Previous Prev Day Next DayNext

Book of Common Prayer

Daily Old and New Testament readings based on the Book of Common Prayer.
Duration: 861 days
Thai New Contemporary Bible (TNCV)
Version
สดุดี 101

(บทสดุดีของดาวิด)

101 ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพระองค์จะร้องเพลงถึงความรักมั่นคงและความยุติธรรมของพระองค์
ข้าพระองค์จะร้องบทเพลงสรรเสริญพระองค์
ข้าพระองค์จะระแวดระวังรักษาชีวิตให้ไร้ตำหนิ
เมื่อใดหนอ พระองค์จะเสด็จมาหาข้าพระองค์?

ข้าพระองค์จะดำเนินชีวิตในบ้านของข้าพระองค์
ด้วยจิตใจที่ไม่มีตำหนิ
ข้าพระองค์จะไม่เห็นดีเห็นงาม
กับสิ่งชั่วช้าเลวทรามใดๆ

ข้าพระองค์เกลียดชังการกระทำของคนปลิ้นปล้อนตลบตะแลง
และไม่ข้องเกี่ยวในกิจการเหล่านั้น
ข้าพระองค์จะหลีกห่างจากคนจิตใจดื้อด้าน
จะไม่ยอมมีส่วนร่วมใดๆ กับความชั่ว

ข้าพระองค์จะปิดปากคนที่แอบใส่ร้ายเพื่อนบ้าน
ข้าพระองค์จะไม่ทนกับคนที่วางท่ายโสและมีจิตใจเย่อหยิ่ง

ตาของข้าพระองค์จะมองผู้ที่ซื่อสัตย์ในแผ่นดิน
เพื่อเขาจะอยู่กับข้าพระองค์
ผู้ที่ดำเนินชีวิตอย่างไร้ตำหนิ
จะมาปรนนิบัติข้าพระองค์

คนหลอกลวงจะไม่ได้อาศัยอยู่ในบ้านของข้าพระองค์
คนโป้ปดมดเท็จจะไม่ได้ยืนอยู่ต่อหน้าข้าพระองค์

ทุกๆ เช้าข้าพระองค์จะกำจัดคนชั่วทั้งปวงใน แผ่นดิน
ข้าพระองค์จะขจัดคนทำชั่วให้หมดสิ้นจากนครขององค์พระผู้เป็นเจ้า

สดุดี 109:1-30

(ถึงหัวหน้านักร้อง บทสดุดีของดาวิด)

109 ข้าแต่พระเจ้าผู้ที่ข้าพระองค์สรรเสริญ
ขออย่าทรงนิ่งเงียบ
เพราะคนชั่วและคนหลอกลวง
ได้อ้าปากต่อต้านข้าพระองค์
พวกเขาปรักปรำข้าพระองค์ด้วยวาจามุสา
พวกเขารุมด่าข้าพระองค์ด้วยถ้อยคำเกลียดชัง
โจมตีข้าพระองค์โดยไม่มีสาเหตุ
ข้าพระองค์เป็นมิตรกับเขา แต่เขากลับกล่าวหาข้าพระองค์
แม้ข้าพระองค์กำลังอธิษฐานเพื่อพวกเขา
พวกเขาตอบแทนความดีของข้าพระองค์ด้วยความชั่ว
ตอบแทนมิตรภาพด้วยความเกลียดชัง

ขอทรงตั้ง[a]คนชั่ว[b]ให้ต่อต้านเขา
ขอให้ผู้กล่าวโทษ[c]ยืนอยู่ข้างขวาเขา
เมื่อถูกไต่สวน ขอให้เขาถูกตัดสินว่าผิดจริง
ขอให้คำอธิษฐานของเขามัดตัวเขา
ขอให้เขาอายุสั้น
ให้คนอื่นขึ้นมาเป็นผู้นำแทนตำแหน่ง
ของเขา
ขอให้ลูกๆ ของเขากำพร้าพ่อ
และภรรยาของเขาเป็นม่าย
10 ขอให้ลูกหลานของเขาเร่ร่อนขอทาน
ขอให้พวกเขาถูกขับไล่ออกจาก[d]ที่อาศัยอันปรักหักพัง
11 ขอให้เจ้าหนี้ยึดของทุกอย่างที่เขามี
ขอให้คนต่างถิ่นมาปล้นชิงสิ่งที่เขาลงแรงหามา
12 ขออย่าให้ใครเมตตากรุณาเขา
หรือสงสารลูกกำพร้าพ่อของเขา
13 ขอให้วงศ์วานของเขาถูกตัดขาด
ให้เขาสิ้นชื่อภายในชั่วอายุถัดไป
14 ขอให้ความชั่วช้าของบรรพบุรุษของเขาเป็นที่ระลึกอยู่ต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้า
ขอให้บาปของมารดาเขาไม่มีวันลบเลือนไป
15 ขอให้บาปเหล่านั้นอยู่ต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้าเสมอ
เพื่อพระองค์จะทรงกระทำให้เขาถูกลืมไปจากโลก

