Add parallel Print Page Options

พระยาห์เวห์เรียกอับราม

12 พระยาห์เวห์พูดกับอับรามว่า
“ให้ออกจากประเทศของเจ้า
    ละทิ้งประชาชน
และครอบครัวของพ่อเจ้าเสีย
    และให้มุ่งไปยังดินแดนที่เราจะแสดงแก่เจ้า
เราจะทำให้เจ้าเป็นชนชาติที่ยิ่งใหญ่
เราจะอวยพรเจ้า
    และทำให้ชื่อเจ้าเป็นที่รู้จักกว้างขวาง
    และเจ้าจะเป็นพระพรสำหรับคนอื่น[a]
เราจะอวยพรคนที่อวยพรเจ้า
    และจะสาปแช่งคนที่สาปแช่งเจ้า
คนทั้งหลายบนโลกนี้จะได้รับพรจากเจ้าด้วย[b]

อับรามไปคานาอัน

อับรามจึงออกจากเมืองฮารานพร้อมกับโลท และทำตามที่พระยาห์เวห์บอก ในขณะนั้นเขามีอายุเจ็ดสิบห้าปี อับรามพาเมียเขาที่ชื่อซาราย และหลานชายชื่อโลทไปด้วย รวมทั้งทรัพย์สมบัติทั้งหมดและทาสทั้งหมดที่เขาได้มาจากเมืองฮาราน พวกเขาทั้งหมดได้ออกเดินทางมาจนถึงแผ่นดินคานาอัน อับรามเดินทางผ่านดินแดนของชาวคานาอันและสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ในเมืองเชเคม สู่ต้นก่อของโมเรห์ (ซึ่งชาวคานาอันอาศัยอยู่ในเวลานั้น)

พระยาห์เวห์ปรากฏตัวให้อับรามเห็นและพูดกับเขาว่า “เราจะให้ดินแดนแห่งนี้แก่ลูกหลานของเจ้า”

อับรามสร้างแท่นบูชาขึ้นแท่นหนึ่งให้กับพระยาห์เวห์ที่ได้ปรากฏตัวให้เขาเห็น แล้วเขาก็ย้ายจากที่นั่นไปยังแถบเนินเขาทางตะวันออกของเมืองเบธเอล เขาตั้งเต็นท์ขึ้นที่นั่น ด้านตะวันตกคือเมืองเบธเอล ทางตะวันออกคือเมืองอัย เขาสร้างแท่นบูชาขึ้นอีกแท่นที่นั่น และเขาได้นมัสการพระยาห์เวห์ หลังจากนั้นเขาก็เดินทางต่อไปยังเนเกบ

อับรามในอียิปต์

10 ในขณะนั้นเกิดภาวะฝนแล้งและกันดารอาหารอย่างรุนแรง อับรามจึงเดินทางไปอาศัยในอียิปต์ 11 ก่อนที่เขาจะเข้าสู่เขตแดนของอียิปต์ เขาบอกนางซารายเมียของเขาว่า “ฟังนะ พี่รู้ว่าน้องเป็นผู้หญิงที่สวยมาก 12 ถ้าผู้ชายชาวอียิปต์พบน้องเข้า พวกเขาจะพูดว่า ‘ผู้หญิงคนนี้เป็นเมียของผู้ชายที่มาด้วยแน่’ พวกนั้นก็จะฆ่าพี่แต่ไม่ฆ่าน้องหรอก 13 ฉะนั้นให้บอกไปว่าน้องเป็นน้องสาวของพี่ เพื่อคนพวกนั้นจะได้ดีกับพี่และพี่ก็จะรอดชีวิตเพราะน้อง”

14 เมื่ออับรามไปถึงอียิปต์ ชาวอียิปต์เห็นว่าซารายเป็นผู้หญิงที่สวยมาก 15 และเมื่อพวกเจ้าหน้าที่ของฟาโรห์กษัตริย์อียิปต์มาพบนาง จึงไปบอกกับฟาโรห์ว่านางสวยขนาดไหน หลังจากนั้น นางซารายจึงถูกนำตัวมาที่วัง 16 กษัตริย์ฟาโรห์จึงปฏิบัติกับอับรามอย่างดี เพราะเขาเป็นพี่ชายของนางซาราย เขาได้รับแกะ วัว ลาตัวผู้ ลาตัวเมีย ทาสชายหญิง และพวกอูฐ

17 แต่พระยาห์เวห์ทำให้เกิดโรคระบาดขึ้นอย่างรุนแรงกับฟาโรห์และคนในวัง เพื่อลงโทษฟาโรห์ที่ไปเอาเมียของอับรามมา 18 กษัตริย์แห่งอียิปต์จึงเรียกตัวอับรามมาพบและถามว่า “นี่เจ้าทำอะไรกับเรา ทำไมถึงไม่บอกเราว่านางเป็นเมียเจ้า 19 ทำไมถึงบอกว่า ‘นางเป็นน้องสาว’ ทำให้เรารับนางมาเป็นเมีย ตอนนี้เอาเมียของเจ้าคืนไปและออกไปให้พ้น” 20 ฟาโรห์ได้ออกคำสั่งกับคนของพระองค์ให้ส่งอับรามกับเมียเขา รวมทั้งสิ่งของที่เป็นของเขา ออกจากอียิปต์

อับรามกลับคานาอัน

13 อับรามกับเมียและโลทจึงเอาทรัพย์สมบัติทั้งหมดเดินทางจากอียิปต์ต่อไปยังเนเกบ ขณะนี้อับรามร่ำรวยมาก มีฝูงสัตว์ เครื่องเงินและทองมากมาย

อับรามเดินทางจากเนเกบกลับไปเบธเอล เมื่อเขามาถึงบริเวณที่อยู่ระหว่างเมืองเบธเอลและเมืองอัย ตรงบริเวณที่เขาเคยตั้งเต็นท์ตอนที่ผ่านมาครั้งก่อน เป็นสถานที่ที่เขาสร้างแท่นบูชาไว้ อับรามได้นมัสการพระยาห์เวห์ที่นั่น

อับรามและโลทแยกทางกัน

โลทซึ่งเดินทางมากับอับราม ก็มีฝูงแพะแกะ ฝูงวัว และเต็นท์อีกมากมาย พื้นที่ที่เคยอาศัยอยู่จึงไม่เพียงพอที่จะให้พวกเขาอยู่ด้วยกันอีกต่อไป เพราะทรัพย์สมบัติและสิ่งของของพวกเขามีจำนวนมากมายมหาศาลจนไม่สามารถอยู่รวมกันได้ คนเลี้ยงแกะของอับรามทะเลาะกับคนเลี้ยงแกะของโลทหลายครั้ง (ในเวลานั้นชาวคานาอันและชาวเปริสซีได้อาศัยอยู่ในบริเวณนั้นด้วย)

อับรามจึงพูดกับโลทว่า “พวกเราไม่ควรมาทะเลาะกันเอง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องระหว่างลุงกับหลาน หรือเรื่องระหว่างคนเลี้ยงแกะของเรา เพราะเราเป็นญาติกัน แผ่นดินทั้งหมดนี้คอยอยู่ต่อหน้าหลาน พวกเราควรแยกทางกัน ถ้าหลานไปทางซ้าย ลุงก็จะไปทางขวา ถ้าหลานไปทางขวา ลุงก็จะไปทางซ้าย”

10 โลทมองไปรอบๆ เห็นที่ลุ่มในหุบเขาจอร์แดนตลอดระยะทางจนถึงเมืองโศอาร์ แผ่นดินแห่งนี้มีน้ำท่าอุดมสมบูรณ์ (ตอนนั้นพระยาห์เวห์ยังไม่ได้ทำลายเมืองโสโดมและโกโมราห์) แผ่นดินแห่งนี้เหมือนกับสวนของพระยาห์เวห์ เหมือนกับดินแดนในประเทศอียิปต์ 11 โลทเลือกที่ลุ่มในหุบเขาจอร์แดน เขาจึงเดินทางไปทางตะวันออก ทั้งสองคนจึงแยกทางกัน 12 อับรามอาศัยอยู่ในดินแดนของคานาอัน โลทอาศัยอยู่ท่ามกลางเมืองต่างๆในหุบเขา โลทได้ย้ายเต็นท์ของเขาไปใกล้กับเมืองโสโดม 13 ชาวเมืองโสโดมเป็นคนชั่วและทำบาปต่อพระยาห์เวห์อย่างมาก

14 หลังจากที่โลทแยกไปแล้ว พระยาห์เวห์พูดกับอับรามว่า “ให้มองไปรอบๆจากจุดที่เจ้าอยู่ มองไปทางเหนือ ทางใต้ ทางตะวันออกและทางตะวันตก 15 เพราะเราจะมอบทุกที่ที่เจ้าเห็นให้เจ้าและลูกหลานของเจ้าตลอดไป 16 เราจะให้ลูกหลานของเจ้ามีจำนวนมากมายเหมือนฝุ่นบนโลก ถ้าหากมีใครสามารถนับฝุ่นบนโลกได้ ก็จะสามารถนับจำนวนลูกหลานของเจ้าได้ 17 ไปเถิด เดินทางไปให้ทั่วดินแดนนี้ เพราะเราจะให้มันกับเจ้า”

18 อับรามจึงย้ายเต็นท์ของเขาไปตั้งหลักแหล่งในที่ใหม่ บริเวณสวนต้นก่อของมัมเรในตำบลเฮโบรน และเขาสร้างแท่นบูชาแท่นหนึ่งที่นั่นให้กับพระยาห์เวห์

โลทถูกจับตัวไป

14 ในเวลานั้นกษัตริย์อัมราเฟลแห่งเมืองชินาร์ กษัตริย์อารีโอคแห่งเมืองเอลลาสาร์ กษัตริย์เคโดร์ลาโอเมอร์แห่งเมืองเอลาม และกษัตริย์ทิดาลแห่งเมืองโกยิม พวกกษัตริย์ทั้งหมดนี้กำลังทำสงครามอยู่กับกษัตริย์เบราแห่งเมืองโสโดม กษัตริย์บิรชาแห่งเมืองโกโมราห์ กษัตริย์ชินาบแห่งเมืองอัดมาห์ กษัตริย์เชเมเบอร์แห่งเมืองเศโบยิม และกษัตริย์ของเมืองเบลา (เบลา มีอีกชื่อหนึ่งว่าโศอาร์)

พวกกษัตริย์ฝ่ายหลังร่วมกันยกทัพไปที่หุบเขาสิดดิม (ปัจจุบันคือทะเลเกลือ) กษัตริย์พวกนี้เคยรับใช้กษัตริย์เคโดร์ลาโอเมอร์อยู่ถึงสิบสองปี แต่ในปีที่สิบสาม พวกเขาก่อการกบฏขึ้น ในปีที่สิบสี่ กษัตริย์เคโดร์ลาโอเมอร์และกษัตริย์ที่ยังจงรักภักดีกับเขา ได้บุกมา และรบชนะชาวเมืองพวกนี้คือ ชาวเรฟาอิมที่เมืองอัชทาโรทคารนาอิม ชาวศูซิมที่เมืองฮาม และชาวเอมิมที่เมืองชาเวห์-คีริยาธาอิม พวกเขายังรบชนะชาวโฮรีที่อาศัยอยู่ในเนินเขารอบๆเสอีร์ไปจนถึงเอลปาราน[c] ที่อยู่ติดกับทะเลทราย แล้วพวกกษัตริย์เคโดร์ลาโอเมอร์ก็หันทัพกลับไปตีเมืองเอนมิสปัท (ซึ่งก็คือเมืองเคเดช) พวกเขาได้รบชนะไปทั่วทั้งเขตแดนของชาวอามาเลคและชาวอาโมไรต์ที่อาศัยอยู่ในฮาซาโซนทามาร์

ฝ่ายกษัตริย์เมืองโสโดม โกโมราห์ อัดมาห์ เศโบยิมและเบลา (หรือโศอาร์) ได้ออกมาจัดทัพเพื่อเตรียมสู้รบกับพวกกษัตริย์อีกฝ่ายหนึ่งในหุบเขาสิดดิม คือกษัตริย์เคโดร์ลาโอเมอร์แห่งเอลาม กษัตริย์ทิดาลแห่งโกยิม กษัตริย์อัมราเฟลแห่งชินาร์ และกษัตริย์อารีโอคแห่งเมืองเอลลาสาร์ กษัตริย์สี่องค์ต่อสู้กับกษัตริย์ห้าองค์

10 ขณะนั้นหุบเขาสิดดิมเต็มไปด้วยหลุมน้ำมันดิน[d] เมื่อกองทัพของกษัตริย์โสโดมและโกโมราห์วิ่งหนี บางคนก็ตกลงไปในหลุมเหล่านั้น และส่วนที่เหลือก็วิ่งไปหลบที่ภูเขา

11 กษัตริย์เคโดร์ลาโอเมอร์กับพวกของเขาก็ได้ยึดเอาทรัพย์สมบัติต่างๆของโสโดมและโกโมราห์ รวมทั้งอาหารทั้งหมด แล้วก็จากไป 12 พวกเขายังได้จับตัวโลท (หลานชายของอับราม) และยึดทรัพย์สมบัติของเขาไปด้วย เพราะโลทอาศัยอยู่ในเมืองโสโดม แล้วพวกเขาก็จากไป 13 คนรับใช้คนหนึ่งของโลทที่หนีรอดมาได้ ได้มาบอกกับอับรามชาวฮีบรู ขณะนั้น อับรามอาศัยอยู่ใกล้ๆกับสวนต้นก่อของมัมเร ซึ่งเป็นของชาวอาโมไรต์ ที่เป็นพี่น้องของเอชโคล์และอาเนอร์ พวกเขาทั้งหมดเป็นเพื่อนกับอับราม และเคยตกลงกันแล้วที่จะช่วยเหลือซึ่งกันและกัน

อับรามช่วยโลท

14 เมื่ออับรามได้ยินว่าหลานชายถูกจับตัวไป เขาจึงรวบรวมคนของเขาที่ได้รับการฝึกฝนการรบมาและเป็นทาสที่เกิดอยู่ในครอบครัวของเขา จำนวนสามร้อยสิบแปดคน แล้วเขาก็ไล่ตามศัตรูไปจนถึงเมืองดาน 15 ในคืนนั้นอับรามและพวกทาสของเขาได้แยกกันเข้าโจมตีศัตรู พวกเขารบชนะพวกนั้น และไล่ตามไปจนถึงเมืองโฮบาห์ ซึ่งอยู่ทางเหนือของเมืองดามัสกัส 16 อับรามยึดทรัพย์สมบัติคืนมาทั้งหมด และนำตัวโลทและทรัพย์สมบัติของโลทคืนมา รวมทั้งพวกผู้หญิงและคนอื่นๆที่ถูกกวาดต้อนไปคืนมาด้วย

17 หลังจากอับรามกับฝ่ายของเขากลับจากการสู้รบชนะกษัตริย์เคโดร์ลาโอเมอร์ กษัตริย์โสโดมได้ออกมาพบอับรามตรงที่ราบหุบเขาชาเวห์ (คือที่ราบหุบเขาแห่งกษัตริย์)

เมลคีเซเดค

18 เมลคีเซเดคผู้เป็นกษัตริย์เมืองซาเล็มและเป็นนักบวชของพระเจ้าผู้สูงสุด ได้มาพบอับรามและนำขนมปังกับเหล้าองุ่นมาด้วย 19 เมลคีเซเดคได้อวยพรอับรามว่า

“ขออับรามได้รับพระพรจากพระเจ้าผู้สูงสุด
    ผู้สร้างท้องฟ้าและแผ่นดิน
20 และขอพระเจ้าผู้สูงสุดได้รับคำสรรเสริญ
    พระองค์ได้มอบศัตรูให้อยู่ในกำมือของท่าน”

อับรามได้ให้เมลคีเซเดค หนึ่งในสิบของทุกอย่างที่ยึดมาได้ 21 แล้วกษัตริย์โสโดมพูดกับอับรามว่า “ช่วยคืนคนของเราที่ถูกจับไปให้กับเราด้วย ส่วนทรัพย์สมบัตินั้นท่านเก็บเอาไว้เองเถิด”

22 อับรามจึงบอกกษัตริย์โสโดมว่า “เราได้ยกมือขึ้นสาบานกับพระยาห์เวห์ พระเจ้าผู้สูงสุด ผู้สร้างท้องฟ้าและแผ่นดินว่า 23 เราจะไม่เอาอะไรที่เป็นของท่านเลย แม้แต่ด้ายหรือเชือกผูกรองเท้าสักเส้น เพื่อท่านจะไม่สามารถอ้างได้ว่า ‘เรานี่แหละ ที่ทำให้อับรามร่ำรวย’ 24 เราจะไม่เอาอะไรเลย นอกจากอาหารที่คนของเราได้กินไปแล้วเท่านั้น และส่วนแบ่งสำหรับ อาเนอร์ เอชโคล์ และมัมเร ที่ได้ช่วยเราออกรบ ให้พวกเขารับส่วนแบ่งของพวกเขาไปเถิด”

พระเจ้าให้คำสัญญากับอับราม

15 หลังจากเหตุการณ์นั้น พระยาห์เวห์พูดกับอับรามในนิมิตว่า “อับราม ไม่ต้องกลัว เราเป็นโล่กำบังเจ้า เจ้าจะได้รับรางวัลที่ยิ่งใหญ่มาก”

แต่อับรามพูดว่า “ข้าแต่พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิต พระองค์จะให้อะไรกับข้าพเจ้าหรือ เพราะข้าพเจ้ายังไม่มีลูก[e] เลย และผู้รับมรดกของข้าพเจ้าคือเอลีเยเซอร์ชาวเมืองดามัสกัสทาสของข้าพเจ้า[f] อับรามพูดว่า “ดูเถอะ พระองค์ไม่ได้ให้ลูกชายกับข้าพเจ้า ทาสชายที่เกิดในบ้านข้าพเจ้าก็จะเป็นคนรับมรดกจากข้าพเจ้า”

