Book of Common Prayer
คำอธิษฐานของคนป่วย
ถึงหัวหน้านักร้อง เพลงสดุดีของดาวิด
41 คนที่เอาใจใส่คนยากจน ถือว่ามีเกียรติจริงๆ
เมื่อคนนั้นตกทุกข์ได้ยาก พระยาห์เวห์จะช่วยเหลือเขา
2 พระยาห์เวห์จะปกป้องเขาและช่วยรักษาชีวิตเขาไว้
เขาจะได้รับพระพรในแผ่นดินนี้
และพระองค์จะไม่มอบเขาไปให้พวกศัตรูของเขาทำตามใจชอบ
3 เมื่อเขานอนป่วยอยู่บนเตียง พระยาห์เวห์จะทำให้เขาแข็งแรง
เมื่อเขาป่วย พระองค์ก็รักษาให้เขาหายเหมือนเดิม
4 ข้าพเจ้าพูดว่า “ข้าแต่พระยาห์เวห์ ข้าพเจ้าได้ทำบาปต่อพระองค์
แต่โปรดเมตตาข้าพเจ้าและรักษาข้าพเจ้าด้วยเถิด”
5 แต่พวกศัตรูพากันพูดเรื่องร้ายๆเกี่ยวกับข้าพเจ้าว่า
“เมื่อไหร่มันจะตายสักที จะได้ถูกลืมไปซะ”
6 และถ้ามีใครมาเยี่ยมเยียนข้าพเจ้า
พวกเขาแกล้งพูดอย่างเป็นห่วงเป็นใย
แต่อันที่จริงมาเพื่อเก็บรวบรวมข่าวร้ายเกี่ยวกับข้าพเจ้า
เพื่อออกไปกระจายข่าวลือนั้น
7 ทุกคนที่เกลียดข้าพเจ้าซุบซิบกัน
คาดหวังว่าข้าพเจ้าจะต้องแย่แน่ๆ
8 พวกเขาพูดว่า
“เขาถูกโรคร้ายซัดเข้า ไม่มีทางลุกขึ้นมาจากเตียงนั้นได้แน่”
9 ขนาดเพื่อนสนิท ที่ข้าพเจ้าเคยไว้วางใจ
คนที่เคยกินอยู่กับข้าพเจ้า ยังหักหลังข้าพเจ้าเลย[a]
10 ข้าแต่พระยาห์เวห์ ขอโปรดเมตตาด้วยเถิด
ช่วยข้าพเจ้าให้ลุกขึ้น เพื่อกลับไปแก้แค้นคนพวกนั้น
11 แล้วข้าพเจ้าจะได้รู้ว่าพระองค์พอใจข้าพเจ้า
เพราะศัตรูไม่ได้โห่ร้องมีชัยเหนือข้าพเจ้า
12 พระองค์พยุงข้าพเจ้าไว้ เพราะข้าพเจ้าบริสุทธิ์
และตั้งข้าพเจ้าให้อยู่ต่อหน้าพระองค์ตลอดไป
13 สรรเสริญพระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอล
ผู้ที่ดำรงอยู่มาตั้งแต่ในอดีตกาลและจะดำรงอยู่ตลอดไปชั่วนิรันดร์
อาเมน และ อาเมน
ที่ลี้ภัยที่เป็นภัย
ถึงหัวหน้านักร้อง บทกวีแห่งมัสคิล[a] ของกษัตริย์ดาวิด จากตอนที่โดเอก คนเอโดมไปบอกกับกษัตริย์ซาอูลว่า “ดาวิดได้เข้าไปในบ้านของอาคีเมเลค”
52 เฮ้ย เจ้านักเลงโต ทำไมเจ้าถึงได้โอ้อวดถึงเรื่องชั่วๆที่เจ้าทำ
ในขณะที่พระเจ้าแสดงความรักมั่นคงของพระองค์ตลอดเวลา
2 ไอ้จอมลวงโลก เจ้าชอบวางแผนทำลายล้างผู้อื่น
ลิ้นของเจ้าอันตรายเหมือนมีดโกนที่คมกริบ
3 เจ้ารักความชั่วมากกว่าความดี
และพูดโกหกมากกว่าพูดความจริง เซลาห์
4 ตัวเจ้าและลิ้นอันปลิ้นปล้อนของเจ้า
รักที่จะทำร้ายผู้อื่น
5 ดังนั้นพระเจ้าจะรื้อเจ้าลงตลอดกาล
