Add parallel Print Page Options

แล้วพระยาห์เวห์ก็พูดกับเอลียาห์ว่า “ให้ไปที่เมืองศาเรฟัทในไซดอนทันที และอยู่ที่นั่น เราได้สั่งให้แม่หม้ายคนหนึ่งในสถานที่นั้น จัดหาอาหารให้กับเจ้า”

10 เขาก็เลยเดินทางไปที่เมืองศาเรฟัท เมื่อเขามาถึงที่ประตูเมือง มีแม่หม้ายคนหนึ่งกำลังเก็บฟืนอยู่ เขาเรียกนางและบอกว่า “ขอน้ำใส่ไหของท่านมาให้เราดื่มหน่อย” 11 เมื่อนางกำลังจะเอามันมาให้เขา เขาก็เรียกนาง บอกว่า “ขอขนมปังสักก้อนให้เราด้วย”

12 นางตอบว่า “พระยาห์เวห์ พระเจ้าของท่านมีชีวิตอยู่แน่ขนาดไหน ก็ให้แน่ใจได้เลยว่าฉันไม่มีขนมปัง มีเพียงแป้งหนึ่งกำมืออยู่ก้นไห กับน้ำมันอีกเพียงเล็กน้อยในเหยือก นี่ฉันกำลังเก็บฟืน เพื่อนำกลับไปทำอาหารที่บ้านให้ตัวเองและลูกชายของฉัน เพื่อเราจะได้กินมันแล้วก็อดตาย”

13 เอลียาห์พูดกับนางว่า “อย่ากลัวเลย กลับไปบ้านและทำอย่างที่ท่านได้พูดไว้ แต่ท่านต้องทำขนมปังก้อนเล็กๆให้เราก่อนจากของที่ท่านมีอยู่ และเอามันมาให้กับเรา หลังจากนั้นก็ทำขนมปังให้กับตัวท่านเองและลูกชายของท่าน 14 เพราะนี่คือสิ่งที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของอิสราเอลพูด ‘แป้งในไหจะไม่มีวันหมดและน้ำมันในเหยือกจะไม่มีวันขาดไป จนกว่าจะถึงวันที่พระยาห์เวห์ทำให้ฝนตกลงบนแผ่นดินนี้’”

15 นางจากไปและทำตามที่เอลียาห์บอกนางไว้ และหลังจากนั้น ทั้งเอลียาห์ หญิงคนนั้นกับครอบครัวของนางก็มีอาหารกินทุกวัน 16 เพราะแป้งในไหไม่เคยหมด และน้ำมันในเหยือกก็ไม่เคยขาดไป ตามคำพูดของพระยาห์เวห์ที่ได้พูดไว้ผ่านทางเอลียาห์

17 ต่อมาลูกชายของหญิงคนนั้น ที่เป็นเจ้าของบ้านหลังนั้น เกิดไม่สบายขึ้นมา อาการของเขาทรุดหนักลงเรื่อยๆและในที่สุดก็หยุดหายใจ 18 นางได้พูดกับเอลียาห์ว่า “คนของพระเจ้า นี่ท่านโกรธฉันด้วยเรื่องอะไรหรือ ท่านมาที่นี่เพื่อที่จะมาย้ำเตือนถึงบาปของฉันและมาทำให้ลูกชายของฉันตายอย่างนั้นหรือ”

19 เอลียาห์ตอบว่า “มอบลูกชายของท่านมาให้เราเถิด” เขาเอาเด็กมาจากอ้อมแขนของนาง เขาอุ้มเด็กขึ้นไปบนห้องที่เขาอยู่ และวางตัวเด็กไว้บนเตียง 20 แล้วเขาก็ร้องต่อพระยาห์เวห์ว่า “ข้าแต่พระยาห์เวห์ พระเจ้าของข้าพเจ้า พระองค์นำความเศร้าโศกมาให้กับหญิงหม้ายคนนี้ที่ข้าพเจ้าอาศัยอยู่ด้วยอย่างนี้หรือ พระองค์ทำให้ลูกชายของนางตายอย่างนี้หรือ” 21 แล้วเขาก็เหยียดตัวนอนทับเด็กชายคนนั้นสามครั้ง และร้องต่อพระยาห์เวห์ว่า “ข้าแต่พระยาห์เวห์ พระเจ้าของข้าพเจ้า ขอชีวิตของเด็กชายคนนี้กลับคืนมาด้วยเถิด”

22 พระยาห์เวห์ได้ยินเสียงร้องของเอลียาห์ และชีวิตของเด็กชายคนนั้นก็กลับคืนมาสู่ร่างของเขา และเขาก็มีชีวิตขึ้นมา 23 เอลียาห์อุ้มเด็กลงมาจากห้องในบ้านหลังนั้น เขาได้มอบเด็กคืนให้กับแม่ และพูดว่า “ดูสิ ลูกชายของท่านมีชีวิตขึ้นมาแล้ว”

24 แล้วหญิงคนนั้น พูดกับเอลียาห์ว่า “ตอนนี้ ฉันรู้แล้วว่าท่านคือคนของพระเจ้า และพระยาห์เวห์ได้พูดผ่านมาทางปากของท่านจริงๆ”

