Book of Common Prayer
(มัสคิล[a]ของอาสาฟ)
78 ประชากรของข้าพเจ้าเอ๋ย จงฟังคำสอนของข้าพเจ้าเถิด
จงรับฟังวาจาจากปากของข้าพเจ้า
2 ข้าพเจ้าจะเอื้อนเอ่ยคำอุปมา
ข้าพเจ้าจะเผยสิ่งที่ซ่อนเร้นไว้ตั้งแต่โบราณกาล
3 สิ่งที่เราได้ยินและได้ทราบ
สิ่งที่บรรพบุรุษของเราบอกต่อๆ กันมา
4 เราจะไม่ปิดบังไว้จากลูกหลานของพวกเขา
จะบอกแก่คนรุ่นต่อมา
ถึงบรรดาพระราชกิจอันสมควรแก่การสรรเสริญขององค์พระผู้เป็นเจ้า
ถึงฤทธานุภาพของพระองค์และการอัศจรรย์ต่างๆ ที่พระองค์ได้ทรงกระทำ
5 พระองค์ทรงวางกฎเกณฑ์สำหรับยาโคบ
และตั้งบทบัญญัติในอิสราเอล
ซึ่งทรงบัญชาบรรพบุรุษของเรา
ให้สอนลูกหลานของพวกเขา
6 เพื่อชนรุ่นหลังจะได้รู้
แม้แต่ลูกหลานที่จะเกิดมา
และถึงคราวที่พวกเขาจะต้องบอกลูกหลานของตนต่อไป
7 เพื่อพวกเขาจะได้วางใจในพระเจ้า
และไม่ลืมสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำ
และจะปฏิบัติตามพระบัญชาของพระองค์
8 พวกเขาจะได้ไม่ต้องเป็นเหมือนบรรพบุรุษ
ซึ่งดื้อดึงและชอบกบฏ
จิตใจไม่จงรักภักดีต่อพระเจ้า
จิตวิญญาณไม่ซื่อสัตย์ต่อพระองค์
9 แม้ชนเผ่าเอฟราอิมมีธนูเป็นอาวุธครบครัน
ก็ยังหันหลังวิ่งหนีไปในยามสงคราม
10 เพราะเขาไม่รักษาพันธสัญญาของพระเจ้า
ไม่ยอมดำเนินชีวิตตามบทบัญญัติของพระองค์
11 เขาลืมสิ่งที่พระองค์ได้ทรงกระทำ
ลืมการอัศจรรย์ต่างๆ ที่ได้ทรงสำแดงแก่เขา
12 พระองค์ทรงทำการอัศจรรย์ต่อหน้าต่อตาบรรพบุรุษของเขา
ในดินแดนอียิปต์ ในเขตแดนโศอัน
13 พระองค์ทรงแยกทะเลและนำพวกเขาเดินข้ามไป
พระองค์ทรงทำให้น้ำตั้งขึ้นเป็นกำแพง
14 พระองค์ทรงนำเขาด้วยเมฆในยามกลางวัน
และด้วยแสงจากไฟในยามกลางคืน
15 พระองค์ทรงแยกศิลาออกในถิ่นกันดาร
ประทานน้ำพุ่งขึ้นมามากมายเหมือนทะเลให้เขาดื่ม
16 พระองค์ทรงทำให้ธารน้ำไหลออกมาจากศิลา
และให้น้ำไหลรินดั่งแม่น้ำ
17 ถึงกระนั้นพวกเขาก็ยังคงทำบาปต่อพระองค์
กบฏต่อองค์ผู้สูงสุดในถิ่นกันดาร
18 พวกเขาจงใจลองดีกับพระเจ้า
โดยเรียกร้องอาหารที่อยากกิน
19 เขาต่อว่าพระเจ้าว่า
“พระเจ้าทรงจัดสำรับ
ในถิ่นกันดารได้หรือ?
20 เมื่อทรงตีหิน น้ำก็พุ่งออกมา
ลำธารไหลล้น
แต่พระองค์จะประทานอาหารให้พวกเราได้ด้วยหรือ?
พระองค์จะประทานเนื้อให้คนของพระองค์ได้ด้วยหรือ?”