16 เพราะเขาไม่เคยคิดที่จะเมตตากรุณาใคร
แต่เข่นฆ่าคนยากไร้
คนขัดสนและคนชอกช้ำ
17 เขารักที่จะแช่งด่า
ขอให้คำแช่งด่า[e]ตกอยู่กับเขา
เขาไม่นิยมชมชอบการให้พร
ขอให้พร[f]ห่างไกลจากเขา
18 เขาแช่งด่าจนติดนิสัยเหมือนเสื้อผ้าติดกาย
มันซึมเข้าไปในตัวเขาเหมือนน้ำ
ซึมเข้าไปในกระดูกเหมือนน้ำมัน
19 ขอให้การแช่งด่าเป็นดั่งเสื้อคลุมห่อตัวเขา
เป็นดั่งเข็มขัดรัดรอบเขาไว้ตลอดไป
20 ขอให้ทั้งหมดนี้เป็นการตอบแทนจากองค์พระผู้เป็นเจ้าที่มีต่อบรรดาผู้กล่าวหาข้าพระองค์
ที่มีต่อบรรดาผู้ที่ใส่ร้ายข้าพระองค์

21 ข้าแต่พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิต
ขอทรงดีต่อข้าพระองค์เพื่อเห็นแก่พระนามของพระองค์
ขอทรงช่วยกู้ข้าพระองค์ด้วยความรักอันประเสริฐของพระองค์
22 เพราะข้าพระองค์ยากจนและขัดสน
จิตใจของข้าพระองค์ร้าวระบมอยู่ภายใน
23 ข้าพระองค์โรยราไปดั่งเงาสนธยา
ข้าพระองค์ถูกสลัดทิ้งเหมือนตั๊กแตน
24 เข่าของข้าพระองค์อ่อนล้าเพราะอดอาหาร
ร่างกายผ่ายผอมซูบซีด
25 ข้าพระองค์ตกเป็นขี้ปากของผู้ที่กล่าวหาข้าพระองค์
เมื่อพวกเขาเห็นข้าพระองค์ก็ส่ายหน้า

26 ข้าแต่พระยาห์เวห์พระเจ้าของข้าพระองค์
ขอทรงช่วยข้าพระองค์ด้วยเถิด
ช่วยข้าพระองค์ให้รอดตามความรักมั่นคงของพระองค์
27 ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ให้พวกเขารู้ว่า นี่เป็นฝีพระหัตถ์ของพระองค์
ให้รู้ว่าพระองค์เองเป็นผู้กระทำการนี้
28 พวกเขาอาจจะแช่งด่า แต่พระองค์จะทรงอวยพร
เมื่อพวกเขาโจมตี พวกเขาจะถูกทำให้อับอายขายหน้า
แต่ผู้รับใช้ของพระองค์จะชื่นชมยินดี
29 ขอให้บรรดาผู้กล่าวหาข้าพระองค์สวมความอัปยศอดสู
และคลุมด้วยความอับอายขายหน้าดั่งเสื้อคลุม

30 ปากของข้าพเจ้าจะยกย่องเทิดทูนองค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างใหญ่หลวง
ท่ามกลางมหาชนข้าพเจ้าจะสรรเสริญพระองค์

