19 เมื่อโยอาบทราบว่ากษัตริย์ทรงกันแสงและอาลัยถึงอับซาโลม และเมื่อทั้งกองทัพทราบว่ากษัตริย์ทรงเศร้าโศกเสียใจเรื่องราชโอรส ความปลื้มปีติในชัยชนะใหญ่หลวงในวันนั้นก็กลับกลายเป็นความโศกสลด ทั้งกองทัพค่อยๆ เคลื่อนเข้าสู่กรุงอย่างเงียบเหงาเหมือนคนที่เข้ามาอย่างอับอายเพราะหนีจากการรบ ดาวิดซบพระพักตร์ลงกับพระหัตถ์คร่ำครวญว่า “โอ อับซาโลมลูกของพ่อ! โอ อับซาโลมลูกของพ่อ ลูกของพ่อ!”

โยอาบจึงเข้าไปยังที่ประทับ และกราบทูลว่า “วันนี้ฝ่าพระบาททรงทำให้คนของฝ่าพระบาท ผู้ได้ปกป้องพระชนม์ชีพของฝ่าพระบาทรวมทั้งชีวิตของราชโอรส ราชธิดา มเหสี และสนมไว้นั้นรู้สึกอัปยศอดสู ฝ่าพระบาททรงรักอาลัยผู้ที่ชิงชังฝ่าพระบาท และทรงชิงชังผู้ที่รักฝ่าพระบาท ในวันนี้ฝ่าพระบาททรงแสดงให้เห็นชัดว่าบรรดานายทัพ และทหารล้วนไม่มีความหมายอะไรเลยสำหรับฝ่าพระบาท หากอับซาโลมมีชีวิตอยู่และพวกข้าพระบาทตายไปหมด ฝ่าพระบาทคงจะพอพระทัย บัดนี้ขอทรงโปรดเสด็จออกไปประทานกำลังใจแก่พวกทหาร ข้าพระบาทขอสาบานโดยอ้างองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า หากไม่เสด็จไปจะไม่เหลือพวกเขาแม้แต่คนเดียวในคืนนี้ นี่จะเป็นสิ่งเลวร้ายสำหรับฝ่าพระบาท ยิ่งกว่าที่ฝ่าพระบาทเคยประสบภัยพิบัติใดมาตลอดพระชนม์ชีพ”

กษัตริย์จึงเสด็จออกไปประทับอยู่ที่ประตูเมือง และเมื่อเขาทั้งปวงทราบว่ากษัตริย์ประทับอยู่ที่นั่น พวกเขาก็พากันมาเข้าเฝ้า

ขณะเดียวกันคนอิสราเอลก็หนีกลับบ้านของตน

ดาวิดเสด็จกลับกรุงเยรูซาเล็ม

ผู้คนถกเถียงกันทั่วทุกเผ่าของอิสราเอลว่า “กษัตริย์ได้ทรงกอบกู้เราให้พ้นจากมือของศัตรู ทรงช่วยเราให้พ้นจากมือของชาวฟีลิสเตีย แต่บัดนี้พระองค์ทรงหนีจากแผ่นดินไปเพราะอับซาโลม 10 และอับซาโลมผู้ที่พวกเราเจิมตั้งให้ปกครองเรา ก็สิ้นพระชนม์แล้วในสงคราม ทำไมเราไม่มาพูดถึงเรื่องทูลเชิญกษัตริย์กลับมา?”

11 กษัตริย์ดาวิดทรงส่งข่าวไปถึงปุโรหิตศาโดกและปุโรหิตอาบียาธาร์ว่า “จงถามบรรดาผู้อาวุโสของยูดาห์ว่า ‘ทำไมท่านเป็นพวกสุดท้ายที่เชิญกษัตริย์กลับพระราชวังของพระองค์ เพราะว่ากษัตริย์ได้ยินสิ่งที่พวกท่านพูดกันทั่วอิสราเอล 12 พวกท่านเป็นพี่น้องร่วมตระกูล เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขเดียวกันแท้ๆ ทำไมจึงกลายเป็นพวกสุดท้ายที่มาทูลเชิญกษัตริย์กลับ?’ 13 และให้ไปบอกอามาสาว่า ‘เจ้าก็เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขเดียวกับเราไม่ใช่หรือ? ขอพระเจ้าทรงจัดการกับเราอย่างสาหัส หากเจ้าไม่ได้เป็นแม่ทัพของเราแทนโยอาบนับแต่นี้’”

