Add parallel Print Page Options

มีคายาห์ตักเตือนกษัตริย์อาหับ

(2 พศด. 18:2-27)

22 ชาวอารัมกับชาวอิสราเอลไม่ได้ทำสงครามกันเป็นเวลาสามปี แต่ในปีที่สาม กษัตริย์เยโฮชาฟัทของยูดาห์ได้ไปพบกษัตริย์อาหับของอิสราเอล

กษัตริย์อาหับของอิสราเอลพูดกับพวกข้าราชการของเขาว่า “พวกท่านไม่รู้หรือว่าเมืองราโมท-กิเลอาดเป็นของพวกเรา แต่พวกเราไม่ได้ทำอะไรเลยที่จะยึดมันคืนมาจากกษัตริย์ของชาวอารัม” แล้วเขาก็ถามกษัตริย์เยโฮชาฟัทว่า “ท่านจะไปช่วยเราสู้รบกับชาวอารัมที่เมืองราโมท-กิเลอาดไหม”

เยโฮชาฟัทตอบกษัตริย์ของอิสราเอลไปว่า “ท่านกับเราก็เป็นเหมือนคนๆเดียวกัน ทหารของเราก็เป็นเหมือนทหารของท่าน พวกม้าของเราก็เป็นเหมือนม้าของท่าน แต่ให้เราไปขอคำปรึกษาจากพระยาห์เวห์ก่อน”

กษัตริย์อาหับของอิสราเอลจึงเรียกพวกผู้พูดแทนพระเจ้าประมาณสี่ร้อยคนมา และถามพวกเขาว่า “เราควรจะไปสู้รบกับชาวอารัมที่เมืองราโมท-กิเลอาดหรือไม่”

พวกเขาตอบว่า “ไปเถิด เพราะพระยาห์เวห์จะให้มันตกอยู่ในกำมือของท่าน”

แต่กษัตริย์เยโฮชาฟัทถามว่า “ยังมีคนอื่นที่เป็นผู้พูดแทนพระยาห์เวห์อยู่ที่นี่หรือเปล่า ที่เราจะสอบถามเขาได้”

กษัตริย์อาหับของอิสราเอลตอบเยโฮชาฟัทว่า “ยังมีอีกคนหนึ่งที่พวกเราสามารถไปขอคำปรึกษาจากพระยาห์เวห์ผ่านทางเขาได้ แต่เราเกลียดเขา เพราะเขาไม่เคยทำนายสิ่งดีๆเกี่ยวกับเราเลย มีแต่สิ่งเลวร้ายทั้งนั้น เขาคือมีคายาห์ลูกชายของอิมลาห์”

เยโฮชาฟัทตอบว่า “กษัตริย์ไม่ควรพูดอย่างนั้น”

กษัตริย์อาหับของอิสราเอลจึงเรียกเจ้าหน้าที่ของเขามาคนหนึ่งและพูดว่า “เร็วเข้า ไปพามีคายาห์ลูกชายของอิมลาห์มาที่นี่”

10 กษัตริย์อาหับแห่งอิสราเอลและกษัตริย์เยโฮชาฟัทแห่งยูดาห์ แต่งตัวด้วยชุดกษัตริย์เต็มยศ กำลังนั่งอยู่บนบัลลังก์ของพวกเขาที่ลานนวดข้าว ตรงทางเข้าประตูเมืองสะมาเรีย พร้อมกับพวกผู้พูดแทนพระเจ้าทุกคนที่อยู่ต่อหน้าพวกเขา ที่กำลังอ้างว่าพูดแทนพระเจ้าอยู่ 11 ขณะนั้น ผู้พูดแทนพระเจ้าคนหนึ่ง ชื่อเศเดคียาห์ลูกชายเคนาอะนาห์ได้เอาเหล็กทำเป็นเขาสัตว์[a] เขาประกาศว่า “นี่คือสิ่งที่พระยาห์เวห์พูด ‘พวกเจ้าจะใช้เขาสัตว์เหล็กนี้แทงพวกอารัม จนกว่าพวกนั้นจะถูกทำลายจนหมด’” 12 ผู้พูดแทนพระเจ้าทั้งหมดต่างก็ทำนายในสิ่งเดียวกัน พวกเขาพูดว่า “ขึ้นไปที่ราโมท-กิเลอาดและได้รับชัยชนะเถิด เพราะพระยาห์เวห์จะให้มันตกอยู่ในกำมือของกษัตริย์”

