เยเรมีย์ 3-5
Thai New Contemporary Bible
3 “หากชายใดหย่าขาดจากภรรยา
และนางไปแต่งงานกับชายอีกคน
เขาควรจะกลับไปหานางอีกหรือ?
จะไม่ทำให้แผ่นดินแปดเปื้อนมลทินไปหมดหรอกหรือ?
แต่เจ้าก็ใช้ชีวิตเยี่ยงโสเภณีที่มีชู้รักหลายคน
บัดนี้เจ้าจะกลับมาหาเราหรือ?”
องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น
2 “จงแหงนหน้ามองบนที่สูงอันเริศร้างทั้งหลาย
ดูเถิด มีที่ไหนบ้างที่เจ้าไม่ได้ไปทำตัวแปดเปื้อนด้วยการล่วงประเวณี?
เจ้านั่งคอยบรรดาชู้รักอยู่ริมทาง
นั่งคอยเหมือนชนเผ่าเร่ร่อน[a]ในทะเลทราย
เจ้าทำให้แผ่นดินเป็นมลทิน
เนื่องด้วยความสำส่อนและความชั่วร้ายของเจ้า
3 ฉะนั้นฝนจึงถูกระงับเสีย
และฝนฤดูใบไม้ผลิก็ไม่ตกลงมา
ถึงกระนั้นเจ้าก็ยังหน้าด้านเหมือนหญิงโสเภณี
เจ้าไม่มียางอายเอาเสียเลย
4 เจ้าเพิ่งร้องทูลเราไม่ใช่หรือว่า
‘พระบิดาของข้าพระองค์ ผู้ทรงเป็นมิตรสหายมาตั้งแต่ข้าพระองค์ยังแรกรุ่น
5 พระองค์จะกริ้วอยู่เนืองนิตย์หรือ?
พระพิโรธของพระองค์จะคงอยู่ตลอดไปหรือ?’
เจ้าพูดเช่นนี้แหละ
แต่เจ้าก็ยังคงทำชั่วทุกอย่างอยู่ร่ำไป”
อิสราเอลผู้ไม่ซื่อสัตย์
6 ในรัชสมัยของกษัตริย์โยสิยาห์ องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “เจ้าเห็นสิ่งที่อิสราเอลผู้นอกใจทำหรือไม่? อิสราเอลคบชู้ด้วยการเที่ยวไปนมัสการพระต่างๆ บนภูเขาสูงทุกลูกและใต้ต้นไม้ใบดกทุกต้น 7 เราคิดว่าหลังจากที่อิสราเอลได้ทำทุกสิ่งเหล่านี้แล้ว นางจะกลับมาหาเรา แต่ก็เปล่า และยูดาห์น้องสาวผู้ไร้สัตย์ของนางก็เห็น 8 เราจึงทำหนังสือหย่าขาดจากอิสราเอลผู้นอกใจและไล่นางไปเพราะการคบชู้ทั้งหมดของนาง แต่ถึงอย่างนั้นเราก็ได้เห็นว่ายูดาห์น้องสาวผู้ไร้สัตย์ของนางไม่ขยาดกลัวเลย ยูดาห์เองก็ออกไปคบชู้ด้วย 9 เพราะนางเห็นว่าความเสื่อมศีลธรรมของอิสราเอลเป็นเรื่องเล็กน้อย นางจึงทำให้แผ่นดินเป็นมลทิน และคบชู้โดยไปนมัสการรูปเคารพซึ่งทำจากไม้และหิน 10 ถึงขนาดนี้แล้ว ยูดาห์น้องสาวผู้ไร้สัตย์ของนางก็ยังไม่หวนกลับมาหาเราอย่างสุดใจ มีแต่เสแสร้งแกล้งทำ” องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น
11 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับข้าพเจ้าว่า “อิสราเอลผู้ไม่ซื่อก็ยังชอบธรรมกว่ายูดาห์ผู้ไร้สัตย์ 12 บัดนี้จงไปประกาศแก่พวกทางเหนือว่า
“องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า ‘อิสราเอลผู้ไม่ซื่อเอ๋ย กลับมาเถิด
เราจะไม่หน้าบึ้งใส่เจ้าอีกต่อไป
เพราะเราเปี่ยมด้วยเมตตา’ องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนี้
‘เราจะไม่โกรธขึ้งตลอดไป
13 เพียงแต่เจ้ายอมรับผิด
ว่าเจ้าได้กบฏต่อพระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้า
เจ้าได้ปันใจให้พระต่างชาติทั้งหลาย
ใต้ต้นไม้ใบดกทุกต้น
และไม่ได้เชื่อฟังเรา’ ”
องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น
14 “หันกลับมาเถิด ประชากรที่ไม่ซื่อสัตย์” องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนี้ “เพราะเราเป็นสามีของเจ้า เราจะเลือกสรรเจ้าคนหนึ่งจากเมืองหนึ่งและสองคนจากตระกูลหนึ่ง และจะนำเจ้ากลับมายังศิโยน 15 แล้วเราจะให้บรรดาผู้เลี้ยงซึ่งถูกใจเราแก่เจ้า ผู้ที่จะนำเจ้าด้วยความรู้และความเข้าใจ 16 เมื่อถึงเวลานั้น เมื่อเจ้ามีลูกเต็มบ้านมีหลานเต็มเมืองในแผ่นดินนั้น” องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนี้ “ผู้คนจะไม่พูดถึง ‘หีบพันธสัญญาขององค์พระผู้เป็นเจ้า’ อีก จะไม่คิดถึง ไม่จดจำ ไม่ถวิลหา และไม่สร้างหีบพันธสัญญาขึ้นมาใหม่ 17 แต่ในเวลานั้น พวกเขาจะเรียกเยรูซาเล็มว่า ‘พระบัลลังก์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า’ ประชาชาติทั้งปวงจะมาชุมนุมกันที่กรุงเยรูซาเล็มเพื่อถวายพระเกียรติแด่พระนามของพระยาห์เวห์ พวกเขาจะไม่ดื้อดึงทำตามใจชั่วของตนอีกต่อไป 18 เมื่อถึงเวลานั้นพงศ์พันธุ์ยูดาห์จะสมทบกับพงศ์พันธุ์อิสราเอล พวกเขาจะรวมกันมาจากดินแดนทางเหนือ มายังดินแดนซึ่งเราได้ยกให้เป็นกรรมสิทธิ์แก่บรรพบุรุษของเจ้าทั้งหลาย
19 “เราเองลั่นวาจาไว้ว่า
“ ‘เรายินดีเหลือเกินที่จะปฏิบัติต่อเจ้าเยี่ยงลูก
และมอบดินแดนอันน่าปรารถนาแก่เจ้า
เป็นสมบัติอันงดงามที่สุดของชาติต่างๆ’
เราคิดว่าเจ้าจะเรียกเราว่า ‘พ่อ’
และจะติดตามเราโดยไม่หันหนีไปไหนอีกเลย
20 แต่พงศ์พันธุ์อิสราเอลเอ๋ย เจ้าก็ไม่ซื่อสัตย์ต่อเรา
เหมือนภรรยาที่ไม่ซื่อสัตย์ต่อสามี”
องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น
21 มีเสียงหนึ่งร่ำไห้ดังจากยอดเขาอันเปล่าเปลี่ยว