14 ดังนั้นบรรดาคนยูดาห์ก็ได้รับการโน้มน้าวใจจนมีมติเป็นเอกฉันท์ พวกเขามากราบทูลกษัตริย์ว่า “เชิญเสด็จกลับมาหาพวกข้าพระบาท พร้อมทั้งบรรดาผู้ที่ร่วมเสด็จด้วย” 15 กษัตริย์จึงเสด็จกลับ และมาถึงแม่น้ำจอร์แดน

ชาวยูดาห์พากันมาที่กิลกาลเพื่อรับเสด็จและส่งเสด็จข้ามแม่น้ำจอร์แดน 16 ฝ่ายชิเมอีบุตรเกรา คนเบนยามินจากบาฮูริมรีบรุดมาสมทบกับคนยูดาห์เพื่อรับเสด็จกษัตริย์ดาวิด 17 คนที่มากับชิเมอีคือคนเบนยามินหนึ่งพันคน พร้อมทั้งศิบาข้าราชบริพารของซาอูล บุตรชายทั้งสิบห้าคนและคนใช้ยี่สิบคนของศิบา พวกเขารีบรุดมายังแม่น้ำจอร์แดนที่กษัตริย์ประทับอยู่ 18 พวกเขากุลีกุจอส่งเชื้อพระวงศ์ข้ามฟาก และให้ความช่วยเหลือต่างๆ นานา

เมื่อชิเมอีบุตรเกราข้ามแม่น้ำจอร์แดนมา เขาหมอบกราบลงต่อหน้ากษัตริย์ดาวิด 19 และทูลว่า “ขอโปรดอภัยโทษแก่ข้าพระบาท และอย่าทรงจดจำสิ่งผิดพลาดที่ข้าพระบาทได้ทำเมื่อครั้งฝ่าพระบาทเสด็จออกจากเยรูซาเล็มด้วยเถิด 20 เพราะผู้รับใช้สำนึกว่าได้ทำบาปไปแล้ว ข้าพระบาทจึงมาที่นี่ในวันนี้เป็นคนแรกสุดของวงศ์วานโยเซฟที่มารับเสด็จ”

21 อาบีชัยบุตรนางเศรุยาห์ทูลว่า “ชิเมอีไม่สมควรตายหรอกหรือที่ได้บังอาจแช่งด่ากษัตริย์ที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเจิมตั้งไว้?”

22 ดาวิดตรัสว่า “บุตรนางเศรุยาห์เอ๋ย เจ้าเกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องนี้ เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาก้าวก่าย! ควรหรือที่จะมีใครในอิสราเอลถูกประหารในวันนี้? เราไม่รู้หรือว่าวันนี้เราคือกษัตริย์ของอิสราเอล?” 23 แล้วกษัตริย์จึงตรัสกับชิเมอีว่า “เราไว้ชีวิตเจ้า” และทรงสาบานรับรอง

24 เมฟีโบเชทหลานชายของซาอูลก็มารับเสด็จด้วย เขาไม่ได้ดูแลเท้าหรือซักเสื้อผ้าหรือขริบเคราเลยตั้งแต่วันที่กษัตริย์เสด็จจากไปจวบจนเสด็จกลับมาโดยสวัสดิภาพ 25 เมื่อเมฟีโบเชทเดินทางจากเยรูซาเล็มมาเข้าเฝ้า กษัตริย์ตรัสถามว่า “เมฟีโบเชท ทำไมเจ้าจึงไม่ไปกับเรา?”

26 เขาทูลว่า “ข้าแต่องค์กษัตริย์ เพราะข้าพระบาทขาพิการจึงสั่งศิบาว่า ‘จงจัดอานลาให้เราได้ตามเสด็จ’ แต่ศิบาทรยศ 27 เขาทูลใส่ร้ายหาว่าข้าพระบาทไม่ยอมไป แต่ฝ่าพระบาททรงเป็นเหมือนทูตของพระเจ้า ขอทรงทำต่อข้าพระบาทตามที่ทรงเห็นชอบเถิด 28 วงศ์วานทั้งหมดของเสด็จปู่ของข้าพระบาท ไม่สมควรได้รับสิ่งใดจากฝ่าพระบาทนอกจากความตาย แต่ฝ่าพระบาทกลับประทานเกียรติให้ร่วมโต๊ะเสวย ดังนั้นข้าพระบาทจะปริปากทูลอะไรได้?”

