Book of Common Prayer
(มิคทาม[a]บทหนึ่งของดาวิด)
16 ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงปกป้องข้าพระองค์ให้ปลอดภัย
เพราะข้าพระองค์ลี้ภัยในพระองค์
2 ข้าพเจ้ากราบทูลองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า “พระองค์ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพระองค์
นอกจากพระองค์แล้ว ข้าพระองค์ไม่มีอะไรดีเลย”
3 ข้าพเจ้าชื่นชมเหล่าวิสุทธิชนในโลกนี้
พวกเขาเป็นผู้ทรงเกียรติ น่ายกย่อง
4 บรรดาผู้ที่ติดตามพระอื่นๆ จะทุกข์โศกมากยิ่งขึ้น
ข้าพเจ้าจะไม่เทเลือดถวายเป็นเครื่องสักการบูชาเหมือนที่พวกเขาทำ
หรือเอ่ยชื่อพระต่างๆ ของพวกเขา
5 ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทรงเป็นส่วนมรดกและเป็นจอกแห่งพระพรของข้าพระองค์
พระองค์ทรงดูแลรักษากรรมสิทธิ์ของข้าพระองค์
6 ทรงให้ข้าพระองค์ได้รับส่วนในเขตแดนอันรื่นรมย์
แน่นอน ข้าพระองค์มีมรดกอันน่าชื่นชม
7 ข้าพเจ้าจะสรรเสริญองค์พระผู้เป็นเจ้า ผู้ทรงให้คำปรึกษาแก่ข้าพเจ้า
แม้ในยามค่ำคืนจิตใจของข้าพเจ้าก็สอนตัวเอง
8 ข้าพเจ้าให้องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอยู่ตรงหน้าข้าพเจ้าเสมอ
เพราะพระองค์ทรงประทับอยู่ที่ด้านขวามือของข้าพเจ้า
ข้าพเจ้าจะไม่หวั่นไหว
9 ฉะนั้นจิตใจของข้าพเจ้าจึงยินดีและลิ้นของข้าพเจ้าก็ปรีดา
กายของข้าพเจ้าก็จะพักอยู่อย่างปลอดภัยเช่นกัน
10 เพราะพระองค์จะไม่ทรงทิ้งข้าพระองค์ไว้กับหลุมฝังศพ
ทั้งจะไม่ทรงปล่อยให้ผู้ซื่อสัตย์ของพระองค์[b]เน่าเปื่อย
11 พระองค์ได้ทรงสำแดง[c]หนทางแห่งชีวิตแก่ข้าพระองค์
พระองค์จะทรงให้ข้าพระองค์เปี่ยมด้วยความชื่นชมยินดีต่อหน้าพระองค์
มีความชื่นบานอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระองค์เป็นนิตย์
(คำอธิษฐานของดาวิด)
17 ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ขอทรงฟังคำอ้อนวอนขอความยุติธรรมของข้าพระองค์
ขอทรงฟังคำร้องทูลของข้าพระองค์
ขอทรงฟังคำอธิษฐานของข้าพระองค์
คำที่ไม่ได้มาจากริมฝีปากอันหลอกลวง
2 ขอให้พระองค์ทรงตัดสินว่าข้าพระองค์บริสุทธิ์
ขอให้พระเนตรของพระองค์เห็นสิ่งที่ถูกต้อง