พระองค์จะคว้าและกระชากตัวเจ้าออกไปจากเต็นท์ของเจ้า
พระองค์จะถอนรากถอนโคนเจ้าให้พ้นจากแผ่นดินของคนเป็น เซลาห์
6 คนดีจะเห็นสิ่งนี้และตลึงงัน
และจะหัวเราะเยาะคนชั่ว แล้วพูดว่า
7 “ดูคนที่แข็งแรงนั่นสิ เขาไม่ได้เอาพระเจ้าเป็นที่ลี้ภัย
แต่กลับพึ่งความร่ำรวยของตน
เขาพยายามทำให้ตัวเองเข้มแข็งขึ้น ด้วยการทำลายล้างผู้อื่น”
8 แต่ข้าพเจ้าเปรียบเหมือนต้นมะกอกสีเขียวที่เจริญเติบโตอยู่ในลานในวิหารของพระเจ้า
ข้าพเจ้าจะพึ่งพิงความรักมั่นคงของพระเจ้าตลอดไป
9 ต่อหน้าผู้ที่จงรักภักดีต่อพระองค์ ข้าพเจ้าจะสรรเสริญพระองค์ตลอดกาล
สำหรับสิ่งที่พระองค์ทำ
และข้าพเจ้าจะฝากความหวังของข้าพเจ้า
ไว้ในชื่อของพระองค์ เพราะพระองค์นั้นดี
อธิษฐานให้พระเจ้าปกป้องชาติ
ถึงหัวหน้านักร้อง บทกวีแห่งมัสคิล[a] สำหรับคนของตระกูลโคราห์
44 ข้าแต่พระเจ้า พวกเราได้ยินกับหูของพวกเราเอง
ถึงเรื่องราวต่างๆที่บรรพบุรุษเล่าให้พวกเราฟัง
พวกเขาเล่าถึงสิ่งต่างๆที่พระองค์ทำในชั่วชีวิตของเขา
ในสมัยก่อนโน้น
2 พวกเขาเล่าให้ฟังว่า ด้วยมือของพระองค์ พระองค์ขับไล่ชนชาติต่างๆออกไป
และปลูกฝังบรรพบุรุษของเราแทน
พระองค์ทำลายชนชาติเหล่านั้น
และปล่อยให้บรรพบุรุษของพวกเราเป็นอิสระ
3 พวกเขาเล่าว่าไม่ใช่ดาบหรือแขนอันแข็งแกร่งของพวกเขาหรอกนะ
ที่ทำให้พวกเขาชนะและได้แผ่นดินมา
แต่เป็นมือขวาและแขนของพระองค์
และรัศมีจากใบหน้าของพระองค์ต่างหาก
เพราะพระองค์พอใจในพวกเขา
4 ข้าแต่พระเจ้า พระองค์เป็นกษัตริย์ของข้าพเจ้า
ขอพระองค์ออกคำสั่งที่จะทำให้ยาโคบชนะ
5 เราสามารถผลักดันคนเหล่านั้นให้ถอยล่นไปโดยพึ่งในพระองค์
เราเหยียบย่ำคนเหล่านั้นที่ลุกฮือขึ้นต่อต้านเราโดยพึ่งชื่อของพระองค์
6 ข้าพเจ้าไม่ได้ฝากความไว้วางใจไว้กับธนูของข้าพเจ้า
และมันก็ไม่ใช่ดาบของข้าพเจ้าที่นำชัยชนะมาให้กับข้าพเจ้า
7 ข้าแต่พระองค์ พระองค์ทำให้เรามีชัย
พระองค์ทำให้คนพวกนั้นที่เกลียดพวกเราอับอายขายหน้า
8 ข้าแต่พระเจ้า พวกเราถวายเกียรติแด่พระองค์วันยังค่ำ
และเราสรรเสริญชื่อของพระองค์อย่างไม่หยุดหย่อน เซลาห์
9 แต่พระองค์ได้ทอดทิ้งพวกเราทำให้พวกเราอับอาย
และไม่ยอมออกไปสนามรบด้วยกันกับพวกเรา
10 พระองค์ทำให้เราต้องถอยหนีจากศัตรู
พระองค์ทำให้คนเหล่านั้นที่เกลียดเราปล้นสะดมของเราไป