29 ดาวิดตรัสว่า “จะพูดให้มากความไปทำไม? เจ้ากับศิบาจงแบ่งที่ดินกัน”

30 เมฟีโบเชททูลว่า “ให้เขาเอาไปทั้งหมดเถิด ในเมื่อฝ่าพระบาทเสด็จกลับมาโดยปลอดภัยเช่นนี้แล้ว”

31 บารซิลลัยชาวกิเลอาดก็มาจากเมืองโรเกลิมด้วยเพื่อตามเสด็จข้ามแม่น้ำจอร์แดนและส่งเสด็จ 32 บารซิลลัยชรามาก อายุได้แปดสิบปีแล้ว เขาได้นำเสบียงอาหารมาถวายขณะกษัตริย์ประทับอยู่ที่มาหะนาอิม เพราะเขาร่ำรวยมาก 33 กษัตริย์ตรัสกับบารซิลลัยว่า “ข้ามมาอยู่กับเราที่กรุงเยรูซาเล็มเถิด เราจะดูแลท่านเอง”

34 แต่บารซิลลัยกราบทูลว่า “ข้าพระบาทจะอยู่ไปได้อีกกี่ปี พระองค์จึงให้ตามเสด็จไปกรุงเยรูซาเล็ม? 35 บัดนี้ข้าพระบาทอายุแปดสิบปีแล้ว อะไรดีไม่ดีจะแยกแยะได้หรือ? กินดื่มอะไรจะลิ้มรสได้หรือ? เสียงนักร้องชายหญิงจะได้ยินหรือ? ควรหรือที่ผู้รับใช้ของฝ่าพระบาทจะไปเพิ่มภาระให้แก่ฝ่าพระบาท? 36 ข้าพระบาทจะขอตามเสด็จข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปเท่านั้น ฝ่าพระบาทจะปูนบำเหน็จให้ทำไมเล่า? 37 ข้าพระบาทขอกลับไปตายที่บ้านเกิดเมืองนอน ใกล้ๆ อุโมงค์ฝังศพของบิดามารดา แต่นี่คือคิมฮามผู้รับใช้ของฝ่าพระบาท ขอให้เขาตามเสด็จฝ่าพระบาทไป ขอทรงทำแก่เขาตามที่ทรงเห็นชอบเถิด”

38 กษัตริย์ดาวิดตรัสว่า “คิมฮามจะไปกับเรา เราจะปฏิบัติต่อเขาตามที่ท่านเห็นสมควร สิ่งใดที่ท่านอยากได้จากเรา เราจะทำให้ท่าน”

39 ฉะนั้นประชากรทั้งหมดจึงข้ามแม่น้ำจอร์แดน แล้วกษัตริย์ก็เสด็จข้ามไป ดาวิดทรงจูบและให้พรแก่บารซิลลัย แล้วบารซิลลัยก็กลับบ้าน

40 กษัตริย์เสด็จต่อไปยังกิลกาล ให้คิมฮามตามเสด็จไปด้วย กำลังพลยูดาห์ทั้งหมดและทหารอิสราเอลครึ่งหนึ่งคอยรับเสด็จอยู่ที่นั่นแล้ว

41 แล้วคนอิสราเอลทั้งหมดมาเข้าเฝ้ากษัตริย์และทูลว่า “เหตุใดพี่น้องชนยูดาห์จึงชิงตัดหน้าเชิญกษัตริย์กับราชวงศ์และข้าราชบริพารข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปก่อน?”

42 คนยูดาห์โต้ตอบว่า “เราทำเช่นนั้นก็เพราะกษัตริย์ทรงเกี่ยวโยงใกล้ชิดกับพวกเรา ทำไมเรื่องแค่นี้พวกท่านต้องโกรธด้วย? เรากินเสบียงใดๆ ของกษัตริย์หรือ? มีสิ่งใดที่เราฉกฉวยมาเป็นของตนหรือ?”

43 คนอิสราเอลโต้กลับว่า “พวกเรามีสิทธิ์ในองค์กษัตริย์สิบส่วน มิหนำซ้ำเรามีสิทธิ์ในกษัตริย์ดาวิดมากกว่าพวกท่าน ทำไมพวกท่านไม่ไว้หน้าพวกเรา? เราเป็นพวกแรกใช่ไหมที่พูดถึงเรื่องการเชิญกษัตริย์เสด็จกลับมา?”

