ
18 พระยาห์เวห์ลงโทษข้าพเจ้าอย่างหนัก
แต่ไม่ถึงตาย
19 เปิดประตูสำหรับผู้ที่ทำตามใจพระเจ้า[a] ให้กับข้าพเจ้าด้วย
เพื่อข้าพเจ้าจะได้เข้าไปและขอบคุณพระยาห์เวห์
20 นี่คือประตูของพระยาห์เวห์
เฉพาะพวกคนที่ทำตามใจพระเจ้าเท่านั้นถึงจะผ่านเข้าไปได้
21 ข้าแต่พระยาห์เวห์ข้าพเจ้าขอบคุณพระองค์
เพราะพระองค์ตอบข้าพเจ้าและช่วยกู้ข้าพเจ้า
22 ก้อนหินที่พวกผู้ก่อสร้างโยนทิ้งไป
ตอนนี้กลายเป็นหินหัวมุมไปเสียแล้ว
23 พระยาห์เวห์ทำให้มันเป็นอย่างนั้น
และเป็นเรื่องน่าทึ่งในสายตาเรา
24 พระยาห์เวห์ได้ทำให้วันนี้เกิดขึ้น
ให้พวกเราชื่นชมยินดีและมีความสุขในวันนี้เถิด
25 ข้าแต่พระยาห์เวห์ โปรดช่วยเราให้รอดด้วย
ข้าแต่พระยาห์เวห์ โปรดให้เราประสบความสำเร็จด้วยเถิด
26 ขอให้คนที่มาในนามของพระยาห์เวห์ ได้รับการอวยพร
พวกเราอวยพรให้กับพวกท่านจากวิหารของพระยาห์เวห์
27 พระยาห์เวห์คือพระเจ้า พระองค์ได้ส่องใบหน้าของพระองค์ลงมาบนพวกเรา
ดังนั้น ให้มัดลูกแกะที่เป็นเครื่องบูชาและนำมาถวายที่แท่น
28 พระองค์คือพระเจ้าของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะขอบคุณพระองค์
ข้าแต่พระเจ้าของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะยกย่องเชิดชูพระองค์
29 ให้ขอบคุณพระยาห์เวห์ เพราะพระองค์ดี
ความรักมั่นคงของพระองค์จะคงอยู่ตลอดไป
13 ฟ้าสวรรค์เอ๋ย ร้องเพลงเถิด แผ่นดินโลกเอ๋ย ชื่นชมยินดีเถิด
ภูเขาทั้งหลายเอ๋ย ระเบิดเป็นเสียงเพลงแห่งความชื่นชมยินดีเถิด
เพราะพระยาห์เวห์ได้ปลอบโยนคนของพระองค์
และพระองค์จะให้ความรักกับคนของพระองค์ที่ทุกข์ยากลำบาก
14 แต่ศิโยน ได้พูดว่า
“พระยาห์เวห์ทอดทิ้งฉัน องค์เจ้าชีวิตลืมฉัน”
15 พระยาห์เวห์พูดว่า “ผู้หญิงที่ให้นมลูก จะลืมลูกของเธอได้หรือ
หรือ ผู้หญิงที่คลอดลูกออกมาจะไม่ให้ความรักต่อลูกของเธอ ได้หรือ
ถึงแม้ว่าพวกเขาอาจจะลืมได้
แต่เราจะไม่มีวันลืมเจ้า
16 ดูสิ เยรูซาเล็ม เราวาดเมืองของเจ้าลงบนฝ่ามือของเรา
กำแพงของเจ้าอยู่ต่อหน้าต่อตาเราเสมอ
17 ลูกๆของเจ้ากำลังรีบกลับมาหาเจ้า
และคนพวกนั้นที่พังทลายเจ้าและทำลายเจ้าก็จะจากเจ้าไป
18 ลืมตาขึ้นมามองไปรอบๆ
พวกลูกหลานของเจ้ากำลังรวมตัวกันกลับมาหาเจ้า”
พระยาห์เวห์พูดว่า “เจ้ารู้ว่าเรามีชีวิตอยู่แน่ ก็ให้แน่ใจขนาดนั้นเลยว่า
เจ้าจะได้สวมใส่ลูกหลานของเจ้าเหมือนเครื่องเพชร
หรือเหมือนกับเจ้าสาวที่สวมใส่เครื่องเพชร
19 เราได้ทำลายเจ้าและทำให้เจ้ากลายเป็นซากปรักหักพัง และรื้อเจ้าลงกับพื้น
แต่ต่อไปนี้แผ่นดินของเจ้าก็จะแคบเกินไปแล้วสำหรับประชาชนมากมายของเจ้า
และคนพวกนั้นที่เคยกลืนกินเจ้าก็อยู่ห่างไกล
20 และลูกๆของเจ้าที่เจ้าคิดว่าสูญเสียไปแล้ว
วันหนึ่งพวกเขาจะกลับมาพูดใส่หูเจ้าว่า