3 แม้พระองค์ได้ทรงพิสูจน์จิตใจของข้าพระองค์ แม้พระองค์ได้ตรวจสอบข้าพระองค์ในยามค่ำคืน
และทดสอบข้าพระองค์ พระองค์จะเห็นว่าข้าพระองค์ไม่ได้วางแผนชั่วใดๆ
ปากของข้าพระองค์จะไม่ทำบาป
4 ข้าพระองค์ได้ระวังตน
ให้พ้นจากวิถีทางของคนใจเหี้ยม
โดยอาศัยพระวจนะ
จากพระโอษฐ์ของพระองค์
5 ย่างเท้าของข้าพระองค์ได้ยึดมั่นอยู่บนวิถีของพระองค์
เท้าของข้าพระองค์ไม่พลาดพลั้ง
6 ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์กราบทูลพระองค์ เพราะพระองค์จะทรงตอบข้าพระองค์
ขอทรงเงี่ยพระกรรณฟังข้าพระองค์ และสดับฟังคำอธิษฐานของข้าพระองค์
7 ขอทรงสำแดงความมหัศจรรย์แห่งความรักอันยิ่งใหญ่ของพระองค์
พระองค์ผู้ทรงช่วยบรรดาผู้ที่ลี้ภัยในพระองค์
ให้พ้นจากศัตรูของเขาโดยพระหัตถ์ขวาของพระองค์
8 ขอทรงปกป้องข้าพระองค์ดั่งแก้วพระเนตรของพระองค์
ขอทรงซ่อนข้าพระองค์ไว้ใต้ร่มปีกของพระองค์
9 ให้พ้นจากคนชั่วที่รุกรานข้าพระองค์
จากศัตรูตัวฉกาจที่ล้อมรอบข้าพระองค์
10 พวกเขาไร้ความเมตตา
และปากของเขากล่าวคำโอหัง
11 พวกเขาไล่ล่าข้าพระองค์ และบัดนี้ล้อมข้าพระองค์ไว้
และกระเหี้ยนกระหือรือที่จะเหวี่ยงข้าพระองค์ลงกับพื้น
12 เขาเปรียบเหมือนสิงโตกระหายเหยื่อ
เหมือนราชสีห์ซุ่มรอขย้ำ
13 ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ขอทรงลุกขึ้นต่อสู้คนชั่ว ขอทรงโค่นล้มเขา
ขอทรงช่วยข้าพระองค์ให้พ้นจากคนชั่วด้วยดาบของพระองค์
14 ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า โดยพระหัตถ์ของพระองค์ ขอทรงช่วยกู้ข้าพระองค์จากคนเช่นนี้
จากคนของโลกนี้ซึ่งบำเหน็จของเขาอยู่แค่ในชีวิตนี้
ขอให้สิ่งที่พระองค์ได้สั่งสมไว้ให้คนชั่วเติมเต็มท้องของพวกเขา
ขอให้ลูกหลานของพวกเขากินมันอย่างตะกละตะกลาม
ขอให้เหลือตกทอดไปถึงลูกเล็กเด็กแดง
15 และข้าพระองค์จะได้เห็นพระพักตร์ของพระองค์ในความชอบธรรม
เมื่อตื่นขึ้น ข้าพระองค์จะอิ่มเอิบใจที่ได้เห็นพระลักษณะของพระองค์
(ถึงหัวหน้านักร้อง ทำนอง “กวางแห่งรุ่งอรุณ” บทสดุดีของดาวิด)
22 พระเจ้าของข้าพระองค์ พระเจ้าของข้าพระองค์ ทำไมทรงทอดทิ้งข้าพระองค์?
เหตุใดพระองค์จึงทรงห่างไกล ไม่มาช่วยกู้ข้าพระองค์?
ทรงห่างไกล ไม่ฟังคำคร่ำครวญของข้าพระองค์?