เป็นเสียงร่ำไห้อ้อนวอนของชนอิสราเอล
เพราะพวกเขาได้บิดเบือนวิถีทางของตน
และได้ลืมพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเขา
22 “กลับมาเถิด ประชากรผู้ไม่ซื่อสัตย์
เราจะรักษาเจ้าจากการหลงผิด”
“แน่แล้ว ข้าพระองค์ทั้งหลายจะมาหาพระองค์
เพราะพระองค์ทรงเป็นพระยาห์เวห์พระเจ้าของข้าพระองค์ทั้งหลาย
23 แท้จริงการกราบไหว้รูปเคารพบนเนินเขาและภูเขาต่างๆ
ล้วนเป็นเรื่องหลอกลวงและไร้ประโยชน์
แท้จริงความรอดของอิสราเอล
อยู่ในพระยาห์เวห์พระเจ้าของข้าพระองค์ทั้งหลาย
24 ตั้งแต่ข้าพระองค์ทั้งหลายยังเยาว์วัย เทพเจ้าอันน่าอับอายเหล่านั้นได้ล้างผลาญ
ผลแห่งหยาดเหงื่อแรงงานของบรรพบุรุษของข้าพระองค์ทั้งหลาย
ทั้งฝูงแพะแกะและฝูงสัตว์
ลูกชายและลูกสาว
25 ให้ข้าพระองค์ทั้งหลายนอนลงด้วยความอับอาย
และเอาความอัปยศอดสูคลุมกาย
ทั้งข้าพระองค์ทั้งหลายและบรรพบุรุษ
ได้ทำบาปต่อพระยาห์เวห์พระเจ้าของข้าพระองค์ทั้งหลาย
ตั้งแต่ข้าพระองค์ทั้งหลายยังเยาว์วัยตราบจนบัดนี้
ข้าพระองค์ทั้งหลายไม่ได้เชื่อฟังพระยาห์เวห์พระเจ้าของข้าพระองค์ทั้งหลาย”
4 องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า
“อิสราเอลเอ๋ย หากเจ้าจะหันกลับมา
หากเจ้าจะกลับมาหาเรา
หากเจ้ากำจัดเทวรูปอันน่าชิงชังออกไปให้พ้นหน้าเรา
และไม่หลงเตลิดอีกต่อไป
2 และหากเจ้าจะปฏิญาณโดยกล่าวอ้างว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด’
ด้วยความจริง ความยุติธรรม และความชอบธรรม
ประชาชาติทั้งหลายก็จะได้รับพรจากเรา
และพวกเขาจะสรรเสริญเทิดทูนเรา”
3 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับชาวยูดาห์และชาวเยรูซาเล็มว่า
“จงไถพรวนดินแข็งแห่งจิตใจของเจ้า
และอย่าหว่านเมล็ดพืชลงกลางดงหนาม
4 ชนยูดาห์ ชาวเยรูซาเล็มเอ๋ย
จงทำสุหนัตให้ตัวเองถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า
จงทำสุหนัตที่ใจของพวกเจ้า
มิฉะนั้นโทสะของเราจะระเบิดออกและแผดเผาดั่งไฟ
เผาผลาญโดยไม่มีใครดับได้
เนื่องจากความชั่วร้ายที่พวกเจ้าได้ทำ
ภัยพิบัติจากทิศเหนือ
5 “จงป่าวประกาศในยูดาห์และป่าวร้องในเยรูซาเล็มว่า
‘จงเป่าแตรทั่วแผ่นดิน!’
จงป่าวร้องเสียงดังว่า
‘มารวมตัวกัน!
ให้เราหนีไปยังเมืองป้อมปราการต่างๆ โดยเร็ว!’
6 จงส่งสัญญาณให้ไปศิโยน!