สดุดี 119:121-144

อายิน

121 ข้าพระองค์ทำสิ่งที่ถูกต้องและยุติธรรม
ขออย่าทรงทิ้งข้าพระองค์ไว้กับผู้กดขี่ข่มเหง
122 ขอทรงค้ำประกันความผาสุกร่มเย็นแก่ผู้รับใช้ของพระองค์ด้วยเถิด
อย่าให้คนเย่อหยิ่งข่มเหงข้าพระองค์ได้
123 ดวงตาของข้าพระองค์อ่อนล้าเพราะรอคอยความรอดจากพระองค์
ใฝ่หาคำมั่นสัญญาอันชอบธรรมของพระองค์
124 ขอทรงปฏิบัติต่อผู้รับใช้ตามความรักมั่นคงของพระองค์
และสอนกฎหมายของพระองค์แก่ข้าพระองค์
125 ข้าพระองค์เป็นผู้รับใช้ของพระองค์ ขอโปรดประทานความฉลาดหลักแหลม
เพื่อข้าพระองค์จะได้เข้าใจกฎเกณฑ์ของพระองค์
126 ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ถึงเวลาแล้วที่พระองค์จะทรงจัดการ
เพราะบทบัญญัติของพระองค์ถูกละเมิดฝ่าฝืน
127 เพราะว่าข้าพระองค์รักพระบัญชาของพระองค์
ยิ่งกว่าทองคำ ยิ่งกว่าทองคำบริสุทธิ์
128 และเพราะข้าพระองค์เห็นว่าข้อบังคับของพระองค์ล้วนแต่ถูกต้อง
ข้าพระองค์จึงเกลียดทางที่ผิดทุกทาง

เพ

129 กฎเกณฑ์ของพระองค์ล้ำเลิศ
ฉะนั้นข้าพระองค์จึงเชื่อฟัง
130 การเปิดเผยพระวจนะของพระองค์ให้ความสว่าง
ทำให้คนรู้น้อยมีความเข้าใจ
131 ข้าพระองค์อ้าปากหอบ
โหยหาพระบัญชาของพระองค์
132 ขอทรงหันมาเมตตาข้าพระองค์
ดังที่ทรงกระทำเสมอมาต่อบรรดาผู้ที่รักพระนามของพระองค์
133 ขอทรงนำย่างก้าวของข้าพระองค์ไปตามพระวจนะของพระองค์
ขออย่าให้บาปใดๆ ครอบงำข้าพระองค์
134 ขอทรงไถ่ข้าพระองค์จากการกดขี่ข่มเหงของมนุษย์
เพื่อข้าพระองค์จะได้เชื่อฟังข้อบังคับของพระองค์
135 ขอทรงให้พระพักตร์ของพระองค์ทอแสงอยู่เหนือผู้รับใช้ของพระองค์
และสอนกฎหมายของพระองค์แก่ข้าพระองค์
136 น้ำตาของข้าพระองค์ไหลรินเป็นสาย
เพราะผู้คนไม่เชื่อฟังบทบัญญัติของพระองค์

สาเดห์

137 ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทรงชอบธรรม
และบทบัญญัติของพระองค์ถูกต้อง
138 กฎเกณฑ์ที่ทรงวางไว้นั้นชอบธรรม
น่าเชื่อถือยิ่งนัก
139 จิตใจของข้าพระองค์ร้อนรุ่มนัก
เพราะศัตรูไม่แยแสพระวจนะของพระองค์
140 พระสัญญาของพระองค์ผ่านการพิสูจน์มาอย่างถี่ถ้วน
และผู้รับใช้ของพระองค์รักพระสัญญานั้น
141 แม้ข้าพระองค์ต่ำต้อยและถูกดูแคลน
ข้าพระองค์ก็ไม่ลืมข้อบังคับของพระองค์
142 ความชอบธรรมของพระองค์ดำรงนิรันดร์
และบทบัญญัติของพระองค์เป็นความจริง
143 แม้ความทุกข์และความโศกเศร้าถาโถมเข้าใส่ข้าพระองค์
แต่พระบัญชาของพระองค์ทำให้ข้าพระองค์ปีติยินดี
144 กฎเกณฑ์ของพระองค์ถูกต้องเสมอ
ขอทรงช่วยให้ข้าพระองค์เข้าใจเพื่อข้าพระองค์จะมีชีวิตอยู่