พระยาห์เวห์จึงพูดกับอับรามว่า “คนๆนี้จะไม่ใช่ผู้รับมรดกของเจ้าหรอก แต่ลูกชายของเจ้าเองจะเป็นผู้รับมรดกของเจ้า”

แล้วพระองค์ก็พาอับรามออกไปด้านนอก และพูดว่า “มองดูท้องฟ้าสิ และลองนับดวงดาวดูสิว่าเจ้าสามารถนับพวกมันได้หรือเปล่า” แล้วพระองค์ก็พูดกับเขาว่า “ลูกหลานของเจ้าจะมีจำนวนมากมายอย่างนั้น”

แล้วอับรามก็ไว้วางใจในพระยาห์เวห์ และเพราะความไว้วางใจของอับรามนั่นเอง พระองค์ถึงได้ยอมรับเขา[g]

พระองค์จึงบอกอับรามว่า “เราคือยาห์เวห์ ผู้ที่นำเจ้าออกจากเมืองเออร์[h] ของชาวเคลเดีย เพื่อมอบดินแดนนี้ให้กับเจ้าเป็นเจ้าของ”

อับรามก็พูดว่า “ข้าแต่พระยาห์เวห์ องค์เจ้าชีวิต ข้าพเจ้าจะรู้ได้อย่างไรว่าข้าพเจ้าจะได้เป็นเจ้าของมัน”

พระองค์ก็บอกกับเขาว่า “ให้เอาลูกวัวตัวเมียอายุสามปีมาตัวหนึ่ง แพะตัวเมียอายุสามปีตัวหนึ่ง แกะตัวผู้อายุสามปีอีกตัวหนึ่ง นกเขาและนกพิราบอย่างละตัวมาให้กับเรา”

10 อับรามก็ได้เอาสัตว์ทั้งหมดนี้มา และผ่ากลางลำตัวออกเป็นสองซีก แล้ววางไว้ข้างละซีกตรงกัน แต่เขาไม่ได้ผ่าพวกนก 11 ต่อมามีนกตัวใหญ่หลายตัวบินลงมาจะกินซากสัตว์พวกนั้น อับรามจึงไล่ฝูงนกพวกนั้นไป

12 ขณะนั้นตะวันเริ่มตกดิน อับรามหลับสนิท ความมืดอันน่ากลัวก็แผ่ปกคลุมบนตัวเขา 13 พระยาห์เวห์พูดกับอับรามว่า “เจ้าต้องรู้ว่าลูกหลานของเจ้าจะเป็นคนแปลกหน้าในประเทศที่ไม่ใช่ของพวกเขา และจะเป็นทาสของคนพวกนั้น และคนพวกนั้นก็จะกดขี่ข่มเหงพวกเขาเป็นเวลาสี่ร้อยปี 14 แต่เราจะตัดสินลงโทษชนชาตินั้น ที่พวกลูกหลานของเจ้าไปรับใช้ แล้วหลังจากนั้น พวกลูกหลานของเจ้าก็จะออกมาพร้อมกับทรัพย์สมบัติมากมาย

15 แต่เจ้าจะมีชีวิตอยู่อย่างยืนยาวและตายอย่างสงบสุขและถูกฝังไว้ 16 หลังผ่านพ้นไปสี่ชั่วอายุคน ลูกหลานของเจ้าก็จะกลับมาที่ดินแดนแห่งนี้ เพราะก่อนหน้านั้นความบาปของชาวอาโมไรต์ยังไม่ครบถ้วน”

17 เมื่อตะวันตกดิน มันมืดมาก แล้วมีหม้อที่มีควันไฟและคบเพลิงที่มีเปลวไฟลุกอยู่พุ่งผ่านกลางสองซีกของซากสัตว์พวกนั้น[i]

18 ในวันนั้นพระยาห์เวห์ได้ทำสัญญากับอับราม พระองค์พูดว่า “เราได้มอบแผ่นดินนี้ให้กับลูกหลานเจ้า จากแม่น้ำอียิปต์[j] ไปจนถึงแม่น้ำยูเฟรติสอันยิ่งใหญ่ 19 รวมทั้งแผ่นดินของชาวเคไนต์ ชาวเคนัส ชาวขัดโมไนต์ 20 ชาวฮิตไทต์ ชาวเปริสซี ชาวเรฟาอิม 21 ชาวอาโมไรต์ ชาวคานาอัน ชาวเกอร์กาชีและชาวเยบุส”

นางฮาการ์ ทาสหญิง

16 ถึงเดี๋ยวนี้ซารายเมียของอับรามก็ยังไม่มีลูกให้กับอับรามเลย แต่นางมีทาสหญิงชาวอียิปต์คนหนึ่งชื่อฮาการ์ ซารายจึงพูดกับอับรามว่า “ดูสิ พระยาห์เวห์ไม่ยินยอมให้น้องมีลูก ไปร่วมหลับนอนกับทาสหญิงของน้องเถิด บางทีนางอาจมีลูกชายให้กับน้องก็ได้” อับรามก็ทำตามที่นางซารายแนะนำ

หลังจากที่อับรามอยู่ที่แผ่นดินคานาอันสิบปี ซารายเมียของอับราม ได้ยกทาสหญิงของนาง ที่ชื่อฮาการ์ให้เป็นเมียของอับราม อับรามก็เข้าไปร่วมหลับนอนกับฮาการ์ และนางก็ตั้งท้อง เมื่อนางตั้งท้อง นางก็เริ่มลืมตัวแล้วดูถูกซารายผู้เป็นนายหญิงของนาง ซารายจึงบอกกับอับรามว่า “พี่ต้องรับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้น น้องได้ยกหญิงรับใช้ของน้องให้อยู่ในอ้อมอกพี่ พอนางเห็นว่านางตั้งท้อง น้องก็ไม่อยู่ในสายตานางอีกต่อไป ขอให้พระยาห์เวห์ตัดสินว่าระหว่างน้องกับพี่ใครถูกกันแน่”

แต่อับรามพูดกับซารายว่า “ทาสของน้องก็อยู่ในกำมือของน้องอยู่แล้ว น้องจะทำอะไรกับนางก็ได้ตามที่น้องพอใจ” ซารายจึงดุด่าฮาการ์ จนนางหนีไป

อิชมาเอล ลูกชายนางฮาการ์

ทูตสวรรค์ของพระยาห์เวห์พบนางฮาการ์ อยู่ข้างแอ่งน้ำพุแห่งหนึ่งในที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้ง แอ่งน้ำนั้นอยู่ติดถนนที่มุ่งไปสู่เมืองชูร์ ทูตสวรรค์พูดว่า “ฮาการ์ทาสของซาราย เจ้ามาจากไหนและกำลังจะไปไหน”

นางจึงตอบว่า “ข้าพเจ้าหนีซารายนายหญิงของข้าพเจ้ามา”

แล้วทูตสวรรค์ของพระยาห์เวห์ก็พูดกับนางว่า “กลับไปหานายหญิงของเจ้าและให้ยอมอยู่ใต้อำนาจของนาง” 10 และทูตสวรรค์องค์นั้นพูดว่า “เราจะทำให้ลูกหลานของเจ้าทวีเป็นจำนวนมากมายมหาศาลจนนับไม่ถ้วน”

11 ทูตสวรรค์ของพระยาห์เวห์บอกกับนางว่า

“ดูสิ ตอนนี้เจ้ากำลังตั้งท้อง
    เจ้าจะคลอดลูกชาย
และเจ้าจะเรียกเขาว่าอิชมาเอล[k]
    เพราะพระยาห์เวห์ได้ยินถึงความทุกข์ของเจ้า
12 ลูกชายคนนี้จะเหมือนลาป่า
    มือของเขาจะต่อต้านทุกคน
    มือของทุกๆคนก็จะต่อต้านเขา
เขาจะอาศัยอยู่ใกล้ๆกับพี่น้องของเขา[l]

13 ฮาการ์เรียกชื่อพระยาห์เวห์ที่พูดกับนางว่า “พระองค์คือพระเจ้าผู้มองเห็นฉัน[m]” ที่นางเรียกอย่างนั้น ก็เพราะนางคิดว่า “ที่นี่ฉันได้เห็นพระองค์ที่มองเห็นฉันจริงๆหรือ[n] 14 บ่อน้ำพุจึงได้ชื่อว่า เบเออลาไฮรอย[o] บ่อนี้ยังคงอยู่ระหว่างเมืองเคเดชและเมืองเบเรด

15 นางฮาการ์ได้คลอดลูกชายให้กับอับราม แล้วอับรามก็ตั้งชื่อลูกของเขาว่าอิชมาเอล 16 ตอนที่ฮาการ์คลอดอิชมาเอลนี้ อับรามมีอายุแปดสิบหกปี

การขลิบ

17 เมื่ออับรามมีอายุเก้าสิบเก้าปี พระยาห์เวห์ได้มาปรากฏต่ออับรามและพูดกับเขาว่า “เราคือพระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์[p] ให้เชื่อฟังเราและทำตัวไร้ที่ติ ถ้าเจ้าทำอย่างนี้ เราจะทำสัญญาระหว่างเรากับเจ้า และเราจะทำให้ลูกหลานของเจ้าเพิ่มทวีขึ้นอย่างมหาศาล”

อับรามก็ก้มกราบลงและพระองค์ก็พูดกับเขาว่า “นี่เป็นส่วนของเรา ที่เราได้ทำสัญญากับเจ้า คือเจ้าจะได้เป็นบรรพบุรุษของหลายชนชาติ ชื่อของเจ้าจะไม่ใช่อับราม[q] อีกต่อไป แต่เจ้าจะมีชื่อใหม่ว่า อับราฮัม[r] เพราะเราได้ทำให้เจ้าเป็นพ่อของหลายชนชาติ เราจะทำให้เจ้ามีลูกหลานมากมาย และเราจะทำให้มีหลายๆชนชาติเกิดมาจากเจ้า กษัตริย์ต่างๆจะมาจากเจ้า เราจะทำสัญญาระหว่างเรากับเจ้าและกับลูกหลานของเจ้าและลูกหลานของพวกเขาตลอดไป นี่จะเป็นสัญญาตลอดกาล เราสัญญาว่าเราจะเป็นพระเจ้าของเจ้าและลูกหลานของเจ้า แผ่นดินทั้งหมดนี้ที่เป็นของชาวคานาอัน ที่เจ้ากำลังอยู่ในฐานะคนต่างด้าวนี้ เราจะยกให้กับเจ้าและลูกหลานของเจ้าตลอดไป และเราจะเป็นพระเจ้าของลูกหลานเจ้าด้วย”

แล้วพระเจ้าก็พูดกับอับราฮัมว่า “ส่วนเจ้า เจ้าจะต้องรักษาสัญญานี้ ทั้งเจ้าและลูกหลานของเจ้า ตลอดจนลูกหลานของเขา 10 นี่คือสัญญาของเราที่พวกเจ้าจะต้องรักษา เป็นสัญญาระหว่างเรากับเจ้าและลูกหลานของเจ้า ผู้ชายทุกคนในพวกเจ้าจะต้องขลิบ 11 พวกเจ้าจะต้องขลิบหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศ นี่จะเป็นสัญลักษณ์ว่าเจ้ายอมรับคำสัญญาระหว่างเรากับพวกเจ้า 12 ตลอดชั่วลูกชั่วหลานของเจ้า เด็กผู้ชายทุกคนที่เกิดมาได้แปดวันจะต้องถูกขลิบ เด็กผู้ชายที่เกิดมาในครัวเรือนของเจ้า รวมทั้งทาสชายที่เจ้าซื้อมาจากชาวต่างชาติ ก็ต้องขลิบกันหมดทุกคน ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ใช่ลูกหลานของเจ้าก็ตาม 13 ทั้งทาสที่เกิดในครัวเรือนของเจ้าและทาสที่เจ้าเอาเงินไปซื้อมา ก็ต้องถูกขลิบกันทุกคน ด้วยวิธีนี้ สัญญาของเราก็จะติดอยู่กับเนื้อหนังของเจ้าไปตลอดกาล 14 ผู้ชายที่ไม่ได้ขลิบจะถูกตัดออกจากกลุ่ม เพราะไม่รักษาสัญญาของเรา”

อิสอัค ลูกชายที่พระเจ้าสัญญาว่าจะให้

15 พระเจ้าพูดกับอับราฮัมว่า “ซาราย[s] เมียของเจ้าจะไม่ชื่อซารายอีกต่อไป เพราะนางจะเปลี่ยนชื่อเป็นซาราห์[t] 16 เราจะอวยพรนาง และเราจะให้ลูกชายกับเจ้าผ่านทางนาง และเราจะอวยพรนางให้เป็นแม่ของหลายชนชาติ พวกกษัตริย์ของชนชาติต่างๆจะมาจากนาง”

17 อับราฮัมก้มกราบลง แต่เขาหัวเราะและพูดกับตัวเองว่า “ผู้ชายอายุร้อยปีจะมีลูกได้ยังไง หรือซาราห์ที่มีอายุเก้าสิบปีแล้วจะมีลูกได้ยังไง”

18 อับราฮัมจึงพูดกับพระเจ้าว่า “ข้าพเจ้าหวังว่าอิชมาเอลจะมีชีวิตที่มีความสุขอยู่ต่อหน้าพระองค์”

19 พระเจ้าพูดว่า “จะเป็นอย่างนั้น แต่ซาราห์ เมียของเจ้าเองต่างหากที่จะเป็นคนคลอดลูกชายให้กับเจ้า และเจ้าจะตั้งชื่อเด็กว่าอิสอัค[u] เราจะรักษาสัญญาของเรากับเขาและลูกหลานของเขาไว้ตลอดกาล

20 ส่วนอิชมาเอลนั้น เราได้ยินคำขอร้องของเจ้าแล้ว เราจะอวยพรเขา เราจะให้เขามีลูกหลานมากมายมหาศาล และเขาจะได้เป็นพ่อของเจ้าชายสิบสององค์ และเราจะทำให้เขาเป็นชนชาติที่ยิ่งใหญ่ 21 แต่เราจะทำสัญญาของเรากับอิสอัค ที่ซาราห์จะคลอดให้กับเจ้าในปีหน้าเวลานี้”

22 เมื่อพระเจ้าพูดกับอับราฮัมเสร็จ พระองค์ก็ลอยขึ้นไปจากเขา 23 แล้วในวันนั้นเองอับราฮัมก็พาอิชมาเอล พวกทาสชายทุกคนที่เกิดในครัวเรือนของเขา รวมทั้งทาสที่เขาซื้อมา และผู้ชายทั้งหมดในครัวเรือนของเขา ไปขลิบหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศทุกคน ตามที่พระเจ้าได้บอกเขาไว้

24 วันที่อับราฮัมเข้าพิธีขลิบนั้น เขามีอายุเก้าสิบเก้าปี 25 ส่วนอิชมาเอลมีอายุสิบสามปีตอนเข้าพิธีขลิบ 26 ในวันนั้นทั้งอับราฮัมและลูกชายก็ได้เข้าพิธีขลิบ 27 และผู้ชายทุกคนในครัวเรือนของอับราฮัม พวกทาสที่เกิดในครัวเรือนของเขาและพวกทาสที่ซื้อมาจากคนต่างชาติ ก็เข้าพิธีขลิบพร้อมกับอับราฮัมด้วย

แขกสามคนมาเยี่ยมเยียน

18 พระยาห์เวห์ได้มาปรากฏตัวต่ออับราฮัม ที่สวนต้นก่อของมัมเร ในขณะที่อับราฮัมกำลังนั่งอยู่ที่ทางเข้าเต็นท์ของเขา ภายใต้แสงแดดอันร้อนแรงของวันนั้น เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมา ก็เห็นชายสามคนยืนอยู่ข้างหน้าเขา เมื่อเขาเห็นคนเหล่านั้น เขาก็รีบวิ่งไปจากหน้าเต็นท์ ไปหาคนพวกนั้น และเมื่อไปถึงก็ก้มกราบถึงพื้นดิน และพูดว่า “เจ้านายของข้าพเจ้า ถ้าข้าพเจ้าเป็นที่ชอบใจในสายตาของพวกท่าน ขออย่าได้เดินผ่านข้าพเจ้าผู้รับใช้ของท่านไปเลย ขอให้ข้าพเจ้าได้เอาน้ำมาล้างเท้าให้ท่านสักนิด และเชิญมาพักผ่อนใต้ต้นไม้สักพักหนึ่ง ข้าพเจ้าจะได้เอาขนมปังมาให้ท่านกินสักหน่อยหนึ่ง เพื่อท่านจะรู้สึกสดชื่นขึ้น หลังจากนั้นท่านถึงค่อยเดินทางต่อ ขอให้ข้าพเจ้าได้ทำสิ่งเหล่านี้เถิด ไหนๆท่านก็ได้มาหาข้าพเจ้า ผู้รับใช้ของท่านแล้ว”

แล้วพวกเขาก็พูดว่า “ทำตามที่เจ้าพูดเถิด”

อับราฮัมจึงรีบไปที่เต็นท์ของเขาหาซาราห์ และพูดกับนางว่า “เร็วๆเข้า ไปตวงแป้งอย่างดีมายี่สิบสองลิตร เอามานวดแล้วอบเป็นขนมปัง” แล้วอับราฮัมก็วิ่งไปที่ฝูงสัตว์ และเลือกลูกวัวตัวที่ดีและอ่อนนุ่มที่สุด แล้วเอาไปให้คนรับใช้ของเขา และคนรับใช้ก็รีบเอาไปทำอาหาร

อับราฮัมได้นำเอานมข้นเปรี้ยว น้ำนมและเนื้อลูกวัวที่ทำเสร็จแล้ว ไปวางต่อหน้าแขกทั้งสามนั้น ในขณะที่พวกเขากำลังกินกันอยู่ อับราฮัมก็ยืนคอยอยู่ข้างๆพวกเขาใต้ต้นไม้นั้น

แล้วพวกเขาก็ถามอับราฮัมว่า “ซาราห์ เมียของเจ้าอยู่ที่ไหนหรือ”

อับราฮัมตอบว่า “อยู่ในเต็นท์นั้นครับท่าน”

