Previous Prev Day Next DayNext

Book of Common Prayer

Daily Old and New Testament readings based on the Book of Common Prayer.
Duration: 861 days
Thai New Contemporary Bible (TNCV)
Version
สดุดี 31

(สดด.71:1-3)

(ถึงหัวหน้านักร้อง บทสดุดีของดาวิด)

31 ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพระองค์ลี้ภัยในพระองค์
ขออย่าให้ข้าพระองค์อับอายเลย
ขอทรงกอบกู้ข้าพระองค์ในความชอบธรรมของพระองค์
ขอทรงเอียงพระกรรณสดับฟัง
และเสด็จมาช่วยข้าพระองค์โดยเร็ว
ขอทรงเป็นศิลาให้ข้าพระองค์เข้าลี้ภัย
และเป็นป้อมปราการมั่นคงเพื่อช่วยข้าพระองค์ให้ปลอดภัย
เพราะพระองค์ทรงเป็นศิลาและเป็นป้อมปราการของข้าพระองค์
ฉะนั้นขอทรงนำและชี้ทางแก่ข้าพระองค์ โดยเห็นแก่พระนามของพระองค์
ขอทรงช่วยข้าพระองค์ให้พ้นจากกับดักที่ดักข้าพระองค์ไว้
เพราะพระองค์ทรงเป็นที่ลี้ภัยของข้าพระองค์
ข้าพระองค์มอบจิตวิญญาณของข้าพระองค์ไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์
ข้าแต่พระยาห์เวห์พระเจ้าผู้ทรงซื่อสัตย์ ขอทรงไถ่ข้าพระองค์เถิด

ข้าพระองค์เกลียดชังผู้ที่ยึดมั่นในรูปเคารพอันไร้ค่า
ข้าพระองค์วางใจในองค์พระผู้เป็นเจ้า
ข้าพระองค์จะเปรมปรีดิ์และชื่นชมยินดีในความรักมั่นคงของพระองค์
เพราะพระองค์ทรงเห็นความทุกข์ลำเค็ญของข้าพระองค์
และทรงทราบความเจ็บปวดรวดร้าวในจิตใจของข้าพระองค์แล้ว
พระองค์ไม่ได้ทรงมอบข้าพระองค์ไว้ในมือศัตรู
แต่ทรงวางย่างเท้าของข้าพระองค์ไว้ในที่กว้างขวาง

ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ขอทรงเมตตาข้าพระองค์ เพราะข้าพระองค์กำลังทุกข์ใจ
ดวงตาของข้าพระองค์หม่นหมองเพราะความทุกข์โศก
ทั้งกายและวิญญาณบอบช้ำเพราะความทุกข์ระทม
10 ชีวิตของข้าพระองค์สูญไปกับความปวดร้าว
และปีเดือนของข้าพระองค์สูญไปกับการคร่ำครวญ
กำลังวังชาของข้าพระองค์อ่อนลงเพราะความทุกข์ลำเค็ญ[a]ของข้าพระองค์
กระดูกของข้าพระองค์ก็เสื่อมไป
11 เนื่องจากศัตรูทั้งปวงของข้าพระองค์
ข้าพระองค์ตกเป็นขี้ปากให้เพื่อนบ้านเย้ยหยัน
ข้าพระองค์เป็นที่น่าขยาดสำหรับเพื่อนฝูง
คนที่พบเห็นข้าพระองค์บนถนนก็รีบหนีไป
12 ข้าพระองค์ถูกลืมประหนึ่งคนที่ตายแล้ว
ข้าพระองค์กลายเป็นเหมือนภาชนะที่แตก
13 ข้าพระองค์ได้ยินคำนินทาว่าร้ายจากหลายฝ่าย
มีความหวาดผวาอยู่รอบด้าน
พวกเขาคบคิดกันเล่นงานข้าพระองค์
หมายเอาชีวิตของข้าพระองค์