13 คนส่งข่าวที่ส่งไปเรียกตัวมีคายาห์พูดกับเขาว่า “ดูสิ ผู้พูดแทนพระเจ้าคนอื่นๆกำลังทำนายความสำเร็จของกษัตริย์อยู่ ขอให้คำพูดของท่านเหมือนกับคำพูดของพวกเขาและพูดแต่สิ่งดีๆด้วยเถิด”

14 แต่มีคายาห์ตอบไปว่า “พระยาห์เวห์มีชีวิตอยู่แน่ขนาดไหน ก็ให้แน่ใจขนาดนั้นเลยว่า เราจะพูดแต่สิ่งที่พระยาห์เวห์บอกเราเท่านั้น”

15 เมื่อมีคายาห์มาถึง กษัตริย์ถามเขาว่า “มีคายาห์ พวกเราควรจะขึ้นไปรบกับชาวอารัมที่ราโมท-กิเลอาดหรือเปล่า”

เขาตอบว่า “ไปรบเถิด แล้วจะได้รับชัยชนะกลับมา เพราะพระยาห์เวห์จะให้มันตกอยู่ในกำมือของกษัตริย์”

16 กษัตริย์พูดกับเขาว่า “เราให้เจ้าสาบานไม่รู้กี่ครั้งแล้ว ว่าให้เจ้าพูดแต่ความจริงกับเรา ในนามของพระยาห์เวห์”

17 มีคายาห์จึงตอบว่า “เราเห็นอิสราเอลทั้งหมดกระจัดกระจายอยู่ตามเนินเขาเหมือนกับแกะที่ไม่มีคนเลี้ยง และพระยาห์เวห์พูดว่า ‘ประชาชนเหล่านี้ไม่มีผู้นำแล้ว ปล่อยให้พวกเขากลับไปบ้านอย่างสันติเถิด’”

18 กษัตริย์อาหับของอิสราเอลบอกกับกษัตริย์เยโฮชาฟัทว่า “เห็นไหม เราบอกท่านแล้ว ว่าเขาไม่เคยทำนายสิ่งดีๆเกี่ยวกับเราเลย มีแต่คำทำนายที่ร้ายๆเสมอ”

19 มีคายาห์พูดต่อไปว่า “ฟังคำของพระยาห์เวห์ให้ดี ข้าพเจ้าเห็นพระยาห์เวห์นั่งอยู่บนบัลลังก์พร้อมกับกองทัพสวรรค์ทั้งหมดที่ยืนอยู่รอบๆพระองค์ทั้งด้านขวาและด้านซ้ายของพระองค์ 20 และพระยาห์เวห์พูดว่า ‘ใครจะล่อลวงอาหับให้ไปโจมตีชาวอารัมที่ราโมท-กิเลอาดและไปตายที่นั่นได้บ้าง’ ทูตสวรรค์องค์หนึ่งแนะนำอย่างหนึ่ง และอีกองค์หนึ่งก็แนะนำอีกอย่างหนึ่ง 21 ในที่สุดวิญญาณองค์หนึ่งก็ก้าวออกมายืนอยู่ต่อหน้าพระยาห์เวห์ และพูดว่า ‘ข้าพเจ้าจะไปล่อลวงเขาเอง’ 22 พระยาห์เวห์ถามเขาว่า ‘ด้วยวิธีไหนหรือ’ เขาตอบว่า ‘เราจะออกไปและไปเป็นวิญญาณที่หลอกลวงอยู่ที่ปากของพวกผู้พูดแทนพระเจ้าทั้งหมดของเขา’ พระยาห์เวห์ตอบว่า ‘เจ้าจะล่อลวงเขาได้สำเร็จแน่ ไปลงมือเถิด’

23 ดังนั้น ในตอนนี้พระยาห์เวห์ได้มาวางวิญญาณที่หลอกลวงอยู่ที่ปากของผู้พูดแทนพระเจ้าทั้งหมดนี้แล้ว พระยาห์เวห์ได้สั่งให้เรื่องร้ายๆเกิดขึ้นกับท่านแล้ว”

24 แล้วเศเดคียาห์ผู้พูดแทนพระเจ้า ลูกชายของเคนาอะนาห์ เข้ามาตบหน้ามีคายาห์ เขาถามว่า “จะเป็นไปได้ยังไง ที่พระวิญญาณที่มาจากพระยาห์เวห์จะจากข้าไป เพื่อไปพูดผ่านแก”