แต่คนยูดาห์โต้ตอบด้วยวาจาเผ็ดร้อนยิ่งกว่าคนอิสราเอล

โยอาบต่อว่าดาวิด

19 มีคนบอกโยอาบว่า “กษัตริย์กำลังร้องไห้และคร่ำครวญถึงอับซาโลม”

ดังนั้น ในวันนั้นแทนที่กองทัพจะเฉลิมฉลองชัยชนะ กลับกลายเป็นวันเศร้าโศก เพราะในวันนั้นทั้งกองทัพได้ยินว่า “กษัตริย์เสียใจเรื่องลูกชายของเขา”

คนเหล่านั้นเดินเข้าเมืองอย่างเงียบๆเหมือนคนที่แอบเข้าเมืองด้วยความละอายเมื่อหลบหนีจากสนามรบ กษัตริย์ปิดหน้าของเขาและร้องไห้ออกมาดังๆว่า “อับซาโลม ลูกพ่อ อับซาโลม ลูกพ่อ ลูกของพ่อ”

โยอาบจึงเข้าไปในวังของกษัตริย์และพูดว่า “วันนี้ ท่านได้ทำให้คนของท่านทั้งหมดอับอาย พวกเขาคือคนที่ได้ช่วยชีวิตท่าน และลูกชายกับลูกสาวอีกหลายๆคนของท่านไว้ รวมทั้งชีวิตของพวกเมียท่านและเมียน้อย[a] ทั้งหลายของท่านด้วย ท่านรักคนเหล่านั้นที่เกลียดท่านและเกลียดคนที่รักท่าน ในวันนี้ท่านทำให้เห็นชัดเจนว่า ผู้นำทัพทั้งหลายของท่านและคนของเขาไม่มีความหมายกับท่านเลย ข้าพเจ้ารู้แล้วว่า ท่านคงจะพอใจถ้าอับซาโลมยังมีชีวิตอยู่ในวันนี้และพวกข้าพเจ้าตายหมด ตอนนี้ ขอท่านออกไปและไปให้กำลังใจกับคนของท่าน ข้าพเจ้าสาบานต่อพระยาห์เวห์ว่า ถ้าท่านไม่ออกไป จะไม่มีใครเหลืออยู่กับท่านอีกภายในคืนนี้ และมันจะเลวร้ายยิ่งกว่าความหายนะใดๆก็ตามที่ท่านเคยพบมาตั้งแต่เด็กจนถึงขณะนี้”

ดังนั้นกษัตริย์จึงลุกขึ้นและไปนั่งที่ประตูเมือง เมื่อคนเหล่านั้นได้ยินว่า “กษัตริย์นั่งอยู่บนประตูเมือง[b]แล้ว” พวกเขาก็ออกมาอยู่ต่อหน้าเขา

ดาวิดกลับเข้าเมืองเยรูซาเล็มอีกครั้ง

ขณะนั้นชาวอิสราเอลต่างหลบหนีกลับบ้านของพวกเขา ประชาชนอิสราเอลทั่วทุกเผ่าต่างถกเถียงกันว่า “กษัตริย์ได้ช่วยเหลือพวกเราให้พ้นจากมือของพวกศัตรู เขาคือผู้ที่ช่วยพวกเราให้พ้นจากมือของชาวฟีลิสเตีย แต่ตอนนี้เขาได้หลบหนีจากประเทศไปเพราะอับซาโลม 10 และอับซาโลมที่พวกเราได้แต่งตั้งให้ปกครองพวกเราได้ตายแล้วในสนามรบ แล้วทำไมพวกเราไม่พูดถึงการเชิญกษัตริย์กลับมาเล่า”

