นาธันตำหนิดาวิด(A)

12 องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงใช้นาธันมาพบดาวิด นาธันจึงมาเข้าเฝ้าและทูลว่า “ในเมืองแห่งหนึ่งมีชายสองคน คนหนึ่งรวยคนหนึ่งจน คนที่รวยมีฝูงแกะและวัวมากมาย ส่วนคนที่จนไม่มีสมบัติอะไรนอกจากลูกแกะตัวเมียเล็กๆ ตัวหนึ่งซึ่งเขาซื้อหามาได้ เขาเลี้ยงแกะให้เติบโตขึ้นมาด้วยกันกับลูกของเขา เขาให้มันกินอาหารจากจานของเขาและให้มันดื่มจากถ้วยของเขาเอง ยามนอนเขาโอบกอดมันไว้ในอ้อมแขนเหมือนลูกสาวตัวน้อยๆ

“วันหนึ่งมีแขกมาที่บ้านของชายผู้ร่ำรวย ชายคนนี้เสียดายไม่อยากจะฆ่าลูกแกะจากฝูงของตนมาเลี้ยงแขก จึงเอาลูกแกะของคนยากจนมาทำอาหารเลี้ยงแขกแทน”

ดาวิดกริ้วจัดและตรัสกับนาธันว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด ผู้ที่ทำเช่นนั้นสมควรตายฉันนั้น! เขาจะต้องชดใช้สี่เท่าสำหรับลูกแกะตัวนั้น เพราะเขาบังอาจทำเช่นนี้และแล้งน้ำใจยิ่งนัก”

นาธันจึงทูลดาวิดว่า “ฝ่าพระบาทคือชายคนนั้นแหละ! พระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสว่า ‘เราได้เจิมตั้งเจ้าเป็นกษัตริย์แห่งอิสราเอล และช่วยเจ้าให้พ้นจากมือของซาอูล เรายกครัวเรือนของนายเจ้าให้แก่เจ้า และยกเหล่าภรรยาของนายเจ้าไว้ในอ้อมกอดของเจ้า ยกตระกูลอิสราเอลและยูดาห์ให้แก่เจ้า และถ้าหากทั้งหมดนี้ยังน้อยไป เราก็จะให้มากยิ่งกว่านี้อีก เหตุใดเจ้าจึงเหยียดหยามพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้าโดยทำสิ่งที่ชั่วในสายตาของเรา? เจ้าอาศัยดาบของชาวอัมโมนสังหารอุรียาห์ชาวฮิตไทต์ และยึดภรรยาของเขามา 10 ฉะนั้นบัดนี้ดาบจะไม่พรากไปจากวงศ์วานของเจ้า เพราะเจ้าลบหลู่ดูหมิ่นเหยียดหยามเราโดยแย่งชิงภรรยาของอุรียาห์ชาวฮิตไทต์มาเป็นของเจ้า’

11 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้ว่า ‘เราจะให้คนในครัวเรือนของเจ้าเองนำหายนะมาสู่เจ้า เราจะยกภรรยาของเจ้าให้ชายอื่นซึ่งใกล้ชิดกับเจ้าต่อหน้าต่อตาเจ้า และเขาจะหลับนอนกับภรรยาของเจ้าตอนกลางวันแสกๆ 12 เจ้าทำในที่ลับ แต่เราจะให้เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในที่แจ้งต่อหน้าอิสราเอลทั้งปวง’ ”

13 ดาวิดตรัสกับนาธันว่า “เราได้ทำบาปต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว”

นาธันจึงทูลว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงลบล้างบาปให้ฝ่าพระบาท ฝ่าพระบาทจะไม่ตาย 14 แต่ฝ่าพระบาททรงทำเช่นนี้เป็นเหตุให้ศัตรูขององค์พระผู้เป็นเจ้าเย้ยหยันอย่างมาก[a] โอรสที่เกิดมาจะสิ้นชีวิต”