14 ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า แต่ข้าพระองค์วางใจในพระองค์
ข้าพระองค์กล่าวว่า “พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าของข้าพระองค์”
15 วันเวลาของข้าพระองค์อยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์
ขอทรงปลดปล่อยข้าพระองค์จากมือของเหล่าศัตรู
จากบรรดาผู้ที่ตามล่าเอาชีวิตของข้าพระองค์
16 ขอพระพักตร์ของพระองค์ทอแสงเหนือ ผู้รับใช้ของพระองค์
โปรดช่วยข้าพระองค์ให้รอดโดยความรักมั่นคงของพระองค์
17 ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ขออย่าให้ข้าพระองค์ได้อาย
เพราะข้าพระองค์ร้องทูลต่อพระองค์
แต่ขอให้คนชั่วได้รับความอดสู
ขอให้เขานอนนิ่งเงียบในหลุมฝังศพ
18 ขอให้ริมฝีปากโป้ปดของเขาต้องนิ่งเงียบ
เพราะด้วยความเย่อหยิ่งและการดูหมิ่นดูแคลน
เขาพูดว่าร้ายคนชอบธรรมอย่างยโสโอหัง

19 ความประเสริฐของพระองค์นั้นยิ่งใหญ่สักเท่าใด
ที่พระองค์ทรงสะสมไว้เพื่อเหล่าผู้ยำเกรงพระองค์
ที่พระองค์ทรงจัดเตรียมไว้ต่อหน้าคนทั้งหลาย
เพื่อผู้ที่ลี้ภัยในพระองค์
20 ในร่มเงาที่พระองค์ทรงสถิตอยู่ พระองค์ทรงซ่อนเขาไว้
ให้พ้นจากการปองร้ายของมนุษย์
ในที่ประทับของพระองค์ พระองค์ทรงรักษาเขาไว้
ให้พ้นจากคำกล่าวหาทั้งปวง

21 ขอถวายสรรเสริญแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า
เพราะพระองค์ทรงแสดงความรักอันอัศจรรย์ต่อข้าพระองค์
เมื่อข้าพระองค์อยู่ในเมืองที่ถูกล้อมไว้
22 ในยามตกใจ ข้าพระองค์กล่าวว่า
“ข้าพระองค์ถูกตัดออกจากสายพระเนตรของพระองค์!”
แต่พระองค์ทรงสดับฟังคำทูลขอพระเมตตาของข้าพระองค์
เมื่อข้าพระองค์ร้องทูลให้ทรงช่วย

23 ประชากรทั้งสิ้นของพระเจ้าเอ๋ย จงรักองค์พระผู้เป็นเจ้าเถิด
องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงปกป้องรักษาผู้ที่ซื่อสัตย์
แต่ผู้ที่เย่อหยิ่งอวดดี พระองค์ทรงลงโทษอย่างเต็มที่
24 จงเข้มแข็งและกล้าหาญเถิด
ท่านทั้งหลายที่ฝากความหวังในองค์พระผู้เป็นเจ้า

สดุดี 35

(บทประพันธ์ของดาวิด)

35 ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ขอทรงต่อสู้กับบรรดาผู้ที่ต่อสู้กับข้าพระองค์
ขอทรงสู้รบกับบรรดาผู้ที่สู้รบกับข้าพระองค์
ขอทรงถือโล่และเขน
ขอทรงลุกขึ้นและมาช่วยข้าพระองค์
ขอทรงชูหอกและขวานศึก[a]
ต่อสู้ผู้รุกไล่ข้าพระองค์
โปรดตรัสกับจิตใจของข้าพระองค์ว่า
“เราคือความรอดของเจ้า”