10 แล้วชายคนหนึ่งในพวกเขาก็พูดว่า “ในปีหน้าเวลานี้ เราจะกลับมาหาเจ้าอีกอย่างแน่นอน และซาราห์เมียของเจ้าจะมีลูกชายคนหนึ่ง”

ซาราห์กำลังฟังอยู่ที่ทางเข้าเต็นท์ข้างหลังเขา 11 ทั้งอับราฮัมและซาราห์ก็แก่มากแล้ว และซาราห์ก็หมดประจำเดือนแล้วด้วย 12 ซาราห์จึงหัวเราะอยู่คนเดียวและพูดว่า “ฉันแก่มากจนใช้การไม่ได้แล้ว ผัวฉันก็แก่มากแล้วเหมือนกัน ฉันยังจะมีความต้องการทางเพศอีกหรือ”

13 แล้วพระยาห์เวห์ได้พูดกับอับราฮัมว่า “ทำไมนางซาราห์ถึงได้หัวเราะและพูดว่า ‘เมื่อฉันแก่ขนาดนี้แล้วจะมีลูกได้อีกหรือ’ 14 มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้สำหรับพระยาห์เวห์หรือ ในปีหน้าเวลานี้เราจะกลับมาหาเจ้า มันจะเป็นช่วงฤดูใบไม้ผลิ และซาราห์จะมีลูกชายคนหนึ่ง”

15 แต่ซาราห์ปฏิเสธว่า “ข้าพเจ้าไม่ได้หัวเราะ” เพราะนางกลัว

แต่พระองค์บอกว่า “ไม่จริง เจ้าหัวเราะแน่ๆ”

16 แล้วชายทั้งสามคนก็ไปจากที่นั่น พวกเขามองไปที่เมืองโสโดม อับราฮัมเดินไปกับพวกเขา เพื่อไปส่ง

อับราฮัมต่อรองกับพระยาห์เวห์เพื่อเมืองโสโดม

17 แล้วพระยาห์เวห์พูดกับตัวเองว่า “เราควรจะปิดบังอับราฮัมเรื่องที่เรากำลังจะทำนี้หรือ 18 เขาจะกลายเป็นชนชาติที่ยิ่งใหญ่และเป็นมหาอำนาจ และชนชาติทั้งหมดก็จะได้รับพระพรผ่านทางเขา 19 เราจะไม่ปิดบังเรื่องนี้จากเขา เพราะเราได้เลือกเขามา เพื่อเขาจะได้สั่งลูกหลานของเขา และคนในครัวเรือนของเขา ให้ใช้ชีวิตตามแนวทางที่พระยาห์เวห์ต้องการให้พวกเขาเป็น คือทำสิ่งที่ถูกต้องและยุติธรรม เพื่อเราจะให้สิ่งที่เราได้สัญญาไว้กับอับราฮัม”

20 แล้วพระยาห์เวห์พูดว่า “มีเสียงบ่นต่อว่าเมืองโสโดมและเมืองโกโมราห์เยอะมาก และบาปของพวกเขาก็หนักหนาสาหัส 21 เราจะลงไปดูสิว่า พวกเขาได้ทำอย่างที่เราได้ยินมาหรือเปล่า และถ้าไม่เป็นอย่างนั้นเราจะได้รู้”

22 แล้วชายพวกนั้นก็บ่ายหน้าไปจากที่นั่น แล้วมุ่งตรงไปเมืองโสโดม แต่อับราฮัมยังคงยืนอยู่ต่อหน้าพระองค์ 23 อับราฮัมเข้ามาใกล้พระองค์และพูดว่า “พระองค์จะทำลายคนดีไปพร้อมๆกับคนชั่วจริงๆหรือ 24 แล้วถ้าเกิดมีคนดีสักห้าสิบคนในเมืองนั้นล่ะ พระองค์จะทำลายเมืองนั้นอีกหรือ พระองค์จะไม่ยกโทษให้กับเมืองนั้น เพราะเห็นแก่คนดีห้าสิบคนหรือ 25 พระองค์คงจะไม่ทำอย่างนั้นแน่ ที่จะฆ่าคนดีๆไปพร้อมกับคนชั่ว

ถ้าเป็นอย่างนั้นคนดีกับคนชั่วก็ไม่ต่างกันเลย พระองค์คงไม่ทำอย่างนั้นแน่ ข้าพเจ้ารู้ว่า พระองค์ผู้เป็นผู้พิพากษาโลกนี้ จะทำในสิ่งที่ถูกต้องอย่างแน่นอน”

26 แล้วพระยาห์เวห์ก็พูดว่า “ถ้าเราเจอคนดีในเมืองโสโดมห้าสิบคน เราก็จะไว้ชีวิตคนในเมืองนั้นเพราะเห็นแก่ห้าสิบคนนั้น”

27 แล้วอับราฮัมก็พูดว่า “ดูเถอะ ข้าพเจ้านี่ช่างบังอาจนักที่พูดกับเจ้านายของข้าพเจ้าอย่างนี้ ทั้งๆที่ข้าพเจ้าเป็นแค่ฝุ่นและขี้เถ้า 28 แล้วถ้าเกิดคนดีห้าสิบคนนั้น ขาดไปสักห้าคนล่ะครับ พระองค์ยังจะทำลายเมืองทั้งเมือง เพราะขาดไปแค่ห้าคนไหมครับท่าน”

แล้วพระองค์พูดว่า “เราจะไม่ทำลายเมืองนั้น ถ้าเราเจอคนดีสี่สิบห้าคนที่นั่น”

29 แล้วอับราฮัมก็พูดกับพระองค์อีกว่า “แล้วถ้าเจอแค่สี่สิบคนที่นั่นล่ะครับท่าน”

พระองค์ตอบว่า “เราก็จะไม่ทำลายมันเพราะเห็นแก่สี่สิบคนนั้น”

30 แล้วอับราฮัมพูดต่อไปว่า “ขอพระองค์อย่าได้โกรธข้าพเจ้าเลย ข้าพเจ้าขอถามอีกคำ แล้วถ้าเจอแค่สามสิบคนที่นั่นล่ะครับท่าน”

พระองค์ตอบว่า “เราก็จะไม่ทำลายมัน ถ้าเราเจอคนดีสามสิบคนที่นั่น”

31 แล้วอับราฮัมก็พูดว่า “ดูเถอะ ข้าพเจ้านี่ช่างบังอาจจริง ที่พูดกับเจ้านายของข้าพเจ้าอย่างนี้ แล้วถ้าเกิดเจอแค่ยี่สิบคนที่นั่นล่ะครับท่าน”

พระองค์ตอบว่า “เราก็จะไม่ทำลายมัน เพราะเห็นแก่ยี่สิบคนนั้น”

32 แล้วอับราฮัมพูดว่า “ขอพระองค์อย่าได้โกรธข้าพเจ้าเลย ขอถามอีกแค่ครั้งเดียว แล้วถ้าเกิดเจอแค่สิบคนที่นั่นล่ะครับท่าน”

พระองค์ตอบว่า “เราก็จะไม่ทำลายมัน เพราะเห็นแก่สิบคนนั้น”

33 เมื่อพระองค์พูดกับอับราฮัมเสร็จแล้ว พระองค์ก็จากไป แล้วอับราฮัมก็กลับไปที่อยู่ของเขา

ทูตสวรรค์มาเยี่ยมโลท

19 ทูตสวรรค์สององค์ได้เข้ามาในเมืองโสโดมตอนเย็น โลทกำลังนั่งอยู่ที่ประตูเมือง เขาเห็นทูตสวรรค์สององค์นั้น โลทจึงลุกขึ้นเข้าไปหาพวกเขาและก้มกราบถึงพื้น โลทพูดว่า “เจ้านายของข้าพเจ้า ขอได้โปรดไปแวะที่บ้านของผู้รับใช้ของท่านและค้างคืนที่นั่น จะได้ล้างเท้า แล้วตื่นแต่เช้าเดินทางต่อ”

ทูตสวรรค์ตอบว่า “ไม่ล่ะ เราจะค้างคืนที่ลานเมือง[v] นี้”

แต่โลทยังตื้อพวกเขาไม่เลิก จนพวกเขายอมแวะไปพักค้างคืนที่บ้านของโลท โลทก็ได้ทำอาหารเลี้ยงพวกเขา อบขนมปังไม่ใส่เชื้อฟูให้ และพวกเขาก็กินกัน

ก่อนที่พวกเขาจะเข้านอน ผู้ชายชาวเมืองโสโดม มีทั้งหนุ่มและแก่ ทั้งเมืองได้มายืนล้อมรอบบ้านโลท พวกเขาเรียกโลทออกมาถามว่า “ชายที่มาหาเจ้าคืนนี้อยู่ที่ไหน พาพวกเขาออกมาให้พวกเราสมสู่หน่อย”

โลทออกไปนอกประตูและปิดประตูไว้ แล้วโลทก็พูดว่า “พี่น้องทั้งหลาย ขอร้องเถอะ อย่าได้ทำสิ่งชั่วร้ายอย่างนี้เลย เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ผมมีลูกสาวสองคนที่ยังไม่เคยร่วมเพศกับใครเลย ผมจะเอาพวกนางออกมาให้กับพวกท่าน พวกท่านอยากจะทำอะไรกับพวกนาง ก็แล้วแต่พวกท่าน แต่อย่าได้ทำอะไรกับชายสองคนนี้เลย เพราะพวกเขาได้มาอยู่ร่มชายคาบ้านผม ผมจะต้องปกป้องพวกเขา”[w]

แต่ชายชาวเมืองโสโดมกลับพูดว่า “ถอยไป” และพวกเขาพูดกันว่า “โลทคนนี้มาที่นี่ในฐานะแขก แล้วตอนนี้มันจะมาตัดสินพวกเราหรือ” พวกเขาหันไปพูดกับโลทว่า “ตอนนี้พวกเราจะทำกับแกเลวร้ายยิ่งกว่าทำกับพวกนั้นอีก” พวกเขาก็รุมกันเข้ามาหาโลทและใกล้เข้ามาพังประตูแล้ว

10 ชายสองคนที่อยู่ในบ้านก็ยื่นมือของพวกเขาออกมาลากโลทเข้าไปในบ้านแล้วปิดประตู 11 แล้วทูตสวรรค์ทั้งสองก็ทำให้พวกชายที่อยู่นอกประตูบ้านนั้นตาบอด ทั้งหนุ่มและแก่ ชายพวกนั้นพยายามจะบุกเข้าไปในบ้าน จึงคลำหาประตูบ้านกันจนหมดแรง

การหลบหนีจากเมืองโสโดม

12 ชายสองคนนั้นถามโลทว่า “มีใครในครอบครัวเจ้าอีกหรือเปล่าที่อยู่ที่นี่ ให้พาพวกเขาออกไปจากเมืองนี้ให้หมด ทั้งพวกลูกเขย พวกลูกชายลูกสาวของเจ้า และคนอื่นๆอีกที่เจ้ามีในเมืองนี้ 13 เพราะเรากำลังจะทำลายเมืองนี้ เพราะพระยาห์เวห์ได้ยินว่าเมืองนี้ชั่วร้ายนัก พระองค์จึงได้ส่งพวกเราให้มาทำลายเมืองนี้”

14 แล้วโลทได้ออกไปบอกกับพวกคู่หมั้น คือพวกผู้ชายที่หมั้นกับพวกลูกสาวของเขาว่า “ลุกขึ้น ไปจากที่นี่เร็ว เพราะพระยาห์เวห์กำลังจะทำลายเมืองนี้” แต่พวกลูกเขยคิดว่าโลทกำลังล้อเล่น

15 เมื่อถึงตอนเช้า ทูตสวรรค์ก็เร่งโลท บอกว่า “ลุกขึ้นเร็ว รีบเอาเมียและลูกสาวสองคนของเจ้า ที่อยู่ที่นี่ออกไปจากเมืองนี้ ไม่อย่างนั้น ตอนที่เมืองนี้ถูกลงโทษ เจ้าจะถูกทำลายไปด้วย”

16 แต่โลทยังชักช้าอยู่ ชายสองคนนั้นจึงคว้ามือของเขา ทั้งเมียและลูกสาวของโลท เพราะพระยาห์เวห์มีเมตตาต่อโลท และทูตสวรรค์ได้พาพวกเขาออกไปทิ้งไว้นอกเมือง 17 เมื่อทูตสวรรค์ได้พาพวกเขาออกไปนอกเมืองแล้ว ทูตสวรรค์องค์หนึ่งได้พูดว่า “ให้วิ่งสุดชีวิตเลย ห้ามเหลียวหลังมามอง และอย่าหยุดที่หุบเขาไหนๆเลย ให้วิ่งไปที่เทือกเขาพวกนั้น ไม่อย่างนั้นเจ้าจะถูกทำลาย”

18 แล้วโลทพูดกับพวกเขาว่า “ขออย่าได้ทำอย่างนั้นเลยเจ้านายของข้าพเจ้า 19 ดูสิ ท่านได้กรุณากับข้าพเจ้าผู้รับใช้ของท่าน และท่านได้แสดงความเมตตากับข้าพเจ้าอย่างใหญ่หลวง ที่ช่วยชีวิตของข้าพเจ้าไว้ ข้าพเจ้าวิ่งหนีไปที่เทือกเขาพวกนั้นไม่ทันแน่ ความหายนะคงถึงตัวข้าพเจ้าก่อน และข้าพเจ้าก็จะตาย 20 ดูสิครับ เมืองนั้นอยู่ใกล้กับเมืองนี้ พอที่ข้าพเจ้าจะวิ่งไปทัน และเป็นเมืองเล็ก ขอให้ข้าพเจ้าหนีไปที่นั่นเถิด มันเป็นเมืองเล็กๆแล้วท่านจะได้ช่วยชีวิตของข้าพเจ้า”

21 แล้วทูตสวรรค์ก็พูดกับโลทว่า “ตกลง เราจะให้เจ้าวิ่งไปที่นั่น เราจะไม่ทำลายเมืองนั้นที่ท่านพูดถึง 22 เร็วเข้า รีบหนีไปที่นั่น เราจะยังทำอะไรไม่ได้ จนกว่าเจ้าจะวิ่งไปถึงที่นั่น” (เมืองนั้นจึงมีชื่อว่าโศอาร์[x])

โสโดมและโกโมราห์ถูกทำลาย

23 เมื่อตะวันโผล่ขึ้นมา โลทได้มาถึงเมืองโศอาร์ 24 พระยาห์เวห์ได้ส่งไฟกำมะถันและลูกไฟตกลงมาใส่เมืองโสโดมและเมืองโกโมราห์ เหมือนห่าฝนจากท้องฟ้า 25 และพระองค์ได้ทำลายเมืองเหล่านั้น ตลอดจนหุบเขาทั้งหมด และคนที่อาศัยอยู่ในเมืองพวกนั้นทุกคน และทุกสิ่งทุกอย่างที่งอกขึ้นมาจากพื้นดิน

26 เมียของโลทได้เหลียวหลังไปดู ร่างของนางได้กลายเป็นเสาเกลือไป

27 อับราฮัมตื่นแต่เช้ามืดและไปยังสถานที่ที่เขายืนอยู่ต่อหน้าพระยาห์เวห์ 28 อับราฮัมมองลงไปยังเมืองโสโดมและโกโมราห์และหุบเขาทั้งหมด เขาเห็นควันลอยขึ้นจากแผ่นดินนั้น เหมือนควันจากเตาหลอมโลหะ

29 เมื่อพระยาห์เวห์ทำลายเมืองต่างๆในหุบเขา พระองค์ได้ระลึกถึงอับราฮัม พระองค์จึงนำโลทออกมาจากความหายนะนั้น ตอนที่พระองค์ทำลายเมืองต่างๆพวกนั้นที่โลทเคยอยู่

โลทกับพวกลูกสาวของเขา

30 จากเมืองโศอาร์ โลทได้ขึ้นไปอาศัยอยู่ตามเทือกเขาต่างๆพร้อมกับลูกสาวสองคนของเขา เพราะโลทกลัวที่จะอาศัยอยู่ในเมืองโศอาร์ เขาและลูกสาวทั้งสองอาศัยอยู่ในถ้ำ 31 พี่สาวคนโตพูดกับน้องสาวว่า “พ่อของเราแก่แล้ว และไม่มีผู้ชายคนใดในดินแดนนี้ที่จะมาแต่งงานกับเรา[y] เหมือนกับที่คนอื่นๆบนโลกนี้เขาทำกัน 32 ไปเถอะ ไปให้พ่อเราดื่มเหล้าองุ่นกัน แล้วพี่จะเข้าไปร่วมหลับนอนกับพ่อ เราจะได้มีผู้สืบเชื้อสายต่อไป ผ่านทางพ่อของเรา”

33 แล้วในคืนนั้น ลูกสาวทั้งสองคนของโลทให้พ่อของนางดื่มเหล้าองุ่นจนเมามาย แล้วลูกสาวคนโตได้เข้าไปมีเพศสัมพันธ์กับโลท แต่โลทไม่รู้ตัวเลยว่านางเข้ามานอนกับเขาตั้งแต่เมื่อไหร่และลุกขึ้นไปตั้งแต่เมื่อไหร่

34 วันต่อมาพี่สาวคนโตพูดกับน้องสาวว่า “ดูสิ เมื่อคืนนี้ พี่ได้เข้าไปร่วมหลับนอนกับพ่อแล้ว ให้เราไปมอมเหล้าองุ่นพ่ออีกคืนนี้ น้องจะได้เข้าไปร่วมหลับนอนกับพ่อ เพื่อว่าเราจะได้มีผู้สืบเชื้อสายผ่านทางพ่อเรา” 35 แล้วในคืนนั้น ลูกสาวทั้งสองคน ได้มอมเหล้าองุ่นพ่อจนเมามาย แล้วลูกคนเล็กก็เข้าไปมีเพศสัมพันธ์กับโลท แต่โลทไม่รู้ตัวเลยว่านางมานอนกับเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ และนางลุกขึ้นไปตั้งแต่เมื่อไหร่