เอลียาห์กับพวกผู้พูดแทนพระบาอัล

18 หลังจากนั้น ในช่วงปีที่สามที่ฝนไม่ตก พระยาห์เวห์บอกเอลียาห์ว่า “ไปปรากฏตัวให้กษัตริย์อาหับเห็นสิ แล้วเราจะส่งฝนให้ตกลงมาบนแผ่นดินนี้” เอลียาห์จึงไปเข้าเฝ้ากษัตริย์อาหับ ตอนนั้นในเมืองสะมาเรีย ภาวะความอดอยากแห้งแล้งอยู่ในขั้นรุนแรงแล้ว กษัตริย์อาหับได้เรียกตัวโอบาดียาห์หัวหน้าผู้ดูแลวังมาพบ (โอบาดียาห์เป็นคนที่เคารพยำเกรงพระยาห์เวห์อย่างสูง ตอนที่เยเซเบลฆ่าพวกผู้พูดแทนพระเจ้า โอบาดียาห์ได้ช่วยผู้พูดแทนพระเจ้าไว้ถึงหนึ่งร้อยคน และซ่อนตัวพวกเขาไว้ในถ้ำสองแห่ง แห่งละห้าสิบคน และได้จัดหาอาหารและน้ำให้กับพวกเขาด้วย) กษัตริย์อาหับได้พูดกับโอบาดียาห์ว่า “เดินทางไปตามแหล่งตาน้ำและหุบเขาทั้งหมดที่อยู่บนแผ่นดินนี้ บางทีพวกเราอาจจะพบต้นหญ้ามาใช้เลี้ยงม้าและล่อเหล่านี้ให้มีชีวิตอยู่ต่อไป พวกเราจะได้ไม่ต้องฆ่าสัตว์ตัวใดตัวหนึ่งของพวกเรา” พวกเขาจึงได้แบ่งพื้นที่กันเพื่อจะได้ค้นหาได้ทั่วถึง อาหับไปทางหนึ่งและโอบาดียาห์ไปอีกทางหนึ่ง ในขณะที่โอบาดียาห์กำลังเดินทางอยู่ เอลียาห์ได้มาพบเขา โอบาดียาห์จำเขาได้ เขาก้มกราบลงกับพื้นและพูดว่า “นี่ท่านจริงๆหรือ เอลียาห์เจ้านายของข้าพเจ้า”

เอลียาห์ตอบว่า “ใช่แล้ว ไปบอกกับเจ้านายของเจ้าว่า ‘เอลียาห์อยู่ที่นี่แล้ว’”

โอบาดียาห์ถามกลับว่า “นี่ข้าพเจ้าได้ทำอะไรผิดหรือ ท่านถึงจะส่งข้าพเจ้าผู้รับใช้ท่าน ไปให้กับกษัตริย์อาหับฆ่า 10 พระยาห์เวห์มีชีวิตอยู่แน่ขนาดไหน ก็ให้แน่ใจขนาดนั้นเลยว่ากษัตริย์เจ้านายของข้าพเจ้าได้ส่งคนไปค้นหาท่านจนทั่วทุกหนแห่ง ไม่มีชนชาติใดหรืออาณาจักรใดเลยที่กษัตริย์ข้าพเจ้าไม่ได้ส่งคนไปค้นหาท่าน และถ้าชนชาติใดหรืออาณาจักรใดบอกว่า ‘คนนั้นไม่ได้อยู่ที่นี่’ กษัตริย์อาหับก็จะให้คนเหล่านั้นสาบานว่าพวกเขาหาท่านไม่พบจริงๆ 11 แต่ตอนนี้ท่านกลับให้ข้าพเจ้าไปบอกกับกษัตริย์เจ้านายของข้าพเจ้าว่า ‘เอลียาห์อยู่ที่นี่แล้ว’ 12 พอข้าพเจ้าไปจากท่านแล้ว ข้าพเจ้าไม่รู้ว่าพระวิญญาณของพระยาห์เวห์จะพาท่านไปที่ใด ถ้าข้าพเจ้าไปบอกกับกษัตริย์อาหับและเขาเกิดหาท่านไม่พบ เขาก็จะฆ่าข้าพเจ้าเสีย ข้าพเจ้าผู้รับใช้ท่านได้เคารพยำเกรงพระยาห์เวห์มาตั้งแต่หนุ่มจนถึงเดี๋ยวนี้ 13 เจ้านายของข้าพเจ้า ท่านไม่เคยได้ยินสิ่งที่ข้าพเจ้าได้ทำลงไปหรือ ตอนที่เยเซเบลกำลังฆ่าพวกผู้พูดแทนพระเจ้า ข้าพเจ้าได้ซ่อนตัวพวกผู้พูดแทนพระเจ้าถึงหนึ่งร้อยคนไว้ในถ้ำสองแห่ง แห่งละห้าสิบคน และจัดหาอาหารและน้ำให้กับพวกเขาด้วย 14 ตอนนี้ท่านมาบอกข้าพเจ้าให้ไปหากษัตริย์เจ้านายของข้าพเจ้าและพูดว่า ‘เอลียาห์อยู่ที่นี่แล้ว’ เขาต้องฆ่าข้าพเจ้าแน่”

15 เอลียาห์พูดว่า “พระยาห์เวห์ผู้มีฤทธิ์ทั้งสิ้น ผู้ที่เรารับใช้อยู่ มีชีวิตอยู่แน่นอนขนาดไหน ก็ให้แน่ใจขนาดนั้นเลยว่า ในวันนี้แหละเราจะไปปรากฏตัวให้อาหับเห็น”

16 โอบาดียาห์จึงไปหากษัตริย์อาหับและบอกเรื่องนี้กับเขา และกษัตริย์อาหับก็ไปพบเอลียาห์ 17 เมื่อกษัตริย์เห็นเอลียาห์ เขาพูดกับเอลียาห์ว่า “นั่นเป็นเจ้าจริงๆหรือ ไอ้ตัวสร้างปัญหาของอิสราเอล”

18 เอลียาห์ตอบว่า “ข้าพเจ้าไม่เคยสร้างปัญหาให้อิสราเอล แต่ท่านและครอบครัวของบรรพบุรุษท่านต่างหากที่เป็นคนทำ ท่านได้ละทิ้งคำสั่งต่างๆของพระยาห์เวห์และไปติดตามพระบาอัล 19 ตอนนี้ ให้เรียกประชาชนจากทั่วทั้งอิสราเอลมาพบกับข้าพเจ้าบนภูเขาคารเมลนี้ และให้นำตัวพวกผู้พูดแทนพระบาอัลทั้งสี่ร้อยห้าสิบคน รวมทั้งพวกผู้พูดแทนพระอาเชราห์ อีกสี่ร้อยคนที่นั่งกินอาหารร่วมโต๊ะกับเยเซเบลมาด้วย”