‘ที่นี่แคบเกินไปสำหรับเราแล้ว
หาที่ใหม่ให้พวกเราอยู่กันหน่อย’
21 แล้วเจ้าก็จะพูดกับตัวเองว่า
‘ใครกันนะที่คลอดเด็กพวกนี้มาให้กับข้า
ข้าได้สูญเสียลูกของข้าไป และข้าเป็นหมัน
ข้าถูกขับไล่ออกจากแผ่นดินของข้า
ข้าถูกสามีทิ้ง
อย่างนั้น ใครได้เลี้ยงเด็กๆพวกนี้ขึ้นมา
ข้าถูกทิ้งไว้ตัวคนเดียว
แล้วนี่ เด็กๆพวกนี้มาจากไหนกัน’”
22 นี่คือสิ่งที่พระยาห์เวห์ องค์เจ้าชีวิตพูด “เราจะยกมือของเราขึ้นเป็นสัญญาณให้กับชนชาติต่างๆ
เราจะยกธงของเราขึ้นให้คนเห็น
และพวกเขาก็จะอุ้มพวกลูกชายของเจ้ามาในอ้อมอกของเขา
และพวกเขาก็จะแบกพวกลูกสาวของเจ้าไว้บนบ่า
23 พวกกษัตริย์จะสอนพวกลูกๆของเจ้า
พวกราชินีของพวกเขาก็จะดูแลลูกๆของเจ้า
พวกเขาจะก้มหน้ากราบลงถึงพื้นต่อหน้าเจ้า
และพวกเขาก็จะเลียฝุ่นที่เท้าของเจ้า
แล้วเจ้าก็จะได้รู้ว่าเราคือยาห์เวห์
คนพวกนั้นที่ไว้วางใจในเราจะไม่มีวันผิดหวัง”
พระพรของพระเจ้าเกิดจากความไว้วางใจ
3 ชาวกาลาเทีย ทำไมถึงโง่อย่างนี้ มีใครมาร่ายมนตร์สะกดคุณหรืออย่างไร ผมได้อธิบายจนคุณเห็นภาพเรื่องที่พระเยซูคริสต์ถูกตรึงบนไม้กางเขนนั้นอย่างชัดเจนแล้ว 2 ผมขอถามสักคำว่า คุณได้รับพระวิญญาณ เพราะทำตามกฎ หรือเพราะเชื่อฟังข่าวดีกันแน่ 3 ทำไมคุณถึงโง่อย่างนี้ คุณได้เริ่มต้นชีวิตในพระคริสต์ด้วยพระวิญญาณ แล้วตอนนี้คุณคิดว่าคุณจะทำให้มันสำเร็จด้วยพลังอำนาจของคุณเองอย่างนั้นหรือ 4 ประสบการณ์มากมายที่คุณเจอมา ไม่มีความหมายอะไรเลยหรือ 5 ผมหวังว่ามันจะมีความหมายบ้าง ขอถามหน่อยว่า ที่พระเจ้าให้พระวิญญาณกับคุณและแสดงปาฏิหาริย์ท่ามกลางพวกคุณ เป็นเพราะคุณทำตามกฎหรือเป็นเพราะคุณเชื่อฟังข่าวดีที่ได้ยินกันแน่
6 ดูอย่างอับราฮัมสิ เขาไว้วางใจในพระเจ้า(A) และเพราะความไว้วางใจของเขานั่นเอง พระเจ้าถึงยอมรับเขา 7 ขอให้รู้เอาไว้ว่า คนที่ไว้วางใจในพระเจ้า ก็ถือว่าเป็นลูกหลานที่แท้จริงของอับราฮัม 8 พระคัมภีร์รู้ล่วงหน้านานมาแล้วว่า พระเจ้าจะยอมรับคนที่ไม่ใช่ยิวเพราะพวกเขาจะไว้วางใจในพระองค์ และพระเจ้าได้ประกาศข่าวดีนี้กับอับราฮัมก่อนล่วงหน้าแล้วว่า “ทุกชนชาติจะได้รับพระพรเพราะอับราฮัม”(B) 9 ดังนั้นคนที่ไว้วางใจในพระเจ้า จะได้รับพระพรด้วยกันกับอับราฮัมที่ไว้วางใจในพระองค์ 10 แต่คนที่พึ่งการทำตามกฎจะตกอยู่ภายใต้คำสาปแช่ง เพราะพระคัมภีร์เขียนไว้ว่า “คนที่ไม่ทำตามกฎทุกข้อที่เขียนไว้ตลอดเวลา ก็จะตกอยู่ภายใต้คำสาปแช่ง”(C) 11 แต่เราก็รู้อยู่แล้วว่า ไม่มีใครเป็นที่ยอมรับของพระเจ้าได้เพราะทำตามกฎ เพราะพระคัมภีร์บอกว่า “คนที่พระเจ้ายอมรับนั้น จะต้องมีชีวิตอยู่โดยความไว้วางใจ”(D) 12 กฎไม่ได้ขึ้นอยู่กับความไว้วางใจ เพราะพระคัมภีร์พูดว่า “คนที่ทำตามกฎ ก็จะได้ชีวิตตามกฎนั้น”[a] 