11 กษัตริย์ดาวิดส่งข้อความไปให้ศาโดกและอาบียาธาร์นักบวชทั้งสองว่า “ให้ไปถามพวกผู้ใหญ่ชาวยูดาห์ว่า ‘ทำไมท่านถึงเป็นคนสุดท้ายที่จะเชิญกษัตริย์กลับวังของเขา ในเมื่อทั่วทั้งอิสราเอลก็ได้พูดกันถึงเรื่องนี้ และมันก็มาถึงหูของเราผู้เป็นกษัตริย์แล้ว 12 พวกท่านเป็นพี่น้องของเรา เป็นเลือดเนื้อของเรา แล้วทำไมท่านจึงเป็นพวกสุดท้ายที่จะนำเราผู้เป็นกษัตริย์กลับมายังวังของเรา’ 13 และให้บอกอามาสาด้วยว่า ‘ท่านไม่ใช่เลือดเนื้อของเราหรือ ขอให้พระเจ้าลงโทษเราอย่างรุนแรงที่สุดอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ถ้าจากนี้ไปท่านไม่ได้เป็นแม่ทัพของกองทัพเราแทนโยอาบ’”

14 ดาวิดชนะใจชาวยูดาห์ทั้งหมดราวกับว่าพวกเขาเป็นคนๆเดียว พวกเขาส่งข้อความถึงกษัตริย์ว่า “กลับมาเถิด ทั้งตัวท่านและคนของท่านทั้งหมดด้วย”

15 แล้วกษัตริย์ก็ได้กลับมาและไปถึงแม่น้ำจอร์แดน ขณะนั้นคนยูดาห์ได้มาที่กิลกาลเพื่อออกไปรับเสด็จกษัตริย์และนำเขาข้ามแม่น้ำจอร์แดนมา

ชิเมอีขอให้ดาวิดให้อภัยเขา

16 ชิเมอีลูกชายเกราชาวเบนยามินที่มาจากเมืองบาฮูริม รีบลงมาพร้อมกับคนยูดาห์เพื่อรับเสด็จกษัตริย์ดาวิด 17 เขามาพร้อมกับชาวเผ่าเบนยามินหนึ่งพันคน และกับศิบาคนรับใช้ครอบครัวซาอูล ศิบามาพร้อมกับลูกชายสิบห้าคนและคนรับใช้ยี่สิบคนของเขา พวกเขารีบไปที่แม่น้ำจอร์แดนที่กษัตริย์อยู่

18 พวกเขาข้ามที่ทางข้ามเพื่อไปรับครอบครัวกษัตริย์ข้ามมา และเพื่อทำตามสิ่งที่กษัตริย์ต้องการ เมื่อชิเมอีลูกชายเกราข้ามจอร์แดนไป เขาหมอบคำนับอยู่ต่อหน้ากษัตริย์ 19 และพูดกับกษัตริย์ว่า “ขอให้เจ้านายข้าพเจ้าอย่าเอาผิดกับข้าพเจ้าเลย อย่าได้จดจำสิ่งที่ผิดๆที่คนรับใช้ของท่านได้ทำไป ในวันที่ท่านกษัตริย์เจ้านายของข้าพเจ้าออกจากเยรูซาเล็ม ขอให้กษัตริย์เอามันออกไปจากความคิดด้วยเถิด 20 เพราะข้าพเจ้าผู้รับใช้ท่านรู้ว่าข้าพเจ้าได้ทำบาปไป แต่วันนี้ข้าพเจ้ามาที่นี่เป็นคนแรกในบรรดาครอบครัวโยเซฟ[c] ทั้งหมดเพื่อลงมาพบกับท่านกษัตริย์เจ้านายของข้าพเจ้า”

21 แล้วอาบีชัยลูกชายนางเศรุยาห์ก็พูดว่า “ชิเมอีสมควรตายเพราะเรื่องนี้ไม่ใช่หรือ เขาได้สาปแช่งผู้ที่พระยาห์เวห์ได้เจิมให้เป็นกษัตริย์”

22 ดาวิดตอบว่า “พวกลูกชายนางเศรุยาห์ พวกเจ้ามายุ่งเรื่องของเราทำไม วันนี้เจ้าทำตัวเหมือนศัตรูของเรา วันนี้จะไม่มีใครต้องตายในอิสราเอล คิดว่าเราไม่รู้หรือว่าวันนี้เราได้เป็นกษัตริย์ปกครองเหนืออิสราเอลแล้ว”

23 ดังนั้นกษัตริย์พูดกับชิเมอีว่า “เจ้าจะไม่ต้องตาย”[d] แล้วกษัตริย์ก็สาบานกับเขา