15 หลังจากนาธันกลับไปแล้ว องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงจัดการกับโอรสของดาวิดที่เกิดจากภรรยาของอุรียาห์ ทารกนั้นก็ป่วย 16 ดาวิดทูลวิงวอนพระเจ้าเพื่อทารกนั้น ทรงอดพระกระยาหารและบรรทมอยู่ที่พื้นห้องประทับตลอดเวลาหลายคืน 17 บรรดาผู้อาวุโสในราชสำนักมายืนเฝ้าอยู่ใกล้ๆ และทูลเชิญให้เสด็จขึ้นมาเสวยพระกระยาหารกับพวกเขา แต่ดาวิดทรงปฏิเสธ

18 ในวันที่เจ็ดทารกนั้นก็สิ้นชีวิต ข้าราชบริพารของดาวิดไม่กล้าทูลพระองค์ว่าโอรสสิ้นแล้ว พวกเขาคิดกันว่า “เมื่อโอรสนั้นยังอยู่ กษัตริย์ดาวิดยังไม่ทรงฟังคำทูลของเรา เราจะไปทูลได้อย่างไรว่าโอรสนั้นสิ้นแล้ว? พระองค์อาจจะทรงทำอะไรลงไปเพราะความสิ้นหวัง”

19 ดาวิดสังเกตเห็นข้าราชบริพารกระซิบกระซาบกัน ก็ทรงตระหนักว่าเด็กคนนั้นสิ้นชีวิตแล้ว จึงได้ตรัสถามว่า “เด็กนั้นตายแล้วหรือ?”

พวกเขาทูลว่า “พระเจ้าข้า เด็กนั้นสิ้นแล้ว”

20 ดาวิดจึงทรงลุกขึ้นจากพื้น สรงน้ำ ชโลมพระองค์ ผลัดเปลี่ยนฉลองพระองค์ แล้วเสด็จเข้าสู่พระนิเวศขององค์พระผู้เป็นเจ้าเพื่อนมัสการ จากนั้นเสด็จกลับมาที่วังและตรัสสั่งให้พวกเขาจัดพระกระยาหารมาถวาย แล้วดาวิดก็เสวย

21 ข้าราชบริพารทูลว่า “เหตุใดฝ่าพระบาททรงทำเช่นนี้ ขณะที่โอรสนั้นยังมีชีวิตอยู่ ฝ่าพระบาททรงอดพระกระยาหารและทรงกันแสง แต่บัดนี้ทารกนั้นสิ้นแล้ว ฝ่าพระบาททรงลุกขึ้นเสวย!”

22 ดาวิดตรัสตอบว่า “เราอดอาหารและร้องไห้ขณะที่เด็กนั้นมีชีวิตอยู่ เพราะเราคิดว่า ‘ใครจะรู้ว่าบางทีองค์พระผู้เป็นเจ้าอาจจะทรงเมตตาสงสารเราและไว้ชีวิตเด็กนั้น?’ 23 แต่ในเมื่อเด็กนั้นตายแล้ว เราจะอดอาหารไปทำไม? เราจะทำให้เขาฟื้นขึ้นมาอีกได้หรือ? เราต่างหากที่จะเป็นฝ่ายไปหาเขา แต่เขาจะไม่กลับมาหาเรา”

24 แล้วดาวิดจึงทรงปลอบโยนบัทเชบามเหสีของพระองค์ และเมื่อบรรทมกับพระนาง พระนางก็ทรงตั้งครรภ์ แล้วประสูติราชโอรสพระนามว่าโซโลมอน องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงรักทารกนี้ 25 และเนื่องจากองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงรักเขา จึงทรงใช้ผู้เผยพระวจนะนาธันมาขนานนามทารกนี้ว่า เยดีดิยาห์[b]