ผู้วินิจฉัย 13:15-24

15 มาโนอาห์จึงกล่าวกับทูตขององค์พระผู้เป็นเจ้าว่า “โปรดพักอยู่ที่นี่ก่อน เราจะไปปรุงลูกแพะมาให้ท่าน”

16 ทูตขององค์พระผู้เป็นเจ้าตอบว่า “แม้เจ้าจะหน่วงเหนี่ยวเราไว้ เราก็จะไม่กินอาหารใดๆ ของเจ้า แต่หากเจ้าจัดเตรียมเครื่องเผาบูชา จงถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าเถิด” (มาโนอาห์ยังไม่ตระหนักว่าผู้นั้นคือทูตขององค์พระผู้เป็นเจ้า)

17 มาโนอาห์จึงเอ่ยถามทูตขององค์พระผู้เป็นเจ้าว่า “โปรดบอกชื่อของท่านให้ข้าพเจ้าทราบ เพื่อข้าพเจ้าจะให้เกียรติท่าน เมื่อเหตุการณ์เป็นจริงตามที่ท่านพูด?”

18 ทูตองค์นั้นตอบว่า “เหตุใดจึงถามชื่อของเรา? ชื่อนั้นเกินความเข้าใจ[a] 19 แล้วมาโนอาห์จึงนำลูกแพะและเครื่องธัญบูชามาถวายบนศิลาแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าและพระองค์ทรงทำสิ่งอัศจรรย์ต่อหน้ามาโนอาห์กับภรรยา 20 ขณะที่เปลวไฟพวยพุ่งจากแท่นบูชาลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า ทูตขององค์พระผู้เป็นเจ้าลอยขึ้นเหนือเปลวไฟ เมื่อเห็นดังนั้นมาโนอาห์กับภรรยาจึงซบหน้าลงกับพื้นดิน 21 ทูตขององค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้ปรากฏแก่มาโนอาห์กับภรรยาอีก มาโนอาห์จึงตระหนักว่าผู้นี้คือทูตขององค์พระผู้เป็นเจ้า

22 มาโนอาห์กล่าวกับภรรยาว่า “เราต้องตายแน่ๆ! เพราะเราได้เห็นพระเจ้า!”

23 แต่ภรรยาตอบว่า “หากองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงดำริจะประหารเรา พระองค์ก็คงจะไม่รับเครื่องเผาบูชาและธัญบูชาจากมือของเรา และจะไม่มาแจ้งหรือแสดงสิ่งทั้งปวงนี้แก่เรา”

24 นางได้คลอดบุตรชายและตั้งชื่อว่าแซมสัน เด็กนั้นเติบโตขึ้น และองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอวยพรเขา

กิจการของอัครทูต 6

การเลือกคนทั้งเจ็ด

ครั้งนั้นเมื่อสาวกเพิ่มจำนวนขึ้นชาวยิวผู้ถือธรรมเนียมกรีกบ่นไม่พอใจชาวยิวผู้ถือธรรมเนียมยิวเพราะแม่ม่ายในหมู่พวกตนถูกละเลยในการแจกจ่ายอาหารประจำวัน ดังนั้นอัครทูตทั้งสิบสองคนจึงเรียกสาวกทั้งปวงมาประชุมพร้อมหน้ากันและกล่าวว่า “เป็นการไม่ถูกต้องที่เราจะละเลยพันธกิจแห่งพระวจนะของพระเจ้าเพื่อไปรับใช้ที่โต๊ะอาหาร พี่น้องทั้งหลาย จงเลือกคนเจ็ดคนในพวกท่านซึ่งเป็นที่ทราบกันว่าเต็มด้วยพระวิญญาณและสติปัญญา เราจะได้มอบความรับผิดชอบนี้แก่พวกเขา ส่วนเราจะได้เอาใจใส่ในการอธิษฐานและพันธกิจแห่งพระวจนะ”