21 เมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงได้ยิน พระองค์ก็กริ้วยิ่งนัก
เพลิงของพระองค์เผาผลาญยาโคบ
พระพิโรธพลุ่งขึ้นต่อสู้อิสราเอล
22 เพราะพวกเขาไม่ได้เชื่อในพระเจ้า
หรือไว้วางใจว่าพระองค์จะทรงช่วยกู้ได้
23 ถึงกระนั้นพระองค์ยังทรงบัญชาฟ้าเบื้องบน
และทรงเปิดประตูสวรรค์
24 พระองค์ทรงให้มานาโปรยปรายลงมาเป็นอาหารของพวกเขา
พระองค์ประทานธัญญาหารจากฟ้าสวรรค์แก่พวกเขา
25 มนุษย์ได้กินอาหารของทูตสวรรค์
พระองค์ประทานอาหารแก่พวกเขาจนอิ่มหนำ
26 พระองค์ทรงให้ลมตะวันออกมาจากฟ้าสวรรค์
และทรงนำลมใต้มาโดยพระเดชานุภาพ
27 พระองค์ทรงให้เนื้อตกลงมามากมายดั่งฝุ่น
คือฝูงนกคลาคล่ำดั่งเม็ดทรายที่ชายทะเล
28 พระองค์ทรงกระทำให้นกเหล่านั้นลงมาที่ค่ายพักแรม
รอบๆ เต็นท์ของพวกเขา
29 พวกเขาได้รับประทานจนอิ่มหนำ
เพราะพระองค์ประทานให้จนสมอยาก
30 แต่ก่อนที่พวกเขาจะอิ่ม
ขณะที่เนื้อยังคาปากอยู่
31 พระพิโรธของพระเจ้าก็พลุ่งขึ้นต่อพวกเขา
พระองค์ทรงประหารคนกำยำล่ำสันที่สุดของพวกเขา
และทรงสังหารคนหนุ่มของอิสราเอล
32 ทั้งๆ ที่เห็นทั้งหมดนี้แล้ว พวกเขาก็ยังคงทำบาปต่อไป
ทั้งๆที่เห็นการอัศจรรย์ต่างๆ ของพระองค์ พวกเขาก็ยังไม่เชื่อ
33 ดังนั้นพระองค์จึงทรงทำให้วันคืนของเขาจบลงอย่างสูญเปล่า
และทำให้ปีเดือนของเขาจบลงด้วยความหวาดหวั่นพรั่นพรึง
34 เมื่อใดก็ตามที่พระเจ้าประหารพวกเขา พวกเขาจะแสวงหาพระองค์
พวกเขาจะกระตือรือร้นหวนกลับมาหาพระองค์อีกครั้ง
35 พวกเขาระลึกได้ว่าพระเจ้าทรงเป็นพระศิลา
ระลึกได้ว่าพระเจ้าผู้สูงสุดทรงเป็นพระผู้ไถ่ของพวกเขา
36 แต่แล้วพวกเขาจะยกยอพระองค์ด้วยลมปาก
มุสาต่อพระองค์ด้วยลิ้นของพวกเขา
37 จิตใจของพวกเขาไม่ได้จงรักภักดีต่อพระองค์
พวกเขาไม่ได้ซื่อสัตย์ต่อพันธสัญญาของพระองค์
38 ถึงกระนั้นพระองค์ยังทรงเมตตากรุณา
พระองค์ทรงอภัยความชั่วช้าของพวกเขา
และไม่ได้ทำลายล้างพวกเขาเสียหมด
หลายต่อหลายครั้งพระองค์ทรงยับยั้งความกริ้ว
ไม่ให้พระพิโรธพลุ่งขึ้นเต็มที่
39 พระองค์ทรงระลึกว่าพวกเขาเป็นเพียงมนุษย์
เป็นแค่ลมวูบหนึ่ง ซึ่งผ่านไปแล้วไม่หวนกลับมา
40 พวกเขากบฏต่อพระองค์ในถิ่นกันดาร
และกระทำให้พระองค์เศร้าพระทัยในดินแดนร้างเปล่าบ่อยเหลือเกิน!