20 กษัตริย์อาหับจึงส่งข่าวไปทั่วทั้งอิสราเอลและเรียกประชุมพวกผู้พูดแทนพระปลอมเหล่านั้นที่บนภูเขาคารเมล 21 เอลียาห์ได้ไปอยู่ข้างหน้าของประชาชนทั้งหมดและพูดว่า “นี่พวกเจ้ายังจะลังเลสองจิตสองใจอย่างนี้ไปอีกนานแค่ไหน ถ้าพระยาห์เวห์คือพระเจ้า ให้ติดตามพระองค์ไป แต่ถ้าพระบาอัลเป็นพระเจ้า ก็ให้ติดตามเขาไป”

แต่ประชาชนไม่ตอบเขาสักคำ 22 แล้วเอลียาห์ก็พูดกับพวกเขาว่า “เราเป็นผู้พูดแทนพระเจ้าเพียงคนเดียวของพระยาห์เวห์ที่ยังหลงเหลืออยู่ แต่พระบาอัลมีผู้พูดแทนมันอยู่ถึงสี่ร้อยห้าสิบคน 23 ให้เอาวัวตัวผู้สองตัวมาให้พวกเรา ให้พวกเขาเป็นคนเลือกว่าพวกเขาจะเอาตัวไหน และให้พวกเขาตัดมันเป็นท่อนๆไปวางไว้บนฟืนแต่อย่าจุดไฟ เราจะไปเตรียมวัวอีกตัวหนึ่งและจะวางมันไว้บนฟืนที่ไม่จุดไฟเหมือนกัน 24 แล้วพวกเจ้าก็ร้องเรียกชื่อพระของพวกเจ้า ส่วนเราก็จะร้องเรียกชื่อของพระยาห์เวห์ แล้วพระที่ตอบรับด้วยไฟนั้น ก็คือพระเจ้า”

แล้วประชาชนทั้งหมดก็พูดว่า “สิ่งที่ท่านพูดมานั้นเข้าท่าดี”

25 เอลียาห์พูดกับพวกผู้พูดแทนพระบาอัลว่า “เลือกวัวตัวผู้มาตัวหนึ่งและจัดเตรียมมันก่อน เพราะพวกเจ้ามีคนมากมาย เรียกชื่อพระของพวกเจ้าแต่อย่าเพิ่งจุดไฟ”

26 พวกเขาจึงเลือกวัวออกมาตัวหนึ่งและเตรียมมันไว้ แล้วพวกเขาก็ร้องเรียกชื่อของพระบาอัลตั้งแต่เช้าจนถึงเที่ยง พวกเขาได้ตะโกนว่า “ข้าแต่พระบาอัล โปรดตอบพวกเราด้วยเถิด” แต่ไม่มีการตอบรับใดๆ ไม่มีเสียงหรือการตอบรับอะไรเลย พวกเขาก็เต้นรำไปรอบๆแท่นบูชาที่พวกเขาสร้างขึ้นมา

27 ในตอนเที่ยง เอลียาห์เริ่มพูดเยาะเย้ยคนเหล่านั้นว่า “ตะโกนดังขึ้นอีกสิ เขาเป็นพระเจ้าอย่างแน่นอน บางทีเขาอาจจะใจลอยอยู่ บางทีเขาอาจกำลังเข้าส้วมอยู่ หรือกำลังเดินทางอยู่ หรืออาจจะนอนหลับอยู่ จะต้องให้พวกเจ้าปลุกมั้ง” 28 พวกเขาจึงตะโกนดังขึ้น และใช้ดาบกับหอกกรีดตัวเองซึ่งเป็นประเพณีของพวกเขาอยู่แล้ว จนเลือดไหลออกมา 29 เลยเวลาเที่ยงวันไปแล้ว พวกเขายังคงทำสิ่งที่บ้าคลั่งเช่นนั้นต่อไปจนถึงเวลาบูชาในตอนเย็น แต่ก็ยังไม่มีเสียง ไม่มีคำตอบ และไม่มีการตอบรับ

30 แล้วเอลียาห์พูดกับประชาชนทั้งหมดว่า “เข้ามาใกล้ๆเราหน่อย” พวกเขาทุกคนก็เลยเข้าไปใกล้ และเอลียาห์ซ่อมแซมแท่นบูชาของพระยาห์เวห์ที่ถูกรื้อไปนั้น 31 เอลียาห์เอาก้อนหินสิบสองก้อนมาตามจำนวนเผ่าของพวกลูกชายของยาโคบ (พระคำของพระยาห์เวห์เคยมาถึงยาโคบว่า “เจ้าจะมีชื่อว่าอิสราเอล”) 32 เอลียาห์สร้างแท่นบูชาขึ้นด้วยหินทั้งสิบสองก้อนนั้นในนามของพระยาห์เวห์ เขาขุดร่องรอบๆแท่นบูชานั้น ใหญ่เพียงพอที่จะใส่เมล็ดพืชได้สองถัง[a] 33 เขาจัดกองไม้ฟืน และตัดวัวออกเป็นท่อนๆแล้ววางมันลงบนไม้ฟืน แล้วก็พูดกับคนเหล่านั้นว่า “ตักน้ำใส่เหยือกทั้งสี่เหยือกของพวกเจ้าให้เต็ม และเทมันลงบนเครื่องบูชาและบนไม้ฟืนนี้” 34 แล้วเขาบอกให้ทำอย่างนั้นอีกเป็นครั้งที่สอง และคนเหล่านั้นก็ทำเป็นครั้งที่สอง แล้วเขาก็บอกให้พวกนั้นทำอีกเป็นครั้งที่สาม แล้วพวกนั้นก็ทำอย่างนั้นเป็นครั้งที่สาม 35 น้ำไหลนองลงมารอบๆแท่นบูชาและไหลจนท่วมร่องนั้น