13 พระคริสต์ได้ช่วยพวกเราให้เป็นอิสระจากคำสาปแช่งของกฎโดยยอมถูกสาปแช่งเสียเอง เหมือนกับที่พระคัมภีร์เขียนไว้ว่า “ทุกคนที่ถูกแขวนอยู่บนต้นไม้[b] คือคนที่ถูกสาปแช่ง”(E) 14 พระคริสต์ทำอย่างนี้เพื่อว่าคนที่ไม่ใช่ยิวจะได้รับพระพรตามที่พระเจ้าได้สัญญาไว้กับอับราฮัม โดยผ่านทางพระเยซูคริสต์ และเพื่อว่าพวกเราทุกคนจะได้รับพระวิญญาณตามที่พระเจ้าสัญญาไว้นั้นโดยความไว้วางใจ
พระเยซูเลี้ยงคนห้าพันคน
(มธ. 14:13-21; ลก. 9:10-17; ยน. 6:1-14)
30 พวกศิษย์ที่พระเยซูส่งออกไป ได้กลับมาหาพระองค์ และเล่าเรื่องทุกอย่างที่ได้ทำและสอนให้พระองค์ฟัง แล้วพระเยซูบอกพวกเขาว่า 31 “พวกเราไปหาที่เงียบๆพักผ่อนกันเถอะ” เพราะมีผู้คนเป็นจำนวนมากมาหาพระองค์ จนไม่มีเวลาแม้แต่จะกินอาหารกัน
32 พวกเขาจึงลงเรือไปยังที่เปลี่ยวเพื่ออยู่กันเฉพาะพวกเขา 33 แต่ก็มีคนจำนวนมากเห็นพวกเขาจากไปและจำเขาได้ จึงมีคนมากมายจากหมู่บ้านต่างๆรีบเดินตามไปที่นั่น และไปถึงก่อนพวกเขา 34 เมื่อพระองค์มาถึงฝั่งก็เห็นฝูงชนเป็นจำนวนมากรออยู่ก่อนแล้ว พระองค์รู้สึกสงสาร เพราะพวกเขาเหมือนฝูงแกะที่ไม่มีผู้เลี้ยง พระองค์จึงเริ่มสั่งสอนพวกเขาหลายเรื่อง
35 เมื่อมันเริ่มเย็นมาก พวกศิษย์มาบอกพระองค์ว่า “ที่นี่เปลี่ยวมาก และนี่ก็เย็นมากแล้ว 36 ส่งพวกนี้กลับไปเถอะ พวกเขาจะได้เข้าไปตามชนบท ตามหมู่บ้านแถวๆนี้ และไปหาซื้ออะไรกินกัน”
37 แต่พระองค์กลับตอบว่า “พวกคุณหาอะไรให้พวกเขากินสิ” พวกเขาก็ตอบว่า “พวกเราต้องใช้ถึงสองร้อยเหรียญเงินทีเดียวนะครับ ถึงจะพอซื้ออาหารมาเลี้ยงคนพวกนี้”
38 พระเยซูพูดกับพวกเขาว่า “ไปดูสิว่าคุณมีขนมปังอยู่กี่ก้อน” เมื่อพวกเขารู้ก็กลับมาบอกว่า “มีขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัวครับ”
39 พระองค์จึงสั่งให้พวกเขาไปจัดการให้ชาวบ้านนั่งกันเป็นกลุ่มๆบนพื้นที่มีหญ้าขึ้นเขียวชอุ่มแถวนั้น 40 พวกชาวบ้านนั่งกันเป็นกลุ่มๆ กลุ่มละหนึ่งร้อยบ้าง ห้าสิบบ้าง 41 แล้วพระองค์หยิบขนมปังห้าก้อนและปลาสองตัวขึ้นมา มองขึ้นไปบนสวรรค์ขอบคุณพระเจ้า แล้วหักขนมปังส่งให้กับพวกศิษย์ไปแจกชาวบ้าน และพระองค์แบ่งปลาสองตัวนั้นแจกพวกเขาทุกคนด้วย 42 ทุกคนกินกันจนอิ่ม 43 แล้วพวกศิษย์เก็บเศษขนมปังและปลาที่เหลือได้สิบสองเข่งเต็มๆ 44 นับเฉพาะผู้ชายที่มากินได้ถึงห้าพันคน
พระเยซูเดินบนทะเล
(มธ. 14:22-33; ยน. 6:16-21)
45 ทันทีหลังจากที่กินเสร็จ พระองค์ให้พวกศิษย์ลงเรือข้ามฟากไปก่อนล่วงหน้า ไปยังเมืองเบธไซดา ส่วนพระองค์ยังรอส่งชาวบ้านอยู่ 46 หลังจากชาวบ้านกลับหมดแล้วพระองค์ขึ้นไปอธิษฐานที่บนภูเขา
พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย ภาคคำสัญญาใหม่ © 2015 Bible League International