25 มีคายาห์ตอบว่า “ท่านจะรู้เองในวันที่ท่านไปหลบซ่อนตัวอยู่ในห้องด้านในสุด”

26 กษัตริย์อาหับของอิสราเอลได้สั่งไปว่า “จับตัวมีคายาห์ส่งกลับไปให้กับอาโมนเจ้าเมืองและโยอาชลูกชายของเรา 27 และบอกกับพวกเขาว่า ‘กษัตริย์สั่งว่า ให้เอาตัวเจ้าหมอนี่ไปขังไว้ในคุกและอย่าให้อะไรกับมัน นอกจากขนมปังและน้ำ จนกว่าเราจะกลับมาอย่างปลอดภัย’”

28 มีคายาห์ประกาศไปว่า “ประชาชนทั้งหลาย ฟังให้ดี ถ้าอาหับกลับมาอย่างปลอดภัย ก็แสดงว่าพระยาห์เวห์ไม่ได้พูดผ่านเรา”

กษัตริย์อาหับพ่ายแพ้และตาย

(2 พศด. 18:28-34)

29 กษัตริย์อาหับของอิสราเอลและกษัตริย์เยโฮชาฟัทของยูดาห์จึงยกขึ้นไปสู้รบกับชาวอารัมที่เมืองราโมท-กิเลอาด 30 กษัตริย์อาหับของอิสราเอลพูดกับกษัตริย์เยโฮชาฟัทว่า “เราจะปลอมตัวเข้าไปรบ แต่ท่านสวมเสื้อกษัตริย์ของท่าน” กษัตริย์อาหับของอิสราเอลจึงปลอมตัวเป็นทหารธรรมดาและเข้าไปสู้รบ

31 ในขณะนั้นกษัตริย์ของชาวอารัมสั่งพวกผู้บัญชาการกองทัพรถรบทั้งสามสิบสองคันของเขาว่า “อย่าไล่ตามใครไป ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ ยกเว้นกษัตริย์ของอิสราเอลเท่านั้น” 32 เมื่อพวกผู้บัญชาการกองทัพรถรบเห็นเยโฮชาฟัท พวกเขาพูดว่า “เขาต้องเป็นกษัตริย์ของอิสราเอลแน่ๆ” พวกเขาจึงได้หันไปสู้กับเยโฮชาฟัท แต่เมื่อเยโอชาฟัทร้องออกมา 33 พวกผู้บัญชาการกองทัพรถรบจึงรู้ว่าเขาไม่ใช่กษัตริย์ของอิสราเอล จึงหยุดไล่ตามเขาไป 34 แต่มีคนหนึ่งโก่งคันธนูของเขายิงออกไปแบบสุ่มๆ ลูกธนูไปถูกกษัตริย์ของอิสราเอลเข้าตรงช่องว่างของเสื้อเกราะ กษัตริย์บอกกับคนขับรถรบของเขาว่า “กลับรถไปและพาเราออกจากสนามรบ เราได้รับบาดเจ็บ”

35 การต่อสู้นั้นดุเดือดและกินเวลายาวนาน กษัตริย์ยืนพิงอยู่ในรถรบและเผชิญหน้ากับชาวอารัม เลือดของเขาไหลจากบาดแผลลงที่พื้นรถรบ และในตอนเย็นวันนั้นเองเขาก็ตาย 36 เมื่ออาทิตย์กำลังจะตกดิน ก็มีเสียงร้องไปทั่วกองทัพว่า “ให้ทุกคนกลับเข้าเมืองของตัวเอง ทุกคนกลับสู่แผ่นดินของตัวเองให้หมด”

37 กษัตริย์อาหับจึงตายไปและถูกนำศพมาที่เมืองสะมาเรีย และพวกเขาก็ฝังศพเขาไว้ที่นั่น 38 พวกเขาล้างรถรบในสระน้ำในเมืองสะมาเรีย (เป็นที่ที่พวกโสเภณีใช้อาบน้ำกัน) และก็มีหมาหลายตัวมาเลียเลือดของเขาซึ่งเป็นไปตามคำพูดของพระยาห์เวห์ที่เคยประกาศไว้