41 พวกเขาลองดีกับพระเจ้าครั้งแล้วครั้งเล่า
พวกยั่วยุองค์บริสุทธิ์แห่งอิสราเอล
42 พวกเขาไม่ได้นึกถึงพระเดชานุภาพ
ในวันที่พระองค์ทรงช่วยพวกเขาให้พ้นจากผู้ข่มเหงรังแก
43 ในวันที่พระองค์ทรงสำแดงหมายสำคัญต่างๆ ในอียิปต์
ทรงสำแดงปาฏิหาริย์ต่างๆ ในดินแดนโศอัน
44 พระองค์ทรงเปลี่ยนน้ำให้เป็นเลือด
จนไม่มีใครอาจดื่มน้ำจากธารน้ำได้
45 พระองค์ทรงส่งฝูงเหลือบมาเล่นงานพวกเขา
และทรงส่งฝูงกบมาทำลายล้างพวกเขา
46 พระองค์ทรงยกพืชผลของพวกเขาให้แก่ตั๊กแตน
ทรงยกผลิตผลของพวกเขาให้แก่ฝูงตั๊กแตน
47 พระองค์ทรงให้ลูกเห็บทำลายเถาองุ่นของพวกเขา
และทรงให้น้ำค้างแข็งทำลายต้นมะเดื่อของพวกเขา
48 พระองค์ทรงให้ลูกเห็บจัดการกับฝูงวัวของพวกเขา
ทรงให้ฟ้าผ่าจัดการกับฝูงปศุสัตว์ของพวกเขา
49 พระองค์ทรงระบายความกริ้วอันเกรี้ยวกราด
ทรงระบายพระพิโรธ ความขุ่นเคืองพระทัย และการเป็นปฏิปักษ์ต่อพวกเขา
ทรงส่งเหล่าทูตสวรรค์ผู้ล้างผลาญมาลงโทษพวกเขา
50 พระองค์ทรงเตรียมทางสำหรับพระพิโรธของพระองค์
พระองค์ไม่ได้ทรงไว้ชีวิตพวกเขา
แต่ทรงหยิบยื่นพวกเขาให้แก่โรคระบาด
51 พระองค์ทรงประหารลูกหัวปีทั้งสิ้นในอียิปต์
คือผลแรกแห่งวัยฉกรรจ์ในเต็นท์ของฮาม
52 แต่พระองค์ทรงนำประชากรของพระองค์ออกมาอย่างฝูงแกะ
พระองค์ทรงนำพวกเขาดั่งนำแกะผ่านถิ่นกันดาร
53 พระองค์ทรงนำพวกเขามาอย่างปลอดภัย พวกเขาจึงไม่หวาดหวั่น
แต่น้ำทะเลซัดท่วมศัตรูของพวกเขา
54 ดังนั้นพระองค์ทรงนำพวกเขามาถึงเขตดินแดนบริสุทธิ์ของพระองค์
มายังดินแดนเทือกเขาซึ่งได้มาโดยพระหัตถ์ขวาของพระองค์
55 พระองค์ทรงขับไล่ชนชาติต่างๆ ไปต่อหน้าต่อตาพวกเขา
และแบ่งสรรปันส่วนดินแดนให้พวกเขาเป็นมรดก
พระองค์ทรงให้เผ่าต่างๆ ของอิสราเอลตั้งถิ่นฐานในบ้านของคนเหล่านั้น
56 แต่พวกเขาก็ยังลองดีกับพระเจ้า
และกบฏต่อองค์ผู้สูงสุด
พวกเขาไม่ยอมปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ของพระองค์
57 เช่นเดียวกับบรรพบุรุษ พวกเขาไม่มีความจงรักภักดีและไม่มีความซื่อสัตย์
เหมือนคันธนูบิดที่ไว้ใจไม่ได้
58 พวกเขายั่วยุพระพิโรธด้วยสถานบูชาบนที่สูงทั้งหลาย
พวกเขากระตุ้นความหึงหวงของพระองค์ด้วยรูปเคารพต่างๆ
59 เมื่อพระเจ้าทรงได้ยิน พระองค์ก็ทรงพระพิโรธยิ่งนัก
พระองค์ไม่ทรงยอมรับอิสราเอลเลย
60 พระองค์ทรงละทิ้งพลับพลาแห่งชิโลห์
ที่ซึ่งพระองค์ประทับท่ามกลางมนุษย์
61 และทรงยินยอมให้หีบพันธสัญญาของพระองค์ถูกยึดไป
ทรงหยิบยื่นสง่าราศีของพระองค์ให้ตกอยู่ในมือของศัตรู