26 ครั้งนั้นโยอาบสู้รบกับเมืองรับบาห์ของชาวอัมโมน และยึดป้อมหลวงได้ 27 จึงส่งคนมาทูลดาวิดว่า “ข้าพระบาทสู้รบกับรับบาห์ และยึดต้นน้ำไว้ได้แล้ว 28 บัดนี้ขอทรงนำกองทัพที่เหลือมาล้อมและยึดเมือง ไม่เช่นนั้นหากข้าพระบาทยึดเมืองนี้ได้ เมืองนี้จะมีชื่อตามข้าพระบาท”

29 ดาวิดจึงนำทัพหลวงมายังรับบาห์ เข้าโจมตีและยึดเมือง 30 ดาวิดทรงถอดมงกุฎจากพระเศียรของกษัตริย์[c]ของพวกเขามาสวมบนพระเศียรของพระองค์ มงกุฎนั้นทำด้วยทองคำหนักประมาณ 34 กิโลกรัม[d]ประดับเพชรนิลจินดา ดาวิดทรงริบของเชลยได้มากมายจากเมืองนั้น 31 และทรงเกณฑ์ชาวเมืองนั้นให้มาทำงานโดยใช้เลื่อย จอบ เสียม ขวาน และให้ทำอิฐ[e] พระองค์ทรงทำเช่นนี้กับทุกเมืองของอัมโมน แล้วดาวิดกับกองทัพทั้งหมดก็กลับสู่กรุงเยรูซาเล็ม

Footnotes

  1. 12:14 สำเนาต้นฉบับภาษาฮีบรูโบราณว่าโดยการทำเช่นนี้ฝ่าพระบาทได้เย้ยหยันองค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างมาก
  2. 12:25 แปลว่า ผู้ที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงรัก
  3. 12:30 หรือของพระมิลโคม(คือ พระโมเลค)
  4. 12:30 ภาษาฮีบรูว่า1 ตะลันต์
  5. 12:31 ในภาษาฮีบรูข้อความนี้มีความหมายไม่ชัดเจน

นาธันเตือนดาวิด

12 พระยาห์เวห์ส่งนาธันมาหาดาวิด เมื่อเขาพบดาวิด เขาพูดว่า “ในเมืองหนึ่ง มีชายสองคน คนหนึ่งร่ำรวยและอีกคนหนึ่งยากจน คนที่รวยมีแกะและวัวมากมาย แต่คนที่จนไม่มีอะไรเลย นอกจากลูกแกะตัวเมียตัวเล็กๆตัวหนึ่งที่เขาซื้อมา เขาเลี้ยงแกะตัวนั้น และมันก็อยู่กับเขา และเติบโตขึ้นพร้อมๆกับลูกๆของเขา มันได้ส่วนแบ่งอาหารจากเขา ได้ดื่มจากถ้วยของเขาและได้นอนในอ้อมแขนของเขา มันเป็นเหมือนลูกสาวคนหนึ่งของเขา

ต่อมามีแขกคนหนึ่งเดินทางมาเยี่ยมชายที่ร่ำรวยคนนั้น คนรวยคนนั้นไม่ยอมเอาแกะหรือวัวแม้แต่ตัวเดียวของตนเอง มาทำอาหารเลี้ยงแขกที่มาเยี่ยมเขานั้น แต่เขากลับไปเอาลูกแกะตัวเมียที่เป็นของชายยากจนคนนั้นมาทำอาหารเลี้ยงแขกที่มาเยี่ยมเขา”

ดาวิดโกรธคนร่ำรวยคนนั้นเป็นฟืนเป็นไฟ และพูดกับนาธันว่า “พระยาห์เวห์มีชีวิตอยู่แน่ขนาดไหน ก็ให้แน่ใจขนาดนั้นเลยว่าชายคนที่ทำอย่างนั้นจะต้องตาย เขาต้องจ่ายเงินคืนเป็นสี่เท่าสำหรับลูกแกะตัวนั้น เพราะเขาได้ทำสิ่งชั่วร้าย และไร้ความเมตตา”