36 ในช่วงเวลาของการบูชานั้นเอง เอลียาห์ผู้พูดแทนพระเจ้าได้ก้าวออกไปที่ด้านหน้าและอธิษฐานว่า “ข้าแต่พระยาห์เวห์ พระเจ้าของอับราฮัม อิสอัคและอิสราเอล ในวันนี้ ขอพระองค์ทำให้คนรู้เถิดว่า พระองค์คือพระเจ้าแห่งอิสราเอล และรู้ว่าข้าพเจ้าเป็นผู้รับใช้ของพระองค์และได้ทำสิ่งเหล่านี้ไปตามคำสั่งของพระองค์ 37 ข้าแต่พระยาห์เวห์ ขอตอบรับข้าพเจ้าด้วย ตอบรับข้าพเจ้าด้วยเถิด เพื่อว่าประชาชนเหล่านี้จะได้รู้ว่าพระองค์ พระยาห์เวห์คือพระเจ้า และรู้ว่าพระองค์จะหันเหหัวใจของพวกเขาให้กลับมาหาพระองค์อีกครั้ง”

38 แล้วไฟของพระยาห์เวห์ได้ตกลงมาและเผาไหม้เครื่องสัตวบูชา กองฟืน ก้อนหินทั้งหมด รวมทั้งดิน และยังลามลงไปในน้ำที่อยู่ในร่องด้วย 39 เมื่อประชาชนทั้งหมดได้เห็นเหตุการณ์นี้ พวกเขาต่างก็หมอบลงและร้องว่า “พระยาห์เวห์ พระองค์คือพระเจ้า พระยาห์เวห์ พระองค์คือพระเจ้า”

40 แล้วเอลียาห์ก็สั่งพวกเขาว่า “จับพวกผู้พูดแทนพระบาอัลไว้ อย่าให้ใครหนีรอดไปได้” พวกเขาจับตัวคนเหล่านั้นไว้ และเอลียาห์ก็ให้นำตัวพวกนั้นลงไปที่หุบเขาคีโชนและฆ่าพวกนั้นทิ้งที่นั่น

ฝนตกลงมาอีกครั้ง

41 แล้วเอลียาห์ก็พูดกับกษัตริย์อาหับว่า “ไปกินและดื่มเถิด เพราะมีเสียงฝนตกหนักลงมาแล้ว” 42 กษัตริย์อาหับจึงไปกินและดื่ม แต่เอลียาห์ได้ปีนขึ้นไปบนยอดเขาคารเมล ก้มกราบลงบนพื้นดินและซุกหน้าไว้ระหว่างหัวเข่าของเขา 43 เขาได้พูดกับคนรับใช้ของเขาว่า “มองไปทางทะเลซิ”

คนรับใช้ คนนั้นก็ขึ้นไปมองออกไป เขาตอบว่า “ไม่เห็นมีอะไรเลยครับท่าน” เอลียาห์พูดกับเขาถึงเจ็ดครั้งว่า “กลับไปดูใหม่” 44 ในครั้งที่เจ็ดนั้นเอง คนรับใช้ของเขาก็ได้มารายงานว่า “มีเมฆก้อนหนึ่งขนาดเท่ากำมือกำลังขึ้นมาจากทะเล”

เอลียาห์จึงพูดว่า “กลับไปบอกกษัตริย์อาหับว่า ‘ให้ผูกรถรบของท่านและรีบลงไปก่อนที่ฝนจะหยุดท่านไว้’”

45 ในขณะนั้นเอง ท้องฟ้าก็เริ่มดำทะมึนไปด้วยกลุ่มเมฆมากมาย ลมเริ่มพัดแรง ฝนเทลงมาอย่างหนักและกษัตริย์อาหับก็ได้ขี่รถรบมุ่งไปยังยิสเรเอล 46 ฤทธิ์เดชของพระยาห์เวห์ได้มาอยู่บนตัวเอลียาห์ เขาเอาเสื้อคลุมยัดเข้าไปในเข็มขัด และวิ่งแซงหน้ากษัตริย์อาหับไปถึงยิสเรเอล

เอลียาห์บนภูเขาโฮเรบ (ซีนาย)

19 ในตอนนั้นกษัตริย์อาหับได้บอกกับเยเซเบลทุกอย่างที่เอลียาห์ได้ทำไป และเรื่องที่เอลียาห์ฆ่าพวกผู้พูดแทนพระปลอมทั้งหมดด้วยดาบ เยเซเบลจึงส่งคนส่งข่าวไปถึงเอลียาห์ เพื่อบอกว่า “ขอให้พวกพระทั้งหลายลงโทษเราอย่างแสนสาหัส หากว่าเราไม่ได้ทำให้ชีวิตแกเป็นเหมือนคนพวกนั้นก่อนเวลานี้ของวันพรุ่งนี้”

เอลียาห์กลัว จึงวิ่งหนีเอาตัวรอดไป เมื่อเขามาถึงเมืองเบเออร์เชบาในยูดาห์ เขาทิ้งคนใช้เขาไว้ที่นั่น ในขณะที่ตัวเขาเองเดินทางต่อไปอีกหนึ่งวันเข้าไปในที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้ง เขามาถึงพุ่มไม้แห่งหนึ่งจึงนั่งลงใต้พุ่มไม้นั้นและอธิษฐานขอให้เขาตาย เขาพูดว่า “ข้าแต่พระยาห์เวห์พอกันทีสำหรับข้าพเจ้า เอาชีวิตของข้าพเจ้าไปเถิด ข้าพเจ้าไม่ได้ดีไปกว่าบรรพบุรุษของข้าพเจ้าเลย”

แล้วเขาก็นอนลงที่ใต้พุ่มไม้นั้นและหลับไป ทันใดนั้น ทูตสวรรค์องค์หนึ่งก็มาแตะต้องตัวเขาและพูดว่า “ลุกขึ้นมากินเถิด” เขามองไปรอบๆและที่ข้างหัวของเขานั้นมีขนมปังแผ่นหนึ่งที่ปิ้งอยู่บนก้อนหินร้อน และมีเหยือกน้ำอยู่เหยือกหนึ่ง เขาได้กินและดื่ม แล้วก็นอนต่อ