2 ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ ข้าพระองค์ร้องทูลตลอดวัน แต่พระองค์ไม่ทรงตอบ
ยามค่ำคืนข้าพระองค์ก็ไม่หยุดวิงวอน
3 ถึงกระนั้นพระองค์ทรงประทับบนบัลลังก์ เป็นองค์บริสุทธิ์
พระองค์ทรงเป็นที่สรรเสริญของอิสราเอล[a]
4 บรรพบุรุษของข้าพระองค์ทั้งหลายวางใจในพระองค์
เขาเหล่านั้นวางใจในพระองค์ และพระองค์ทรงช่วยกู้พวกเขา
5 พวกเขาร้องทูลพระองค์และได้รับการช่วยกู้
พวกเขาวางใจในพระองค์และไม่ผิดหวัง
6 แต่ข้าพระองค์เป็นตัวหนอน ไม่ใช่คน
ผู้คนก็ประณาม ประชาชนก็ดูแคลน
7 คนทั้งปวงที่เห็นข้าพระองค์ก็เย้ยหยัน
พวกเขาส่ายหน้าและพูดเหยียดหยามใส่ข้าพระองค์ว่า
8 “เขาวางใจในองค์พระผู้เป็นเจ้า
ก็ให้องค์พระผู้เป็นเจ้าช่วยเขาสิ
ในเมื่อพระองค์ปีติยินดีในตัวเขา
ก็ให้พระองค์ช่วยกู้เขาสิ”
9 ถึงกระนั้นพระองค์ทรงนำข้าพระองค์ออกมาจากครรภ์
พระองค์ทรงทำให้ข้าพระองค์วางใจใน
พระองค์ตั้งแต่อยู่ในอ้อมอกแม่
10 ตั้งแต่เกิด ข้าพระองค์ก็ถูกทิ้งให้พึ่งพิงพระองค์
ตั้งแต่ข้าพระองค์ยังอยู่ในครรภ์มารดา พระองค์ก็ทรงเป็นพระเจ้าของข้าพระองค์
11 ขออย่าทรงไกลห่างจากข้าพระองค์
เพราะความทุกข์ร้อนอยู่ใกล้
และไม่มีใครช่วยได้เลย
12 เหล่ากระทิงห้อมล้อมข้าพระองค์
ฝูงโคถึกแห่งบาชานรุมล้อมข้าพระองค์
13 พวกเขาอ้าปากกว้างเข้าใส่ข้าพระองค์
ดั่งสิงโตคำรามและกัดฉีกเหยื่อ
14 พละกำลังของข้าพระองค์เหือดแห้งไปดั่งสายน้ำ
กระดูกทุกซี่ของข้าพระองค์หลุดจากข้อต่อ
ใจของข้าพระองค์อ่อนล้าดั่งขี้ผึ้ง
หลอมละลายภายในข้าพระองค์
15 กำลังของข้าพระองค์แห้งผากไปดั่งดินเผา
ลิ้นของข้าพระองค์เกาะติดเพดานปาก
พระองค์ทรงปล่อยให้ข้าพระองค์นอน[b] เกลือกธุลีแห่งความตาย
16 เหล่าสุนัขรายล้อมข้าพระองค์
กลุ่มคนชั่วรุมล้อมข้าพระองค์
พวกเขาทิ่มแทงมือและเท้าของข้าพระองค์
17 ข้าพระองค์สามารถนับกระดูกทั้งหมดของข้าพระองค์
ผู้คนจ้องมองข้าพระองค์อย่างสะใจ
18 พวกเขาเอาเครื่องนุ่งห่มของข้าพระองค์มาแบ่งกัน
และเอาเสื้อผ้าของข้าพระองค์มาจับสลาก
19 ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ส่วนพระองค์ ขออย่าทรงห่างไกล
ข้าแต่องค์ผู้ทรงเป็นพละกำลังของข้าพระองค์ โปรดรีบรุดเสด็จมาช่วยข้าพระองค์
20 ขอทรงช่วยข้าพระองค์ให้พ้นจากคมดาบ
ขอทรงช่วยชีวิตอันมีค่าของข้าพระองค์ให้พ้นจากอำนาจของเหล่าสุนัข
21 ขอทรงช่วยข้าพระองค์ให้พ้นจากปากสิงห์
ขอทรงช่วยให้รอดพ้นจากเขาของวัวป่า
22 ข้าพระองค์จะประกาศพระนามของพระองค์แก่พี่น้องทั้งหลายของข้าพระองค์
จะสรรเสริญพระองค์ในที่ประชุม
23 ท่านทั้งหลายที่ยำเกรงองค์พระผู้เป็นเจ้า จงสรรเสริญพระองค์!
ท่านทั้งปวงผู้เป็นวงศ์วานของยาโคบ จงถวายพระเกียรติแด่พระองค์!
จงยำเกรงพระองค์เถิด ท่านทั้งปวงผู้เป็นวงศ์วานของอิสราเอล!