39 ส่วนเหตุการณ์อื่นๆในสมัยของกษัตริย์อาหับ รวมทั้งสิ่งต่างๆที่เขาได้ทำไป วังที่เขาได้สร้างและฝังงาช้างไว้ และเมืองต่างๆที่เขาสร้างขึ้นเป็นป้อม ได้จดบันทึกไว้แล้วในหนังสือประวัติของบรรดากษัตริย์แห่งอิสราเอล 40 กษัตริย์อาหับตายไปอยู่กับบรรพบุรุษของเขา และอาหัสยาห์ลูกชายของเขาก็ขึ้นเป็นกษัตริย์สืบต่อจากเขา

กษัตริย์เยโฮชาฟัทแห่งยูดาห์

(2 พศด. 20:31-21:1)

41 เยโฮชาฟัทลูกชายของอาสาขึ้นเป็นกษัตริย์ของยูดาห์ ตรงกับปีที่สี่ที่กษัตริย์อาหับปกครองอิสราเอล 42 เยโฮชาฟัทมีอายุสามสิบห้าปีเมื่อเขาขึ้นเป็นกษัตริย์ และเขาครองบัลลังก์อยู่เหนือเยรูซาเล็มเป็นเวลายี่สิบห้าปี แม่ของเขามีชื่อว่าอาซูบาห์เป็นลูกสาวของชิลหิ 43 เขาเดินตามรอยของอาสาพ่อของเขา และไม่ได้หันไปจากทางนั้นเลย เขาทำในสิ่งที่ถูกต้องในสายตาของพระยาห์เวห์ แต่พวกสถานที่นมัสการต่างๆก็ไม่ได้ถูกรื้อทิ้ง และประชาชนก็ยังคงถวายเครื่องสัตวบูชา และเผาเครื่องหอม อยู่ที่นั่น

44 กษัตริย์เยโฮชาฟัททำสัญญาไมตรีกับกษัตริย์ของอิสราเอลด้วย 45 ส่วนเหตุการณ์อื่นๆในสมัยของเยโฮชาฟัท รวมถึงอำนาจของเขา และความกล้าหาญในการสู้รบของเขา ได้จดบันทึกไว้แล้วในหนังสือประวัติของบรรดากษัตริย์แห่งยูดาห์ 46 เขากำจัดพวกผู้ชายขายตัวที่อยู่ตามศาลเจ้า พวกที่ยังหลงเหลืออยู่จากสมัยของอาสาพ่อของเขา ให้หมดไปจากแผ่นดิน

47 ในสมัยนั้นเอโดมไม่มีกษัตริย์ปกครอง มีแต่ผู้ว่าราชการที่กษัตริย์ยูดาห์เลือกมาให้ปกครองเท่านั้น

กองทัพเรือของเยโฮชาฟัท

48 ในเวลานั้นเยโฮชาฟัทสร้างเรือกำปั่นสินค้าขึ้น เพื่อไปขนทองคำมาจากเมืองโอฟีร์ แต่พวกมันก็ไปไม่ถึงเพราะไปแตกที่เมืองเอซีโอน-เกเบอร์เสียก่อน 49 แล้วกษัตริย์อาหัสยาห์ลูกชายของกษัตริย์อาหับได้เสนอความช่วยเหลือกับกษัตริย์เยโฮชาฟัทว่า “ให้คนของเราแล่นเรือไปกับคนของท่านสิ”[b] แต่เยโฮชาฟัทปฏิเสธ

50 เยโฮชาฟัทล่วงลับไปอยู่กับบรรพบุรุษของเขาและถูกฝังอยู่กับพวกเขาในเมืองของดาวิด ที่เป็นบรรพบุรุษของเขา และเยโฮรัมลูกชายของเขาก็ขึ้นเป็นกษัตริย์สืบต่อจากเขา

กษัตริย์อาหัสยาห์แห่งอิสราเอล

51 อาหัสยาห์ลูกชายของอาหับขึ้นเป็นกษัตริย์แห่งอิสราเอลในเมืองสะมาเรีย ตรงกับปีที่สิบเจ็ดของกษัตริย์เยโฮชาฟัทแห่งยูดาห์ และอาหัสยาห์ปกครองอยู่เหนืออิสราเอลเป็นเวลาสองปี 52 เขาทำความชั่วในสายตาของพระยาห์เวห์ เพราะเขาเดินตามรอยพ่อแม่ของเขาและตามรอยของเยโรโบอัมลูกชายของเนบัท ผู้เป็นต้นเหตุทำให้อิสราเอลพลอยหลงไปทำบาป 53 อาหัสยาห์ไปรับใช้และกราบไหว้บูชาพระบาอัล เป็นการยั่วให้พระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลโกรธ เหมือนกับที่พ่อของเขาเคยทำมา