ทูตสวรรค์ของพระยาห์เวห์กลับมาอีกเป็นครั้งที่สอง และมาแตะตัวเขาและพูดว่า “ลุกขึ้นมากินเถิด เพราะไม่อย่างนั้นเจ้าจะเดินทางไม่ไหว” เขาจึงลุกขึ้นมากินและดื่ม เมื่อเขามีเรี่ยวแรงขึ้นจากอาหารเหล่านั้นแล้ว เขาก็เดินทางต่อไปอีกสี่สิบวันสี่สิบคืน จนมาถึงภูเขาโฮเรบซึ่งเป็นภูเขาของพระเจ้า เขาเข้าไปในถ้ำแห่งหนึ่งและค้างคืนอยู่ที่นั่น

พระยาห์เวห์พูดกับเขาว่า “เอลียาห์ เจ้ามาทำอะไรที่นี่”

10 เอลียาห์ตอบว่า “ข้าพเจ้าได้ทุ่มเทให้กับพระยาห์เวห์ พระเจ้าผู้มีฤทธิ์ทั้งสิ้นมาตลอด ชาวอิสราเอลทั้งหลายปฏิเสธข้อตกลงของพระองค์ และทำลายพวกแท่นบูชาของพระองค์ และยังฆ่าพวกผู้พูดแทนพระองค์ด้วยคมดาบ เหลือข้าพเจ้าเพียงคนเดียวเท่านั้น และตอนนี้ พวกเขาก็กำลังพยายามจะฆ่าข้าพเจ้าด้วย”

11 พระยาห์เวห์พูดว่า “ออกไปข้างนอกและไปยืนอยู่ต่อหน้าพระยาห์เวห์บนภูเขา เพราะพระยาห์เวห์กำลังจะผ่านไป”[b] แล้วก็มีลมพายุพัดมาอย่างแรงจนแยกภูเขาออกเป็นสองส่วนและทำลายก้อนหินต่างๆจนแตกละเอียดต่อหน้าพระยาห์เวห์ แต่พระยาห์เวห์ไม่ได้อยู่ในลมนั้น หลังจากที่ลมพัดผ่านไปแล้ว ก็เกิดแผ่นดินไหวขึ้น แต่พระยาห์เวห์ก็ไม่ได้อยู่ในแผ่นดินที่ไหวนั้น 12 หลังจากแผ่นดินไหวแล้วก็เกิดไฟลุกไหม้ แต่พระยาห์เวห์ไม่ได้อยู่ในไฟเหมือนกัน และหลังจากไฟลุกไหม้แล้วก็มีเสียงกระซิบ[c] ที่นุ่มนวลเสียงหนึ่งเกิดขึ้น

13 เมื่อเอลียาห์ได้ยินเสียงนั้น เขาก็เอาเสื้อคลุมขึ้นมาปิดหน้าและรีบออกไปยืนอยู่ที่ปากถ้ำ แล้วเสียงนั้นก็พูดกับเขาว่า “เอลียาห์ เจ้ามาทำอะไรที่นี่”

14 เขาตอบไปว่า “ข้าพเจ้าได้ทุ่มเทให้กับพระยาห์เวห์ พระเจ้าผู้มีฤทธิ์ทั้งสิ้นมาตลอด ชาวอิสราเอลทั้งหลายปฏิเสธข้อตกลงของพระองค์ และทำลายพวกแท่นบูชาของพระองค์ และยังฆ่าพวกผู้พูดแทนพระองค์ด้วยคมดาบ เหลือข้าพเจ้าเพียงคนเดียวเท่านั้น และตอนนี้ พวกเขาก็กำลังพยายามจะฆ่าข้าพเจ้าด้วย”

15 พระยาห์เวห์พูดกับเขาว่า “กลับไปทางเดิมที่เจ้ามา และไปที่ทะเลทรายดามัสกัส เมื่อเจ้าไปถึงที่นั่น ให้แต่งตั้งฮาซาเอลขึ้นเป็นกษัตริย์เหนืออารัม 16 และแต่งตั้งเยฮูลูกชายของกษัตริย์นิมชี ขึ้นเป็นกษัตริย์เหนืออิสราเอล และแต่งตั้งเอลีชาลูกชายของชาฟัทชาวอาเบลเมโฮลาห์ให้เป็นผู้พูดแทนพระเจ้าสืบต่อจากเจ้า 17 เยฮูจะฆ่าคนที่หลบหนีจากคมดาบของฮาซาเอล และเอลีชาจะฆ่าคนที่หลบหนีมาจากคมดาบของเยฮู 18 เรายังมีเจ็ดพันคนในอิสราเอล ซึ่งเป็นคนที่ไม่ยอมคุกเข่าลงให้กับพระบาอัล และปากของพวกเขาก็ไม่ได้จูบมันด้วย”

เอลีชามาเป็นผู้พูดแทนพระเจ้า

19 เอลียาห์จึงออกจากที่นั่น และได้พบเอลีชาลูกชายของชาฟัทกำลังไถนาด้วยวัวเทียมแอกสิบสองคู่และตัวเขาเองกำลังไถอยู่ที่คู่ที่สิบสอง เอลียาห์ก็เข้าไปหาเขาและทิ้งเสื้อคลุมของเขาไปบนตัวเอลีชา 20 เอลีชาก็เลยทิ้งวัวของเขาและวิ่งตามเอลียาห์ไป เขาพูดว่า “ให้ผมไปจูบลาพ่อแม่ของผมก่อน แล้วผมจะไปกับท่าน”

เอลียาห์ตอบว่า “กลับไปเถอะ แต่อย่าลืมเรื่องที่เราได้ทำกับเจ้านะ[d]