แล้วนาธันก็บอกกับดาวิดว่า “ท่านนั่นแหละคือคนรวยคนนั้น พระยาห์เวห์ พระเจ้าแห่งอิสราเอล บอกอย่างนี้ว่า ‘เราได้แต่งตั้ง เจ้าให้เป็นกษัตริย์ปกครองอิสราเอล และเราช่วยเจ้าให้พ้นจากมือของซาอูล เราได้มอบครอบครัวของนายเจ้าให้กับเจ้า พร้อมกับเมียทั้งหลายของเขาให้อยู่ในอ้อมอกของเจ้า เราให้ครอบครัวอิสราเอลและยูดาห์กับเจ้า หากเจ้าคิดว่ามันยังน้อยไป เราก็คงให้เจ้าเพิ่มมากขึ้นกว่านั้นแล้ว ทำไมเจ้าถึงดูหมิ่นพระคำของพระยาห์เวห์ โดยการทำสิ่งชั่วร้ายในสายตาของพระองค์ ท่านฆ่าอุรียาห์ชาวฮิตไทต์ด้วยดาบ และเอาเมียเขามาเป็นเมียตน เจ้าฆ่าเขาด้วยดาบของชาวอัมโมน 10 ดังนั้น ตอนนี้ ดาบเล่มนั้นจะไม่มีวันหายไปจากบ้านของเจ้า เพราะเจ้าดูหมิ่นเราและเอาเมียของอุรียาห์ชาวฮิตไทต์มาเป็นเมียของเจ้าเอง’

11 พระยาห์เวห์พูดว่า ‘เราจะนำความหายนะมาสู่ตัวเจ้า ความหายนะนี้จะเกิดขึ้นจากครอบครัวของเจ้า เราจะเอาพวกเมียทั้งหลายของเจ้าไปต่อหน้าต่อตาเจ้า และเอาไปให้กับคนที่ใกล้ชิดเจ้า และเขาจะนอนกับพวกนางกลางแจ้ง[a] 12 เจ้าเคยทำสิ่งนี้อย่างลับๆ แต่เราจะทำสิ่งนี้กลางแจ้งต่อหน้าชาวอิสราเอลทั้งหมด[b]’”

13 แล้วดาวิดก็พูดกับนาธันว่า “เราได้ทำบาปต่อพระยาห์เวห์เสียแล้ว”

นาธันตอบว่า “พระยาห์เวห์ได้รับเอาบาปของท่านไปแล้ว ท่านจะไม่ตาย 14 แต่ท่านได้ทำสิ่งนี้ลงไป ซึ่งเป็นการหมิ่นพระองค์อย่างแรงกล้า[c] ดังนั้น ลูกชายที่ได้เกิดมาให้กับท่านนั้นจะต้องตาย”

ลูกชายนางบัทเชบาตาย

15 หลังจากนาธันกลับบ้านแล้ว พระยาห์เวห์ได้ทำให้เด็กป่วยหนัก เด็กที่เกิดจากเมียของอุรียาห์กับดาวิด 16 ดาวิดอ้อนวอนต่อพระเจ้าเพื่อลูกของเขา เขาอดอาหารและเข้าไปในวังของเขา และนอนลงบนพื้นทั้งคืน

17 พวกผู้อาวุโสในครอบครัวของดาวิด มายืนอยู่ข้างเขา อ้อนวอนให้เขาลุกขึ้น แต่เขาไม่ยอมลุก และไม่ยอมกินอาหารกับคนพวกนั้น 18 ในวันที่เจ็ด เด็กก็ตาย พวกคนรับใช้ดาวิดไม่กล้าบอกดาวิดว่าลูกของเขาตายแล้ว พวกเขาคิดว่า “ขนาดตอนที่ลูกชายเขายังมีชีวิตอยู่ เราพูดกับเขา เขายังไม่ยอมฟังเลย แล้วตอนนี้ ถ้าเราบอกเขาว่า ลูกของเขาตายแล้ว เขาอาจทำร้ายตัวเองก็ได้”

19 ดาวิดสังเกตเห็นพวกคนรับใช้ของเขากระซิบกระซาบกันอยู่ เขาจึงรู้ว่าลูกเขาตายแล้ว เขาถามว่า “เด็กตายแล้วใช่ไหม”