Footnotes

  1. 22:11 เขาสัตว์ หมายถึงพละกำลัง ความแข็งแกร่ง
  2. 22:49 ให้คนของเราแล่นเรือไปกับคนของท่านสิ เยโฮชาฟัทควบคุมท่าเรือเอซีโอน-เกเบอร์ซึ่งเป็นทางเข้าเพียงทางเดียวของอิสราเอลที่จะไปสู่ทะเลแดงและชายฝั่งของอัฟริกา คาบสมุทรอาราเบียและแนวชายฝั่งที่ไปถึงอ่าวเปอร์เชียและอินเดีย อาหัสยาห์คิดว่าเขาน่าจะสามารถควบคุมพื้นที่แถบนั้นได้โดยการเข้าไปช่วยเยโฮชาฟัท

อาหับและผู้เผยคำกล่าวจอมปลอม

22 ไม่มีการสู้รบระหว่างอารัมและอิสราเอลเป็นเวลา 3 ปี แต่ในปีที่สาม เยโฮชาฟัทกษัตริย์แห่งยูดาห์ลงมาเยี่ยมเยียนกษัตริย์แห่งอิสราเอล กษัตริย์แห่งอิสราเอลบอกบรรดาเจ้าหน้าที่ว่า “พวกท่านทราบไหมว่า ราโมทกิเลอาดเป็นของเรา และเราก็นิ่งเงียบไว้ และไม่ได้เอามาจากมือของกษัตริย์แห่งอารัม” และท่านถามเยโฮชาฟัทว่า “ท่านจะไปสู้รบที่ราโมทกิเลอาดด้วยกันกับเราไหม” เยโฮชาฟัทตอบกษัตริย์แห่งอิสราเอลว่า “เราพร้อมจะไปอย่างแน่นอน ทหารของเราก็เป็นเหมือนทหารของท่าน ม้าของเราก็เป็นเหมือนม้าของท่าน”

และเยโฮชาฟัทพูดกับกษัตริย์แห่งอิสราเอลว่า “ขอให้ท่านถามพระผู้เป็นเจ้าก่อน” กษัตริย์แห่งอิสราเอลจึงเรียกประชุมบรรดาผู้เผยคำกล่าวประมาณ 400 คน และถามว่า “เราควรจะไปโจมตีราโมทกิเลอาด หรือว่าเราควรจะยั้งไว้ก่อน” เขาทั้งหลายตอบว่า “ขึ้นไปเถิด เพราะว่าพระผู้เป็นเจ้าจะมอบเมืองนั้นไว้ในมือของกษัตริย์” แต่เยโฮชาฟัทถามว่า “ที่นี่ไม่มีผู้เผยคำกล่าวของพระผู้เป็นเจ้าที่พวกเราจะถามได้อีกหรือ” กษัตริย์แห่งอิสราเอลพูดกับเยโฮชาฟัทว่า “ยังมีอีกคนที่พวกเราจะถามพระผู้เป็นเจ้าผ่านเขาได้ มิคายาห์บุตรของอิมลาห์ แต่เราเกลียดชังเขา เพราะเขาไม่เคยเผยความเกี่ยวกับเราในเรื่องดี มีแต่เรื่องร้าย” และเยโฮชาฟัทพูดว่า “ขอท่านอย่าพูดเช่นนั้นเลย” แล้วกษัตริย์แห่งอิสราเอลก็เรียกขันทีคนหนึ่งมา และสั่งว่า “พามิคายาห์บุตรของอิมลาห์มาโดยด่วน” 10 กษัตริย์แห่งอิสราเอลและเยโฮชาฟัทกษัตริย์แห่งยูดาห์ก็กำลังนั่งบนบัลลังก์ ทรงเครื่องด้วยเสื้อคลุมของกษัตริย์ อยู่ที่ลานนวดข้าว ที่ทางเข้าของประตูเมืองสะมาเรีย และบรรดาผู้เผยคำกล่าวก็กำลังเผยความต่อหน้าท่านทั้งสอง 11 เศเดคียาห์บุตรเค-นาอะนาห์ ได้ทำเขาสัตว์ด้วยเหล็กกล้าคู่หนึ่ง เขาพูดว่า “พระผู้เป็นเจ้ากล่าวว่า ‘เจ้าจะโจมตีชาวอารัมจนกระทั่งพวกเขาพินาศไปด้วยเขาสัตว์นี้’” 12 และบรรดาผู้เผยคำกล่าวเห็นด้วย และพูดว่า “จงขึ้นไปโจมตีราโมทกิเลอาด และท่านจะชนะ พระผู้เป็นเจ้าจะมอบเมืองนั้นไว้ในมือของกษัตริย์”