62 พระองค์ทรงกระทำให้ประชากรของพระองค์ตกเป็นเหยื่อของคมดาบ
พระองค์ทรงพระพิโรธต่อผู้ที่เป็นกรรมสิทธิ์ของพระองค์ยิ่งนัก
63 ไฟเผาผลาญหนุ่มฉกรรจ์
ส่วนหญิงสาวไม่มีเพลงสมรส
64 เหล่าปุโรหิตถูกประหารด้วยดาบ
และภรรยาม่ายของพวกเขาก็ไม่สามารถร้องไห้ไว้ทุกข์
65 แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงลุกขึ้นดั่งตื่นจากบรรทม
เหมือนนักรบสร่างจากฤทธิ์เหล้าองุ่น
66 พระองค์ทรงรุกไล่ศัตรูของพระองค์ให้ล่าถอยไป
พระองค์ทรงส่งพวกเขาไปสู่ความอัปยศนิรันดร์
67 แล้วพระองค์ทรงปฏิเสธเต็นท์ของโยเซฟ
พระองค์ไม่ได้ทรงเลือกชนเผ่าเอฟราอิม
68 แต่พระองค์ทรงเลือกเผ่ายูดาห์
และภูเขาศิโยนที่พระองค์ทรงรัก
69 พระองค์ทรงสร้างสถานนมัสการของพระองค์ให้สูงตระหง่านและยืนยง
ดั่งพื้นปฐพีที่พระองค์ทรงสถาปนาไว้เป็นนิตย์
70 พระองค์ทรงเลือกดาวิดผู้รับใช้ของพระองค์
และทรงนำเขาออกมาจากคอกแกะ
71 ทรงนำเขาออกจากการเลี้ยงดูฝูงแกะ
มาเป็นผู้เลี้ยงดูยาโคบประชากรของพระองค์
เลี้ยงดูอิสราเอลผู้เป็นกรรมสิทธิ์ของพระองค์
72 และดาวิดได้เลี้ยงดูพวกเขาด้วยใจซื่อสัตย์สุจริต
นำพวกเขาไปด้วยมืออันเชี่ยวชาญ
26 “แต่พวกเขาไม่เชื่อฟังและกบฏต่อพระองค์ ทอดทิ้งบทบัญญัติ สังหารบรรดาผู้เผยพระวจนะของพระองค์ซึ่งเตือนให้พวกเขาหันกลับมาหาพระองค์ พวกเขาหมิ่นประมาทพระองค์อย่างร้ายแรง 27 ฉะนั้นพระองค์ทรงมอบพวกเขาไว้ในมือของศัตรูผู้ที่กดขี่ข่มเหงพวกเขา แต่เมื่อพวกเขาถูกกดขี่ข่มเหง พวกเขาก็ร้องทูลพระองค์ พระองค์ทรงสดับฟังจากฟ้าสวรรค์และโปรดประทานผู้ช่วยกู้มาช่วยพวกเขาให้พ้นจากมือของเหล่าศัตรูด้วยความเอ็นดูสงสาร
28 “แต่พอพวกเขาได้พักสงบ พวกเขาก็ทำสิ่งที่ชั่วในสายพระเนตรของพระองค์อีก พระองค์จึงทรงทิ้งพวกเขาไว้ในมือของศัตรู ให้ศัตรูปกครองพวกเขา และเมื่อพวกเขาร้องทูลพระองค์อีก พระองค์ก็ทรงสดับฟังจากฟ้าสวรรค์และทรงกอบกู้พวกเขาครั้งแล้วครั้งเล่าด้วยความเอ็นดูสงสาร
29 “พระองค์ทรงเตือนให้พวกเขาหันกลับมายังบทบัญญัติของพระองค์ แต่พวกเขาหยิ่งผยองและไม่เชื่อฟังพระบัญชาของพระองค์ พวกเขาทำบาปต่อข้อปฏิบัติของพระองค์ซึ่งถ้าผู้ใดปฏิบัติตามจะมีชีวิตอยู่ พวกเขาหันหลังให้พระองค์อย่างดื้อรั้นอวดดีและไม่ยอมฟัง 30 พระองค์ทรงอดกลั้นพระทัยต่อพวกเขามาตลอดหลายปี พระองค์ทรงเตือนสติพวกเขาโดยพระวิญญาณของพระองค์ผ่านทางผู้เผยพระวจนะของพระองค์ แต่พวกเขาก็ไม่แยแส พระองค์จึงทรงมอบพวกเขาไว้ในเงื้อมมือของชนชาติเพื่อนบ้าน 31 แต่ด้วยพระกรุณาธิคุณอันใหญ่หลวง พระองค์ไม่ได้ทรงทำลายพวกเขาจนย่อยยับหรือทอดทิ้งพวกเขาไป เพราะพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้เปี่ยมด้วยพระคุณและพระเมตตา