11 พระองค์ปล่อยให้พวกเราเป็นเหมือนแกะที่จะถูกนำไปฆ่า
พระองค์ทำให้พวกเรากระจัดกระจายไปอยู่ท่ามกลางชนชาติอื่นๆ
12 พระองค์ขายประชาชนของพระองค์ให้ไปเป็นทาส
ขายไปถูกๆอย่างกับให้เปล่า พระองค์ไม่ต่อรองราคาเสียด้วยซ้ำ
13 พวกเพื่อนบ้านของพวกเรา เห็นสิ่งที่พระองค์ทำ
แล้วตอนนี้ พวกเขาพากันเยาะเย้ยและหัวเราะเยาะพวกเรา
14 พระองค์ทำให้พวกเรากลายเป็นตัวตลกในท่ามกลางประเทศเพื่อนบ้านของเรา
พวกเขาพากันหัวเราะเยาะและส่ายหัวใส่เรา
15 ข้าพเจ้ารู้สึกอับอายทั้งวัน
ความอัปยศอดสูคลุมหน้าของข้าพเจ้าไว้
16 ข้าพเจ้าซ่อนอยู่ในความอับอาย เพราะเสียงเยาะเย้ย
และคำดูหมิ่นของพวกศัตรู ที่เฝ้ารอคอยแก้แค้นข้าพเจ้า
17 ข้าแต่พระเจ้า สิ่งทั้งหมดนี้เกิดขึ้นกับพวกเรา
ทั้งๆที่พวกเราไม่ได้ลืมพระองค์หรือทำผิดต่อสัญญาของพระองค์
18 จิตใจของพวกเราไม่ได้หันไปจากพระองค์
และย่างเท้าของเราไม่ได้หันเหไปจากทางของพระองค์
19 แต่พระองค์กลับบดขยี้เราในถิ่นของฝูงหมาป่า
และปกคลุมเราด้วยความมืดมิด
20 ถ้าพวกเราลืมชื่อพระเจ้าของพวกเรา
แล้วยกมือขึ้นอธิษฐานต่อพระอื่น
21 พระเจ้าจะไม่รู้เชียวหรือ
เพราะพระองค์หยั่งรู้ถึงความลับในจิตใจ
22 แต่เพราะเราเป็นของพระองค์ พวกเราถูกฆ่าไม่หยุด
และเพราะเราเป็นของพระองค์ คนมองว่าเราเป็นเหมือนแกะที่จะถูกนำไปฆ่า
23 ตื่นเถิด องค์เจ้าชีวิต พระองค์นอนหลับอยู่ได้ยังไง
ลุกขึ้นเถิด อย่าได้ละทิ้งพวกเราตลอดไป
24 ทำไมพระองค์ถึงได้เมินหน้าไปจากเรา
ทำไมพระองค์ถึงได้เมินเฉยต่อความทุกข์และการกดขี่ข่มเหงที่พวกเราได้รับ
25 พวกเราจมดินแล้ว
ท้องแนบไปกับพื้นแล้ว
26 ช่วยลุกขึ้นและรีบมาช่วยเหลือพวกเรา
ช่วยกู้พวกเราด้วยเถิดเพื่อแสดงความรักที่มั่นคงของพระองค์
พระเจ้าปกครองโลกของพระองค์
48 พระยาห์เวห์พูดว่า “ฟังสิ่งนี้ให้ดีครอบครัวของยาโคบ ผู้ที่มีชื่อเรียกว่าอิสราเอล
ผู้สืบเชื้อสายมาจากยูดาห์
เจ้าอ้างชื่อของพระยาห์เวห์ในการสาบาน
เจ้าสรรเสริญพระเจ้าของอิสราเอล
แต่เจ้าไม่ได้ทำด้วยความซื่อสัตย์และความจริงใจ
2 พวกเจ้าเรียกตัวเองว่าประชากรของเมืองศักดิ์สิทธิ์
ที่เชื่อพึ่งในพระเจ้าของอิสราเอล
ที่มีชื่อเรียกว่าพระยาห์เวห์ผู้มีฤทธิ์ทั้งสิ้น
3 พระยาห์เวห์พูดว่า เราได้ทำนายนานมาแล้วถึงสิ่งที่ได้เกิดขึ้นนี้
สิ่งเหล่านั้นได้ออกมาจากปากของเรา
เราได้ทำให้พวกมันเป็นที่รู้กันไปทั่ว