36 ลูกสาวทั้งสองคนของโลทได้ตั้งท้องกับพ่อของนาง 37 ลูกสาวคนโตคลอดลูกชาย นางตั้งชื่อเขาว่า โมอับ เขาเป็นบรรพบุรุษของชาวโมอับจนทุกวันนี้ 38 ลูกสาวคนเล็กคลอดลูกชายเหมือนกัน เธอตั้งชื่อเขาว่าเบน-อัมมี[z] เขาเป็นบรรพบุรุษของชาวอัมโมนจนทุกวันนี้

อับราฮัมไปถึงเมืองเกราร์

20 อับราฮัมเดินทางจากที่นั่นตรงไปยังแผ่นดินของเนเกบ เขาตั้งถิ่นฐานอยู่ระหว่างเมืองเคเดชและเมืองชูร์ ตอนที่เขาอาศัยอยู่ในเมืองเกราร์ในฐานะคนต่างชาตินั้น อับราฮัมบอกประชาชนเรื่องซาราห์เมียของเขาว่า “ซาราห์เป็นน้องสาวของผม” กษัตริย์อาบีเมเลคของเมืองเกราร์จึงส่งคนไปหา และกษัตริย์ได้นางซาราห์มา พระเจ้าได้มาเข้าฝันอาบีเมเลคในตอนกลางคืน พระองค์พูดกับเขาว่า “ดูสิ เจ้ากำลังจะตาย เพราะผู้หญิงที่เจ้าเอามานั้น นางมีสามีแล้ว”

ตอนนั้นอาบีเมเลคยังไม่มีเพศสัมพันธ์กับนาง กษัตริย์จึงพูดว่า “ข้าแต่องค์เจ้าชีวิต พระองค์จะฆ่าคนบริสุทธิ์หรือ อับราฮัมเองบอกกับข้าพเจ้าว่า ‘นางเป็นน้องสาวของข้าพเจ้า’ และนางซาราห์เองบอกว่า ‘อับราฮัมเป็นพี่ชายของฉัน’ ข้าพเจ้าทำไปด้วยความบริสุทธิ์ใจและมือที่ใสสะอาด”

แล้วพระยาห์เวห์พูดกับอาบีเมเลคในความฝันว่า “เรารู้ว่าเจ้าทำไปด้วยความบริสุทธิ์ใจ เราถึงได้กันเจ้าไว้ไม่ให้ทำบาปต่อเรา เราจึงไม่ให้เจ้าแตะต้องนาง ตอนนี้คืนเมียของชายคนนั้นกลับไปซะ เพราะอับราฮัมเป็นผู้พูดแทนพระเจ้า เขาจะอธิษฐานให้กับเจ้าและเจ้าจะมีชีวิตอยู่ แต่ถ้าเจ้าไม่ยอมคืน ก็ให้เจ้ารู้ไว้ว่าตัวเจ้าและครอบครัวของเจ้าทั้งหมดจะตายแน่”

อาบีเมเลคตื่นแต่เช้าตรู่ เขาเรียกผู้รับใช้ทั้งหมดของเขา และเล่าความฝันทั้งหมดให้พวกเขาฟัง พวกคนรับใช้กลัวมาก แล้วอาบีเมเลคเรียกอับราฮัมมาพบ และพูดกับเขาว่า “เจ้าทำอย่างนี้กับพวกเราทำไม เราได้ทำผิดอะไรกับเจ้าหรือ เจ้าถึงได้ทำบาปอันยิ่งใหญ่ให้กับเราและอาณาจักรของเรา เจ้าได้ทำกับเราในสิ่งที่ไม่สมควรทำ” 10 แล้วอาบีเมเลคได้ถามอับราฮัมว่า “เจ้าคิดเรื่องอย่างนี้ได้ยังไง ถึงได้ทำอย่างนี้”

11 อับราฮัมตอบว่า “อันที่จริงข้าพเจ้าคิดว่า ‘ไม่มีใครในที่นี้เคารพยำเกรงพระเจ้าแน่ และพวกเขาจะฆ่าข้าพเจ้าเพราะเมียของข้าพเจ้า’ 12 แล้วอีกอย่างหนึ่ง นางก็เป็นน้องสาวของข้าพเจ้าจริงๆ พ่อเดียวกันแต่คนละแม่ และนางได้กลายมาเป็นเมียของข้าพเจ้า 13 เมื่อพระเจ้าทำให้ข้าพเจ้าต้องเดินทางจากบ้านพ่อของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าได้บอกกับนางว่า ‘ขอให้น้องช่วยทำอย่างนี้ให้กับพี่หน่อย คือ ทุกๆที่ที่พวกเราไป ให้พูดถึงพี่ว่า เขาเป็นพี่ชายของฉัน’”

14 แล้วอาบีเมเลคก็เอาแกะ วัว และทาสชายหญิง มอบให้กับอับราฮัม และคืนนางซาราห์ให้กับอับราฮัมด้วย 15 อาบีเมเลคบอกว่า “ดูสิ แผ่นดินของเราอยู่ตรงหน้าเจ้าแล้ว ตรงไหนที่เจ้าชอบก็เข้าไปอยู่ได้เลย”

16 แล้วอาบีเมเลคพูดกับซาราห์ว่า “ดูสิ เราได้ให้เครื่องเงินหนึ่งพันชิ้นกับพี่ชายของเจ้า เครื่องเงินเหล่านี้จะเป็นของเจ้า เพื่อพิสูจน์ให้กับทุกๆคนที่อยู่กับเจ้าได้เห็นว่า เจ้านั้นบริสุทธิ์ไม่ได้ทำอะไรผิด”

17 จากนั้นอับราฮัมได้อธิษฐานต่อพระเจ้า และพระเจ้าได้เยียวยารักษาอาบีเมเลค เมียของเขา และสาวใช้ของเขาให้มีลูกได้อีก 18 ก่อนหน้านั้นพระยาห์เวห์ได้ปิดครรภ์ของหญิงทุกคนในครัวเรือนของอาบีเมเลคไม่ให้มีลูก เพราะซาราห์ เมียของอับราฮัม

ลูกชายของซาราห์

21 แล้วพระยาห์เวห์ได้แสดงความกรุณาต่อซาราห์ตามที่พระองค์ได้พูดไว้ พระองค์ทำกับซาราห์ตามที่พระองค์สัญญาไว้ ซาราห์ได้ตั้งท้องและคลอดลูกชายให้กับอับราฮัมตอนที่เขาแก่มากแล้ว ตรงตามเวลาที่พระเจ้าได้บอกนางไว้ อับราฮัมตั้งชื่อลูกชายของเขาว่าอิสอัค เป็นลูกที่ซาราห์ได้คลอดให้กับเขา อับราฮัมได้ขลิบให้อิสอัคลูกชายเขา เมื่ออิสอัคมีอายุได้แปดวัน ตามที่พระเจ้าได้สั่งเขาไว้

เมื่ออิสอัคลูกชายของเขาเกิดมา อับราฮัมมีอายุหนึ่งร้อยปี ซาราห์พูดว่า “พระเจ้าทำให้ฉันหัวเราะดีใจ ทุกๆคนที่ได้ยินเรื่องนี้จะหัวเราะดีใจกับฉัน” แล้วซาราห์พูดว่า “ไม่มีใครเคยคิดว่าจะได้พูดกับอับราฮัมว่า ‘ซาราห์จะให้นมลูก’ แต่ฉันได้คลอดลูกชายให้กับเขา ตอนที่เขาแก่แล้ว”

ปัญหาที่บ้าน

อิสอัคโตขึ้นจนหย่านมได้แล้ว อับราฮัมจัดงานเลี้ยงฉลองใหญ่โตในวันที่เขาหย่านมนั้น ซาราห์เห็นอิชมาเอลลูกชายของฮาการ์ชาวอียิปต์ ที่นางได้คลอดให้กับอับราฮัม อิชมาเอลกำลังเล่นอยู่กับอิสอัคลูกชายของนาง[aa] 10 นางซาราห์จึงพูดกับอับราฮัมว่า “ไล่ทาสคนนี้ไปพร้อมกับลูกชายของนาง เพื่อลูกทาสนี้จะไม่ต้องมาแบ่งมรดกกับอิสอัคลูกชายของฉัน”

11 เรื่องนี้ทำให้อับราฮัมเครียดมาก เพราะเป็นห่วงอิชมาเอลลูกชายของเขา 12 แต่พระเจ้าบอกอับราฮัมว่า “เจ้าไม่ต้องเครียดกับเรื่องลูกของเจ้ากับนางทาสนั้น ให้ทำทุกอย่างตามที่ซาราห์บอกกับเจ้าเถอะ เพราะคนที่จะสืบเชื้อสายให้กับเจ้านั้นมาจากลูกหลานของอิสอัค 13 ส่วนลูกชายที่เกิดจากทาสคนนี้ เราจะทำให้เขาเป็นชนชาติหนึ่งด้วย เพราะเขาก็เป็นลูกของเจ้าเหมือนกัน”

14 แล้วอับราฮัมก็ตื่นแต่เช้าตรู่ เขาเอาอาหารและถุงน้ำมาให้ฮาการ์ เขาเอาของพวกนั้นวางไว้บนบ่าของนางพร้อมกับเด็กนั้น แล้วเขาก็ส่งนางไป นางก็จากไป และเดินเร่ร่อนไปในทะเลทรายเบเออร์เชบา

15 เมื่อน้ำในถุงหมด ฮาการ์จึงวางลูกลงใต้พุ่มไม้ 16 และนางเดินไปนั่งอยู่ห่างๆเท่ากับระยะทางลูกศรยิงถึง นางพูดว่า “อย่าให้ฉันต้องเฝ้าดูลูกของฉันตายเลย” แล้วนางนั่งอยู่ห่างๆและเริ่มร้องไห้

17 แต่พระเจ้าได้ยินเสียงร้องของเด็ก และทูตของพระเจ้าได้เรียกฮาการ์จากสวรรค์ ทูตสวรรค์พูดกับนางว่า “ฮาการ์ เป็นอะไรไป ไม่ต้องกลัว เพราะพระเจ้าได้ยินเสียงร้องของเด็กที่นั่น 18 ลุกขึ้น ยกเด็กขึ้นมากอดไว้ให้แน่น เพราะเราจะทำให้เขาเป็นชนชาติที่ยิ่งใหญ่”

19 จากนั้นพระเจ้าทำให้นางเห็นบ่อน้ำ นางจึงไปที่บ่อน้ำและเติมน้ำจนเต็มถุง แล้วเอาน้ำให้เด็กดื่ม

20 พระเจ้าอยู่กับเด็กชายคนนั้น และเขาได้เติบโตขึ้น เขาอาศัยอยู่ในทะเลทราย และโตขึ้นเป็นนักยิงธนู 21 อิชมาเอลอาศัยอยู่ในทะเลทรายปาราน แม่ของเขาหาเมียชาวอียิปต์ให้กับเขา

การต่อรองของอับราฮัมกับอาบีเมเลค

22 ในเวลานั้นอาบีเมเลคและฟีโคล์ ผู้บัญชาการทหารของกองทัพอาบีเมเลค พูดกับอับราฮัมว่า “พระเจ้าอยู่กับท่านในทุกสิ่งที่ท่านทำ 23 ตอนนี้ให้สาบานกับเราที่นี่ต่อหน้าพระเจ้าว่า ท่านจะไม่หลอกลวงเราหรือลูกหลานของเรา ท่านจะต้องจงรักภักดีกับเราเหมือนกับที่เราจงรักภักดีกับท่าน ท่านต้องสาบานว่าจะจงรักภักดีกับเราและแผ่นดินนี้ที่ท่านอาศัยอยู่ในฐานะคนต่างชาติ”

24 แล้วอับราฮัมพูดว่า “ข้าพเจ้าสาบาน” 25 จากนั้นอับราฮัมบ่นกับอาบีเมเลคเกี่ยวกับบ่อน้ำที่พวกคนรับใช้ของอาบีเมเลคยึดครองไว้

26 อาบีเมเลคพูดว่า “เราไม่รู้ว่าใครทำเรื่องแบบนี้ ท่านไม่ได้บอกเรา และเราก็ไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลยจนถึงวันนี้”

27 อับราฮัมได้เอาแกะและวัวมาให้กับอาบีเมเลค และเขาทั้งสองคนได้ทำข้อตกลงกัน 28 อับราฮัมได้แยกลูกแกะตัวเมียเจ็ดตัว[ab] ออกมาจากฝูงของมัน

29 จากนั้นอาบีเมเลคได้พูดกับอับราฮัมว่า “ลูกแกะเจ็ดตัวที่ท่านแยกออกมาไว้ต่างหากนี้ หมายถึงอะไร”

30 อับราฮัมตอบว่า “ท่านจะต้องรับลูกแกะตัวเมียทั้งเจ็ดตัวนี้จากมือของข้าพเจ้า มันจะเป็นพยานให้ข้าพเจ้าว่า ข้าพเจ้าเป็นคนขุดบ่อน้ำนี้ขึ้นมา”

31 หลังจากนั้น บ่อน้ำนั้นมีชื่อว่าเบเออร์เชบา[ac] เพราะพวกเขาสองคนได้สาบานกันที่นั่น

32 แล้วอับราฮัมและอาบีเมเลคได้ทำข้อตกลงกันที่เบเออร์เชบา จากนั้นทั้งอาบีเมเลคและฟีโคล์ผู้บัญชาการทหารของเขา ได้ลุกขึ้นและกลับไปยังแผ่นดินของฟีลิสเตีย

33 อับราฮัมได้ปลูกต้นแทมมารีสก์[ad] ขึ้นต้นหนึ่งที่เบเออร์เชบา และที่นั่นเอง เขาได้อธิษฐานถึงพระยาห์เวห์ พระเจ้าที่มีชีวิตอยู่ชั่วนิรันดร์ 34 และอับราฮัมได้อาศัยอยู่ในแผ่นดินของชาวฟีลิสเตียในฐานะคนต่างชาติเป็นเวลานาน

พระยาห์เวห์ลองใจอับราฮัม

22 หลังจากเหตุการณ์พวกนี้ พระเจ้าได้ลองใจอับราฮัมดู พระองค์พูดกับเขาว่า “อับราฮัม”

อับราฮัมตอบว่า “ข้าพเจ้าอยู่นี่”

พระองค์พูดอีกว่า “ให้เอาอิสอัคลูกชายหัวแก้วหัวแหวนคนเดียวของเจ้า พาเขาไปที่แผ่นดินของแคว้นโมริยาห์ เอาเขาไปถวายเป็นเครื่องเผาบูชา บนภูเขาลูกหนึ่งที่เราจะบอกกับเจ้า”

อับราฮัมจึงตื่นแต่เช้าตรู่ เขาผูกอานบนหลังลาของเขา และพาคนรับใช้หนุ่มสองคนไปด้วย พร้อมกับอิสอัค อับราฮัมตัดฟืนสำหรับเครื่องเผาบูชา และเขาออกเดินทางไปยังสถานที่ที่พระเจ้าบอกเขา ในวันที่สาม อับราฮัมมองขึ้นไป เห็นสถานที่นั้นแต่ไกล แล้วอับราฮัมบอกกับคนรับใช้ของเขาว่า “พวกเจ้าคอยอยู่ที่นี่กับลานะ เด็กกับข้าจะขึ้นไปที่นั่น พวกเราจะไปนมัสการพระเจ้า แล้วพวกเราจะกลับมาหาเจ้า”

อับราฮัมจึงเอาฟืนสำหรับเครื่องเผาบูชา แล้ววางบนไหล่ของอิสอัค ส่วนเขาถือไฟและมีด แล้วทั้งสองก็เดินขึ้นไปด้วยกัน อิสอัคพูดกับอับราฮัมพ่อของเขาว่า “พ่อครับ”

อับราฮัมตอบว่า “ว่าไงลูก”

อิสอัคพูดว่า “ทั้งไฟและฟืนก็มีอยู่ที่นี่แล้ว แต่แกะที่จะเอาไปเผาเป็นเครื่องบูชาอยู่ที่ไหนล่ะครับ”

อับราฮัมตอบว่า “ลูกเอ๋ย พระเจ้าเองจะจัดหาแกะที่จะใช้เผาเป็นเครื่องบูชา” และทั้งสองคนได้เดินทางต่อไปด้วยกัน

เรื่องที่เกิดขึ้นบนภูเขา

แล้วพวกเขาได้มาถึงสถานที่ที่พระเจ้าบอกกับเขา อับราฮัมสร้างแท่นบูชาขึ้นที่นั่น และเขาจัดฟืนบนแท่นบูชา จากนั้นเขาได้มัดอิสอัคลูกชายของเขาและจับเขานอนบนแท่นบูชาบนกองฟืนนั้น 10 จากนั้นอับราฮัมได้ยื่นมือไปหยิบมีด เพื่อจะฆ่าลูกชายของเขา

11 แต่ทูตสวรรค์ของพระยาห์เวห์ได้เรียกอับราฮัมจากสวรรค์ และพูดว่า “อับราฮัม อับราฮัม” อับราฮัมตอบว่า “ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่แล้ว”

12 ทูตสวรรค์พูดว่า “หยุดเถิด อย่าได้ลงมือของเจ้าบนเด็กนั้น อย่าได้ทำอะไรเขาเลย เพราะตอนนี้เรารู้แล้วว่าเจ้าเคารพยำเกรงพระเจ้า เจ้าไม่ได้หวงแหนลูกชายเพียงคนเดียวของเจ้าจากเรา[ae]

13 และเมื่ออับราฮัมเงยหน้าขึ้น เขาเห็นแกะตัวผู้ตัวหนึ่ง เขาของมันติดอยู่กับพุ่มไม้ อับราฮัมจึงเดินไปจับแกะตัวนั้นมาฆ่าถวายเป็นเครื่องเผาบูชาแทนลูกชายของเขา 14 จากนั้นอับราฮัมตั้งชื่อสถานที่นั้นว่า “พระยาห์เวห์จัดหาให้”[af] เหมือนกับที่คนพูดกันจนถึงทุกวันนี้ว่า “บนภูเขาของพระยาห์เวห์ พระองค์จัดหาให้”