32 “ฉะนั้นบัดนี้ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ทั้งหลาย ผู้ทรงเป็นพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ ทรงฤทธิ์และน่าเกรงขาม ผู้ทรงรักษาพันธสัญญาแห่งความรักของพระองค์ ขออย่าให้ความทุกข์ยากลำบากทั้งปวงนี้เป็นสิ่งเล็กน้อยในสายพระเนตรของพระองค์ ความทุกข์ยากที่เกิดขึ้นกับข้าพระองค์ทั้งหลายกับบรรดากษัตริย์และเหล่าผู้นำกับบรรดาปุโรหิต และผู้เผยพระวจนะทั้งหลายของเรากับบรรพบุรุษของเราและปวงประชากรของพระองค์ตั้งแต่สมัยเหล่ากษัตริย์แห่งอัสซีเรียจนถึงวันนี้ 33 ทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับข้าพระองค์ทั้งหลายนั้น พระองค์ทรงเที่ยงธรรม พระองค์ทรงทำทุกอย่างด้วยความซื่อสัตย์ขณะที่ข้าพระองค์ทั้งหลายได้ทำผิด 34 บรรดากษัตริย์ ผู้นำ ปุโรหิต และบรรพบุรุษของข้าพระองค์ทั้งหลายไม่ได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติของพระองค์ พวกเขาไม่ใส่ใจพระบัญชาและพระดำรัสเตือนของพระองค์ 35 แม้ขณะที่พวกเขาอยู่ในอาณาจักรของพวกเขา ได้ชื่นชมความดีเลิศที่ทรงมีต่อพวกเขาในดินแดนอันกว้างขวางและอุดมสมบูรณ์ที่ทรงประทาน พวกเขาไม่ได้ปรนนิบัติรับใช้พระองค์หรือหันจากทางชั่วของพวกเขา
36 “แต่ดูเถิด วันนี้ข้าพระองค์ทั้งหลายตกเป็นทาสในดินแดนซึ่งทรงประทานแก่เหล่าบรรพบุรุษของข้าพระองค์ทั้งหลายเพื่อพวกเขาจะได้อิ่มเอมกับพืชผลและสิ่งดีงามทั้งปวงของดินแดนนั้น 37 เนื่องจากบาปของข้าพระองค์ทั้งหลาย ผลผลิตอันมั่งคั่งจึงตกเป็นของบรรดากษัตริย์ซึ่งพระองค์ทรงให้ปกครองข้าพระองค์ทั้งหลาย เขาเหล่านั้นใช้อำนาจเหนือร่างกายและเหนือฝูงสัตว์ของข้าพระองค์ทั้งหลายตามใจชอบ ข้าพระองค์ทั้งหลายทุกข์ยากแสนสาหัส
การถวายปฏิญาณ
38 “เนื่องจากสิ่งทั้งปวงนี้ ข้าพระองค์ทั้งหลายขอทำข้อตกลงอันมั่นคงและบันทึกไว้ บรรดาผู้นำ คนเลวี และปุโรหิตประทับตราของพวกเขารับรอง”
9 “เมื่อบรรดากษัตริย์ของโลกที่ร่วมประเวณีและร่วมฟุ้งเฟ้อกับนครนั้นเห็นควันไฟที่เผามัน พวกเขาจะร่ำไห้และไว้อาลัยให้นครนั้น 10 พวกเขากลัวภัยแห่งความทุกข์ทรมานของมันจึงยืนอยู่ห่างๆ และร้องว่า
“ ‘วิบัติ! วิบัติแล้ว โอ มหานคร
โอ บาบิโลน นครซึ่งเรืองอำนาจ!
เพียงชั่วโมงเดียวความพินาศย่อยยับก็มาถึงเจ้า!’