แล้วจู่ๆ เราก็ลงมือทำ แล้วมันก็เกิดขึ้น
4 เพราะเรารู้ว่าเจ้านั้นดื้อดึง
คอเจ้าเหมือนเอ็นเหล็กจูงยาก
หัวแข็งเหมือนกับทองเหลือง
5 เราได้ประกาศให้เจ้ารู้นานมาแล้ว
ก่อนที่สิ่งเหล่านั้นจะเกิด เราก็ได้บอกเจ้าแล้ว
เพื่อเจ้าจะไม่สามารถพูดได้ว่า ‘รูปเคารพของฉันทำสิ่งเหล่านั้น
รูปแกะสลักไม้และรูปหล่อของฉันได้สั่งให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น’”
6 เจ้าเคยได้ยินคำทำนายของเราแล้ว
ดูสิ่งทั้งหมดที่เกิดขึ้นสิ
แล้วพวกเจ้าจะยอมรับว่าสิ่งที่เราได้ทำนายนั้นเกิดขึ้นจริงหรือไม่
ต่อจากนี้ไป เราจะบอกเจ้าเกี่ยวกับสิ่งใหม่ๆที่แอบซ่อนอยู่ ที่เจ้ายังไม่รู้
7 พวกมันเพิ่งถูกสร้างขึ้นมาเดี๋ยวนี้เอง ไม่ใช่นานมาแล้ว
ก่อนหน้านี้เจ้ายังไม่เคยได้ยินเรื่องนี้
ดังนั้น เจ้าไม่สามารถพูดได้ว่า
“เออ เรารู้แล้ว”
8 เจ้าไม่เคยได้ยินหรือรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้
หูของเจ้าไม่ได้เปิดตั้งนานมาแล้ว
เพราะเรารู้ว่าเจ้านั้นชอบหักหลัง
และเรารู้ว่าตั้งแต่เกิดแล้ว เจ้าได้ชื่อว่า “ไอ้กบฏ”
9 เพราะเราไม่อยากเสียชื่อของเรา เราจึงได้ยับยั้งความโกรธของเราไว้
เพื่อให้คนสรรเสริญเรา
เราจึงได้ระงับมันไว้เพื่อเจ้าและไม่ได้ทำลายเจ้า
10 เราได้หลอมเจ้าแล้ว แต่ไม่ได้หลอมด้วยไฟอย่างเงิน
แต่เราได้ทดสอบเจ้าด้วยเตาหลอมแห่งความทุกข์ยาก
11 เพื่อเกียรติของเรา เพื่อเกียรติของเราเอง เราจะจัดการแล้ว
เราจะปล่อยให้ชื่อเสียงของเราเสื่อมเสียได้ยังไง
เราจะไม่ยอมมอบเกียรติที่เราสมควรจะได้รับให้กับผู้อื่น
1 จากเปาโล ผมได้เป็นศิษย์เอก ไม่ใช่เพราะมนุษย์คนไหนหรือกลุ่มหนึ่งกลุ่มใดแต่งตั้ง แต่เป็นพระเยซูคริสต์ และพระเจ้าพระบิดาผู้ทำให้พระเยซูฟื้นขึ้นจากความตาย เป็นผู้แต่งตั้งผมเอง
2 และ จากพี่น้องที่อยู่กับผมที่นี่ด้วย
ถึงหมู่ประชุมต่างๆของพระเจ้าที่แคว้นกาลาเทีย[a]
3 ขอให้พระเจ้าพระบิดาของเรา และพระเยซูคริสต์เจ้า ให้ความเมตตากรุณาและสันติสุขกับพวกคุณ 4 พระเยซูได้สละพระองค์เองเป็นเครื่องบูชาสำหรับบาปของเรา เพื่อช่วยเราให้รอดพ้นจากยุคอันชั่วร้ายนี้ ทั้งหมดนี้เป็นไปตามความต้องการของพระเจ้าพระบิดาของเรา 5 ขอให้พระเจ้าได้รับเกียรติตลอดไป อาเมน
ข่าวดีที่แท้จริง