เมฟีโบเชทไปพบดาวิด

24 เมฟีโบเชทหลาน[e] ซาอูลลงไปรับเสด็จกษัตริย์ด้วยเหมือนกัน เขาไม่ได้ดูแลเท้าของเขาหรือแต่งหนวดเคราหรือซักเสื้อผ้าเขาเลยตั้งแต่วันที่กษัตริย์จากไปจนกระทั่งวันที่เขากลับมาอย่างปลอดภัย 25 เมื่อเขามาจากเยรูซาเล็มเพื่อมารับเสด็จกษัตริย์ กษัตริย์ถามเขาว่า “เมฟีโบเชท ทำไมเจ้าถึงไม่ไปกับเรา”

26 เขาพูดว่า “กษัตริย์เจ้านายของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าผู้รับใช้ท่านเป็นง่อย ข้าพเจ้าก็เลยพูดว่า ‘ใส่อานให้กับลาของเราหน่อย เราจะได้ขี่ตามกษัตริย์ไป’ แต่ศิบาคนรับใช้ข้าพเจ้า ทรยศข้าพเจ้า 27 และเขาก็ใส่ร้ายข้าพเจ้าผู้รับใช้ท่านกษัตริย์เจ้านายของข้าพเจ้า กษัตริย์ของข้าพเจ้าเป็นเหมือนทูตสวรรค์ของพระเจ้า ดังนั้นขอท่านทำในสิ่งที่ท่านเห็นควรเถิด 28 อันที่จริง ลูกหลานทุกคนของปู่[f] ข้าพเจ้าไม่สมควรได้รับสิ่งใดเลยนอกจากความตายจากท่านกษัตริย์เจ้านายของข้าพเจ้า แต่ท่านได้ให้ข้าพเจ้าผู้รับใช้ของท่านนั่งร่วมกับคนเหล่านั้นที่นั่งร่วมโต๊ะกับท่าน ดังนั้น ข้าพเจ้ายังมีสิทธิ์เรียกร้องอะไรจากกษัตริย์อีกเล่า”

29 กษัตริย์พูดกับเขาว่า “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เราขอสั่งให้เจ้าและศิบาแบ่งที่นากัน”

30 เมฟีโบเชทพูดกับกษัตริย์ว่า “ให้เขาไปทุกอย่างเถิด เพราะตอนนี้ท่านกษัตริย์เจ้านายของข้าพเจ้าได้กลับมาอย่างปลอดภัยแล้ว”

ดาวิดขอให้บารซิลลัยมากับเขา

31 บารซิลลัยชาวกิเลอาดลงมาจากโรเกลิมด้วย เพื่อที่จะข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปกับกษัตริย์และเพื่อส่งเขาให้เดินทางไปจากที่นั่น 32 ขณะนั้น บารซิลลัยแก่มากแล้ว มีอายุแปดสิบปี เขาเป็นผู้นำเสบียงอาหารมาให้กับกษัตริย์ระหว่างที่พักอยู่ที่เมืองมาหะนาอิม เพราะเขาร่ำรวยมาก 33 กษัตริย์ดาวิดพูดกับบารซิลลัยว่า “ข้ามไปกับเราและอยู่กับเราในเยรูซาเล็มเถิด แล้วเราจะคอยดูแลท่าน”

34 แต่บารซิลลัยตอบกษัตริย์ดาวิดว่า “ข้าพเจ้าจะยังมีชีวิตอยู่ได้อีกสักกี่ปีกัน ที่ข้าพเจ้าจะไปอยู่ในเมืองเยรูซาเล็มกับกษัตริย์ 35 ตอนนี้ข้าพเจ้าก็มีอายุตั้งแปดสิบปีแล้ว ข้าพเจ้าแก่เกินกว่าที่จะสนุกสนานกับอะไรต่ออะไรแล้ว ข้าพเจ้าผู้รับใช้ท่านยังสามารถลิ้มรสอาหารและเครื่องดื่มได้อีกหรือ ข้าพเจ้ายังจะฟังเสียงของนักร้องชายและหญิงได้อีกหรือ ทำไมจะต้องให้ข้าพเจ้าผู้รับใช้ท่านเป็นภาระเพิ่มให้กับกษัตริย์เจ้านายของข้าพเจ้าด้วยเล่า 36 ผู้รับใช้ท่านจะข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปกับกษัตริย์ไปแค่ช่วงหนึ่งเท่านั้น ทำไมกษัตริย์ต้องตอบแทนข้าพเจ้าด้วยรางวัลขนาดนี้ 37 ปล่อยผู้รับใช้ท่านกลับไปเถิด ข้าพเจ้าจะได้ตายอยู่ในเมืองของข้าพเจ้าเองใกล้หลุมฝังศพพ่อและแม่ข้าพเจ้า แต่คนผู้นี้คือคิมฮามผู้รับใช้ท่าน ให้เขาข้ามไปกับกษัตริย์เจ้านายของข้าพเจ้าเถิด ทำกับเขาตามที่ท่านเห็นสมควรเถิด”