พวกเขาตอบว่า “ใช่ครับท่าน เด็กตายแล้ว”

20 ดาวิดจึงลุกขึ้นจากพื้น หลังจากที่เขาอาบน้ำ แต่งตัวและเปลี่ยนเสื้อผ้า เขาเข้าไปในบ้านของพระยาห์เวห์[d]และนมัสการพระองค์ แล้วเขาก็กลับเข้าวัง เขาให้คนยกอาหารมาให้และก็กิน

21 พวกคนรับใช้ถามเขาว่า “ทำไมท่านจึงทำตัวอย่างนี้ เมื่อเด็กยังมีชีวิตอยู่ท่านอดอาหารและร้องไห้ แต่ตอนนี้ลูกท่านตายแล้ว ท่านกลับลุกขึ้นกินอาหาร”

22 เขาตอบว่า “เมื่อเด็กยังมีชีวิตอยู่ เราอดอาหารและร้องไห้ เราคิดว่า ‘ไม่แน่นะ พระยาห์เวห์อาจจะเมตตากับเราและให้ลูกเรามีชีวิตอยู่ต่อไปก็ได้’ 23 แต่ตอนนี้เขาตายไปแล้ว เราจะอดอาหารไปทำไมอีก เราสามารถเอาตัวเขากลับมาได้หรือ มีแต่เราจะตามทางเด็กนั้นไป แต่เขาจะไม่มีวันกลับมาหาเรา”

การเกิดของซาโลมอน

24 แล้วดาวิดก็ปลอบโยนนางบัทเชบา และเขาไปหานางและร่วมหลับนอนกับนาง นางได้คลอดลูกชายอีกคนหนึ่ง แล้วนางตั้งชื่อเด็กว่าซาโลมอน พระยาห์เวห์รักเด็กคนนี้ 25 พระองค์จึงส่งข้อความผ่านนาธันผู้พูดแทนพระองค์ ให้ตั้งชื่อเด็กว่า เยดีดิยาห์[e] นาธันทำอย่างนี้เพื่อพระยาห์เวห์

ดาวิดยึดเมืองรับบาห์

(1 พศด. 20:1-3)

26 ในเวลานั้นโยอาบได้สู้รบอยู่กับเมืองรับบาห์ เมืองหลวงของชาวอัมโมน และยึดป้อมปราการหลวงไว้ได้ 27 โยอาบจึงส่งคนส่งข่าวมาหาดาวิดเพื่อบอกว่า “ข้าพเจ้าได้สู้รบกับเมืองรับบาห์และยึดแหล่งน้ำของเมืองนั้นไว้ได้แล้ว 28 ตอนนี้ขอให้ท่านรวบรวมกองกำลังที่เหลือ เข้าตั้งค่ายโจมตีเมืองนั้นและยึดมันไว้ให้ได้ ไม่อย่างนั้น ข้าพเจ้าเองจะเป็นคนเข้ายึดเมืองนี้ และเมืองนี้ก็จะถูกเรียกว่าเป็นของข้าพเจ้า”

29 ดาวิดจึงรวบรวมกองกำลังที่เหลือทั้งหมด และบุกไปเมืองรับบาห์ และเข้าโจมตีและยึดมันไว้ 30 เขาปลดมงกุฎออกจากหัวของกษัตริย์พวกนั้น[f] มันทำจากทองคำที่มีน้ำหนักเกือบสามสิบห้ากิโลกรัม และประดับด้วยพลอยมีค่ามากมาย แล้วพวกเขาก็ได้เอามาสวมไว้บนหัวของดาวิด เขายังยึดเอาของมีค่ามากมายจากเมืองนั้นด้วย