21 เอลีชาก็จากเขาไป แล้วกลับไปเอาวัวคู่นั้นที่ใช้เทียมแอกไปฆ่า แล้วเอาแอกไปเป็นฟืนใช้ย่างเนื้อและแจกจ่ายเนื้อให้กับชาวบ้านและพวกเขาก็กินกัน แล้วเอลีชาก็ติดตามเอลียาห์ไป และเป็นผู้ช่วยของเอลียาห์

เบนฮาดัดทำสงครามกับอาหับ

20 ในช่วงนั้นกษัตริย์เบนฮาดัดแห่งอารัมได้รวบรวมกองทัพทั้งหมดของเขา มีกษัตริย์จากที่อื่นๆอีกสามสิบสององค์ได้นำกองทหารม้าและรถรบของพวกเขาเข้ามาร่วมด้วย เขาได้ขึ้นไปล้อมเมืองสะมาเรียและโจมตีมัน เขาส่งพวกผู้ส่งข่าวเข้าไปในเมืองไปหากษัตริย์อาหับเพื่อบอกว่า “นี่คือสิ่งที่เบนฮาดัดพูด ‘เงินและทองของเจ้าตกเป็นของเราแล้ว และพวกเมียที่สวยที่สุดของเจ้าและลูกๆของเจ้าก็ตกเป็นของเราแล้ว’”

กษัตริย์ของอิสราเอลตอบไปว่า “กษัตริย์เจ้านายของเรา เป็นไปตามที่ท่านพูด ตัวเราและทุกสิ่งทุกอย่างที่เรามีอยู่เป็นของท่าน”

พวกผู้ส่งข่าวกลับมาอีกครั้งและพูดว่า “นี่คือสิ่งที่เบนฮาดัดพูด ‘เราส่งข่าวมาเพื่อสั่งให้เจ้ามอบเงินและทอง รวมทั้งเมียทั้งหลายของเจ้าและลูกๆของเจ้ามา แต่ในวันพรุ่งนี้เวลาเดียวกันนี้ เราจะส่งเจ้าหน้าที่ของเรามาค้นวังของเจ้าและพวกบ้านของพวกเจ้าหน้าที่ของเจ้า พวกเขาจะยึดเอาทุกสิ่งทุกอย่างที่มีค่าของเจ้าและขนเอามันไป’”

กษัตริย์อิสราเอลเรียกพวกผู้นำทุกคนของแผ่นดินมาประชุม และพูดว่า “เห็นหรือไม่ว่าชายคนนี้กำลังเอาความยุ่งยากมาให้แล้ว เมื่อเขาส่งคนมาขอเมียทั้งหลายกับลูกๆของข้า และเงินทองของข้า ข้าก็ไม่ได้ปฏิเสธเขาเลย”

พวกผู้นำและประชาชนทั้งหมดต่างตอบว่า “อย่าไปฟังมันหรือทำตามคำเรียกร้องของมันเลย”

เขาจึงตอบพวกผู้ส่งข่าวของเบนฮาดัดไปว่า “ไปบอกกับกษัตริย์นายของเราว่า ‘คนรับใช้ของท่านจะทำตามที่ท่านเรียกร้องในครั้งแรก แต่การเรียกร้องในครั้งนี้เรายอมให้ไม่ได้’”

พวกเขาจากไปและเอาคำตอบนั้นกลับไปบอกกับเบนฮาดัด 10 แล้วเบนฮาดัดก็ส่งข่าวมาอีกข่าวหนึ่งถึงอาหับว่า “ขอให้พวกพระทั้งหลายลงโทษเราอย่างแสนสาหัส หากว่าเราทิ้งให้เหลือฝุ่นในเมืองสะมาเรียพอให้คนของเรากำได้คนละหนึ่งกำมือ”

11 กษัตริย์ของอิสราเอลตอบไปว่า “ไปบอกเขาว่า ‘คนที่กำลังสวมเสื้อเกราะไม่สมควรที่จะคุยโอ้อวดอย่างกับคนที่กำลังถอดมันออก’”

12 เบนฮาดัดได้ยินข้อความนี้ในขณะที่เขาและบรรดากษัตริย์กำลังดื่มกันอยู่ในเต็นท์ของพวกเขา และเขาก็ได้สั่งคนของเขาว่า “เตรียมโจมตี” พวกเขาจึงเตรียมเข้าโจมตีเมือง

13 ในขณะนั้นมีผู้พูดแทนพระเจ้าคนหนึ่งมาหากษัตริย์อาหับของอิสราเอลและได้ประกาศว่า “พระยาห์เวห์พูดว่าอย่างนี้ ‘เจ้าเห็นกองทัพขนาดใหญ่นั้นหรือเปล่า เราจะให้มันตกอยู่ในกำมือของเจ้าในวันนี้และเจ้าจะได้รู้ว่าเราคือยาห์เวห์’”

14 อาหับถามว่า “แต่ใครจะเป็นคนทำละ”

ผู้พูดแทนพระเจ้าคนนั้นตอบว่า “พระยาห์เวห์พูดว่าอย่างนี้ ‘พวกเจ้าหน้าที่หนุ่มๆของพวกแม่ทัพตามหัวเมืองจะเป็นคนทำ’”

เขาถามต่อว่า “แล้วใครจะเป็นคนเริ่มรบก่อน”

ผู้พูดแทนพระเจ้าคนนั้นตอบว่า “ก็ท่านยังไงล่ะ”

15 อาหับจึงเรียกตัวพวกเจ้าหน้าที่หนุ่มๆของพวกแม่ทัพตามหัวเมืองมา มีจำนวนทั้งหมดสองร้อยสามสิบสองคน แล้วเขาก็เรียกชุมนุมชาวอิสราเอลที่เหลือทั้งหมดเจ็ดพันคน