24 เพราะพระองค์ไม่ได้ทรงดูแคลนหรือรังเกียจเดียดฉันท์
ความทุกข์ทรมานของผู้ตกทุกข์ได้ยาก
พระองค์ไม่ได้ทรงซ่อนพระพักตร์จากเขา
แต่ทรงสดับฟังเสียงร้องขอความช่วยเหลือของเขา
25 เนื่องด้วยพระองค์ ข้าพระองค์ร้องสรรเสริญในที่ชุมนุมใหญ่
ข้าพระองค์จะทำตามคำปฏิญาณของข้าพระองค์ ให้สำเร็จต่อหน้าบรรดาผู้ยำเกรงพระองค์
26 คนยากไร้จะรับประทานและอิ่มหนำ
บรรดาผู้เสาะหาองค์พระผู้เป็นเจ้าจะสรรเสริญพระองค์
ขอให้จิตใจของท่านทั้งหลายมีชีวิตอยู่ตลอดกาล!
27 ทั่วทุกมุมโลกจะระลึกได้
และหันมาหาองค์พระผู้เป็นเจ้า
ทุกครอบครัวของชาติต่างๆ
จะหมอบกราบต่อหน้าพระองค์
28 เพราะอำนาจการปกครองเป็นขององค์พระผู้เป็นเจ้า
และพระองค์ทรงปกครองเหนือมวลประชาชาติ
29 คนมั่งคั่งทุกคนในแผ่นดินโลกจะเลี้ยงฉลองและนมัสการพระองค์
ทุกคนที่ต้องกลับสู่ผงคลีดินจะคุกเข่าลงต่อหน้าพระองค์
คือผู้ที่ไม่สามารถรักษาชีวิตของตนไว้ได้
30 บรรดาลูกหลานจะปรนนิบัติพระองค์
มนุษย์จะกล่าวถึงองค์พระผู้เป็นเจ้าให้คนรุ่นต่อไปฟัง
31 พวกเขาจะประกาศความชอบธรรมของพระองค์
แก่ชนรุ่นหลังที่ยังไม่เกิดมา
เพราะพระองค์ได้ทรงกระทำเช่นนั้น
โบอาสแต่งงานกับรูธ
4 ฝ่ายโบอาสไปยังประตูเมืองและนั่งอยู่ที่นั่น เมื่อญาติสนิทคนที่มีสิทธิ์ไถ่ซึ่งโบอาสกล่าวถึงได้ผ่านมา โบอาสก็กล่าวว่า “เพื่อนเอ๋ย เชิญมานั่งที่นี่ก่อน” ทั้งสองจึงนั่งลงด้วยกัน
2 โบอาสก็เชิญผู้อาวุโสของเมืองนั้นมาสิบคนและกล่าวว่า “ขอเชิญนั่งที่นี่” พวกเขาก็นั่งลง 3 แล้วโบอาสพูดกับญาติซึ่งมีสิทธิ์ไถ่ว่า “นาโอมีซึ่งกลับมาจากโมอับกำลังจะขายที่ดินของเอลีเมเลคญาติของเรา 4 ข้าพเจ้าคิดว่าควรจะพูดเรื่องนี้กับท่าน และแนะให้ท่านซื้อที่ดินต่อหน้าทุกท่านที่นั่งอยู่ที่นี่ต่อหน้าบรรดาผู้อาวุโสของเรา หากท่านอยากจะไถ่ ขอให้ไถ่เถิด แต่หากไม่ไถ่ ขอให้บอก ข้าพเจ้าจะได้รู้ เพราะไม่มีใครมีสิทธิ์ไถ่ยกเว้นท่าน และข้าพเจ้ามีสิทธิ์รองลงมาจากท่าน”
ชายผู้นั้นตอบว่า “ข้าพเจ้าจะไถ่”
5 โบอาสจึงบอกว่า “ในวันที่ท่านซื้อที่ดินจากนาโอมีและจากรูธชาวโมอับ ท่านจะได้[a]ภรรยาม่ายของผู้ตายด้วย เพื่อสืบนามของผู้ตายต่อไปบนที่ดินอันเป็นกรรมสิทธิ์ของเขา”
6 เขาตอบว่า “ถ้าเช่นนั้นข้าพเจ้าไม่สามารถไถ่ได้ เพราะทรัพย์สินส่วนของข้าพเจ้าอาจเสียไป ขอท่านไถ่ไว้เองเถิดเพราะข้าพเจ้าไม่สามารถทำได้”