15 แล้วทูตสวรรค์ของพระยาห์เวห์ ได้เรียกอับราฮัมเป็นครั้งที่สองจากสวรรค์ 16 พระองค์พูดว่า “พระยาห์เวห์สัญญากับตัวพระองค์เองว่า เพราะเจ้าทำอย่างนี้ และไม่ได้หวงแหนลูกชายเพียงคนเดียวของเจ้า 17 เราสัญญาว่าเราจะอวยพรเจ้าอย่างแน่นอน และเราจะให้เจ้ามีลูกหลานมากมาย เหมือนดวงดาวบนท้องฟ้า และเหมือนเม็ดทรายที่ชายฝั่งทะเล และลูกหลานของเจ้าจะชนะศัตรู และยึดเมืองต่างๆของพวกเขาไว้ 18 และเราสัญญาว่า ทุกชนชาติบนโลกนี้จะได้รับพรเพราะลูกหลานของเจ้า เพราะเจ้าเชื่อฟังเรา”

19 จากนั้นอับราฮัมก็กลับไปหาพวกคนใช้หนุ่มของเขา และพวกเขาทั้งหมดลุกขึ้น พากันกลับไปยังเบเออร์เชบา และอับราฮัมได้อาศัยอยู่ในเบเออร์เชบาต่อไป

20 หลังจากเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ มีคนมาบอกกับอับราฮัมว่า “มิลคาห์ได้คลอดลูกชายหลายคนให้กับนาโฮร์น้องชายของท่านเหมือนกัน 21 ลูกชายคนโตชื่ออูส คนที่สองชื่อบูส คนที่สามชื่อเคมูเอล (เคมูเอลเป็นพ่อของชาวอารัม) 22 และยังมีเคเสด ฮาโซ ปิลดาช ยิดลาฟ และเบธูเอล” 23 เบธูเอลเป็นพ่อของนางเรเบคาห์ มิลคาห์ได้คลอดลูกชายแปดคนให้กับนาโฮร์น้องชายของอับราฮัม 24 เมียน้อยของนาโฮร์ชื่อเรอูมาห์ ก็มีลูกชายให้กับเขาหลายคนเหมือนกัน ชื่อว่า ทีบาร์ กาฮัม ทาหาช และมาอาคาห์

ซาราห์ตาย

23 ซาราห์มีชีวิตอยู่หนึ่งร้อยยี่สิบเจ็ดปี นางตายที่เมืองคิริยาทอารบา (คือเมืองเฮโบรน) ในแคว้นคานาอัน อับราฮัมเศร้าโศกเสียใจมาก เขาร้องไห้ให้กับซาราห์ อับราฮัมลุกขึ้นยืนอยู่ด้านข้างของร่างเมียเขาและพูดกับชาวฮิตไทต์ว่า “ผมเป็นคนต่างชาติที่เข้ามาอาศัยอยู่กับพวกท่าน ขอให้พวกท่านแบ่งที่ดินให้กับผมบ้าง เพื่อผมจะได้ใช้ฝังร่างของเมียผม”

ชาวฮิตไทต์จึงตอบอับราฮัมว่า “ฟังเรานะท่าน ท่านเป็นเจ้าชายผู้ยิ่งใหญ่ท่ามกลางพวกเรา เลือกที่ฝังศพที่ดีที่สุดของพวกเรา ใช้ฝังเมียท่านได้เลย ไม่มีใครหวงแหนที่ฝังศพของเขาหรือขัดขวางท่านจากการฝังศพนาง”

อับราฮัมจึงลุกขึ้นโค้งคำนับชาวฮิตไทต์ และพูดกับพวกเขาว่า “ถ้าท่านยินดีที่จะให้ผมฝังศพเมียผมแล้วละก็ ช่วยไปพูดกับเอโฟรนลูกชายของโศหาร์ให้กับผมหน่อย ช่วยบอกให้เขาขายถ้ำมัคเปลาห์ที่เขาเป็นเจ้าของ ที่อยู่ตรงท้ายทุ่งของเขาให้กับผมหน่อย ขอให้เขาขายผมเต็มราคาต่อหน้าพวกท่าน เพื่อผมจะได้เป็นเจ้าของเอาไว้สำหรับฝังศพ”

10 เอโฟรนก็นั่งอยู่ที่นั่นท่ามกลางชาวฮิตไทต์ เอโฟรนชาวฮิตไทต์ได้ตอบอับราฮัมไป และชาวฮิตไทต์ที่เข้ามาอยู่ที่ประตูเมืองก็ได้ยินกันหมดทุกคน เอโฟรนพูดว่า 11 “ไม่ได้หรอกท่าน ฟังผมนะ ผมจะยกท้องทุ่งนั้นพร้อมกับถ้ำให้กับท่าน ต่อหน้าประชาชนของผม ผมยกมันให้กับท่าน เอาไปฝังศพเมียของท่านได้เลย”

12 แล้วอับราฮัมโค้งคำนับต่อชาวฮิตไทต์ 13 อับราฮัมพูดกับเอโฟรนต่อหน้าประชาชนของแผ่นดินนั้นว่า “ฟังผมหน่อย ผมจะจ่ายค่าท้องทุ่งนั้น รับมันไว้เถิด และผมจะได้ฝังศพไว้ที่นั่น”

14 เอโฟรนตอบอับราฮัมว่า 15 “ท่านครับ ฟังผมนะ ที่ดินผืนนั้นมีราคาเท่ากับเงินสี่กิโลครึ่ง[ag] เท่านั้นเอง มันไม่มีความหมายอะไรเลยสำหรับท่านและผม เอาศพไปฝังเถิด”

16 อับราฮัมฟังเอโฟรน แล้วอับราฮัมชั่งเงินให้กับเอโฟรน ตามที่เอโฟรนได้พูดไว้ต่อหน้าชาวฮิตไทต์ เป็นเงินสี่กิโลครึ่ง ตามน้ำหนักทั่วไปที่พ่อค้าใช้กันในสมัยนั้น

17 ที่ดินของเอโฟรนในมัคเปลาห์ ทางตะวันออกของมัมเร ที่ดินและถ้ำในนั้น ต้นไม้ทั้งหมดบนที่ดินนั้น และพื้นที่รอบๆก็ได้กลายเป็นของอับราฮัม ถูกต้องตามกฎหมาย 18 ต่อหน้าชาวฮิตไทต์ ที่เข้ามาอยู่ที่ประตูเมืองทุกคน 19 หลังจากนั้นอับราฮัมจึงฝังศพซาราห์เมียของเขาในถ้ำที่อยู่บนท้องทุ่งของมัคเปลาห์ ทางตะวันออกของมัมเร (คือเฮโบรน) บนแผ่นดินคานาอัน 20 ที่ดินและถ้ำนั้นจึงกลายเป็นสมบัติของอับราฮัมตามกฏหมาย อับราฮัมซื้อมันมาจากชาวฮิตไทต์ เอาไว้เป็นที่ฝังศพ

การหาเมียให้อิสอัค

24 อับราฮัมก็แก่มากแล้ว และพระยาห์เวห์ได้อวยพรอับราฮัมในทุกเรื่อง อับราฮัมพูดกับคนรับใช้ที่ทำงานกับเขามานานที่สุด เขาคอยดูแลทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นของอับราฮัม อับราฮัมบอกกับเขาว่า “เอามือเจ้ามาวางไว้ใต้ขาเรา[ah] เราจะให้เจ้าสาบานกับเราต่อหน้าพระยาห์เวห์ พระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ว่าเจ้าจะไม่หาเมียให้ลูกชายของเรา จากหญิงชาวคานาอัน ที่เรากำลังอาศัยอยู่นี้ เจ้าต้องสาบานว่า เจ้าจะกลับไปยังประเทศของเรา ไปหาญาติพี่น้องของเรา และหาเมียให้อิสอัคลูกชายของเราจากที่นั่น”

แล้วคนรับใช้นั้นพูดกับอับราฮัมว่า “ถ้าเกิดผู้หญิงคนนั้นไม่ยอมตามข้าพเจ้ามาในดินแดนแห่งนี้ล่ะครับท่าน ข้าพเจ้าควรจะพาลูกชายของท่านกลับไปยังประเทศที่ท่านจากมาหรือเปล่า”

อับราฮัมบอกกับเขาว่า “อย่าพาลูกชายของเรากลับไปที่นั่น พระยาห์เวห์ พระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ เป็นผู้ที่ได้พาเราออกมาจากบ้านของพ่อเรา และจากแผ่นดินของญาติๆเรา และเป็นผู้ที่พูดกับเรา และให้สัญญากับเราว่า ‘เราจะยกดินแดนนี้ให้กับลูกหลานของเจ้า’ พระองค์จะส่งทูตสวรรค์ของพระองค์นำหน้าเจ้า และเจ้าจะได้หาเมียให้กับลูกชายของเราจากที่นั่น แต่ถ้าหญิงคนนั้นไม่ยอมตามเจ้ามา เจ้าก็จะเป็นอิสระจากคำสาบานที่เจ้าให้กับเรา แต่เจ้าจะต้องไม่พาลูกชายของเรากลับไปที่นั่นอย่างเด็ดขาด”

แล้วคนรับใช้นั้นได้วางมือของเขาไว้ใต้ขาของอับราฮัม และเขาได้สาบานกับอับราฮัมเกี่ยวกับเรื่องนี้

10 แล้วคนรับใช้นั้นได้เอาอูฐสิบตัวจากฝูงสัตว์ของเจ้านายไปด้วย พร้อมกับของขวัญหลายอย่างจากเจ้านายไปกับเขาด้วย เขาออกเดินทางมุ่งหน้าไปยังเมืองนาโฮร์ ที่อยู่ในดินแดนเมโสโปเตเมีย 11 เขาให้อูฐคุกเข่าพักอยู่ที่ข้างบ่อน้ำนอกเมือง ตอนนั้นเป็นเวลาเย็น พวกสาวๆทั้งหลายในเมืองจะออกมาตักน้ำกัน

12 แล้วเขาพูดว่า “ข้าแต่พระยาห์เวห์ พระเจ้าของอับราฮัมเจ้านายของข้าพเจ้า ขอให้ข้าพเจ้าประสบความสำเร็จในวันนี้ด้วยเถิด ขอโปรดแสดงความเมตตากับอับราฮัมเจ้านายของข้าพเจ้าด้วยเถิด 13 ดูเถิด ข้าพเจ้ากำลังยืนอยู่ข้างบ่อน้ำนี้ และพวกสาวๆทั้งหลายในเมืองกำลังออกมาตักน้ำกัน 14 ขอให้มันเป็นไปตามนี้ด้วยเถิด คือเมื่อข้าพเจ้าพูดกับหญิงคนหนึ่งว่า ‘ขอดื่มน้ำจากเหยือกของเจ้าหน่อย’ ขอให้นางตอบว่า ‘ดื่มสิคะ ฉันจะตักน้ำให้อูฐของท่านดื่มด้วย’ ก็ขอให้นางเป็นคนนั้นที่พระองค์ได้แต่งตั้งให้กับอิสอัค ผู้รับใช้ของพระองค์ ด้วยวิธีนี้ ข้าพเจ้าจะได้รู้ว่าพระองค์ได้แสดงความเมตตากับเจ้านายของข้าพเจ้า”

15 และก่อนที่คนรับใช้จะพูดจบ เรเบคาห์ได้ปรากฏตัวออกมา นางเป็นลูกสาวของเบธูเอล เบธูเอลเป็นลูกชายของมิลคาห์เมียของนาโฮร์ นาโฮร์เป็นน้องชายของอับราฮัม เรเบคาห์แบกเหยือกน้ำอยู่บนบ่าของเธอ 16 เธอเป็นหญิงสาวที่สวยมาก และเป็นหญิงพรหมจารี ยังไม่เคยร่วมหลับนอนกับผู้ชายคนไหนเลย นางเดินลงไปที่บ่อน้ำและเติมน้ำจนเต็มเหยือก จากนั้นเดินกลับมา 17 คนรับใช้วิ่งไปหานางและพูดว่า “ขอเราดื่มน้ำจากเหยือกของเจ้าหน่อย”

18 นางตอบว่า “เชิญดื่มเลยค่ะท่าน” แล้วนางรีบเอาเหยือกน้ำลงจากบ่ามาถือไว้ในมือและให้เขาดื่ม 19 เมื่อนางให้เขาดื่มน้ำเสร็จแล้ว นางพูดว่า “ฉันจะตักน้ำให้อูฐท่านดื่มด้วย จนกว่าพวกมันจะดื่มเสร็จ” 20 แล้วนางรีบเทน้ำในเหยือกลงในรางจนหมด แล้ววิ่งกลับไปตักน้ำที่บ่อมาอีก และนางได้ตักน้ำให้อูฐทุกตัวของเขาดื่ม

21 คนรับใช้เฝ้ามองดูนางอยู่เงียบๆเพื่อจะได้รู้ว่า พระยาห์เวห์จะทำให้การเดินทางของเขาประสบความสำเร็จหรือไม่ 22 เมื่ออูฐทุกตัวดื่มน้ำจนเสร็จแล้ว คนรับใช้ได้เอาห่วงทองคำสำหรับใส่จมูก หนักห้ากรัมครึ่ง และกำไลข้อมือทองคำหนึ่งคู่ หนักข้างละห้าสิบห้ากรัม รวมเป็นหนึ่งร้อยสิบกรัมให้กับนาง 23 และพูดว่า “ช่วยบอกเราหน่อยว่าเจ้าเป็นลูกสาวของใคร แล้วที่บ้านพ่อเจ้าพอจะมีห้องว่างให้พวกเราพักค้างคืนได้หรือเปล่า”

24 เรเบคาห์ตอบเขาว่า “ฉันเป็นลูกสาวของเบธูเอล ลูกชายของมิลคาห์กับนาโฮร์” 25 เรเบคาห์พูดต่อไปว่า “เรามีทั้งฟางและหญ้าแห้งอย่างเหลือเฟือ และมีที่ว่างให้ท่านพักค้างคืนด้วย”

26 แล้วคนรับใช้ได้ก้มกราบนมัสการพระยาห์เวห์ 27 เขาพูดว่า “สรรเสริญพระยาห์เวห์ พระเจ้าของอับราฮัมเจ้านายของข้าพเจ้า พระยาห์เวห์ผู้ที่เมตตาและซื่อสัตย์ต่อเจ้านายของข้าพเจ้า ส่วนข้าพเจ้า พระยาห์เวห์ได้นำทางข้าพเจ้ามาจนถึงบ้านญาติๆของเจ้านายของข้าพเจ้า”

28 แล้วหญิงสาวได้วิ่งไปบอกคนในครัวเรือนของแม่นางเกี่ยวกับเรื่องนี้ทั้งหมด 29-30 เรเบคาห์มีพี่ชายหนึ่งคนชื่อลาบัน เรเบคาห์ได้เล่าเรื่องต่างๆที่ชายคนนั้นได้บอกกับนาง เมื่อลาบันได้ฟังและเห็นห่วงที่ใส่จมูกและกำไลบนข้อมือของน้องสาว เขาก็วิ่งไปหาชายคนนั้นที่บ่อน้ำ และพบชายคนนั้นยืนอยู่กับอูฐของเขาข้างๆบ่อน้ำ 31 ลาบันจึงพูดว่า “เชิญเข้ามาสิครับ ท่านผู้ที่พระยาห์เวห์อวยพร ท่านยืนอยู่ข้างนอกนี้ทำไม ผมได้เตรียมบ้านและสถานที่สำหรับอูฐของท่านไว้แล้ว”

32 แล้วชายคนนั้นได้เข้าไปในบ้าน แล้วลาบันให้คนขนของลงจากหลังอูฐเหล่านั้น แล้วเอาฟางมาเลี้ยงอูฐ จากนั้นเอาน้ำมาให้ชายคนนั้นและพวกชายที่มากับเขาล้างเท้ากัน 33 แล้วพวกเขาได้เอาอาหารมาวางไว้ตรงหน้าให้เขากิน แต่คนใช้ของอับราฮัมพูดว่า “ผมจะไม่กินจนกว่าจะได้พูดในสิ่งที่ผมต้องพูด” ลาบันพูดว่า “พูดมาสิ”

34 ชายคนนั้นจึงพูดว่า “ผมเป็นผู้รับใช้ของอับราฮัม 35 พระยาห์เวห์ได้อวยพรเจ้านายของผมมาก จนท่านกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ พระองค์ให้พวกฝูงแกะ ฝูงวัว เงิน ทอง ทาสชายหญิง ฝูงอูฐ และฝูงลา กับท่าน 36 แล้วซาราห์เมียของนายผมได้คลอดลูกชายให้กับเจ้านายผม ตอนที่นางแก่มากแล้ว และอับราฮัมได้ยกทุกสิ่งทุกอย่างที่เขามีให้กับลูกชายของเขา 37 เจ้านายผมให้ผมสาบานกับท่าน และท่านบอกว่า ‘อย่าได้หาเมียให้กับลูกชายของเราจากลูกสาวของชาวคานาอัน ที่เรากำลังอาศัยอยู่ในแผ่นดินของพวกเขานี้ 38 แต่เจ้าต้องไปที่บ้านของพ่อเรา และไปหาญาติๆของเรา และหาเมียให้ลูกของเราจากที่นั่น’ 39 แล้วผมพูดกับนายว่า ‘บางทีผู้หญิงอาจจะไม่ยอมตามผมมาก็ได้’ 40 แล้วเจ้านายบอกผมว่า ‘พระยาห์เวห์ ที่เราเชื่อฟังอยู่เสมอ จะส่งทูตสวรรค์ของพระองค์ไปกับเจ้า พระองค์จะทำให้การเดินทางของเจ้าประสบความสำเร็จ และเจ้าจะหาเมียให้กับลูกชายเราจากญาติพี่น้องของเรา และจากครอบครัวของพ่อเรา 41 แค่เจ้าไปหาญาติพี่น้องของเรา เจ้าก็จะเป็นอิสระจากคำสาบานนี้แล้ว ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ยอมยกลูกสาวให้มากับเจ้าก็ตาม เจ้าก็เป็นอิสระจากคำสาบานของเรา’