มิคายาห์กล่าวคัดค้านอาหับ

13 ผู้ถือสาสน์เป็นคนที่ไปเรียกมิคายาห์ให้มา และบอกเขาว่า “ดูเถิด บรรดาผู้เผยคำกล่าวพูดกันเป็นเสียงเดียวถึงเรื่องของกษัตริย์ในทางที่ดีงาม” 14 แต่มิคายาห์พูดว่า “ตราบที่พระผู้เป็นเจ้ามีชีวิตอยู่ฉันใด พระผู้เป็นเจ้าบอกข้าพเจ้าอย่างไร ข้าพเจ้าก็จะพูดไปตามนั้น” 15 เมื่อเขามาเข้าเฝ้ากษัตริย์ กษัตริย์กล่าวกับเขาว่า “มิคายาห์ พวกเราควรจะไปโจมตีราโมทกิเลอาด หรือว่าเราควรจะยั้งไว้ก่อน” เขาตอบกษัตริย์ว่า “ขึ้นไปเถิด และท่านจะชนะ พระผู้เป็นเจ้าจะมอบเมืองนั้นไว้ในมือของกษัตริย์” 16 แต่กษัตริย์กล่าวกับเขาว่า “เราควรจะให้ท่านสาบานกี่ครั้งว่า ท่านพูดแต่ความจริงกับเราในพระนามของพระผู้เป็นเจ้า 17 มิคายาห์จึงตอบว่า “ข้าพเจ้าเห็นทหารอิสราเอลทั้งปวงกระจัดกระจายอยู่บนภูเขา ประหนึ่งฝูงแกะที่ปราศจากผู้เลี้ยงดู และพระผู้เป็นเจ้ากล่าวว่า ‘คนเหล่านี้ขาดเจ้านาย ปล่อยให้ทุกคนกลับบ้านไปด้วยความปลอดภัยเถิด’” 18 และกษัตริย์แห่งอิสราเอลกล่าวกับเยโฮชาฟัทว่า “เราบอกท่านแล้วมิใช่หรือว่า เขาจะไม่ประกาศสิ่งดีใดๆ ที่พระเจ้าเปิดเผยให้ทราบ มีแต่เรื่องร้าย” 19 มิคายาห์กล่าวว่า “ฉะนั้นจงฟังคำของพระผู้เป็นเจ้าเถิด ข้าพเจ้าเห็นพระผู้เป็นเจ้าสถิตบนบัลลังก์ของพระองค์ และบรรดาชาวสวรรค์กำลังยืนอยู่ข้างพระองค์ ทั้งที่เบื้องขวาและเบื้องซ้าย 20 และพระผู้เป็นเจ้ากล่าวว่า ‘ใครจะหลอกล่ออาหับให้ไปยังราโมทกิเลอาด เขาจะได้จบชีวิตลงที่นั่น’ ทูตสวรรค์องค์หนึ่งพูดอย่างหนึ่ง และทูตสวรรค์อีกองค์ก็พูดอีกอย่าง 21 ครั้นแล้ว วิญญาณดวงหนึ่งก็มายืน ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้า และกล่าวว่า ‘ข้าพเจ้าจะไปหลอกล่ออาหับเอง’ 22 และพระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับวิญญาณว่า ‘ด้วยวิธีไหน’ วิญญาณตอบว่า ‘ข้าพเจ้าจะไปทำให้บรรดาผู้เผยคำกล่าวของอาหับพูดเท็จ’ พระผู้เป็นเจ้ากล่าวว่า ‘เจ้าจะไปหลอกล่อเขาได้สำเร็จ ไปทำตามนั้นเถิด’ 23 ดังนั้น ดูเถิด พระผู้เป็นเจ้าได้ทำให้บรรดาผู้เผยคำกล่าวของท่านพูดเท็จ เพราะว่าพระผู้เป็นเจ้าบอกล่วงหน้าว่าสิ่งเลวร้ายจะเกิดขึ้นกับท่าน”