6 ผมงงมากเลย ที่ยังไม่ทันไรพวกคุณก็ทิ้งพระเจ้าผู้ที่ได้เรียกคุณมาด้วยความเมตตากรุณาของพระคริสต์ แล้วหันไปติดตามข่าวดีอันอื่นเสียแล้ว[b] 7 ซึ่งจริงๆแล้วไม่ใช่ข่าวดีเลย แต่มีบางคนทำให้คุณสับสน และพยายามบิดเบือนเรื่องข่าวดีของพระคริสต์ 8 ถ้าใครมาประกาศข่าวดีอื่นๆที่แตกต่างไปจากที่เราเคยประกาศให้กับพวกคุณไว้แล้วนั้น ไม่ว่าจะเป็นพวกเราเอง หรือทูตสวรรค์ หรือใครก็ตาม ก็ขอให้คนนั้นถูกสาปแช่งให้ตกนรกตลอดไป 9 ผมขอย้ำอีกครั้งหนึ่งเหมือนกับที่เคยพูดไปแล้วว่าใครก็ตามที่มาประกาศข่าวดีที่ขัดกับข่าวดีที่คุณได้รับไว้แล้วนั้น ก็ขอให้คนนั้นถูกสาปแช่งตลอดไป
10 ดูเหมือนผมกำลังพูดให้คนยอมรับ หรือให้พระเจ้ายอมรับกันแน่ ผมคิดแต่จะเอาใจคนอย่างนั้นหรือ ถ้าผมอยากจะเอาใจคน ผมก็คงไม่มาเป็นทาสของพระคริสต์หรอก
11 พี่น้องครับ ผมอยากจะบอกให้รู้ว่า ข่าวดีที่ผมประกาศอยู่นี้ไม่ได้มาจากมนุษย์ 12 ไม่มีมนุษย์คนไหนสอนผมหรือให้ผมมา แต่ผมได้มาจากพระเยซูคริสต์โดยตรง ตอนที่พระองค์มาปรากฏตัวให้ผมเห็น
13 พวกคุณก็รู้อยู่แล้วว่าเมื่อก่อนผมเป็นอย่างไร ตอนที่ยังใช้ชีวิตตามแบบของชาวยิวนั้น ผมได้ข่มเหงหมู่ประชุมของพระเจ้าอย่างรุนแรง และพยายามทำลายมันให้สิ้นซาก 14 ในสมัยนั้น ผมก้าวหน้าในลัทธิยิวมากกว่าทุกคนในรุ่นเดียวกัน และยิ่งกว่านั้น ผมยังทุ่มเทอย่างเต็มที่ต่อประเพณีที่สืบทอดกันมาจากบรรพบุรุษของผม
15 แต่พระเจ้ามีความเมตตากรุณาต่อผม พระองค์เลือกผมตั้งแต่ผมยังอยู่ในท้องแม่ซะอีก แล้วพระองค์ก็เรียกให้ผมมารับใช้พระองค์ 16 พระองค์พอใจที่จะเปิดเผยพระบุตรของพระองค์กับผม เพื่อผมจะได้ประกาศข่าวดีเรื่องพระบุตรนั้นกับคนที่ไม่ใช่ยิว ตอนนั้นผมก็ไม่ได้ปรึกษาใครเลย 17 และก็ไม่ได้ขึ้นไปเมืองเยรูซาเล็ม เพื่อหารือกับพวกที่เป็นศิษย์เอกมาก่อนผมด้วย แต่ผมไปแถบอาระเบียทันที แล้วถึงค่อยกลับมาเมืองดามัสกัส
เด็กหญิงที่ตายแล้วกับผู้หญิงที่ป่วย
(มธ. 9:18-26; ลก. 8:40-56)
21 พระเยซูลงเรือข้ามกลับไปอีกฝั่งของทะเลสาบ ฝูงชนจำนวนมากมาห้อมล้อมพระองค์ที่ริมฝั่งทะเลสาบนั้น 22 มีหัวหน้าของที่ประชุมชาวยิวคนหนึ่งชื่อ ไยรัส เข้ามากราบที่เท้าของพระเยซู 23 อ้อนวอนพระองค์อย่างหนักว่า “ลูกสาวเล็กๆของผมกำลังจะตาย ช่วยไปวางมือบนเธอด้วยเถิด เธอจะได้หายและมีชีวิตอยู่ต่อไป”
24 พระองค์จึงตามไยรัสไป แล้วผู้คนก็เดินเบียดเสียดตามพระเยซู