42 ในวันนี้ เมื่อผมมาถึงบ่อน้ำ ผมพูดว่า ‘ข้าแต่พระยาห์เวห์ พระเจ้าของอับราฮัมเจ้านายของข้าพเจ้า ถ้าพระองค์จะทำให้การเดินทางของข้าพเจ้าประสบความสำเร็จล่ะก็ 43 ข้าพเจ้ากำลังยืนอยู่ที่ข้างๆบ่อน้ำ ข้าพเจ้าจะพูดกับหญิงสาวที่ออกมาตักน้ำว่า “ขอดื่มน้ำจากเหยือกของเจ้าหน่อย” 44 และคนที่ตอบกับข้าพเจ้าว่า “เชิญสิคะ และฉันจะตักน้ำให้อูฐของท่านดื่มด้วย” ก็ขอให้นางเป็นผู้หญิงคนนั้นที่พระยาห์เวห์ได้เลือกไว้สำหรับลูกชายของเจ้านายของข้าพเจ้าด้วยเถิด’

45 ในขณะที่ผมอธิษฐานอยู่ในใจยังไม่ทันเสร็จ เรเบคาห์ก็ออกมา มีเหยือกน้ำอยู่บนบ่า นางได้เดินลงไปที่บ่อน้ำและตักน้ำ แล้วผมได้พูดกับนางว่า ‘ขอน้ำให้ผมดื่มหน่อย’ 46 นางก็รีบเอาเหยือกน้ำลงจากบ่าและพูดว่า ‘เชิญดื่มเถิด และฉันจะเอาน้ำให้กับพวกอูฐของท่านด้วย’ แล้วผมก็ดื่ม และนางก็เอาน้ำให้พวกอูฐดื่มด้วย 47 แล้วผมได้ถามนางว่า ‘เจ้าเป็นลูกสาวของใคร’ นางตอบว่า ‘ฉันเป็นลูกสาวของเบธูเอล เบธูเอลเป็นลูกชายของนาโฮร์ และมิลคาห์’ ผมจึงเอาห่วงใส่ที่จมูกของนางและเอากำไลใส่ที่แขนทั้งสองของนาง 48 แล้วผมได้ก้มกราบนมัสการพระยาห์เวห์และสรรเสริญพระองค์ พระเจ้าของอับราฮัมเจ้านายของผม พระองค์นำผมมาถูกทาง เพื่อจะได้ลูกสาวของญาติพี่น้องของเจ้านายของผม ไปให้กับลูกชายของท่าน 49 ตอนนี้ช่วยบอกผมด้วยเถอะว่า ท่านจะเอายังไง จะตกลงกับเจ้านายผมอย่างตรงไปตรงมาและสัตย์ซื่อ หรือว่าไม่ตกลง ช่วยบอกผมด้วย ผมจะได้รู้ว่าจะทำยังไงต่อไป”

50 ลาบันและเบธูเอลตอบว่า “มันไม่ใช่เราหรอกที่จะบอกว่าตกลงหรือไม่ตกลง เพราะสิ่งนี้มาจากพระยาห์เวห์ 51 นี่ไง เรเบคาห์อยู่ต่อหน้าท่านแล้ว เอานางไปเถิด ให้นางไปเป็นเมียของลูกชายของนายท่าน ตามที่พระยาห์เวห์ได้พูดไว้”

52 เมื่อผู้รับใช้ของอับราฮัมได้ยินพวกเขาพูดอย่างนั้น เขาก็กราบลงกับพื้นดินต่อหน้าพระยาห์เวห์ 53 แล้วเขาก็เอาเงิน ทองคำ เสื้อผ้าทั้งหมดมอบให้กับเรเบคาห์ และยังให้ของขวัญมีราคาแพงให้กับพี่ชายและแม่ของนางด้วย 54 แล้วตัวเขาและพวกผู้ชายที่ติดตามเขามาก็กินและดื่มกัน และพักค้างคืนที่นั่น เมื่อพวกเขาลุกขึ้นในตอนเช้า เขาพูดว่า “ให้ผมกลับไปหาเจ้านายของผมด้วยเถิด”

55 แต่พี่ชายและแม่ของเรเบคาห์พูดว่า “ขอให้นางอยู่กับพวกเราอีกสักสิบวันเถิด หลังจากนั้นค่อยให้นางไป”

56 แต่ชายคนนั้นพูดกับพวกเขาว่า “อย่าให้ผมต้องคอยเลย พระยาห์เวห์ได้ทำให้การเดินทางของผมประสบความสำเร็จแล้ว ให้ผมกลับไปเถอะ ผมจะได้ไปหาเจ้านายผม”

57 พี่ชายและแม่ของเรเบคาห์จึงพูดว่า “พวกเราจะเรียกนางมาถามดูว่านางจะเอาอย่างไร” 58 แล้วพวกเขาก็เรียกเรเบคาห์และพูดกับนางว่า “เธอจะไปกับชายคนนี้หรือเปล่า”

นางตอบว่า “ฉันจะไป”

59 พวกเขาจึงส่งเรเบคาห์น้องสาวของพวกเขา และพี่เลี้ยงของนางไปกับผู้รับใช้ของอับราฮัมและคนของเขา 60 และครอบครัวของเรเบคาห์อวยพรนางว่า

“น้องสาวของพวกเรา ขอให้เธอเป็นแม่ของประชาชนล้านๆคน
    ขอให้ลูกหลานของเธอได้ยึดครองเมืองต่างๆของพวกศัตรูเขา”

61 แล้วเรเบคาห์และพวกหญิงรับใช้ของนางก็ลุกขึ้น และขึ้นขี่อูฐตามชายคนนั้นไป คนรับใช้อับราฮัมได้พาเรเบคาห์จากไป

62 ขณะนั้นอิสอัคได้เดินทางมาจากเบเออลาไฮรอย และมาอยู่อาศัยที่เนเกบ 63 อิสอัคออกไปเดินเล่น[ai] ในท้องทุ่งตอนเย็น เขาเงยหน้าขึ้นมา เห็นอูฐกำลังเดินมา

64 เรเบคาห์เงยหน้าขึ้นเห็นอิสอัค นางจึงลงจากอูฐ 65 นางพูดกับคนใช้ว่า “ชายที่กำลังเดินมาจากท้องทุ่งตรงมาหาพวกเราเป็นใครกัน”

คนใช้ตอบว่า “เขาคือเจ้านายของผมเอง” นางจึงเอาผ้าคลุมหน้าไว้

66 คนใช้ได้เล่าให้อิสอัคฟังถึงเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น 67 อิสอัคจึงพานางเข้าไปในเต็นท์ที่ซาราห์แม่ของเขาเคยอยู่ก่อนตาย แล้วเขาได้รับเอาเรเบคาห์มาเป็นเมีย เรเบคาห์ก็กลายเป็นเมียของเขา อิสอัครักนางมาก อิสอัคก็ได้รับการปลอบโยนหลังจากที่แม่ของเขาตาย

คนอื่นที่เป็นเชื้อสายของอับราฮัม

(1 พศด. 1:32-33)

25 อับราฮัมแต่งงานอีก เมียคนใหม่ชื่อเคทูราห์ นางได้คลอดศิมราน โยกชาน เมดาน มีเดียน อิชบากและชูอาห์ โยกชานเป็นพ่อของเชบาและเดดาน ลูกหลานของเดดานคือชาวอัสชูร[aj] ชาวเลทู และชาวเลอุม ลูกชายของมีเดียนคือเอฟาห์ เอเฟอร์ ฮาโนค อาบีดาและเอลดาอาห์ ทั้งหมดนี้คือลูกหลานของนางเคทูราห์ อับราฮัมยกทุกอย่างที่เขามีให้กับอิสอัค แต่อับราฮัมก็ให้ของขวัญกับลูกชายคนอื่นๆที่เกิดจากพวกเมียน้อยของเขา และในขณะที่อับราฮัมยังมีชีวิตอยู่ เขาได้ส่งพวกนี้ไปอยู่ในดินแดนทางทิศตะวันออก[ak] ส่งไปให้ไกลจากอิสอัคลูกชายของเขา

อับราฮัมตาย

อับราฮัมมีชีวิตอยู่หนึ่งร้อยเจ็ดสิบห้าปี อับราฮัมหมดลมหายใจเฮือกสุดท้ายและตายไป เมื่อเขาแก่มากแล้ว หลังจากมีชีวิตอันยืนยาวอย่างมีความสุข เขาได้ไปอยู่ร่วมกับบรรพบุรุษของเขา อิสอัคและอิชมาเอล ลูกชายของอับราฮัม ได้ฝังเขาไว้ในถ้ำมัคเปลาห์ ในท้องทุ่งของเอโฟรนลูกชายของโศหาร์ชาวฮิตไทต์ ท้องทุ่งนี้อยู่ทางทิศตะวันออกของมัมเร 10 อับราฮัมได้ซื้อท้องทุ่งนี้จากชาวฮิตไทต์ ทั้งอับราฮัมและซาราห์ถูกฝังอยู่ด้วยกันที่นั่น 11 หลังจากอับราฮัมตาย พระเจ้าได้อวยพรอิสอัคลูกชายของอับราฮัม และอิสอัคได้ตั้งรกรากอยู่ที่เบเออลาไฮรอย

ครอบครัวของอิชมาเอล

(1 พศด. 1:28-31)

12 ต่อไปนี้คือลูกหลานของอิชมาเอล ลูกชายอับราฮัมกับฮาการ์ ทาสหญิงชาวอียิปต์ของซาราห์ 13 ต่อไปนี้คือรายชื่อของลูกชายอิชมาเอลเรียงตามการเกิด คือ เนบาโยธลูกชายคนโต ต่อมาคือ เคดาร์ อัดบีเอล มิบสัม 14 มิชมา ดูมาห์ มัสสา 15 ฮาดัด เทมา เยทูร์ นาฟิชและเคเดมาห์ 16 ทั้งหมดนี้คือลูกชายของอิชมาเอล และชื่อของทั้งสิบสองคนได้กลายเป็นชื่อของหมู่บ้านและค่ายที่พวกเขาแยกย้ายไปตั้งหลักแหล่ง พวกเขากลายเป็นผู้นำของเผ่าแต่ละเผ่า ทั้งหมดสิบสองเผ่า 17 อิชมาเอลมีชีวิตอยู่หนึ่งร้อยสามสิบเจ็ดปี เขาหมดลมหายใจเฮือกสุดท้ายและตายไปอยู่รวมกับบรรพบุรุษของเขา 18 ลูกหลานของอิชมาเอลได้ตั้งถิ่นฐานในทะเลทราย จากเมืองฮาวิลาห์จนถึงเมืองชูร์ (เมืองชูร์ตั้งอยู่ทางตะวันออกของประเทศอียิปต์ บนเส้นทางที่จะมุ่งไปอัสซีเรีย) และลูกหลานของอิชมาเอลมักจะโจมตีพวกญาติๆของเขา[al]

ครอบครัวของอิสอัค

19 ต่อไปนี้คือลูกหลานของอิสอัคลูกชายของอับราฮัม อับราฮัมเป็นพ่อของอิสอัค 20 ตอนที่อิสอัครับเอาเรเบคาห์มาเป็นเมียนั้น เขามีอายุสี่สิบปี เรเบคาห์เป็นลูกสาวของเบธูเอลคนอารัม ชาวปัดดาน อารัม[am] นางเป็นน้องสาวของลาบันคนอารัม 21 อิสอัคอธิษฐานต่อพระยาห์เวห์ให้กับเมียของเขาเพราะนางเป็นหมัน แล้วพระยาห์เวห์ก็ให้ตามคำอธิษฐานของเขา เรเบคาห์เมียของเขาได้ตั้งท้องขึ้น

เรเบคาห์ไปหาคำตอบจากพระเจ้า

22 เด็กดิ้นเบียดกันอยู่ในท้องของนาง นางจึงพูดว่า “ถ้าฉันจะต้องเป็นอย่างนี้ ฉันจะอยู่ไปทำไมกัน” นางจึงไปหาคำตอบจากพระยาห์เวห์ 23 พระยาห์เวห์ตอบนางว่า

“จะมีสองชาติแยกออกมาจากท้องของเจ้า
    คนหนึ่งจะเข้มแข็งกว่าอีกคนหนึ่ง
    และคนพี่จะรับใช้คนน้อง”

24 และเมื่อถึงวันคลอด ก็มีเด็กแฝดในท้องของนางจริงๆ 25 คนแรกผิวสีแดงเต็มไปด้วยขน เขาจึงมีชื่อว่าเอซาว[an] 26 หลังจากนั้นน้องของเขาได้คลอดออกมา และมือของเขาจับอยู่ที่ส้นเท้าของเอซาว เขาจึงมีชื่อว่ายาโคบ[ao] ตอนที่สองคนนี้เกิดนั้น อิสอัคมีอายุหกสิบปี

27 เด็กทั้งสองเติบโตขึ้น เอซาวก็เป็นนักล่าสัตว์ที่เก่งกล้าและชอบใช้ชีวิตตามท้องทุ่ง แต่ยาโคบเป็นผู้ชายเงียบๆและชอบอยู่กับเต็นท์ 28 อิสอัครักเอซาว เพราะเขาชอบกินเนื้อสัตว์ที่เอซาวล่ามาได้ แต่เรเบคาห์รักยาโคบ

29 ครั้งหนึ่ง เมื่อยาโคบต้มซุปอยู่ เอซาวกลับจากท้องทุ่งและอ่อนเพลียเพราะความหิว 30 เอซาวพูดกับยาโคบว่า “ขอพี่กินไอ้แดงๆนั่นหน่อย ไอ้แดงๆที่อยู่ที่นั่นน่ะ พี่หิวจะตายอยู่แล้ว” เพราะอย่างนี้ เอซาวถึงมีอีกชื่อหนึ่งว่าเอโดม[ap]

31 แต่ยาโคบพูดว่า “ขายสิทธิพี่ชายคนโตให้น้องก่อน”[aq]

32 เอซาวตอบว่า “พี่จะตายอยู่แล้ว สิทธิพี่คนโตจะมีประโยชน์อะไรอีกเล่า”

33 แต่ยาโคบพูดว่า “พี่ต้องสาบานกับน้องก่อน” เอซาวจึงสาบานกับเขา และขายสิทธิพี่ชายคนโตให้กับยาโคบไป 34 ยาโคบจึงเอาขนมปังกับซุปถั่วแดงมาให้เอซาวกิน เขากินและดื่ม แล้วก็ลุกจากไป ด้วยวิธีนี้ เอซาวแสดงให้เห็นว่าเขาแทบจะไม่สนใจสิทธิพี่ชายคนโตของเขาเลย

อิสอัคโกหกอาบีเมเลค

26 ในขณะนั้นเกิดภาวะฝนแล้งอดอยากกันไปทั่วแผ่นดิน เหมือนกับที่เกิดขึ้นในสมัยของอับราฮัม อิสอัคจึงได้เดินทางไปเมืองเกราร์ ไปหากษัตริย์อาบีเมเลคของชาวฟีลิสเตีย พระยาห์เวห์ได้ปรากฏตัวต่ออิสอัคและพูดว่า “อย่าได้ลงไปที่อียิปต์ ให้อาศัยอยู่ในแผ่นดินที่เราจะบอกให้เจ้าไปอยู่ ให้อยู่ในแผ่นดินนั้นในฐานะคนต่างชาติ และเราจะอยู่กับเจ้าและจะอวยพรเจ้า เพราะเราจะยกแผ่นดินทั้งหมดนี้ให้กับเจ้าและลูกหลานของเจ้า และเราจะทำตามสัญญาที่เราได้ให้ไว้กับอับราฮัมพ่อของเจ้า เราจะทำให้เจ้ามีลูกหลานมากมายเหมือนดวงดาวบนท้องฟ้า และจะให้แผ่นดินทั้งหมดนี้กับลูกหลานของเจ้า และชนชาติทั้งหมดบนโลกนี้จะได้รับพรผ่านทางลูกหลาน[ar] ของเจ้า เพราะอับราฮัมเชื่อฟังเรา และทำตามที่เราสั่ง เขาเชื่อฟังคำสั่ง กฎระเบียบและคำสอนต่างๆของเรา”

อิสอัคจึงได้อาศัยอยู่ในเมืองเกราร์ พวกผู้ชายในเมืองนั้นถามเขาเกี่ยวกับเมียของเขา เขาบอกว่า “นางเป็นน้องสาวของผม” เพราะอิสอัคกลัวที่จะบอกว่า “นางเป็นเมียของผม” อิสอัคคิดว่า “ไม่อย่างนั้น ผู้ชายในเมืองนี้จะฆ่าผม เพื่อชิงเรเบคาห์ เพราะนางเป็นผู้หญิงที่สวยมาก”

หลังจากใช้ชีวิตอยู่ในเมืองนั้นเป็นเวลานาน กษัตริย์อาบีเมเลคแห่งฟีลิสเตียมองลงมาจากหน้าต่าง และเห็นอิสอัคกำลังเล้าโลมเรเบคาห์เมียของเขา อาบีเมเลคจึงเรียกอิสอัคมาและพูดว่า “ที่แท้หญิงคนนั้นก็เป็นเมียของเจ้า แล้วทำไมเจ้าถึงบอกว่า ‘นางเป็นน้องสาว’”

อิสอัคบอกว่า “เพราะข้าพเจ้าคิดว่า ข้าพเจ้าอาจจะตายเพราะนาง”

10 แล้วอาบีเมเลคก็พูดว่า “เจ้ารู้ไหมว่ากำลังทำอะไรลงไป ถ้ามีคนของเราไปนอนกับเมียเจ้าขึ้นมา แล้วเจ้าก็จะเป็นเหตุทำให้พวกเราทำผิดบาปอันยิ่งใหญ่”

11 แล้วอาบีเมเลคจึงออกคำสั่งกับทุกคนว่า “ใครก็ตามที่ทำร้ายชายคนนี้หรือเมียของเขา จะถูกลงโทษถึงตาย”