16 พวกเขาเริ่มเคลื่อนทัพออกตอนเที่ยงในขณะที่เบนฮาดัดและกษัตริย์อีกสามสิบสองคนที่ร่วมมือกับเขาต่างก็เมามายกันอยู่ในเต็นท์ 17 พวกเจ้าหน้าที่หนุ่มกลุ่มนั้นของพวกแม่ทัพทั้งหลาย ได้นำหน้าออกไปก่อน ขณะนั้นผู้ส่งข่าวด่วนของเบนฮาดัดได้มารายงานเขาว่า “มีคนมากมายกำลังมุ่งหน้าออกมาจากสะมาเรีย” 18 เบนฮาดัดจึงพูดว่า “ไม่ว่าพวกเขาออกมาอย่างสันติ หรือเพื่อรบ ก็ให้จับพวกเขามาเป็นๆ”

19 พวกเจ้าหน้าที่หนุ่มของพวกแม่ทัพทั้งหลายต่างเดินทัพออกมาจากเมือง มีกองทัพตามหลังพวกเขามาด้วย 20 แต่ละคนก็สามารถฆ่าศัตรูของพวกเขาลงได้ ชาวอารัมต้องหลบหนี ชาวอิสราเอลเป็นฝ่ายไล่ติดตาม แต่กษัตริย์เบนฮาดัดของอารัมหนีขึ้นบนหลังม้าพร้อมด้วยทหารม้าของเขาอีกจำนวนหนึ่ง 21 กษัตริย์ของอิสราเอลบุกขึ้นไปและเอาชนะพวกทหารม้าและบรรดารถรบเหล่านั้นได้ และทำให้เกิดความเสียหายอย่างหนักกับกองทัพของพวกอารัม

22 ต่อมาภายหลัง ผู้พูดแทนพระเจ้าคนนั้นได้มาหากษัตริย์ของอิสราเอลและพูดว่า “ทำให้กองทัพของท่านแข็งแกร่งขึ้นและวางแผนให้ดี เพราะในฤดูใบไม้ผลิคราวหน้า กษัตริย์ของชาวอารัมจะกลับมาโจมตีท่านอีกครั้งหนึ่ง”

เบนฮาดัดโจมตีอีกครั้ง

23 ในขณะนั้นพวกเจ้าหน้าที่ของกษัตริย์เบนฮาดัดแนะนำกษัตริย์ว่า “พระทั้งหลายของคนพวกนั้นคือพระเจ้าแห่งเนินเขา นั่นเป็นเหตุที่พวกมันแข็งแกร่งเกินไปสำหรับพวกเรา แต่ถ้าพวกเราต่อสู้กับพวกมันบนที่ราบ พวกเราจะแข็งแกร่งกว่าพวกมันอย่างแน่นอน 24 ทำอย่างนี้สิ ย้ายพวกกษัตริย์ให้ออกจากตำแหน่งแม่ทัพ และเอาเจ้าหน้าที่คนอื่นมาแทนพวกเขา

25 ท่านต้องเพิ่มจำนวนกองทัพให้มากขึ้นให้เท่ากับที่ท่านได้สูญเสียไป เพิ่มม้าให้กับกองทัพม้า เพิ่มรถรบให้กับกองทัพรถรบ แล้วพวกเราก็จะสามารถต่อสู้กับอิสราเอลบนที่ราบได้ แล้วเราก็จะได้เปรียบพวกมันอย่างแน่นอน” เบนฮาดัดเห็นด้วยกับพวกเขาและทำตามนั้น

26 ในฤดูใบไม้ผลิต่อมา เบนฮาดัดรวบรวมชาวอารัมขึ้นใหม่และขึ้นไปที่เมืองอาเฟกเพื่อที่จะต่อสู้กับอิสราเอล

27 เมื่อบรรดาชาวอิสราเอลได้รวมตัวกันอีกและมีการจัดเตรียมเสบียงอาหารไว้ พวกเขาก็เดินทัพออกไปพบกับกองทัพเหล่านั้น ชาวอิสราเอลได้ตั้งค่ายอยู่ฝั่งตรงข้ามกับพวกนั้นเหมือนกับฝูงแพะเล็กๆสองฝูง ในขณะที่ชาวอารัมได้ครอบคลุมพื้นที่บริเวณนั้นทั้งหมด

28 คนของพระเจ้าขึ้นมาและบอกกับกษัตริย์ของอิสราเอลว่า “พระยาห์เวห์พูดไว้ว่าอย่างนี้ ‘พวกชาวอารัมพูดดูถูกว่า พระยาห์เวห์คือพระของเนินเขาและไม่ได้เป็นพระของที่ราบ อย่างนั้น เราจะมอบกองทัพที่ยิ่งใหญ่กองนี้ให้ตกอยู่ในมือของเจ้าและเจ้าจะได้รู้ว่าเราคือยาห์เวห์’”

29 พวกเขาตั้งค่ายเผชิญหน้ากันอยู่เป็นเวลาเจ็ดวัน และในวันที่เจ็ด การรบก็เริ่มต้นขึ้น ชาวอิสราเอลทำลายทหารเดินเท้าของชาวอารัมได้ถึงหนึ่งแสนคนภายในวันเดียว 30 ส่วนคนที่เหลือหลบหนีไปที่เมืองอาเฟก แต่กำแพงเมืองนั้นถล่มลงมาทับคนเหล่านั้นถึงสองหมื่นเจ็ดพันคน และเบนฮาดัดก็ได้หลบหนีไปที่เมืองนั้นด้วยและซ่อนตัวอยู่ในห้องชั้นในสุด 31 พวกเจ้าหน้าที่ของเขาพูดกับเขาว่า “ดูสิ พวกเราเคยได้ยินมาว่าพวกกษัตริย์ของครอบครัวอิสราเอลนั้นมีความเมตตา พวกเราเอาผ้ากระสอบคาดเอวและเอาเชือกพันหัว[e] ของพวกเราและเข้าไปหากษัตริย์ของอิสราเอลกันเถิด เผื่อบางทีเขาอาจจะไว้ชีวิตของท่านก็ได้”

32 พวกเขาก็คาดผ้ากระสอบไว้ที่เอวและเอาเชือกพันหัวของพวกเขาไว้ และพวกเขาก็เข้าไปพบกษัตริย์ของอิสราเอลและพูดว่า “เบนฮาดัดผู้รับใช้ของท่านพูดว่า ‘โปรดไว้ชีวิตข้าพเจ้าด้วยเถิด’”