38 กษัตริย์พูดว่า “คิมฮามจะข้ามไปกับเรา เราจะดีกับเขาอย่างที่ท่านขอไว้ ท่านขออะไร เราก็จะทำให้”

ดาวิดกลับบ้าน

39 กษัตริย์จูบบารซิลลัยและให้พรกับเขา และบารซิลลัยก็กลับบ้านเขา หลังจากนั้น กษัตริย์และประชาชนทั้งหมดก็ข้ามแม่น้ำจอร์แดนไป

40 เมื่อกษัตริย์ข้ามแม่น้ำและเดินทางไปถึงกิลกาล กองทัพทั้งหมดของยูดาห์และครึ่งหนึ่งของกองทัพอิสราเอลนำกษัตริย์ข้ามแม่น้ำมา คิมฮามข้ามไปกับเขาด้วย

ชาวอิสราเอลทะเลาะกับชาวยูดาห์

41 ต่อมาคนอิสราเอลทั้งหมดก็มาหากษัตริย์ และพูดกับเขาว่า “ทำไมชาวยูดาห์พี่น้องของพวกเราถึงได้ขโมยท่านไป ทำไมพวกเขาถึงได้นำตัวท่านและครอบครัวของท่านข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปพร้อมกับคนของเขา”

42 ชาวยูดาห์ทั้งหมดตอบคนอิสราเอลว่า “พวกเราทำไปเพราะกษัตริย์เป็นญาติสนิทกับพวกเรา ทำไมพวกท่านต้องโกรธด้วย พวกเราไปกินของอะไรของกษัตริย์หรือ พวกเราเอาอะไรของเขามาเป็นของพวกเราหรือ”

43 ชาวอิสราเอลจึงตอบคนยูดาห์ไปว่า “พวกเรามีส่วนแบ่งในกษัตริย์สิบส่วน[g] และนอกจากนั้น พวกเรามีสิทธิ์ในดาวิดมากกว่าพวกท่าน แล้วทำไมพวกท่านถึงได้ดูถูกพวกเราอย่างนี้ พวกเราไม่ใช่พวกแรกหรือที่ได้พูดถึงการนำกษัตริย์กลับมา”

แต่คำพูดของคนยูดาห์รุนแรงกว่าคำพูดของคนอิสราเอล

Footnotes

  1. 19:5 เมียน้อย คือทาสหญิงที่เป็นเมีย
  2. 19:8 ประตูเมือง เป็นสถานที่ผู้คนมาใช้ประชุมกัน
  3. 19:20 ครอบครัวโยเซฟ น่าจะหมายถึงชาวอิสราเอลที่ติดตามอับซาโลม มีหลายครั้งที่ชื่อเอฟราอิม (ลูกชายโยเซฟ) ถูกใช้แทนกลุ่มชาวอิสราเอลทางเหนือทั้งหมด
  4. 19:23 เจ้าจะไม่ต้องตาย ดาวิดไม่ได้ฆ่าชิเมอี แต่อีกไม่กี่ปีต่อมา ซาโลมอนลูกชายดาวิดสั่งให้ฆ่าชิเมอี ดูใน 1 พงศ์กษัตริย์ 2:44-46
  5. 19:24 หลาน ตามตัวอักษร คือ “ลูกชาย”
  6. 19:28 ของปู่ ตามตัวอักษรคือ “ของพ่อ”
  7. 19:43 มีส่วนแบ่งในกษัตริย์สิบส่วน ยูดาห์และเบนยามินเป็นคนสองกลุ่มในบรรดากลุ่มครอบครัวทั้งหลายที่ต่อมาได้กลายเป็นอาณาจักรยูดาห์ภายหลังจากที่อาณาจักรเกิดการแตกแยก ส่วนครอบครัวอีกสิบครอบครัวรวมอยู่ในอาณาจักรอิสราเอล