อย่าชักช้า! จงรีบหนีเอาชีวิตรอด
เพราะเรากำลังนำภัยพิบัติมาจากทางเหนือ
เป็นหายนะร้ายแรง”
7 ราชสีห์ตัวหนึ่งได้ออกมาจากถ้ำ
ผู้ที่จะทำลายบรรดาประชาชาติได้ออกมาแล้ว
เขาออกมาจากที่พักของตน
เพื่อทำให้แผ่นดินของเจ้าถูกทิ้งร้าง
เมืองต่างๆ ของเจ้าจะกลายเป็นซากปรักหักพัง
ปราศจากผู้อยู่อาศัย
8 ฉะนั้นจงสวมเสื้อผ้ากระสอบ
จงร้องไห้คร่ำครวญ
เพราะพระพิโรธอันรุนแรงขององค์พระผู้เป็นเจ้า
ยังไม่หันเหจากเรา
9 องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า “ในวันนั้น
กษัตริย์และบรรดาข้าราชการจะเสียขวัญกำลังใจ
ปุโรหิตจะตกใจกลัว
และผู้เผยพระวจนะจะขนลุก”
10 แล้วข้าพเจ้ากราบทูลว่า “ข้าแต่พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิต พระองค์ทรงหลอกลวงเยรูซาเล็มและชนชาตินี้แน่แล้ว ก็ไหนพระองค์ตรัสว่า ‘เจ้าจะมีสันติสุข’ แต่นี่ดาบจ่อที่คอหอยข้าพระองค์ทั้งหลายแล้ว”
11 เมื่อถึงเวลานั้นจะมีผู้บอกชนชาตินี้และชาวเยรูซาเล็มว่า “ลมร้อนจากที่สูงอันเวิ้งว้างในทะเลทรายพัดมายังประชากรของเรา แต่ไม่ใช่เพื่อฝัดร่อนหรือชะล้าง 12 เราเป็นผู้ส่งลมกล้านั้นมา[b] บัดนี้เราประกาศคำพิพากษาลงโทษพวกเขา”
13 ดูสิ! บุคคลผู้นั้นบุกมาเหมือนเมฆ
รถม้าศึกของเขามาเหมือนพายุหมุน
ม้าศึกของเขาไวยิ่งกว่านกอินทรี
วิบัติแก่เรา! เราพินาศวอดวายแล้ว!
14 เยรูซาเล็มเอ๋ย จงชำระความชั่วร้ายออกจากจิตใจเพื่อจะได้รับความรอด
เจ้าจะบ่มความคิดชั่วไว้นานสักเท่าใด?
15 เสียงหนึ่งป่าวร้องออกมาจากดาน
ประกาศภัยพิบัติจากบรรดาเนินเขาของเอฟราอิม
16 “จงบอกเรื่องนี้แก่บรรดาประชาชาติ
ประกาศเรื่องนี้แก่เยรูซาเล็มว่า
‘กองทัพที่ล้อมเมืองกำลังมาจากแดนไกล
โห่ร้องออกศึกสู้กับเมืองต่างๆ ของยูดาห์
17 พวกเขาโอบล้อมเยรูซาเล็มเหมือนคนเฝ้านา
เพราะเยรูซาเล็มกบฏต่อเรา’ ”
องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น
18 “การกระทำและความประพฤติของเจ้าเอง
ได้ชักนำให้เหตุการณ์นี้เกิดแก่เจ้า
นี่คือโทษทัณฑ์ของเจ้า
มันช่างขมขื่นยิ่งนัก!
มันช่างเสียดแทงใจเสียจริง!”
19 โอย ทุกข์เหลือเกิน ทรมานเหลือเกิน!
ข้าพเจ้าทุรนทุรายด้วยความเจ็บปวด
โอย หัวใจของข้าพเจ้าร้าวราน!
หัวใจของข้าพเจ้าสะทกสะท้านอยู่ภายใน
ข้าพเจ้าไม่อาจสงบนิ่ง
เพราะข้าพเจ้าได้ยินเสียงแตร
ได้ยินเสียงโห่ร้องคะนองศึก
20 หายนะกระหน่ำเข้ามาติดๆ กัน
ทั้งแผ่นดินตกอยู่ในสภาพปรักหักพัง
เต็นท์ทั้งหลายของข้าพเจ้าถูกทำลายไปในชั่วพริบตา
เพียงแวบเดียว ที่พักพิงของข้าพเจ้าก็ย่อยยับไป
21 ข้าพเจ้าจะต้องทนดูธงรบ
และฟังเสียงแตรไปนานสักเท่าใดหนอ?