7 (ในครั้งนั้นเป็นธรรมเนียมในอิสราเอลสำหรับการไถ่และการตกลงโอนสิทธิ์ในทรัพย์สิน โดยฝ่ายหนึ่งถอดรองเท้าออกมามอบให้อีกฝ่ายหนึ่ง เป็นการยืนยันข้อตกลงตามกฎหมายในอิสราเอล)
8 ฉะนั้นขณะที่ชายผู้นั้นพูดกับโบอาสว่า “ท่านซื้อเองเถิด” เขาก็ถอดรองเท้าออกมา
9 โบอาสจึงประกาศกับบรรดาผู้อาวุโสและคนทั้งปวงว่า “ท่านทั้งหลายเป็นพยานว่าในวันนี้ข้าพเจ้าซื้อทรัพย์สินทั้งหมดของเอลีเมเลค คิลิโอน และมาห์โลนจากนาโอมี 10 พร้อมกันนี้ข้าพเจ้าได้ขอรับรูธหญิงชาวโมอับ ภรรยาม่ายของมาห์โลน มาเป็นภรรยาของข้าพเจ้าด้วย เพื่อนางจะได้มีบุตรสืบนามของผู้ตายกับกรรมสิทธิ์ของเขา เพื่อนามของเขาจะไม่ขาดหายไปจากวงศ์ตระกูลหรือทะเบียนราษฎร ท่านทั้งหลายเป็นพยานในวันนี้!”
11 บรรดาผู้อาวุโสและคนทั้งปวงซึ่งยืนอยู่ที่ประตูเมืองจึงกล่าวว่า “เราเป็นสักขีพยาน ขอองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงให้หญิงผู้นี้ซึ่งก้าวเข้ามาสู่เหย้าเรือนของท่านจงเป็นเหมือนราเชลและเลอาห์ ผู้ซึ่งร่วมกันสร้างวงศ์ตระกูลอิสราเอล ขอให้ท่านยิ่งใหญ่ในเอฟราธาห์และมีชื่อเสียงดีในเบธเลเฮม 12 และขอให้ลูกหลานซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้าจะประทานแก่ท่านจากหญิงสาวผู้นี้ คือขอให้ครอบครัวของท่านเป็นเช่นครอบครัวของเปเรศซึ่งทามาร์คลอดให้กับยูดาห์”
ลำดับพงศ์พันธุ์ของดาวิด(A)
13 ดังนั้นโบอาสจึงรับรูธมาเป็นภรรยาและอยู่กินกับนาง องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงโปรดให้นางตั้งครรภ์ และคลอดบุตรชายคนหนึ่ง 14 พวกผู้หญิงกล่าวกับนาโอมีว่า “สรรเสริญองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ซึ่งในวันนี้ไม่ได้ทรงให้เธอปราศจากญาติซึ่งมีสิทธิ์ไถ่ ขอให้เขามีชื่อเสียงเลื่องลือทั่วอิสราเอล! 15 เขาจะฟื้นฟูชีวิตของเธอและเลี้ยงดูเธอยามเธอแก่ชรา เพราะเขาเกิดจากลูกสะใภ้ซึ่งรักเธอ และดีกับเธอยิ่งกว่าลูกชายตั้งเจ็ดคน”
16 นาโอมีรับเด็กมาอุ้มใส่ตักและเลี้ยงดูเขา 17 หญิงเพื่อนบ้านกล่าวว่า “นาโอมีมีลูกชาย” เขาตั้งชื่อเด็กนั้นว่าโอเบด โอเบดเป็นบิดาของเจสซีซึ่งเป็นบิดาของดาวิด
17 คณะผู้ปกครองที่บริหารกิจการของคริสตจักรได้ดีควรได้รับเกียรติเป็นสองเท่า โดยเฉพาะบรรดาผู้ทำหน้าที่เทศนาและสั่งสอน 18 เพราะพระคัมภีร์กล่าวว่า “อย่าเอาตะกร้อครอบปากวัวซึ่งนวดข้าวอยู่”[a] และ “คนงานสมควรได้รับค่าจ้างของตน”[b] 19 อย่ารับพิจารณาคำกล่าวหาผู้ปกครองคนใดเว้นแต่จะมีพยานสองสามคน 20 จงว่ากล่าวตักเตือนผู้ที่ทำบาปต่อหน้าคนทั้งหลายเพื่อคนอื่นๆ จะได้ไม่กล้าเอาอย่าง