ที่ประชุมทั้งหมดเห็นชอบกับข้อเสนอนี้จึงเลือกสเทเฟน ชายผู้เปี่ยมด้วยความเชื่อและพระวิญญาณบริสุทธิ์ พร้อมทั้งฟีลิป โปรโครัส นิคาโนร์ ทิโมน ปารเมนัส และนิโคลัสจากเมืองอันทิโอกซึ่งมาเข้าจารีตยิว พวกเขานำทั้งเจ็ดคนนี้มาหาอัครทูต อัครทูตก็อธิษฐานและวางมือให้

ดังนั้นพระวจนะของพระเจ้าจึงแพร่ออกไปจำนวนสาวกในกรุงเยรูซาเล็มเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและมีปุโรหิตจำนวนมากมารับเชื่อ

สเทเฟนถูกจับ

ฝ่ายสเทเฟนผู้เปี่ยมด้วยพระคุณและฤทธิ์เดชของพระเจ้าได้ทำหมายสำคัญและปาฏิหาริย์ที่ยิ่งใหญ่หลายอย่างในหมู่ประชาชน แต่ถูกต่อต้านโดยสมาชิกของธรรมศาลาแห่งทาสที่ได้รับอิสรภาพ (ตามที่เขาเรียกกัน) คือพวกยิวจากเมืองไซรีน เมืองอเล็กซานเดรีย ทั้งจากแคว้นซิลีเซียและเอเชีย คนเหล่านี้โต้เถียงกับสเทเฟน 10 แต่ไม่สามารถเอาชนะสติปัญญาของเขาหรือพระวิญญาณผู้ตรัสผ่านเขา

11 พวกเขาจึงลอบยุบางคนให้พูดว่า “เราได้ยินสเทเฟนกล่าวลบหลู่โมเสสและพระเจ้า”

12 ดังนั้นพวกเขาได้ปลุกปั่นประชาชนตลอดจนเหล่าผู้อาวุโสและพวกธรรมาจารย์ให้ลุกฮือขึ้น พวกเขาจับสเทเฟนและนำตัวมาต่อหน้าสภาแซนเฮดริน 13 พวกเขาสร้างพยานเท็จมาให้การว่า “ชายคนนี้พูดลบหลู่สถานบริสุทธิ์และบทบัญญัติไม่หยุดเลย 14 เพราะเราได้ยินเขาพูดว่าพระเยซูแห่งนาซาเร็ธนั้นจะทำลายสถานที่นี้และเปลี่ยนธรรมเนียมซึ่งโมเสสได้ให้สืบทอดมาจนถึงเรา”

15 คนทั้งปวงที่นั่งอยู่ในสภาแซนเฮดรินก็จ้องมองสเทเฟนเห็นใบหน้าของเขาเหมือนใบหน้าของทูตสวรรค์

ยอห์น 4:1-26

พระเยซูทรงสนทนากับหญิงชาวสะมาเรีย

พวกฟาริสีได้ยินว่าพระเยซูทรงมีสาวกและให้บัพติศมามากกว่ายอห์น อันที่จริงไม่ใช่พระเยซูแต่สาวกของพระองค์ต่างหากที่ให้บัพติศมา เมื่อพระเยซูทรงทราบเช่นนี้ก็เสด็จจากแคว้นยูเดียกลับไปยังแคว้นกาลิลีอีก

พระองค์ต้องเสด็จผ่านแคว้นสะมาเรีย จึงเสด็จมายังเมืองหนึ่งในแคว้นสะมาเรียชื่อสิคาร์ ใกล้ที่ดินแปลงที่ยาโคบยกให้โยเซฟบุตรชายของเขา บ่อน้ำของยาโคบอยู่ที่นั่น และพระเยซูทรงเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางจึงประทับนั่งข้างๆ บ่อ ขณะนั้นเป็นเวลาประมาณเที่ยง

เมื่อหญิงชาวสะมาเรียคนหนึ่งมาตักน้ำ พระเยซูตรัสกับนางว่า “ขอน้ำให้เราดื่มหน่อยได้ไหม?” (สาวกของพระองค์เข้าไปซื้ออาหารในเมือง)

หญิงชาวสะมาเรียทูลว่า “ท่านเป็นยิว ส่วนดิฉันเป็นหญิงชาวสะมาเรีย ท่านมาขอน้ำจากดิฉันได้อย่างไร?” (เพราะชาวยิวไม่คบหากับชาวสะมาเรีย[a])