22 “ประชากรของเราโง่เขลา
พวกเขาไม่รู้จักเรา
พวกเขาเป็นเด็กเหลวไหล
ไม่มีความเข้าใจ
พวกเขาช่ำชองในการทำชั่ว
ทำดีไม่เป็นเลย”
23 ข้าพเจ้ามองดูที่แผ่นดินโลก
มันไม่มีรูปทรงและว่างเปล่า
มองดูที่ฟ้าสวรรค์
แสงสว่างลับไปเสียแล้ว
24 ข้าพเจ้ามองดูภูเขาทั้งหลาย
เห็นมันสั่นสะท้าน
เนินเขาทั้งหลายก็โคลงเคลง
25 ข้าพเจ้ามองดู ไม่มีผู้คนเลย
นกในท้องฟ้าบินลับหายไปหมด
26 ข้าพเจ้ามองดูและเห็นแผ่นดินอันอุดมสมบูรณ์กลายเป็นถิ่นกันดาร
เมืองทั้งหลายอยู่ในสภาพปรักหักพัง
ต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้าและต่อพระพิโรธอันรุนแรงของพระองค์
27 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้ว่า
“ทั้งแผ่นดินจะย่อยยับ
แม้เราจะไม่ทำลายจนหมดสิ้น
28 ฉะนั้นโลกจะคร่ำครวญ
และฟ้าสวรรค์เบื้องบนจะหม่นหมอง
เพราะเราได้ลั่นวาจาไว้ และจะไม่มีการผ่อนผัน
เราได้ตัดสินใจไว้แล้ว และจะไม่เปลี่ยนแปลง”
29 เมื่อได้ยินเสียงพลม้าและพลธนู
ชาวเมืองทุกแห่งหนีกระเจิดกระเจิง
บางคนเข้าไปในพุ่มไม้
บางคนปีนป่ายขึ้นไปตามหินผา
เมืองทุกเมืองถูกทิ้งร้าง
ไม่มีใครอยู่อาศัย
30 เจ้าผู้ถูกทำลาย เจ้ากำลังทำอะไรอยู่นั่น?
ทำไมจึงสวมเสื้อผ้าสีแดงเข้ม
และสวมเครื่องเพชรเครื่องทอง?
เจ้าแต่งแต้มทาตาไปทำไม?
ถึงแต่งตัวสวยก็เปล่าประโยชน์
คนรักของเจ้าเหยียดหยามเจ้า
พวกเขาหมายจะเอาชีวิตเจ้า
31 ข้าพเจ้าได้ยินเสียงร้องเหมือนเสียงผู้หญิงกำลังคลอดลูก
เหมือนเสียงครวญครางของผู้หญิงที่คลอดลูกท้องแรก
เป็นเสียงร้องของธิดาแห่งศิโยน[c]หอบหายใจเป็นห้วงๆ
เธอเหยียดแขนออกและพูดว่า
“อนิจจา ฉันจะเป็นลมแล้ว
ชีวิตฉันถูกมอบไว้ในมือของเหล่าฆาตกร”
ไม่มีใครเที่ยงธรรม
5 “จงวิ่งไปวิ่งมาตามถนนหนทางในกรุงเยรูซาเล็ม
จงมองไปรอบๆ และพิเคราะห์ดู
จงค้นหาตามลานเมืองต่างๆ
หากเจ้าหาพบแม้แต่คนเดียว
ที่ซื่อสัตย์และแสวงหาความจริง
เราก็จะยกโทษให้เมืองนี้
2 ถึงแม้พวกเขากล่าวว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด’
พวกเขาก็กำลังสาบานเท็จ”
3 ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเนตรของพระองค์มองหาความจริงไม่ใช่หรือ?