24 แล้วเศเดคียาห์บุตรของเค-นาอะนาห์เข้ามาใกล้ และตบหน้ามิคายาห์ และพูดว่า “พระวิญญาณพระผู้เป็นเจ้าจากเราไป และไปพูดกับเจ้าได้อย่างไร” 25 มิคายาห์พูดว่า “ดูเถิด ท่านจะเห็นในวันนั้น เวลาที่ท่านเข้าไปซ่อนตัวในห้องชั้นใน” 26 กษัตริย์แห่งอิสราเอลกล่าวว่า “จงจับตัวมิคายาห์ไว้ และพาตัวกลับไปให้อาโมน ผู้ว่าราชการเมือง และโยอาชบุตรของกษัตริย์ 27 และบอกว่า ‘กษัตริย์กล่าวดังนี้ “จำคุกชายคนนี้เสีย และประทังชีวิตเขาด้วยขนมปังและน้ำเท่านั้น จนกว่าเราจะมาอย่างปลอดภัย”’” 28 และมิคายาห์พูดว่า “ถ้าท่านกลับมาอย่างปลอดภัย พระผู้เป็นเจ้าก็ไม่ได้กล่าวผ่านข้าพเจ้า” และพูดต่ออีกว่า “ขอให้ท่านทุกคนฟังไว้เถิด”

อาหับถูกฆ่าในสนามรบ

29 ดังนั้น กษัตริย์แห่งอิสราเอลและเยโฮชาฟัทกษัตริย์แห่งยูดาห์ก็ไปโจมตีเมืองราโมทกิเลอาด 30 กษัตริย์แห่งอิสราเอลกล่าวกับเยโฮชาฟัทว่า “เราจะปลอมตัวเข้าไปในสนามรบ ส่วนท่านก็สวมเสื้อคลุมของกษัตริย์ไป” ดังนั้นกษัตริย์แห่งอิสราเอลจึงปลอมตัวเข้าไปในสนามรบ 31 ฝ่ายกษัตริย์แห่งอารัมได้สั่งผู้บัญชาการรถศึก 32 คนว่า “ไม่ต้องต่อสู้กับผู้ใดเลย นอกจากกษัตริย์แห่งอิสราเอลเท่านั้น” 32 เมื่อบรรดาผู้บัญชาการรถศึกเห็นเยโฮชาฟัท ก็พูดว่า “นั่นต้องเป็นกษัตริย์แห่งอิสราเอลแน่” และพวกเขาจึงหันไปโจมตีท่าน และเยโฮชาฟัทก็ส่งเสียงร้อง 33 ครั้นผู้บัญชาการรถศึกทราบว่า ท่านไม่ใช่กษัตริย์แห่งอิสราเอล จึงได้ถอยกลับ และหยุดตามไล่ฆ่าท่าน 34 แต่ชายผู้หนึ่งสุ่มยิงธนูออกไป ลูกธนูเจาะระหว่างเกราะป้องกันตัวกับเกราะหุ้มหน้าอกกษัตริย์แห่งอิสราเอล ดังนั้นท่านสั่งสารถีของท่านว่า “หันกลับไป พาเราออกจากสนามรบ เพราะเราบาดเจ็บ” 35 การสู้รบในวันนั้นก็ดำเนินต่อไป และกษัตริย์ถูกพยุงตัวขึ้นในรถศึกโดยหันหน้าไปทางชาวอารัม พอตกเย็นท่านก็เสียชีวิต เลือดจากบาดแผลไหลลงบนพื้นรถศึก 36 ประมาณเวลาตะวันตกดินก็มีเสียงร้องไปทั่วกองทัพว่า “ให้ต่างคนต่างกลับไปเมืองของตน และให้ต่างคนต่างกลับไปประเทศของตน”