กษัตริย์ตอบมาว่า “เขายังมีชีวิตอยู่หรือ เขาเป็นน้องชายของเรา[f]

33 คนเหล่านั้นจึงถือสิ่งนี้เป็นลางดีและรีบตอบรับคำของเขาโดยพวกเขาพูดว่า “ใช่แล้ว เบนฮาดัดน้องชายของท่านเอง”

กษัตริย์จึงพูดว่า “ไปนำตัวเขามา” เมื่อเบนฮาดัดออกมา อาหับได้พาเขาขึ้นไปบนรถรบของเขา

34 เบนฮาดัดได้เสนอว่า “เราจะคืนเมืองต่างๆที่พ่อเราได้ยึดมาจากพ่อของท่าน ท่านอาจจะจัดตั้งเขตที่เป็นตลาดของท่านเองในดามัสกัสเหมือนกับที่พ่อของเราเคยทำไว้ในเมืองสะมาเรีย”

อาหับพูดว่า “ถ้าเป็นอย่างนี้ เราจะยอมปล่อยท่านให้เป็นอิสระตามสัญญาข้อนี้” เขาจึงทำสัญญากับเบนฮาดัดและปล่อยเขาให้เป็นอิสระ

ผู้พูดแทนพระเจ้ากล่าวโทษอาหับ

35 ผู้พูดแทนพระเจ้าคนหนึ่ง พูดกับผู้พูดแทนพระเจ้าอีกคนหนึ่งว่า “เอาอาวุธท่านทำร้ายเราเถิด” เพราะเขาบอกว่านั่นเป็นคำสั่งของพระยาห์เวห์ แต่ชายคนนั้นไม่ยอมทำ 36 ผู้พูดแทนพระเจ้าคนนั้นจึงพูดว่า “ทันทีที่ท่านไปจากเรา สิงโตตัวหนึ่งจะฆ่าท่าน เพราะท่านไม่ยอมเชื่อฟังพระยาห์เวห์” หลังจากที่ชายคนนั้นไปแล้ว สิงโตตัวหนึ่งมาพบเขาและฆ่าเขาตาย

37 ผู้พูดแทนพระเจ้าคนนั้นได้พบชายอีกคนและพูดว่า “ช่วยทุบตีเราด้วยเถิด” ชายคนนั้นจึงทุบตีผู้พูดแทนพระเจ้าคนนั้นและเขาได้รับบาดเจ็บ 38 แล้วผู้พูดแทนพระเจ้าคนนั้นก็ไปยืนอยู่ที่ข้างถนนเพื่อคอยกษัตริย์ เขาปลอมตัวด้วยการเอาผ้าพันหัวลงมาจนถึงลูกตาของเขา 39 เมื่อกษัตริย์เดินทางผ่านมา ผู้พูดแทนพระเจ้าคนนั้นเรียกกษัตริย์ไว้และพูดว่า “ผู้รับใช้ของท่านได้ไปอยู่ท่ามกลางสนามรบและมีคนหนึ่งจับเชลยมาได้ และพูดกับข้าพเจ้าว่า ‘ให้เฝ้าคนคนนี้เอาไว้ให้ดี ถ้าเขาหายไป เจ้าต้องชดใช้ด้วยชีวิตของเจ้า หรือไม่เจ้าก็ต้องจ่ายเงินหนึ่งตะลันต์[g] 40 ในขณะที่ข้าพเจ้าผู้รับใช้ท่านกำลังวุ่นวายอยู่นั่นเอง ชายคนนั้นก็ได้หายตัวไป”

กษัตริย์ของอิสราเอลตอบว่า “นั่นแหล่ะจะเป็นโทษของเจ้า เจ้าเองก็ได้ประกาศคำตัดสินออกมาแล้ว”

41 แล้วผู้พูดแทนพระเจ้าคนนั้นก็แกะผ้าปิดหัวออกจากตาของเขาอย่างรวดเร็ว และกษัตริย์ของอิสราเอลก็จำเขาได้ว่าเป็นคนหนึ่งในพวกผู้พูดแทนพระเจ้า 42 เขาพูดกับกษัตริย์ว่า “พระยาห์เวห์พูดไว้อย่างนี้ ‘เจ้าปล่อยคนหนึ่งที่เรากำหนดให้ตาย อย่างนั้น เจ้าต้องชดใช้ชีวิตของเจ้าแทนชีวิตของเขา และชดใช้ชีวิตของประชาชนของเจ้าแทนชีวิตประชาชนของเขา’”

43 กษัตริย์ก็ขุ่นเคืองและโกรธ และเดินทางกลับวังในเมืองสะมาเรีย

Footnotes

  1. 18:32 สองถัง หรือ 14.6 ลิตร
  2. 19:11 ออกไปข้างนอก … ผ่านไป เหตุการณ์นี้เหมือนกับตอนที่พระเจ้าปรากฏตัวแก่โมเสส ดูใน อพยพ 33:12-23
  3. 19:12 เสียงกระซิบ หรือเสียงดังแผ่วๆ
  4. 19:20 กลับไปเถอะ … ทำกับเจ้านะ หรือแปลได้อีกอย่างว่า “ไปเถอะ เราไปห้ามเจ้าตรงไหนหรือ”
  5. 20:31 เอาผ้า … พันหัว เป็นการแสดงให้เห็นว่าพวกเขายอมถ่อมตัวและพวกเขาต้องการยอมจำนน
  6. 20:32 น้องชายของเรา คนที่ต้องการจะทำข้อตกลงสงบศึกซึ่งกันและกันมักเรียกกันว่าพี่น้อง เหมือนกับว่าพวกเขาได้เป็นคนในครอบครัวเดียวกันแล้ว
  7. 20:39 หนึ่งตะลันต์ หรือ 34.5 กิโลกรัม