พระองค์ทรงเฆี่ยนพวกเขา แต่พวกเขาก็ไม่รู้จักเจ็บ
ทรงขยี้พวกเขา แต่พวกเขาก็ไม่ยอมปรับปรุงแก้ไข
พวกเขาทำหน้าด้านหน้าทนยิ่งกว่าหิน
และไม่ยอมกลับตัวกลับใจ
4 ข้าพเจ้าคิดว่า “คนเหล่านี้เป็นเพียงคนยากไร้
พวกเขาเป็นคนโง่เขลา
เพราะพวกเขาไม่รู้วิถีทางขององค์พระผู้เป็นเจ้า
ไม่รู้ข้อกำหนดของพระเจ้าของตน
5 ฉะนั้นข้าพเจ้าจะไปหาบรรดาผู้นำ
และจะพูดกับพวกเขา
คนเหล่านั้นย่อมรู้วิถีทางขององค์พระผู้เป็นเจ้า
รู้ข้อกำหนดของพระเจ้าของตนอย่างแน่นอน”
แต่คนเหล่านั้นก็พร้อมใจกันหักแอก
และทลายเครื่องพันธนาการต่างๆ ด้วยเหมือนกัน
6 ฉะนั้นสิงโตจากป่าจะมาเล่นงานพวกเขา
สุนัขป่าจากทะเลทรายจะเข้าขย้ำ
เสือดาวจะซุ่มอยู่ใกล้เมืองต่างๆ ของพวกเขา
คอยฉีกเนื้อคนที่ออกมานั้นเป็นชิ้นๆ
เพราะการทรยศของพวกเขาร้ายแรงนัก
และชอบหวนกลับไปทำบาป
7 “ควรหรือที่เราจะอภัยให้พวกเจ้า?
ลูกหลานของพวกเจ้าได้ละทิ้งเรา
และสาบานโดยอ้างพระต่างๆ ซึ่งไม่ใช่พระเจ้า
เราได้จัดหาทุกสิ่งที่จำเป็นให้พวกเขา
แต่พวกเขาก็ยังคบชู้
และแห่กันไปยังสำนักนางโลม
8 พวกเขาเป็นม้าหนุ่มกลัดมันที่ได้รับการเลี้ยงดูอย่างดี
ต่างกระสันหาภรรยาของเพื่อนบ้าน
9 จะไม่ให้เราลงโทษพวกเขาเพราะเรื่องนี้หรือ?”
องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น
“จะไม่ให้เราแก้แค้น
ชนชาติที่ประพฤติเยี่ยงนี้หรือ?
10 “จงไปตามแถวต่างๆ ของสวนองุ่นของเยรูซาเล็มและทำลายเสีย
แต่อย่าทำลายจนหมดสิ้น
จงตัดกิ่งต่างๆ จากเถาองุ่น
เพราะประชากรเหล่านี้ไม่ได้เป็นขององค์พระผู้เป็นเจ้า
11 พงศ์พันธุ์อิสราเอลและพงศ์พันธุ์ยูดาห์
ได้นอกใจเราจนถึงที่สุด”
องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น
12 พวกเขาโกหกเกี่ยวกับองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า
“พระองค์จะไม่ทรงทำอะไรหรอก!
จะไม่มีอันตรายใดๆ เกิดขึ้นกับเรา
เราจะไม่มีวันเห็นการฆ่าฟันหรือการกันดารอาหาร
13 บรรดาผู้เผยพระวจนะเป็นเพียงลม
ไม่มีพระวจนะในคนเหล่านั้น
ดังนั้นเขาพูดอะไรออกมาก็ขอให้ตกแก่ตัวเขาเอง”
14 ฉะนั้นพระยาห์เวห์พระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์ตรัสว่า
“เนื่องจากเหล่าประชากรได้พูดเช่นนี้
เราจะทำให้ถ้อยคำของเราในปากของเจ้านั้นเป็นไฟ
และให้ประชากรเหล่านี้เป็นฟืนที่ไฟนี้จะเผาผลาญ
15 โอ พงศ์พันธุ์อิสราเอล” องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนี้
“เรากำลังนำชนชาติหนึ่งจากแดนไกลมาสู้กับเจ้า