37 ดังนั้นกษัตริย์สิ้นชีวิต และถูกนำร่างไปที่สะมาเรีย และศพถูกบรรจุไว้ในสะมาเรีย 38 เขาล้างรถศึกที่ข้างสระน้ำในสะมาเรีย มีพวกสุนัขมาเลียเลือดของท่าน พวกหญิงโสเภณีก็อาบน้ำในสระนั้น ซึ่งเป็นไปตามคำของพระผู้เป็นเจ้าที่ได้กล่าวไว้ 39 กิจอื่นๆ ทั้งสิ้นของอาหับ และทุกสิ่งที่ท่านกระทำ และวังที่ท่านสร้างซึ่งตกแต่งด้วยงาช้าง และทุกเมืองที่ท่านสร้าง ก็ได้มีบันทึกไว้แล้วในหนังสือแห่งพงศาวดารของบรรดากษัตริย์แห่งอิสราเอลมิใช่หรือ 40 อาหับจึงสิ้นชีวิตและถูกนำไปวางรวมกับบรรพบุรุษของท่าน และอาหัสยาห์บุตรของท่านครองราชย์แทนท่าน

เยโฮชาฟัทครองราชย์ในยูดาห์

41 เยโฮชาฟัทบุตรของอาสาเริ่มเป็นกษัตริย์แห่งยูดาห์ในปีที่สี่ของอาหับกษัตริย์แห่งอิสราเอล 42 เยโฮชาฟัทเริ่มเป็นกษัตริย์เมื่อมีอายุ 35 ปี และครองราชย์ในเยรูซาเล็ม 25 ปี มารดาของท่านชื่ออาซูบาห์บุตรหญิงของชิลฮิ 43 ท่านดำเนินชีวิตตามแบบอย่างอาสาบิดาของท่าน ท่านไม่ได้หันเหไปจากนั้น กระทำสิ่งที่ถูกต้องในสายตาของพระผู้เป็นเจ้า แต่สถานบูชาบนภูเขาสูงยังไม่ถูกกำจัดไป และประชาชนยังมอบเครื่องสักการะและเผาเครื่องหอมที่สถานบูชาบนภูเขาสูง 44 เยโฮชาฟัทยอมสงบศึกกับกษัตริย์แห่งอิสราเอลด้วย

45 กิจอื่นๆ ทั้งสิ้นของเยโฮชาฟัท และความสำเร็จด้านยุทธการที่แสดงให้เห็นว่าท่านสู้รบอย่างไร ก็มีเขียนไว้แล้วในหนังสือแห่งพงศาวดารของบรรดากษัตริย์แห่งยูดาห์มิใช่หรือ 46 และท่านกำจัดพวกโสเภณีชายประจำวิหารที่หลงเหลืออยู่ตั้งแต่สมัยของอาสาบิดาของท่าน ให้หมดสิ้นไปจากแผ่นดิน

47 ในแผ่นดินเอโดมไม่มีกษัตริย์ มีเพียงผู้สำเร็จราชการทำหน้าที่แทน 48 เยโฮชาฟัทต่อกองเรือเดินทะเลของเมืองทาร์ชิชหลายลำ เพื่อไปบรรทุกทองคำจากโอฟีร์ แต่ไปไม่ถึง เพราะเรือแตกที่เอซีโอนเกเบอร์ 49 แล้วอาหัสยาห์บุตรของอาหับพูดกับเยโฮชาฟัทว่า “ให้คนของเราออกเรือไปกับคนของท่านเถิด” แต่เยโฮชาฟัทปฏิเสธ 50 เยโฮชาฟัทสิ้นชีวิตและถูกนำไปวางรวมกับบรรพบุรุษของท่าน ศพถูกบรรจุไว้ในเมืองของดาวิดบรรพบุรุษของท่าน และเยโฮรัมบุตรของท่านครองราชย์แทนท่าน

อาหัสยาห์ครองราชย์ในอิสราเอล

51 อาหัสยาห์บุตรของอาหับเริ่มเป็นกษัตริย์แห่งอิสราเอลในสะมาเรีย ในปีที่สิบเจ็ดของเยโฮชาฟัทกษัตริย์แห่งยูดาห์ ท่านครองราชย์ได้ 2 ปีในอิสราเอล 52 ท่านกระทำสิ่งที่ชั่วร้ายในสายตาของพระผู้เป็นเจ้า และดำเนินชีวิตตามแบบอย่างบิดาของท่าน ตามอย่างมารดาของท่าน และตามอย่างเยโรโบอัมบุตรเนบัทผู้เป็นเหตุให้อิสราเอลกระทำบาป 53 ท่านบูชาและนมัสการเทพเจ้าบาอัล ซึ่งเป็นการยั่วโทสะพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอิสราเอล ในทุกวิถีทางที่บิดาของท่านได้ทำ