21 ข้าพเจ้าขอกำชับท่านในสายพระเนตรพระเจ้าและพระเยซูคริสต์และต่อหน้าเหล่าทูตสวรรค์ที่ทรงเลือก ให้ยึดถือข้อปฏิบัติเหล่านี้โดยไม่ลำเอียงและอย่าทำสิ่งใดโดยเลือกที่รักมักที่ชัง
22 อย่าผลีผลามวางมือให้ใครและอย่ามีส่วนร่วมในบาปของผู้อื่น จงรักษาตัวให้บริสุทธิ์
23 ตั้งแต่นี้ไปอย่าดื่มแต่น้ำ จงเจือเหล้าองุ่นเล็กน้อย เนื่องด้วยกระเพาะอาหารของท่านและความเจ็บป่วยที่ท่านเป็นอยู่บ่อยๆ
24 บาปของบางคนก็ชัดแจ้งนำหน้าเขาไปสู่สถานพิพากษา ส่วนบาปของบางคนตามเขามาในภายหลัง 25 ในทำนองเดียวกันการทำดีย่อมปรากฏชัด แม้ที่ไม่ปรากฏชัดก็ไม่อาจซ่อนได้
พระเยซูที่บ้านของฟาริสีคนหนึ่ง
14 ในวันสะบาโตหนึ่ง เมื่อพระเยซูเสด็จไปเสวยในบ้านของฟาริสีระดับผู้นำคนหนึ่ง พระองค์ทรงถูกจับตาดูอย่างใกล้ชิด 2 มีชายคนหนึ่งป่วยด้วยโรคท้องมานมาอยู่ต่อหน้าพระองค์ 3 พระเยซูจึงตรัสถามพวกฟาริสี และผู้เชี่ยวชาญทางบทบัญญัติว่า “ผิดบทบัญญัติหรือไม่ที่จะรักษาโรคในวันสะบาโต?” 4 แต่พวกเขานิ่งอยู่ พระองค์จึงทรงพยุงชายคนนั้น แล้วรักษาเขาให้หายและให้เขาไป
5 จากนั้นพระองค์ตรัสถามพวกเขาว่า “หากลูกชาย[a]หรือวัวของพวกท่านคนหนึ่งตกบ่อในวันสะบาโต ท่านจะไม่ฉุดขึ้นมาทันทีหรอกหรือ?” 6 พวกเขาก็ไม่มีอะไรจะพูด
7 เมื่อพระองค์ทรงสังเกตเห็นว่าบรรดาผู้รับเชิญเลือกที่นั่งอันมีเกียรติ ก็ตรัสคำอุปมาว่า 8 “เมื่อมีผู้เชิญท่านไปยังงานเลี้ยงสมรส ไม่ต้องเลือกที่นั่งอันมีเกียรติ เพราะเขาอาจเชิญคนที่สำคัญกว่าท่าน 9 หากเป็นเช่นนั้น เจ้าภาพผู้เชิญท่านทั้งสองจะมาบอกท่านว่า ‘ขอยกที่นั่งของท่านให้ท่านผู้นี้เถิด’ แล้วท่านจะต้องเสียหน้าและต้องเลื่อนลงมานั่งในที่ที่สำคัญน้อยที่สุด 10 แต่เมื่อท่านได้รับเชิญ จงไปนั่งในที่ที่ต่ำต้อยที่สุด เพื่อว่าเมื่อเจ้าภาพมาจะบอกท่านว่า ‘เพื่อนเอ๋ย เลื่อนขึ้นมานั่งที่ที่ดีกว่านี้เถิด’ แล้วท่านก็จะได้รับเกียรติต่อหน้าแขกเหรื่อทั้งปวง 11 เพราะทุกคนที่ยกตนเองขึ้นจะถูกทำให้ต่ำลง และผู้ที่ถ่อมตนลงจะได้รับการเชิดชูขึ้น”
Thai New Contemporary Bible Copyright © 1999, 2001, 2007 by Biblica, Inc.® Used by permission. All rights reserved worldwide.