ขอให้ผู้ที่มุ่งเอาชีวิตของข้าพระองค์นั้น
อัปยศอดสู
ขอให้ผู้ที่วางแผนทำลายข้าพระองค์
ล่าถอยไปด้วยความตกใจกลัว
ให้เขาเป็นเหมือนแกลบที่ถูกลมพัด
มีทูตขององค์พระผู้เป็นเจ้าขับไล่เขา
ขอให้ทางของเขาลื่นและมืดมน
มีทูตขององค์พระผู้เป็นเจ้าไล่ล่าเขาไป

เพราะเขาวางข่ายดักข้าพระองค์โดยไม่มีสาเหตุ
และขุดหลุมพรางดักข้าพระองค์โดยไม่มีสาเหตุ
ขอให้ความพินาศจู่โจมเขาโดยไม่คาดคิด
ขอให้เขาติดข่ายที่เขาวางไว้เอง
ขอให้เขาตกหลุมพรางของตัวเองพินาศไป
แล้วจิตวิญญาณของข้าพระองค์จะปีติยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้า
และชื่นชมในการกอบกู้ของพระองค์
10 ทั้งชีวิตจิตใจของข้าพระองค์จะประกาศว่า
องค์พระผู้เป็นเจ้าเจ้าข้า ใครเล่าเสมอเหมือนพระองค์?
พระองค์ทรงช่วยผู้ยากไร้จากผู้ที่แข็งแกร่งเกินกำลังของเขา
ทรงช่วยผู้ยากไร้และแร้นแค้นจากผู้ที่ปล้นเขา”

11 พยานผู้มุ่งร้ายขึ้นมาปรักปรำข้าพระองค์
เขาสอบสวนข้าพระองค์ในข้อหาที่ข้าพระองค์ไม่รู้เรื่อง
12 เขาตอบแทนการดีของข้าพระองค์ด้วยการชั่ว
และละทิ้งจิตวิญญาณของข้าพระองค์ให้เปล่าเปลี่ยว
13 แต่เมื่อพวกเขาป่วย ข้าพระองค์สวมชุดผ้ากระสอบ
และถ่อมใจลงด้วยการอดอาหาร
เมื่อคำอธิษฐานของข้าพระองค์ไม่ได้รับคำตอบ
14 ข้าพระองค์ทุกข์โศก
ราวกับว่าพวกเขาเป็นเพื่อนหรือพี่น้องของข้าพระองค์
ข้าพระองค์ก้มศีรษะลงด้วยความโศกเศร้า
ราวกับว่าร้องไห้ให้กับมารดาของข้าพระองค์
15 แต่เมื่อข้าพระองค์สะดุด พวกเขากลับพากันดีใจ
รวมหัวกันเล่นงานโดยที่ข้าพระองค์ไม่รู้ตัว
รุมนินทาว่าร้ายข้าพระองค์ไม่หยุดหย่อน
16 พวกเขาเยาะเย้ยถากถางอย่างคนอธรรม[b]
พวกเขากัดฟันใส่ข้าพระองค์

17 ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์จะทรงนิ่งดูอยู่นานเท่าใดหนอ?
ขอทรงช่วยกู้ชีวิตของข้าพระองค์ให้พ้นจากความร้ายกาจของเขา
ช่วยกู้ชีวิตอันมีค่าของข้าพระองค์จากสิงโตเหล่านี้
18 ข้าพระองค์จะขอบพระคุณพระองค์ในที่ชุมนุมใหญ่
ข้าพระองค์จะสรรเสริญพระองค์ท่ามกลางมหาชน
19 ขออย่าให้คนเหล่านั้นที่มาเป็นศัตรูโดยไม่มีสาเหตุ
ยิ้มเยาะข้าพระองค์ได้
ขออย่าให้คนที่เกลียดชังข้าพระองค์โดยไม่มีสาเหตุ
ขยิบตาให้กัน
20 คนเหล่านี้ไม่พูดกันอย่างสงบ
มีแต่คบคิดกันใส่ร้าย
คนที่อยู่อย่างสงบในแผ่นดิน
21 พวกเขาโพนทะนากล่าวหาข้าพระองค์
เขาว่า “นั่นไง! นั่นไง! เราเห็นกับตาเลย”