11 “พ่อค้าทั้งหลายของโลกจะร่ำไห้ไว้อาลัยนครนั้นเพราะไม่มีใครซื้อสินค้าของเขาอีกแล้ว 12 คือทองคำ เงิน เพชรพลอยและไข่มุก ผ้าลินินเนื้อดี ผ้าสีม่วง ผ้าไหมและผ้าสีแดงเข้ม ไม้หอมทุกชนิดและผลิตภัณฑ์ต่างๆ จากงาช้าง ไม้ราคาแพง ทองสัมฤทธิ์ เหล็กและหินอ่อน 13 สินค้าอื่นๆ คืออบเชย เครื่องเทศ เครื่องหอม มดยอบ กำยาน เหล้าองุ่น น้ำมันมะกอก แป้งละเอียด ข้าวสาลี วัว แกะ ม้า รถม้า ร่างกายและวิญญาณมนุษย์
14 “เขาทั้งหลายจะกล่าวว่า ‘ผลที่เจ้าใฝ่หาได้พ้นมือเจ้าไปแล้ว ทรัพย์สมบัติและความหรูหราทั้งปวงของเจ้าได้สูญสิ้นไปแล้ว มันไม่มีวันฟื้นตัวขึ้นมาอีกแล้ว’ 15 บรรดาพ่อค้าที่ร่ำรวยจากการขายสินค้าให้นครนั้นจะยืนอยู่ห่างๆ เพราะกลัวภัยแห่งความทุกข์ทรมานของมัน พวกเขาจะร่ำไห้ไว้อาลัย 16 และร้องว่า
“ ‘วิบัติ! วิบัติแล้ว โอ มหานคร
เจ้านุ่งห่มผ้าลินินเนื้อดี ผ้าสีม่วง และผ้าสีแดงเข้ม
แพรวพราวด้วยทองคำ เพชรพลอย และไข่มุก
17 เพียงชั่วโมงเดียวทรัพย์สมบัติอลังการทั้งหลายก็ได้ถูกทำลายย่อยยับไป!’
“นายเรือทุกคน ผู้โดยสาร ลูกเรือ และคนทั้งปวงที่หาเลี้ยงชีพจากทะเลจะยืนอยู่ห่างๆ 18 เมื่อเห็นควันที่เผานครนั้นพวกเขาจะร้องว่า ‘เคยมีนครไหนบ้างที่เหมือนนครยิ่งใหญ่นี้?’ 19 พวกเขาจะโปรยผงคลีใส่ศีรษะของตน ร่ำไห้คร่ำครวญ และร้องว่า
“ ‘วิบัติ! วิบัติแล้ว โอ มหานคร
ที่นี่ทำให้ทุกคนผู้มีเรือเดินทะเล
ร่ำรวยด้วยความมั่งคั่งของมัน
เพียงชั่วโมงเดียวมันก็ถูกทำลายย่อยยับไป!’
20 “สวรรค์เอ๋ย จงชื่นชมยินดีเนื่องด้วยนครนี้!
ประชากรของพระเจ้า อัครทูต และผู้เผยพระวจนะทั้งหลาย
จงเปรมปรีดิ์เถิด! พระเจ้าทรงพิพากษา
ลงโทษนครนี้ให้ท่านแล้ว”
ความเชื่อของหญิงชาวคานาอัน(A)
21 จากที่นั่นพระเยซูเสด็จเข้าสู่เขตเมืองไทระและเมืองไซดอน 22 มีหญิงชาวคานาอันคนหนึ่งจากละแวกนั้นมาร้องทูลพระองค์ว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า บุตรดาวิดเจ้าข้า เมตตาข้าพระองค์ด้วยเถิด! ลูกสาวของข้าพระองค์ถูกผีสิงทรมานเหลือเกิน”
23 พระเยซูไม่ทรงตอบนางสักคำ เหล่าสาวกมาทูลพระองค์ว่า “ไล่นางไปเถิดเพราะนางมาร้องเซ้าซี้เรา”
24 พระองค์ทรงตอบว่า “เราถูกส่งมาเพื่อแกะหลงของอิสราเอลเท่านั้น”
25 หญิงนั้นมาคุกเข่าทูลว่า “พระองค์เจ้าข้า ช่วยข้าพระองค์ด้วย!”
26 พระองค์ตรัสตอบว่า “ที่จะเอาอาหารของลูกโยนให้สุนัขก็ไม่ถูกต้อง”
27 หญิงนั้นทูลว่า “จริงเจ้าข้า แต่สุนัขยังได้กินเศษอาหารที่หล่นจากโต๊ะของนาย”
28 พระเยซูจึงตรัสตอบว่า “หญิงเอ๋ย เจ้ามีความเชื่อยิ่งใหญ่นัก! ให้เป็นไปตามที่เจ้าขอเถิด” และบุตรสาวของนางก็หายป่วยในขณะนั้นเอง
Thai New Contemporary Bible Copyright © 1999, 2001, 2007 by Biblica, Inc.® Used by permission. All rights reserved worldwide.