อิสอัคร่ำรวยขึ้น

12 อิสอัคได้หว่านเมล็ดพืชในแผ่นดินนั้น และในปีนั้นเองเขาก็ได้เก็บเกี่ยวผลผลิตถึงหนึ่งร้อยเท่า และพระยาห์เวห์ได้อวยพรเขา 13 แล้วอิสอัคก็กลายเป็นคนร่ำรวย แล้วเขาก็รวยขึ้น รวยขึ้น จนร่ำรวยมหาศาล 14 เขามีทั้งฝูงวัว ฝูงแกะและข้าทาสบริวารมากมาย จนทำให้ชาวฟีลิสเตียอิจฉา 15 (พวกชาวฟีลิสเตียได้เอาของสกปรกไปถมในบ่อน้ำต่างๆจนเต็ม ใช้ไม่ได้อีก พวกทาสของอับราฮัม พ่อของอิสอัคได้ขุดบ่อน้ำพวกนี้ไว้ในสมัยของพ่อเขา) 16 กษัตริย์อาบีเมเลคพูดกับอิสอัคว่า “ไปจากพวกเราเสียเถิด เพราะเจ้ากลายเป็นผู้ที่เข้มแข็งกว่าพวกเรามาก”

17 อิสอัคจึงไปจากที่นั่น แล้วมาตั้งค่ายอยู่ที่หุบเขาเกราร์ และเขาได้ตั้งรกรากอยู่ที่นั่น 18 อิสอัคได้กลับไปขุดพวกบ่อน้ำเก่าๆที่เคยขุดไว้แล้วในสมัยของอับราฮัมพ่อของเขา แต่ถูกชาวฟีลิสเตียกลบทิ้งหลังจากที่อับราฮัมเสียชีวิต อิสอัคได้ใช้ชื่อเดิมๆของบ่อน้ำเหล่านั้น ซึ่งเป็นชื่อที่พ่อของเขาได้ตั้งไว้ 19 พวกทาสของอิสอัคได้ขุดบ่อน้ำแห่งหนึ่งขึ้นในที่หุบเขา พวกเขาได้พบบ่อน้ำพุที่มีน้ำบริสุทธิ์ 20 แต่คนเลี้ยงแกะของเกราร์ได้ทะเลาะกันกับคนเลี้ยงแกะของอิสอัคและอ้างว่า “น้ำนี่เป็นของพวกเรา” อิสอัคจึงตั้งชื่อบ่อน้ำนั้นว่า “เอเสก”[as] เพราะพวกนั้นได้โต้เถียงกับเขา

21 แล้วคนรับใช้ของอิสอัคก็ไปขุดอีกบ่อหนึ่ง แต่ชาวเกราร์ก็ยังคงมาโต้เถียงและอ้างเป็นเจ้าของอีก อิสอัคจึงตั้งชื่อบ่อนี้ว่า “สิตนาห์”[at]

22 อิสอัคจึงย้ายไปจากที่นั่น และไปขุดอีกบ่อหนึ่ง และคนพวกนั้นไม่ได้ตามมาโต้เถียงแย่งมันอีก อิสอัคจึงตั้งชื่อบ่อน้ำแห่งนี้ว่า “เรโหโบท”[au] และพูดว่า “ตอนนี้พระยาห์เวห์ได้ให้ที่ว่างกับพวกเราแล้ว และเราจะเจริญเติบโตขึ้นในแผ่นดินนี้”

23 อิสอัคออกจากสถานที่นั้นขึ้นไปถึงเบเออร์เชบา 24 พระยาห์เวห์ได้ปรากฏตัวให้เขาเห็นในคืนนั้นและพูดว่า “เราคือพระเจ้าของอับราฮัมพ่อของเจ้า ไม่ต้องกลัว เพราะเราอยู่กับเจ้า เราจะอวยพรเจ้า และเราจะเพิ่มจำนวนลูกหลานของเจ้า เพราะเห็นแก่อับราฮัมผู้รับใช้ของเรา” 25 อิสอัคจึงได้สร้างแท่นบูชาขึ้นที่นั่น และเขาได้นมัสการพระยาห์เวห์ เขาได้ตั้งเต็นท์ขึ้นในบริเวณนั้น และให้พวกทาสของเขาขุดบ่อน้ำขึ้นบ่อหนึ่ง

26 กษัตริย์อาบีเมเลคเดินทางมาหาอิสอัคจากเมืองเกราร์ เขามาพร้อมกับอาหุสซัทที่ปรึกษา และฟีโคล์ผู้บัญชาการกองทัพของเขา

27 อิสอัคพูดกับพวกเขาว่า “พวกท่านมาหาข้าพเจ้าอีกทำไม ในเมื่อท่านเกลียดข้าพเจ้าและได้ขับไล่ข้าพเจ้าออกมาจากพวกท่าน”

28 แล้วพวกเขาตอบว่า “ตอนนี้เรารู้แล้วว่าพระยาห์เวห์อยู่กับเจ้า ดังนั้นพวกเราจึงคิดจะมาขอร่วมสาบานระหว่างเจ้ากับเรา และให้เราทำข้อตกลงกับเจ้า 29 ว่าเจ้าจะไม่ทำอันตรายพวกเรา เหมือนกับที่พวกเราไม่เคยทำร้ายเจ้า พวกเราดีต่อเจ้าเสมอมา และได้ส่งเจ้าจากไปอย่างสันติ และตอนนี้เจ้าก็ได้รับพระพรจากพระยาห์เวห์”

30 ดังนั้นอิสอัคจึงจัดงานเลี้ยงให้กับพวกเขา พวกเขากินและดื่มร่วมกัน 31 ในตอนเช้าพวกเขาลุกขึ้นแต่เช้าตรู่ และได้สาบาน[av] กัน หลังจากนั้นอิสอัคก็ได้ส่งพวกเขากลับไป และพวกเขาก็กลับไปอย่างสันติ

32 และในวันนั้นเอง ทาสของอิสอัคได้มาบอกอิสอัคเกี่ยวกับบ่อน้ำที่พวกเขากำลังขุดอยู่ว่า “พวกเราพบน้ำแล้ว” 33 อิสอัคจึงเรียกบ่อน้ำแห่งนั้นว่า “ชิบาห์”[aw] เพราะอย่างนี้ เมืองนั้นจึงมีชื่อว่าเมืองเบเออร์เชบา[ax] มาจนถึงทุกวันนี้

พวกเมียของเอซาว

34 เมื่อเอซาวอายุได้สี่สิบปี เขาได้แต่งงานกับผู้หญิงสองคน คือยูดิธลูกสาวของเบเออรีชาวฮิตไทต์ กับบาเสมัทลูกสาวของเอโลนชาวฮิตไทต์เหมือนกัน 35 เมียทั้งสองคนนี้ทำให้อิสอัคและเรเบคาห์ขมขื่นเป็นอย่างมาก

ปัญหาเรื่องมรดก

27 เมื่ออิสอัคแก่ลง สายตาเริ่มพล่ามัวมองไม่เห็น เขาเรียกเอซาวลูกคนโตมาและพูดว่า “ลูกพ่อ”

เอซาวตอบว่า “ผมอยู่นี่ครับ”

อิสอัคพูดต่อไปว่า “ตอนนี้พ่อก็แก่แล้ว ไม่รู้จะตายเมื่อไร ตอนนี้ให้ลูกไปหยิบอาวุธของลูก เอาลูกธนูและคันธนู แล้วออกไปล่าสัตว์ในท้องทุ่งมาให้พ่อกิน เอาไปปรุงให้อร่อยๆแบบที่พ่อชอบ แล้วเอามาให้พ่อกิน เพื่อพ่อจะได้อวยพรให้เจ้า ก่อนพ่อจะตาย” ตอนที่อิสอัคพูดอยู่กับลูกชายนี้ เรเบคาห์แอบฟังอยู่

ยาโคบหลอกอิสอัค

เมื่อเอซาวออกไปล่าสัตว์ในทุ่ง เพื่อเอากลับมาให้พ่อ เรเบคาห์พูดกับยาโคบลูกชายนางว่า “ฟังนะ แม่ได้ยินพ่อเจ้าพูดกับเอซาวพี่ชายเจ้าว่า ‘ออกไปล่าสัตว์มาให้พ่อ และเอาไปปรุงให้อร่อยๆมาให้พ่อกินด้วย แล้วพ่อจะอวยพรเจ้าต่อหน้าพระยาห์เวห์ ก่อนที่พ่อจะตาย’ ตอนนี้ ลูกแม่ ฟังแม่ให้ดีและทำตามที่แม่สั่ง ไปที่ฝูงสัตว์และเลือกลูกแพะที่ดีที่สุดมาสองตัว แม่จะเอามาปรุงเป็นอาหารที่อร่อยๆแบบที่พ่อของเจ้าชอบ 10 เจ้าจะได้เอาไปให้พ่อเจ้ากิน เพื่อเขาจะได้อวยพรเจ้าก่อนที่เขาจะตาย”

11 ยาโคบพูดกับเรเบคาห์แม่ของเขาว่า “แต่พี่ชายของลูกเป็นคนขนดก ส่วนลูกเป็นคนผิวเรียบ 12 บางทีพ่ออาจจะจับตัวลูก พ่อก็จะจับได้ว่าลูกพยายามจะหลอกลวงท่าน และพ่อก็จะสาปแช่งลูกแทนที่จะอวยพร”

13 แล้วแม่ของเขาบอกยาโคบว่า “ลูกเอ๋ย ขอให้คำสาปแช่งทั้งหมดตกอยู่กับแม่ ให้ทำตามที่แม่บอกก็แล้วกัน ไปเอาพวกแพะมาให้แม่ได้แล้ว”

14 ยาโคบจึงไปเอาแพะสองตัวมาให้แม่ของเขา และแม่ของเขาได้ปรุงอาหารอร่อยๆแบบที่พ่อเขาชอบ 15 แล้วเรเบคาห์ก็เอาเสื้อผ้าชุดที่ดีที่สุดของเอซาวลูกชายคนโตมาใส่ให้ยาโคบลูกคนเล็ก นางมีเสื้อผ้าของเอซาวอยู่ในบ้านแล้ว 16 นางได้เอาหนังแพะมาหุ้มที่แขนและที่ลำคอที่ราบเรียบของยาโคบ 17 และนางเอาอาหารที่อร่อยๆพร้อมกับขนมปังที่นางเตรียมไว้แล้ว ให้กับยาโคบ

18 ยาโคบไปหาพ่อของเขาและพูดว่า “พ่อครับ” และอิสอัคตอบว่า “พ่ออยู่นี่ เจ้าเป็นลูกคนไหนของพ่อหรือ”

19 ยาโคบบอกพ่อว่า “ผมคือเอซาว ลูกคนโตของพ่อไงครับ ผมได้ทำตามที่บอกแล้ว ลุกขึ้นนั่งกินเนื้อที่ผมล่ามาสิครับ แล้วพ่อจะได้อวยพรผม”

20 แล้วอิสอัคพูดกับลูกว่า “ลูกพ่อ ทำไมเจ้าถึงล่ามันมาได้เร็วอย่างนี้”

ยาโคบตอบว่า “เพราะพระยาห์เวห์ พระเจ้าของพ่อ ช่วยลูกให้หามันเจอ”

21 อิสอัคจึงพูดกับยาโคบว่า “ลูกพ่อ เข้ามาใกล้ๆให้พ่อจับตัวลูกหน่อย พ่อจะได้รู้ว่าเจ้าคือเอซาวลูกชายของพ่อจริงๆ”

22 ยาโคบจึงเข้าไปใกล้ๆอิสอัคพ่อของเขา อิสอัคจับตัวยาโคบและพูดว่า “เสียงก็เหมือนยาโคบ แต่แขนเป็นแขนของเอซาว” 23 อิสอัคจำยาโคบไม่ได้ เพราะแขนของเขามีขนเต็มไปหมด เหมือนแขนของเอซาวพี่ชายเขา อิสอัคจึงอวยพรยาโคบ

24 อิสอัคพูดว่า “เจ้าคือเอซาวจริงๆหรือ”

ยาโคบตอบว่า “ครับพ่อ”

คำอวยพรสำหรับยาโคบ

25 อิสอัคจึงบอกว่า “ลูกพ่อ เอาเนื้อที่เจ้าล่ามาสิ พ่อจะได้กินมัน และจะได้อวยพรให้กับเจ้า” ยาโคบจึงเอาเนื้อนั้นมาให้กับพ่อ และเขาก็กิน แล้วยาโคบเอาเหล้าองุ่นมาให้พ่อ และเขาก็ดื่มมัน

26 แล้วอิสอัคพ่อของเขาพูดกับยาโคบว่า “ลูกพ่อ เข้ามาใกล้ๆและจูบพ่อสิ” 27 ยาโคบจึงเข้ามาใกล้ๆและจูบอิสอัค อิสอัคได้กลิ่นเสื้อผ้าของเอซาว และเขาอวยพรให้กับยาโคบ อิสอัคอวยพรว่า

“นี่แหละ กลิ่นของลูกชายข้า
    เหมือนกลิ่นของท้องทุ่งที่พระยาห์เวห์ได้อวยพรไว้
28 ขอพระเจ้าประทานให้กับเจ้า
    น้ำค้างจากท้องฟ้า
    ท้องทุ่งที่อุดมสมบูรณ์
    มีเมล็ดข้าวกับเหล้าองุ่นอย่างเหลือเฟือ
29 ขอให้คนทั้งหลายมารับใช้เจ้า
    และขอให้ชนชาติต่างๆก้มกราบลงต่อหน้าเจ้า
ขอให้เจ้าเป็นเจ้านายเหนือพวกพี่น้องของเจ้า
    ขอให้ลูกคนอื่นๆของแม่เจ้าก้มกราบเจ้า
ขอให้คนที่สาปแช่งเจ้าถูกสาปแช่ง
    และขอให้คนที่อวยพรเจ้าได้รับพร”

พรสำหรับเอซาว

30 เมื่ออิสอัคอวยพรยาโคบเสร็จแล้ว และทันทีที่ยาโคบออกไป เอซาวพี่ชายของยาโคบก็กลับมาจากการล่าสัตว์ 31 เขาทำอาหารอร่อยๆมาด้วย และเอามาให้กับพ่อของเขา เอซาวบอกกับพ่อว่า “พ่อครับ ลุกขึ้นมากินเนื้อที่ผมล่ามาเถิดครับ พ่อจะได้อวยพรผม”

32 แล้วอิสอัคพ่อของเขาถามเขาว่า “เจ้าเป็นใคร”

เอซาวตอบว่า “ผม ลูกของพ่อ ลูกชายคนโตของพ่อ เอซาวไงครับ”

33 อิสอัคตัวสั่นสุดขีดและพูดว่า “อ้าว แล้วคนเมื่อกี้เป็นใครกัน ที่ล่าเนื้อมาให้พ่อ แล้วพ่อก็กินจนหมด แล้วก็อวยพรให้กับเขาไปแล้ว ก่อนที่เจ้าจะเข้ามา และพรนั้นก็จะตกเป็นของเขาตลอดไป”

34 เมื่อเอซาวได้ยินพ่อพูดอย่างนั้น เขาร้องออกมาดังมากและขมขื่น และพูดกับพ่อของเขาว่า “อวยพรผมด้วยสิครับพ่อ”

35 อิสอัคพูดว่า “น้องชายเจ้าเข้ามาหลอกลวงพ่อและเอาพรของเจ้าไปแล้ว”

36 เอซาวจึงพูดว่า “มิน่าล่ะ คนถึงได้เรียกเขาว่ายาโคบ[ay] นี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่เขาโกงผม เขาเอาสิทธิพี่ชายคนโตของผมไป แล้วดูสิ ตอนนี้เขายังเอาพรของผมไปอีก” แล้วเอซาวก็พูดว่า “พ่อไม่เก็บคำอวยพรให้กับผมเลยหรือ”

37 อิสอัคตอบเอซาวว่า “พ่อได้ทำให้เขาเป็นเจ้านายเหนือลูก และยกพี่น้องของเขาทุกคนให้เป็นทาสของเขา และพ่อได้ให้เมล็ดพืชและเหล้าองุ่นกับเขา แล้วยังจะมีอะไรเหลือให้กับเจ้าอีกล่ะ ลูกพ่อ”

38 เอซาวจึงพูดกับพ่อของเขาว่า “พ่อครับ พ่อมีพรแค่อันเดียวเท่านั้นหรือ อวยพรให้กับผมด้วยสิครับพ่อ” แล้วเอซาวก็เริ่มร้องไห้เสียงดัง

39 แล้วอิสอัคพ่อของเขาจึงบอกกับเขาว่า

“ดูเอาเถอะ เจ้าจะอยู่ห่างไกลจากดินแดนที่อุดมสมบูรณ์
    และไม่มีน้ำค้างตกจากฟ้า
40 เจ้าจะยืนหยัดอยู่ได้ด้วยดาบของเจ้า
    เจ้าจะต้องรับใช้น้องของเจ้า
แต่เมื่อใดที่เจ้าดิ้นรนต่อสู้เพื่อให้เป็นอิสระ[az]
    เจ้าจะหลุดพ้นจากการควบคุมของเขาได้”

41 ตั้งแต่นั้นเอซาวจึงเกลียดยาโคบ เพราะพรที่พ่อให้กับเขา เอซาวคิดในใจว่า “ใกล้ถึงเวลาไว้ทุกข์ให้กับพ่อแล้ว หลังจากนั้นเราจะฆ่ายาโคบน้องชายของเราเสีย”

42 เรเบคาห์ล่วงรู้ถึงแผนของเอซาวลูกคนโตของนาง นางจึงเรียกยาโคบลูกคนเล็กมาหาและพูดว่า “เอซาวพี่ชายเจ้ากำลังวางแผนที่จะฆ่าเจ้าเพื่อแก้แค้น 43 ตอนนี้ ลูกแม่ ให้ทำตามที่แม่บอก รีบหนีไปเดี๋ยวนี้ ไปอยู่กับลาบันพี่ชายของแม่ ในเมืองฮาราน 44 ให้ไปอยู่กับเขาสักพักหนึ่งก่อน จนกว่าพี่ชายของเจ้าจะหายโกรธ 45 จนกว่าเขาจะหายโกรธและลืมเรื่องที่เจ้าได้ทำกับเขาไว้ แล้วแม่จะส่งคนไปรับเจ้ากลับมา เพราะแม่ไม่อยากเสียลูกทั้งสองคนในวันเดียวกัน[ba]