22 ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทรงเห็นโดยตลอด ขออย่าทรงนิ่งเฉย
ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ขออย่าทรงอยู่ห่างไกลจากข้าพระองค์
23 ขอทรงตื่นและลุกขึ้นปกป้องข้าพระองค์!
พระเจ้าและองค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพระองค์ ขอทรงต่อสู้เพื่อข้าพระองค์ด้วยเถิด
24 ข้าแต่พระยาห์เวห์พระเจ้าของข้าพระองค์ ขอทรงพิสูจน์ว่าข้าพระองค์ไร้ความผิดตามความชอบธรรมของพระองค์
ขออย่าให้พวกเขายิ้มเยาะข้าพระองค์
25 อย่าให้พวกเขาคิดว่า “นั่นไง ในที่สุดก็สมใจเรา!”
หรือพูดว่า “เราได้กลืนกินเขาแล้ว”

26 ขอให้ผู้ที่ยิ้มเยาะความทุกข์ของข้าพระองค์
อับอายและสับสนวุ่นวาย
ขอให้ผู้ที่ยกตัวข่มข้าพระองค์อัปยศอดสู
27 ขอให้ผู้ที่ชื่นชมเมื่อข้าพระองค์พ้นข้อหา
โห่ร้องอย่างยินดีปรีดา
ขอให้เขากล่าวเสมอๆ ว่า “ขอเทิดทูนสรรเสริญองค์พระผู้เป็นเจ้า
ผู้พอพระทัยในความผาสุกร่มเย็นของผู้รับใช้ของพระองค์”

28 ลิ้นของข้าพระองค์จะกล่าวถึงความชอบธรรมของพระองค์
และสรรเสริญพระองค์วันยังค่ำ

อพยพ 4:10-31

10 โมเสสทูลองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพระองค์พูดไม่เก่ง ไม่ว่าจะในอดีตหรือเมื่อพระองค์ตรัสกับผู้รับใช้ของพระองค์ ข้าพระองค์เป็นคนพูดไม่คล่องและไร้คารม”

11 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับเขาว่า “ใครเล่าสร้างปากมนุษย์? ใครเล่าทำให้เขาหูหนวกหรือเป็นใบ้? ใครเล่าทำให้เขามองเห็นหรือตาบอด? ไม่ใช่เราผู้เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าหรือ? 12 บัดนี้จงไปเถิด เราจะช่วยและจะสอนเจ้าว่าเจ้าควรจะพูดอะไร”

13 แต่โมเสสทูลว่า “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า โปรดส่งคนอื่นไปเถิด”

14 องค์พระผู้เป็นเจ้าจึงกริ้วโมเสสและตรัสว่า “อาโรนคนเลวีพี่ชายของเจ้าล่ะ? เรารู้ว่าเขาพูดเก่ง เขากำลังมาที่นี่เพื่อพบเจ้า และจะดีใจมากเมื่อเห็นเจ้า 15 เจ้าจะต้องพูดกับเขา และบอกเขาว่าควรพูดอะไร เราจะช่วยให้เจ้าทั้งสองพูดได้ดีและจะสอนเจ้าว่าควรทำอะไรบ้าง 16 เขาจะพูดกับประชาชนแทนเจ้า เขาจะเป็นเหมือนปากของเจ้า ส่วนเจ้าจะเป็นเหมือนพระเจ้าสำหรับเขา 17 แต่เจ้าจงเอาไม้เท้าในมือของเจ้าอันนี้ไปด้วยเพื่อจะได้ใช้แสดงหมายสำคัญ”

โมเสสกลับสู่อียิปต์

18 โมเสสจึงกลับไปหาเยโธรพ่อตาของเขาและกล่าวว่า “ข้าพเจ้าขอกลับไปหาชนชาติของข้าพเจ้าในอียิปต์ ไปดูว่าพวกเขายังมีชีวิตอยู่หรือไม่”