25 ในฝูงชนนั้นมีผู้หญิงคนหนึ่งที่ทนทุกข์เพราะตกเลือดมาสิบสองปีแล้ว 26 เธอทนทุกข์ทรมานมากจากการไปรักษากับหมอหลายคน และจ่ายค่ารักษาจนหมดตัว แต่ก็ยังไม่ดีขึ้น ซ้ำร้ายกลับแย่ลงไปอีก 27 เมื่อเธอได้ยินเรื่องของพระเยซู เธอก็เบียดคนเข้ามาอยู่หลังพระองค์ และแตะเสื้อคลุมของพระองค์ 28 เพราะเธอคิดในใจว่า “ถ้าฉันแค่แตะเสื้อผ้าของเขาเท่านั้น ฉันก็จะหายจากโรค” 29 เลือดที่ไหลอยู่ก็หยุดทันที และเธอก็รู้ตัวว่าหายแล้ว 30 พระเยซูรู้ทันทีว่าฤทธิ์ในตัวของพระองค์ได้แผ่ซ่านออกไป จึงหันไปถามฝูงชนว่า “ใครแตะเสื้อเรา”
31 พวกศิษย์ก็ตอบว่า “อาจารย์ ดูสิ มีคนมากขนาดไหนที่เบียดเสียดอาจารย์อยู่ แล้วอาจารย์ยังจะมาถามอีกว่า ‘ใครแตะตัวเรา’”
32 แต่พระองค์ยังคงมองไปรอบๆเพื่อจะหาคนทำ 33 ฝ่ายหญิงนั้นก็กลัวจนตัวสั่น เพราะเธอรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอ เธอจึงออกมาก้มลงกราบพระองค์และเล่าความจริงที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้พระองค์ฟัง 34 พระเยซูจึงพูดกับเธอว่า “ลูกเอ๋ย ความเชื่อของเจ้าทำให้เจ้าหายแล้ว ไปเป็นสุขเถิด ไม่ต้องทรมานอีกต่อไป”
35 ขณะที่พระองค์ยังพูดอยู่นั้นมีคนจากบ้านของไยรัสมาบอกเขาว่า “ลูกสาวของท่านตายแล้ว ไม่ต้องรบกวนอาจารย์อีกต่อไปแล้ว”
36 พระเยซูได้ยินที่พวกเขาคุยกันจึงบอกไยรัสว่า “ไม่ต้องกลัวหรอก ขอให้เชื่อเท่านั้น”
37 พระองค์ไม่ให้คนตามพระองค์ไปนอกจากเปโตร ยากอบ และยอห์นน้องชายของยากอบ 38 เมื่อพวกเขามาถึงบ้านของไยรัส พระองค์ก็เห็นความชุลมุนวุ่นวายและผู้คนร้องไห้คร่ำครวญดังลั่นไปหมด 39 พระองค์เข้าไปในบ้านและบอกกับพวกเขาว่า “ทำไมพวกคุณถึงร้องห่มร้องไห้เสียงดังวุ่นวายกันไปหมด เด็กคนนั้นยังไม่ตายแต่กำลังนอนหลับอยู่” 40 แต่พวกเขากลับหัวเราะเยาะพระองค์ พระองค์จึงสั่งให้ทุกคนออกไป แล้วพาพ่อแม่ของเด็กกับศิษย์ตามพระองค์เข้าไปในห้องที่เด็กคนนั้นอยู่ 41 พระองค์จับมือของเด็กแล้วพูดว่า “ทาลิธา คูม” (แปลว่า “หนูจ๋า เราบอกให้หนูลุกขึ้น”) 42 เด็กหญิงก็ลุกขึ้นมาทันที และเดินไปรอบๆห้อง (เด็กหญิงคนนี้อายุสิบสองปี) ทุกคนต่างตกตะลึง 43 พระเยซูสั่งพวกเขาไม่ให้เล่าเรื่องนี้ให้ใครฟัง และบอกให้หาอะไรมาให้เด็กกินด้วย
พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย ภาคคำสัญญาใหม่ © 2015 Bible League International