31 ดาวิดได้นำประชาชนที่อยู่ในเมืองนั้นออกไปจากเมือง และบังคับให้พวกเขาทำงานที่ใช้เลื่อย เหล็กขุดและขวาน และยังบังคับให้คนพวกนี้ทำอิฐ[g] ดาวิดทำอย่างนี้กับทุกๆเมืองของชาวอัมโมน แล้วดาวิดกับกองทัพทั้งหมดของเขาก็กลับเมืองเยรูซาเล็ม

Footnotes

  1. 12:11 กลางแจ้ง แปลตรงๆได้ว่า “ในสายตาของดวงอาทิตย์”
  2. 12:12 ต่อหน้าชาวอิสราเอลทั้งหมด แปลตรงๆได้ว่า “ต่อหน้าชาวอิสราเอลทุกคนและต่อหน้าดวงอาทิตย์”
  3. 12:14 ซึ่งเป็นการหมิ่นพระองค์อย่างแรงกล้า สำเนาฮีบรูที่เป็นที่นิยมใช้กัน เขียนว่า “ซึ่งทำให้พวกศัตรูของพระองค์ดูหมิ่นพระยาห์เวห์อย่างแรงกล้า”
  4. 12:20 ของพระยาห์เวห์ อยู่ในฉบับแปลกรีกโบราณ ฉบับฮีบรูที่นิยมใช้กันไม่มีคำนี้
  5. 12:25 เยดีดิยาห์ หมายถึง ผู้ที่พระยาห์เวห์รัก
  6. 12:30 ของกษัตริย์พวกนั้น หรือ สำเนากรีกโบราณเขียนว่า “หัวของพระเมลคัม” ซึ่งเป็นพระที่ชาวอัมโมนนมัสการกัน
  7. 12:31 ให้คนพวกนี้ทำอิฐ ความหมายในภาษาฮีบรูสำหรับข้อความนี้ยังไม่ชัดเจน

นาธานพูดกับดาวิด

12 พระผู้เป็นเจ้าให้นาธานไปหาดาวิด นาธานก็ไปหาท่านและกล่าวกับท่านว่า “ที่เมืองหนึ่ง มีชายสองคน คนหนึ่งมั่งมี ส่วนอีกคนหนึ่งยากไร้ ชายผู้มั่งมีนั้นมีฝูงแพะแกะและฝูงโค ส่วนชายผู้ยากไร้ไม่มีสิ่งใดนอกจากลูกแกะตัวเมียตัวเดียวที่เขาซื้อมา เขาเลี้ยงดูมัน และมันก็เติบโตมากับเขาและลูกๆ ของเขา มันเคยกินอาหารที่เขาแบ่งปันให้ และดื่มจากถ้วยของเขา และนอนในอ้อมกอดของเขา มันเป็นเหมือนบุตรหญิงของเขาคนหนึ่ง เอาล่ะ มีคนหนึ่งเดินทางมาหาชายผู้มั่งมี และเขาไม่ยอมใช้แกะหรือโคของเขาเองเป็นอาหารเลี้ยงแขกที่มาเยี่ยม แต่เขากลับคว้าลูกแกะของชายผู้ยากไร้ เอามาทำเป็นอาหารสำหรับชายผู้มาเยี่ยม” ครั้นแล้วดาวิดก็โกรธชายคนนั้นมาก ท่านบอกนาธานว่า “ตราบที่พระผู้เป็นเจ้ามีชีวิตอยู่ฉันใด ชายที่กระทำเช่นนั้นสมควรที่จะตาย และเขาควรจะจ่ายลูกแกะคืนให้เป็น 4 เท่า เพราะเขากระทำเช่นนั้น และเพราะเขาไม่มีเมตตา”