เยโธรตอบว่า “ไปเถิด พ่อขออวยพรให้เจ้าไปดี”

19 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสที่มีเดียนว่า “จงกลับไปอียิปต์เพราะพวกที่ต้องการฆ่าเจ้านั้นตายไปแล้ว” 20 ดังนั้นโมเสสจึงพาภรรยาและลูกๆ ขึ้นลาและออกเดินทางกลับไปอียิปต์ เขาถือไม้เท้าของพระเจ้าไปด้วย

21 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสว่า “เมื่อเจ้ากลับไปถึงอียิปต์ เจ้าจะต้องทำการอัศจรรย์ทุกอย่างต่อหน้าฟาโรห์ตามที่เราให้ฤทธิ์อำนาจแก่เจ้าแล้ว แต่เราจะทำให้ฟาโรห์ใจแข็งไม่ยอมปล่อยเหล่าประชากรไป 22 แล้วเจ้าจงบอกฟาโรห์ว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้ว่า อิสราเอลเป็นลูกชายหัวปีของเรา 23 และเราบอกเจ้าว่า “จงปล่อยลูกชายของเราไป เพื่อเขาจะได้นมัสการเรา” แต่เจ้าปฏิเสธไม่ยอมให้เขาไป ดังนั้นเราจะประหารลูกชายหัวปีของเจ้า’ ”

24 ตรงที่พักระหว่างทาง องค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมาพบโมเสส[a]และจะทรงประหารชีวิตเขา 25 แต่นางศิปโปราห์เอามีดหินคมเฉือนหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศบุตรชายของตน เอาไปแตะเท้าของโมเสส[b] และกล่าวว่า “ท่านเป็นเจ้าบ่าวแห่งโลหิตต่อดิฉัน” 26 ดังนั้นองค์พระผู้เป็นเจ้าจึงทรงละโมเสสไป (ครั้งนั้นนางกล่าวถึง “เจ้าบ่าวแห่งโลหิต” หมายถึงการเข้าสุหนัต)

27 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับอาโรนว่า “จงไปพบโมเสสในถิ่นกันดาร” ดังนั้นอาโรนจึงไปพบโมเสสที่ภูเขาของพระเจ้าและจูบเขา 28 โมเสสเล่าให้อาโรนฟังถึงทุกสิ่งที่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสสั่งให้พูด และหมายสำคัญทุกอย่างที่พระองค์ทรงบัญชาให้เขาทำ

29 โมเสสกับอาโรนจึงเรียกประชุมผู้อาวุโสทั้งหมดของชนอิสราเอล 30 และอาโรนแจ้งให้พวกเขาทราบทุกสิ่งที่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสส โมเสสได้ทำหมายสำคัญต่อหน้าประชากรด้วย 31 พวกเขาจึงเชื่อ และเมื่อพวกเขาได้ยินว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงห่วงใย และเห็นความทุกข์ลำเค็ญของพวกตน พวกเขาจึงกราบลงนมัสการ