46 แล้วเรเบคาห์พูดกับอิสอัคว่า “ฉันเบื่อผู้หญิงฮิตไทต์พวกนี้เต็มทนแล้ว ถ้ายาโคบไปแต่งงานกับผู้หญิงฮิตไทต์สักคนในแผ่นดินนี้ ฉันคงต้องตายแน่ๆ[bb]

ยาโคบหาเมีย

28 แล้วอิสอัคเรียกยาโคบมา และอวยพรให้กับเขาและสั่งเขาว่า “ห้ามเอาลูกสาวของชาวคานาอันมาเป็นเมีย ให้ไปที่แคว้น ปัดดาน อารัม ทันที ให้ไปบ้านเบธูเอลพ่อของแม่เจ้า และให้หาเมียที่นั่น ให้เอาลูกสาวคนหนึ่งของลาบัน พี่ชายของแม่เจ้ามาเป็นเมีย ขอให้พระเจ้าผู้เต็มไปด้วยฤทธิ์เดชทั้งสิ้น[bc] อวยพรเจ้า ให้เจ้ามีลูกหลานมากมายเพื่อว่าเจ้าจะได้กลายเป็นพ่อของหลายชนชาติ และขอให้พระองค์อวยพรเจ้าเหมือนกับที่อวยพรให้อับราฮัม อวยพรเจ้าและลูกหลานของเจ้าด้วย เพื่อว่าเจ้าจะได้เป็นเจ้าของแผ่นดินที่เจ้าอาศัยอยู่เดี๋ยวนี้ในฐานะคนต่างชาติ ซึ่งพระเจ้าได้ยกให้กับอับราฮัม”

แล้วอิสอัคส่งยาโคบไป และยาโคบก็ไปที่ปัดดาน อารัม ไปหาลาบันลูกชายของเบธูเอลชาวอารัม ลาบันเป็นพี่ชายของเรเบคาห์ แม่ของยาโคบและเอซาว

ตอนนี้เอซาวเห็นว่าอิสอัคอวยพรให้ยาโคบ และได้ส่งเขาไปปัดดาน อารัม เพื่อเอาเมียจากที่นั่น เอซาวก็รู้ว่า เมื่อพ่ออวยพรให้น้อง พ่อสั่งน้องว่า “อย่าแต่งงานกับผู้หญิงชาวคานาอัน” เอซาวก็รู้ว่า ยาโคบเชื่อฟังพ่อและแม่ของเขา และไปแคว้นปัดดาน อารัม เอซาวเห็นว่า อิสอัคพ่อของเขาไม่พอใจผู้หญิงคานาอันเหล่านั้น เขาจึงไปหาอิชมาเอลและเอามาหะลัทลูกสาวของอิชมาเอลมาเป็นเมีย อิชมาเอลเป็นลูกของอับราฮัม และมาหะลัทเป็นน้องสาวของเนบาโยธ เอซาวมีเมียอยู่ก่อนหน้านั้นหลายคนแล้ว

บ้านของพระเจ้า (เบธเอล)

10 ยาโคบจากเมืองเบเออร์เชบาเขามุ่งตรงไปยังเมืองฮาราน 11 เขาได้มาถึงที่แห่งหนึ่ง และพักค้างคืนที่นั่น เพราะตะวันตกดินแล้ว เขาเอาหินจากที่นั่นมาก้อนหนึ่ง แล้วเอามาหนุนหัวนอนที่นั่น 12 เขาได้ฝันว่า มีบันไดอันหนึ่งตั้งอยู่ที่พื้น ปลายของมันยื่นถึงสวรรค์ และมีทูตสวรรค์ของพระเจ้า กำลังขึ้นๆลงๆอยู่บนบันไดนั้น 13 และมีพระยาห์เวห์กำลังยืนอยู่ข้างๆเขา[bd] และพูดว่า “เราคือยาห์เวห์ พระเจ้าของอับราฮัมและพระเจ้าของอิสอัคบรรพบุรุษของเจ้า เราจะยกแผ่นดินที่เจ้ากำลังนอนอยู่นี้ให้กับเจ้าและลูกหลานของเจ้า 14 และลูกหลานของเจ้าก็จะมีมากมายเหมือนฝุ่นบนโลกนี้ และพวกเขาจะขยายไปทางทิศตะวันตก ทิศตะวันออก ทิศเหนือและทิศใต้ แล้วทุกครอบครัวในโลกนี้จะได้รับพรผ่านทางเจ้าและลูกหลานของเจ้า

15 และดูเถิด เราจะอยู่กับเจ้า เราจะปกป้องเจ้าในทุกที่ที่เจ้าไป เราจะนำเจ้ากลับมายังแผ่นดินนี้ เพราะเราจะไม่ทอดทิ้งเจ้า แต่เราจะทำสิ่งที่เราได้สัญญาไว้กับเจ้า”

16 แล้วยาโคบก็ตื่นขึ้นมา พูดว่า “พระยาห์เวห์สถิตอยู่ในที่แห่งนี้แน่ๆแต่เราไม่รู้มาก่อน”

17 เขากลัวและพูดว่า “สถานที่แห่งนี้น่าเกรงขามยิ่งนัก จะต้องเป็นบ้านของพระเจ้า และเป็นประตูสวรรค์แน่ๆ”

18 ยาโคบจึงลุกขึ้นแต่เช้าตรู่ และเขาเอาก้อนหินที่เขาเอาหนุนหัว มาตั้งขึ้นเป็นแท่งหิน และเทน้ำมันบนยอดของหินนั้น เพื่ออุทิศให้กับพระเจ้า 19 และเขาเรียกสถานที่แห่งนี้ว่า “เบธเอล”[be] แต่เมืองนั้น เดิมมีชื่อว่า “ลูส”

20 แล้วยาโคบสาบานว่า “ถ้าพระเจ้าจะอยู่กับข้าพเจ้า และปกป้องข้าพเจ้าในการเดินทางครั้งนี้ และให้ข้าพเจ้ามีอาหารกินกับมีเสื้อผ้าใส่ 21 และนำข้าพเจ้ากลับไปยังบ้านของพ่อข้าพเจ้าอย่างปลอดภัยแล้วละก็ พระยาห์เวห์ก็จะเป็นพระเจ้าของข้าพเจ้า 22 และหินก้อนนี้ที่ข้าพเจ้าได้ตั้งขึ้นเป็นเสาหิน ก็จะเป็นบ้านของพระเจ้า[bf] ข้าพเจ้าก็จะถวายพระองค์หนึ่งในสิบจากทุกอย่างที่พระองค์ให้กับข้าพเจ้า”

ยาโคบพบนางราเชล

29 แล้วยาโคบก็เดินทางต่อ จนมาถึงแผ่นดินของคนทางฝั่งตะวันออก เขามองดูไปรอบๆและเห็นบ่อน้ำแห่งหนึ่งในท้องทุ่ง มีแกะอยู่สามฝูงที่กำลังนอนอยู่ข้างบ่อน้ำนั้น เพราะฝูงแกะดื่มน้ำจากบ่อน้ำนั้น มีหินก้อนใหญ่ปิดปากบ่อน้ำอยู่ เมื่อฝูงแกะทั้งหลายมาอยู่รวมกันที่นั่น คนเลี้ยงแกะก็จะกลิ้งหินนั้นออกจากปากบ่อน้ำ และตักน้ำให้ฝูงแกะกินกัน แล้วพวกเขาก็จะกลิ้งหินปิดปากบ่อน้ำเหมือนเดิม

ยาโคบพูดกับพวกเขาว่า “พวกพี่ มาจากที่ไหนกัน”

พวกเขาตอบว่า “พวกเรามาจากเมืองฮาราน”

Footnotes

  1. 12:2 และเจ้า … คนอื่น หรืออาจจะแปลได้อีกอย่างหนึ่งว่า “คนอื่นจะใช้ชื่อของเจ้าในการอวยพรคนอื่น คือพูดว่า ขอให้ท่านได้รับพรเหมือนกับอับราม”
  2. 12:3 คนทั้งหลาย … จากเจ้าด้วย หรืออาจจะแปลได้ว่า “คนทั่วโลกจะใช้ชื่อของเจ้าในการอวยพรคนอื่น”
  3. 14:6 เอลปาราน น่าจะเป็นเมืองเอแล็ทซึ่งอยู่ใต้สุดของอิสราเอล ใกล้ทะเลแดง
  4. 14:10 น้ำมันดิน เป็นน้ำมันชนิดข้นที่ต้องถูกความร้อนถึงจะละลาย
  5. 15:2 เพราะข้าพเจ้ายังไม่มีลูก หรืออาจจะแปลได้ว่า “ข้าพเจ้ากำลังจะตายโดยไม่มีลูก”
  6. 15:2 ชาวเมือง … ของข้าพเจ้า ความหมายในภาษาฮีบรูยังไม่ชัดเจน
  7. 15:6 แล้วอับราม … ยอมรับเขา ข้อนี้แปลได้อีกอย่างหนึ่งว่า “อับรามไว้วางใจในพระยาห์เวห์ พระองค์ก็เลยนับว่าท่านเป็นคนที่พระองค์ยอมรับ”
  8. 15:7 เมืองเออร์ ตั้งอยู่ทางใต้ของบาบิโลน
  9. 15:17 ผ่านกลาง … สัตว์พวกนั้น ในสมัยก่อนเวลาทำข้อตกลงกัน พวกเขาจะผ่าสัตว์ออกเป็นสองซีก แล้วเดินผ่านไประหว่างสองซีกนั้น แล้วพูดว่า “ถ้าข้าไม่รักษาข้อตกลงนี้ ก็ขอให้เป็นเหมือนสัตว์ตัวนี้”
  10. 15:18 แม่น้ำอียิปต์ ลำธารสายนี้เรียกว่า “วาดี เอล-อาริช”
  11. 16:11 อิชมาเอล มีความหมายว่า “พระเจ้าได้ยิน”
  12. 16:12 เขาจะอาศัย … ของเขา หรือแปลได้อีกอย่างหนึ่งว่า “เขาจะเข้ากับพี่น้องของเขาไม่ได้”
  13. 16:13 พระเจ้าผู้มองเห็นฉัน ในภาษาฮีบรูเรียกว่า “เอลรอย”
  14. 16:13 ที่นี่ฉัน … จริงๆหรือ ความหมายในภาษาฮีบรู ไม่ชัดเจน
  15. 16:14 เบเออลาไฮรอย มีความหมายว่า “บ่อน้ำของผู้นั้นที่มีชีวิตอยู่ (พระเจ้า) ที่มองเห็นฉัน”
  16. 17:1 พระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์ ในภาษาฮีบรูเรียก เอลชัดดัย แต่ความหมายยังไม่แน่นอน
  17. 17:5 อับราม หมายถึง “พ่อที่มีเกียรติ”
  18. 17:5 อับราฮัม หมายถึง “พ่อผู้ยิ่งใหญ่” หรือ “พ่อของคนมากมาย”
  19. 17:15 ซาราย เป็นไปได้ว่าในภาษาอารเมคหมายถึงเจ้าหญิง
  20. 17:15 ซาราห์ ในภาษาฮีบรูหมายถึงเจ้าหญิง
  21. 17:19 อิสอัค หมายถึงเขาหัวเราะ
  22. 19:2 ลานเมือง บริเวณพื้นที่โล่งภายในเมือง โดยปกติแล้วจะตั้งอยู่ใกล้กับประตูเมือง
  23. 19:8 ผมจะต้องปกป้องพวกเขา ถ้าใครชักชวนให้คนเดินทางมาอยู่กับเขา เท่ากับว่าเขาได้สัญญาที่จะปกป้องคุ้มครองคนเดินทางนั้น
  24. 19:22 โศอาร์ ชื่อนี้แปลว่า “เล็ก”
  25. 19:31 แต่งงานกับเรา หรือ “จะร่วมหลับนอนกับพวกเรา” หรือ “มีเพศสัมพันธ์กับพวกเรา”
  26. 19:38 เบน-อัมมี ในภาษาฮีบรูหมายถึง “ลูกชายของประชาชนของฉัน”
  27. 21:9 กำลังเล่นอยู่กับอิสอัคลูกชายของนาง ข้อความนี้มาจากฉบับแปลกรีกโบราณ ในภาษาฮีบรูฉบับมาตรฐานเขียนแค่ว่า “กำลังเล่นอยู่”
  28. 21:28 ลูกแกะตัวเมียเจ็ดตัว เลขเจ็ดในภาษาฮีบรูออกเสียงเหมือนกับคำว่า “สาบาน” หรือ “สัญญา” และมันเหมือนส่วนท้ายของชื่อ เบเออร์เชบา สัตว์เจ็ดตัวนี้เป็นหลักฐานของคำสัญญาในครั้งนี้
  29. 21:31 เบเออร์เชบา เป็นชื่อเมืองหนึ่งในยูดาห์ ชื่อนี้มีความหมายว่า “บ่อน้ำแห่งคำสาบาน”
  30. 21:33 ต้นแทมมารีสก์ ต้นไม้ขนาดเล็ก มีดอกสีขาว โตเร็ว ไม้ที่ทนทาน เกิดในทะเลทราย เมล็ดของมันเป็นขน
  31. 22:12 เจ้าไม่ได้ … จากเรา หรือแปลได้อีกอย่างหนึ่งว่า “เจ้าได้พิสูจน์แล้วว่า เจ้ายอมที่จะถวายลูกชายของเจ้าเป็นเครื่องบูชาให้กับเรา”
  32. 22:14 พระยาห์เวห์จัดหาให้ หรือ “พระยาห์เวห์มองเห็น” ในภาษาฮีบรูคือ “ยาห์เวห์ ยีเรห์”
  33. 23:15 เงินสี่กิโลครึ่ง แปลตรงๆได้ว่า “เงิน 400 เชเขล”
  34. 24:2 เอามือเจ้ามาวางไว้ใต้ขาเรา เมื่อคนสาบานกันเขาจะอ้างสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือกับของสำคัญ การวางมือใต้ขานี้ คงหมายถึงจับลูกอัณฑะ เป็นการสาบานโดยอ้างพงศ์พันธุ์ทั้งหมดของอับราฮัม
  35. 24:63 เดินเล่น หรืออาจแปลได้อีกอย่างหนึ่งว่า “เพื่อคิด”
  36. 25:3 ชาวอัสชูร หรืออาจจะแปลได้อีกอย่างหนึ่งว่า “ชาวอัสซีเรีย”
  37. 25:6 ดินแดนทางทิศตะวันออก ข้อความนี้ปกติแล้วจะกล่าวถึงแผ่นดินที่อยู่ระหว่างแม่น้ำไทกริสและแม่น้ำยูเฟรติสขึ้นไปจนถึงอ่าวเปอร์เชีย
  38. 25:18 มักจะโจมตีพวกญาติๆของเขา หรือแปลได้อีกอย่างหนึ่งว่า “พวกเขาได้ตั้งรกรากอยู่ติดกับญาติๆของพวกเขา”
  39. 25:20 ปัดดาน อารัม ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของเมโสโปเตเมีย
  40. 25:25 เอซาว ชื่อนี้เหมือนคำในภาษาฮีบรูแปลว่า “ขนดก”
  41. 25:26 ยาโคบ ชื่อนี้เหมือนคำในภาษาฮีบรูแปลว่า “ส้นเท้า” แต่ยังหมายถึง “ผู้ที่ติดตามมา” หรือ “หลอกลวง” ด้วย
  42. 25:30 เอโดม หมายถึง “แดง”
  43. 25:31 ขายสิทธิพี่ชายคนโตให้น้องก่อน โดยปกติแล้วลูกชายคนแรกจะกลายเป็นผู้นำครอบครัวและได้รับมรดกมากเป็นสองเท่าหลังจากพ่อตาย
  44. 26:4 ลูกหลาน ตามตัวอักษร คือ “พันธุ์” ดูใน กาลาเทีย 3:16
  45. 26:20 เอเสก หมายถึง “การโต้เถียง” หรือ “การต่อสู้”
  46. 26:21 สิตนาห์ หมายถึง “ความเกลียดชัง” หรือ “ศัตรู”
  47. 26:22 เรโหโบท หมายถึง “สถานที่เปิดกว้าง” หรือ “ที่กว้าง”
  48. 26:31 สาบาน การทำสัญญาพิเศษต่อพระยาห์เวห์
  49. 26:33 ชิบาห์ ในภาษาฮีบรูหมายถึง “เจ็ด” หรือ “สาบาน”
  50. 26:33 เบเออร์เชบา เป็นชื่อเมืองหนึ่งในยูดาห์ ชื่อนี้มีความหมายว่า “บ่อน้ำแห่งคำสาบาน”
  51. 27:36 ยาโคบ ออกเสียงคล้ายกับกริยาในภาษาฮีบรูว่า “หลอกลวง”
  52. 27:40 แต่เมื่อใด … เป็นอิสระ หรือ “เมื่อเจ้าไม่ยอมหยุดอยู่เฉยๆ” ความหมายในภาษาฮีบรูยังไม่ชัดเจน
  53. 27:45 เสียลูกทั้งสองคนในวันเดียวกัน ถ้าเอซาวฆ่ายาโคบ เขาจะต้องถูกไล่ล่า เพื่อประหารชีวิตในฐานะที่เขาเป็นฆาตกร
  54. 27:46 ฉันคงต้องตายแน่ๆ หรือ “ชีวิตของฉันก็คงย่ำแย่แน่ๆ” หรือ “ก็ไม่รู้จะมีชีวิตอยู่ไปทำไมแล้ว”
  55. 28:3 พระเจ้า … ฤทธิ์เดชทั้งสิ้น ในภาษาฮีบรูคือ “เอล ชัดดัย”
  56. 28:13 อยู่ข้างๆเขา หรือ “อยู่เหนือบันได”
  57. 28:19 เบธเอล เป็นเมืองหนึ่งในอิสราเอล ชื่อนี้มีความหมายว่า “บ้านของพระเจ้า”
  58. 28:22 บ้านของพระเจ้า คือสถานที่ที่คนพากันมานมัสการพระเจ้า