นาธานพูดกับดาวิดว่า “ท่านนั่นแหละคือชายผู้นั้น พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอิสราเอลกล่าวว่า ‘เราได้เจิมเจ้าให้เป็นกษัตริย์ปกครองอิสราเอล และเราให้เจ้ารอดพ้นจากมือของซาอูล และเราได้มอบราชวงศ์ของเจ้านายเจ้า และภรรยาของเจ้านายเจ้าให้อยู่ในอ้อมแขนเจ้า และมอบพงศ์พันธุ์อิสราเอลและของยูดาห์ให้แก่เจ้า และถ้าแม้ว่ายังน้อยไป เราก็จะเพิ่มให้เจ้าอีกเท่าตัว ทำไมเจ้าจึงดูหมิ่นคำกล่าวของพระผู้เป็นเจ้าด้วยการกระทำที่ชั่วร้ายในสายตาของเรา เจ้าได้ใช้ดาบฆ่าอุรียาห์ชาวฮิต และเอาภรรยาของเขามาเป็นภรรยาของเจ้าเอง เจ้าฆ่าเขาด้วยดาบของชาวอัมโมน 10 ฉะนั้นพงศ์พันธุ์ของเจ้าจะไม่มีวันคลาดแคล้วไปจากดาบได้ เป็นเพราะเจ้าดูหมิ่นเรา และได้เอาภรรยาของอุรียาห์ชาวฮิตมาเป็นภรรยาของเจ้าเอง’ 11 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้ว่า ‘ดูเถิด เราจะทำให้คนในพงศ์พันธุ์ของเจ้าเองนำความวิบัติมาสู่เจ้า และเราจะเอาภรรยาของเจ้าไปต่อหน้าต่อตาเจ้า และยกให้แก่เพื่อนบ้านของเจ้า และเขาจะนอนกับภรรยาของเจ้าให้เป็นที่รู้เห็นกันไปทั่ว[a] 12 ด้วยว่า เจ้ากระทำอย่างลับๆ แต่เราจะกระทำสิ่งนี้ต่อหน้าอิสราเอลทั้งปวงและจะเป็นที่รู้เห็นกันไปทั่ว’” 13 ดาวิดกล่าวกับนาธานว่า “เราได้กระทำบาปต่อพระผู้เป็นเจ้า” นาธานตอบดาวิดว่า “พระผู้เป็นเจ้าไม่ลงโทษท่านเรื่องบาปของท่าน ท่านจะไม่ตาย 14 อย่างไรก็ตาม เป็นเพราะการกระทำครั้งนี้ท่านได้ดูหมิ่นพระผู้เป็นเจ้าเหลือเกิน บุตรที่เกิดแก่ท่านจะต้องเสียชีวิต” 15 แล้วนาธานก็กลับไปยังบ้านของตน

และพระผู้เป็นเจ้าทำให้บุตรที่ภรรยาของอุรียาห์ให้กำเนิดแก่ดาวิดป่วยหนัก 16 ดาวิดจึงอ้อนวอนพระเจ้าแทนบุตรนั้น ดาวิดอดอาหารและไปนอนบนพื้นดินตลอดทั้งคืน 17 และพวกผู้ใหญ่ในวังท่านเข้าใกล้ท่านเพื่อพยุงให้ลุกขึ้นจากพื้นดิน แต่ท่านไม่ยอมลุกขึ้นหรือรับประทานอาหารกับพวกเขา 18 ในวันที่เจ็ด บุตรนั้นก็เสียชีวิต พวกผู้รับใช้ของดาวิดไม่กล้าเรียนท่านว่าบุตรเสียชีวิตแล้ว เพราะพวกเขาพูดว่า “ดูเถิด ขณะที่บุตรยังมีชีวิตอยู่ เราพูดกับท่าน ท่านยังไม่ฟังพวกเราเลย และบุตรก็เสียชีวิตแล้วเราจะพูดกับท่านได้อย่างไร ท่านอาจจะทำร้ายตนเองก็ได้” 19 แต่เมื่อดาวิดเห็นว่าพวกผู้รับใช้กระซิบกระซาบกันอยู่ ท่านก็ทราบว่าบุตรเสียชีวิตแล้ว ดาวิดถามผู้รับใช้ของท่านว่า “บุตรเสียชีวิตแล้วหรือ” พวกเขาตอบว่า “เสียชีวิตแล้ว” 20 ดาวิดจึงลุกขึ้นจากพื้นดิน ล้างหน้าล้างตา ชโลมน้ำมัน และเปลี่ยนเสื้อผ้า และท่านเข้าไปในพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า และนมัสการพระองค์ จากนั้นท่านก็กลับไปที่วังของท่าน แล้วท่านก็รับประทานอาหารที่สั่งให้พวกเขาจัดมาให้ 21 และพวกผู้รับใช้ของท่านถามว่า “ท่านทำอะไรไม่ทราบ ท่านอดอาหารและร้องไห้เพื่อบุตร ขณะที่บุตรยังมีชีวิตอยู่ แต่เมื่อบุตรสิ้นชีวิตแล้ว ท่านลุกขึ้นรับประทานอาหาร” 22 ท่านตอบว่า “ขณะที่บุตรยังมีชีวิตอยู่ เราอดอาหารและร้องไห้ เพราะเราคิดในใจว่า ‘ไม่แน่ พระผู้เป็นเจ้าอาจจะกรุณาต่อเรา ให้บุตรมีชีวิตอยู่ก็เป็นได้’ 23 แต่ตอนนี้เขาสิ้นชีวิตแล้ว เราจะอดอาหารทำไม เราทำให้เขามีชีวิตกลับคืนมาได้หรือ สักวันเราจะไปหาเขา แต่เขาจะไม่กลับมาหาเรา”