1 โครินธ์ 14:1-19

ของประทานในการเผยพระวจนะและการพูดภาษาแปลกๆ

14 จงดำเนินในวิถีแห่งความรักและใฝ่หาของประทานฝ่ายจิตวิญญาณอย่างกระตือรือร้น โดยเฉพาะการเผยพระวจนะ เพราะผู้ที่พูดภาษาแปลกๆ[a]ไม่ได้พูดกับมนุษย์ แต่ทูลต่อพระเจ้า อันที่จริงไม่มีใครเข้าใจสิ่งที่เขาพูดเลย เขากล่าวข้อล้ำลึกด้วยจิตวิญญาณของเขา[b] แต่ทุกคนที่เผยพระวจนะนั้นกล่าวแก่คนทั้งหลายเพื่อทำให้พวกเขาเข้มแข็งขึ้น เพื่อให้กำลังใจและเพื่อปลอบโยน ผู้ที่พูดภาษาแปลกๆ เสริมสร้างตัวเอง ส่วนผู้ที่เผยพระวจนะเสริมสร้างคริสตจักร ข้าพเจ้าอยากให้ท่านทุกคนพูดภาษาแปลกๆ[c] ได้ แต่ที่ยิ่งกว่านั้นข้าพเจ้าอยากให้ท่านเผยพระวจนะได้ ผู้ที่เผยพระวจนะนั้นยิ่งใหญ่กว่าผู้ที่พูดภาษาแปลกๆ เว้นแต่เขาแปลภาษานั้นๆ ได้เพื่อคริสตจักรจะได้รับเสริมสร้าง

พี่น้องทั้งหลาย หากข้าพเจ้ามาหาท่านพร้อมกับพูดภาษาแปลกๆ ข้าพเจ้าจะอำนวยประโยชน์อันใดแก่ท่าน? นอกจากว่าข้าพเจ้าจะนำการทรงสำแดง หรือความรู้ หรือการเผยพระวจนะ หรือถ้อยคำสั่งสอนมาให้ แม้แต่สิ่งที่ไม่มีชีวิตก็เปล่งเสียงได้ ตัวอย่างเช่นขลุ่ยหรือพิณ ใครจะรู้ว่าเขากำลังบรรเลงทำนองอะไรหากไม่เล่นตามโน้ตให้ชัดเจน? และถ้าแตรศึกเป่าเรียกไม่ชัดเจนใครจะเตรียมพร้อมออกรบ? ท่านทั้งหลายก็เช่นกัน หากท่านพูดด้วยถ้อยคำที่คนไม่เข้าใจ ใครจะรู้ว่าท่านกำลังพูดอะไร? ท่านก็ได้แต่พูดลมๆ แล้งๆ 10 ไม่ต้องสงสัยเลยว่าในโลกย่อมมีภาษาสารพัดแบบ แต่ไม่มีภาษาไหนที่ปราศจากความหมาย 11 หากข้าพเจ้าจับใจความที่เขาพูดอยู่ไม่ได้ ข้าพเจ้ากับผู้พูดก็เป็นคนต่างภาษากัน 12 ท่านทั้งหลายก็เช่นกัน ในเมื่อท่านใฝ่หาของประทานฝ่ายจิตวิญญาณ ก็จงพยายามที่จะเป็นเลิศในของประทานซึ่งเสริมสร้างคริสตจักร

13 ด้วยเหตุนี้ผู้ใดพูดภาษาแปลกๆ ได้ ควรอธิษฐานขอให้เขาแปลสิ่งที่เขาพูดได้ด้วย 14 เพราะถ้าข้าพเจ้าอธิษฐานด้วยภาษาแปลกๆ จิตวิญญาณของข้าพเจ้าอธิษฐาน แต่ไม่มีผลต่อความคิดของข้าพเจ้า 15 ฉะนั้นข้าพเจ้าควรทำอย่างไร? ข้าพเจ้าจะอธิษฐานด้วยจิตวิญญาณ แต่ข้าพเจ้าก็จะอธิษฐานด้วยความคิดเช่นกัน ข้าพเจ้าจะร้องเพลงด้วยจิตวิญญาณ แต่ข้าพเจ้าก็จะร้องเพลงด้วยความคิดเช่นกัน 16 ถ้าท่านสรรเสริญพระเจ้าด้วยจิตวิญญาณของท่าน คนที่ไม่รู้ไม่เข้าใจ[d]จะกล่าว “อาเมน” ขานรับการขอบพระคุณของท่านได้อย่างไรในเมื่อเขาไม่รู้ว่าท่านพูดอะไร? 17 ท่านอาจจะขอบพระคุณได้อย่างดีเยี่ยม แต่ไม่ได้เสริมสร้างคนอื่น