10 พระเยซูตรัสตอบนางว่า “ถ้าเจ้ารู้จักของที่พระเจ้าประทานและรู้จักผู้ที่ขอน้ำจากเจ้า เจ้าคงจะขอจากผู้นั้นและผู้นั้นจะให้น้ำซึ่งให้ชีวิตแก่เจ้า”

11 หญิงนั้นทูลว่า “ท่านเจ้าข้า ท่านไม่มีอะไรที่จะใช้ตักน้ำและบ่อก็ลึก ท่านจะได้น้ำซึ่งให้ชีวิตมาจากไหน? 12 ท่านยิ่งใหญ่กว่ายาโคบบรรพบุรุษของเราผู้ซึ่งให้บ่อนี้แก่เราหรือ? และยาโคบเองกับลูกหลานตลอดจนฝูงสัตว์ก็ดื่มน้ำจากบ่อนี้”

13 พระเยซูตรัสตอบว่า “ทุกคนที่ดื่มน้ำนี้จะกระหายอีก 14 แต่ผู้ใดดื่มน้ำที่เราให้จะไม่กระหายอีกเลย อันที่จริงน้ำซึ่งเราให้เขานั้นจะกลายเป็นน้ำพุในตัวเขาพลุ่งขึ้นสู่ชีวิตนิรันดร์”

15 หญิงนั้นทูลพระองค์ว่า “ท่านเจ้าข้า โปรดให้น้ำนั้นแก่ดิฉันเพื่อดิฉันจะไม่กระหายอีกและไม่ต้องกลับมาตักน้ำที่นี่เสมอๆ”

16 พระเยซูตรัสบอกนางว่า “จงไปเรียกสามีของเจ้ามา”

17 นางทูลว่า “ดิฉันไม่มีสามี”

พระเยซูตรัสกับนางว่า “เจ้าพูดถูกที่ว่าไม่มีสามี 18 อันที่จริงเจ้ามีสามีห้าคนแล้ว และชายคนที่เจ้าอยู่ด้วยขณะนี้ก็ไม่ใช่สามีของเจ้า สิ่งที่เจ้าเพิ่งพูดไปนั้นก็ออกจะจริงทีเดียว”

19 หญิงนั้นทูลว่า “ท่านเจ้าข้า ดิฉันเห็นแล้วว่าท่านเป็นผู้เผยพระวจนะ 20 บรรพบุรุษของเรานมัสการที่ภูเขานี้ แต่พวกท่านชาวยิวอ้างว่าเราต้องนมัสการที่กรุงเยรูซาเล็ม”

21 พระเยซูประกาศว่า “หญิงเอ๋ย เชื่อเราเถิด ใกล้ถึงเวลาแล้ว เมื่อพวกท่านจะนมัสการพระบิดาไม่ใช่ที่ภูเขานี้หรือที่กรุงเยรูซาเล็ม 22 พวกท่านชาวสะมาเรียนมัสการสิ่งที่ท่านไม่รู้จัก ส่วนเรานมัสการสิ่งที่เรารู้จักเพราะความรอดมาจากพวกยิว 23 กระนั้นก็ใกล้ถึงเวลาแล้ว และบัดนี้ก็ถึงเวลาแล้วที่ผู้นมัสการอย่างถูกต้องจะนมัสการพระบิดาด้วยจิตวิญญาณและความจริง เพราะพวกเขาเป็น ผู้นมัสการแบบที่พระบิดาทรงแสวงหา 24 พระเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณ ผู้ที่นมัสการพระองค์ต้องนมัสการด้วยจิตวิญญาณและความจริง”

25 หญิงนั้นทูลว่า “ดิฉันรู้ว่าพระเมสสิยาห์ (ที่เรียกว่าพระคริสต์) กำลังเสด็จมา เมื่อพระองค์เสด็จมาแล้ว จะทรงอธิบายทุกสิ่งแก่เรา”

26 แล้วพระเยซูทรงประกาศว่า “เราที่พูดอยู่กับเจ้าคือผู้นั้น”

Thai New Contemporary Bible (TNCV)

Thai New Contemporary Bible Copyright © 1999, 2001, 2007 by Biblica, Inc.® Used by permission. All rights reserved worldwide.