ซาโลมอนกำเนิด

24 แล้วดาวิดก็ปลอบใจบัทเช-บาภรรยาของท่าน และหลับนอนอยู่กับนาง นางได้บุตรเป็นชาย ท่านตั้งชื่อให้ว่า ซาโลมอน และพระผู้เป็นเจ้ารักซาโลมอน 25 และพระผู้เป็นเจ้ากล่าวผ่านนาธานผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าให้ตั้งชื่อท่านว่า เยดีดิยาห์[b]

เมืองรับบาห์ถูกยึด

26 โยอาบสู้รบกับเมืองรับบาห์ของชาวอัมโมน และยึดเมืองป้อมปราการของกษัตริย์ 27 โยอาบให้บรรดาผู้ส่งข่าวไปเรียนดาวิดว่า “ข้าพเจ้าได้สู้รบกับเมืองรับบาห์ และยิ่งกว่านั้น ข้าพเจ้าได้ยึดเมืองที่เป็นแหล่งเก็บน้ำแล้ว 28 ฉะนั้นขอท่านรวบรวมกำลังที่เหลือ และตั้งค่ายตีเมืองนั้นและยึดไว้ มิฉะนั้นข้าพเจ้าจะยึดเมืองเอง และตั้งชื่อเมืองตามชื่อของข้าพเจ้า” 29 ดังนั้นดาวิดจึงรวบรวมกำลังเข้าด้วยกัน และไปที่เมืองรับบาห์ โจมตีเมืองและยึดไว้ได้ 30 และท่านได้ถอดมงกุฎซึ่งเป็นทองหนัก 1 ตะลันต์[c]ฝังด้วยพลอย 1 เม็ด ออกจากศีรษะของกษัตริย์เมืองนั้น และมงกุฎนั้นถูกสวมบนศีรษะของดาวิด และท่านขนของที่ริบมาได้จากเมืองนั้นเป็นอันมาก 31 และท่านให้เกณฑ์คนทั้งปวงที่อยู่ในเมืองไปทำงานที่เกี่ยวกับเลื่อย เครื่องมือเหล็กและขวานเหล็ก ให้พวกเขาทำงานที่แหล่งเผาอิฐ และท่านทำเช่นนั้นกับเมืองทั้งสิ้นของชาวอัมโมน แล้วดาวิดกับประชาชนทั้งปวงก็กลับไปยังเยรูซาเล็ม

Footnotes

  1. 12:11 2 ซามูเอล 15:1-12; 16:21,22
  2. 12:25 ความหมายคือ ผู้เป็นที่รักของพระผู้เป็นเจ้า
  3. 12:30 1 ตะลันต์ หนักประมาณ 35 กก.