18 ข้าพเจ้าขอบพระคุณพระเจ้าที่ข้าพเจ้าพูดภาษาแปลกๆ มากกว่าพวกท่านทั้งหมด 19 แต่ในคริสตจักรข้าพเจ้าขอพูดสักห้าคำที่คนฟังเข้าใจได้เพื่อสอนคนอื่น ดีกว่าพูดหมื่นคำเป็นภาษาแปลกๆ

มาระโก 9:30-41

30 พระเยซูกับสาวกออกจากที่นั่นผ่านไปทางแคว้นกาลิลี พระองค์ไม่ทรงประสงค์ให้ใครรู้ว่าทรงอยู่ที่ไหน 31 เพราะทรงสั่งสอนพวกสาวกอยู่ พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “บุตรมนุษย์จะถูกทรยศให้ตกอยู่ในมือมนุษย์ พวกเขาจะฆ่าพระองค์ และหลังจากนั้นสามวันพระองค์จะเป็นขึ้นจากตาย” 32 แต่เหล่าสาวกไม่เข้าใจว่าทรงหมายความว่าอย่างไรและไม่กล้าทูลถามพระองค์

ผู้ใดเป็นใหญ่ที่สุด(A)

33 เมื่อพวกเขามาถึงเมืองคาเปอรนาอุม ขณะพระองค์อยู่ในบ้านพระองค์ทรงถามพวกเขาว่า “ระหว่างทางพวกท่านถกเถียงกันเรื่องอะไร?” 34 แต่พวกเขานิ่งอยู่เพราะระหว่างทางพวกเขาเถียงกันเรื่องใครเป็นใหญ่ที่สุด

35 พระเยซูประทับนั่งแล้วทรงเรียกสาวกทั้งสิบสองคนมาและตรัสว่า “หากผู้ใดอยากเป็นที่หนึ่งเขาต้องเป็นคนสุดท้ายและเป็นคนรับใช้ของคนทั้งปวง”

36 พระองค์ทรงนำเด็กเล็กๆ คนหนึ่งมายืนท่ามกลางพวกเขา ทรงอุ้มเด็กนั้นไว้แล้วตรัสกับพวกเขาว่า 37 “ผู้ใดต้อนรับเด็กน้อยเช่นนี้ในนามของเราก็ต้อนรับเรา และผู้ที่ต้อนรับเราก็ไม่ได้ต้อนรับเราเท่านั้นแต่ต้อนรับพระองค์ผู้ทรงส่งเรามาด้วย”

ผู้ที่ไม่ได้ต่อต้านเราก็อยู่ฝ่ายเรา(B)

38 ยอห์นทูลว่า “พระอาจารย์ พวกข้าพระองค์เห็นชายคนหนึ่งขับผีออกในพระนามของพระองค์ พวกข้าพระองค์จึงห้ามเขาเพราะเขาไม่ได้อยู่ในกลุ่มของเรา”

39 พระเยซูตรัสว่า “อย่าห้ามเขาเลย ไม่มีใครหรอกที่ทำการอัศจรรย์ในนามของเราแล้วครู่ต่อมาก็พูดไม่ดีเกี่ยวกับเรา 40 เพราะผู้ใดไม่ได้ต่อต้านเราก็อยู่ฝ่ายเรา 41 เราบอกความจริงแก่ท่านว่าผู้ใดเอาน้ำเย็นถ้วยหนึ่งให้ท่านในนามของเราเนื่องจากท่านเป็นคนของพระคริสต์ ผู้นั้นจะไม่ขาดบำเหน็จอย่างแน่นอน”

Thai New Contemporary Bible (TNCV)

Thai New Contemporary Bible Copyright © 1999, 2001, 2007 by Biblica, Inc.® Used by permission. All rights reserved worldwide.