เป็นชนชาติโบราณที่ยืนหยัดมานาน
เป็นชนชาติที่เจ้าไม่รู้จักภาษาของเขา
ไม่เข้าใจคำพูดของเขา
16 แล่งธนูของเขาเป็นเหมือนหลุมศพที่เปิดกว้าง
คนของเขาล้วนแต่เป็นนักรบเกรียงไกร
17 พวกเขาจะกลืนกินพืชผลและอาหารของเจ้า
กลืนกินลูกชายลูกสาวของเจ้า
พวกเขาจะกลืนกินทั้งฝูงแพะแกะและฝูงสัตว์ของเจ้า
กลืนกินทั้งเถาองุ่นและต้นมะเดื่อ
พวกเขาจะใช้ดาบทำลายล้าง
เมืองป้อมปราการต่างๆ ที่เจ้าเชื่อว่าปลอดภัย”
18 องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า “แม้ถึงเวลานั้น เราก็จะไม่ทำลายพวกเจ้าให้สูญสิ้นไป 19 และเมื่อเหล่าประชากรถามว่า ‘ทำไมพระยาห์เวห์พระเจ้าของเราจึงทรงทำสิ่งทั้งหมดนี้กับเรา?’ เจ้าจะบอกพวกเขาว่า ‘พวกเจ้าได้ละทิ้งพระเจ้า และได้ปรนนิบัติบรรดาพระต่างชาติในแผ่นดินของเจ้าเองอย่างไร บัดนี้พวกเจ้าจะต้องไปปรนนิบัติชนต่างชาติในแผ่นดินซึ่งไม่ใช่ของพวกเจ้าอย่างนั้น’
20 “จงประกาศต่อพงศ์พันธุ์ของยาโคบ
และป่าวร้องในยูดาห์ว่า
21 ฟังนะ ประชากรผู้โง่เขลาและสิ้นคิด
ผู้ซึ่งมีตาแต่มองไม่เห็น
ผู้ซึ่งมีหูแต่ไม่ได้ยิน
22 เจ้าควรจะยำเกรงเราไม่ใช่หรือ?” องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนี้
“เจ้าควรจะสั่นสะท้านเมื่ออยู่ต่อหน้าเราไม่ใช่หรือ?
เราตั้งหาดทรายเป็นขอบเขตให้ทะเล
เป็นเครื่องกีดขวางนิรันดร์ซึ่งทะเลจะฝ่าข้ามไปไม่ได้
คลื่นอาจจะม้วนตัว แต่ก็เอาชนะไม่ได้
มันอาจจะร้องคำราม แต่ก็ล้ำเขตไปไม่ได้
23 แต่ชนชาตินี้มีใจดื้อด้านและชอบกบฏ
พวกเขาได้หันหนีเราไป
24 พวกเขาไม่รู้จักบอกตัวเองว่า
‘ให้เรายำเกรงพระยาห์เวห์พระเจ้าของเรา
ผู้ประทานฝนฤดูใบไม้ร่วงและฝนฤดูใบไม้ผลิให้ตกต้องตามฤดูกาล
ผู้ให้ความมั่นใจว่าเราจะได้เก็บเกี่ยวพืชผลตามฤดูอย่างแน่นอน’
25 เพราะพวกเจ้าทำผิด สิ่งเหล่านี้จึงสูญสิ้นไป
บาปทั้งหลายของเจ้าได้ทำให้เจ้าพลาดจากสิ่งดีๆ
26 “ในหมู่ประชากรของเรามีคนชั่วร้าย
ซึ่งหมอบคอยอยู่เหมือนคนที่วางบ่วงดักนก
และเหมือนคนที่วางกับดักจับคน
27 บ้านของพวกเขาเต็มไปด้วยการหลอกลวง
เหมือนกรงที่เต็มไปด้วยนก
พวกเขากลายเป็นคนมั่งมีและทรงอิทธิพล
28 ทั้งอ้วนพีและล่ำสัน
พวกเขาทำชั่วอย่างไร้ขีดจำกัด
ไม่ช่วยให้ลูกกำพร้าพ่อได้รับความยุติธรรมในคดีความ
ไม่ปกป้องสิทธิของผู้ยากไร้
29 จะไม่ให้เราลงโทษพวกเขาเพราะเรื่องนี้หรือ?”
องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น
“จะไม่ให้เราแก้แค้น
ชนชาติที่ประพฤติเยี่ยงนี้หรือ?
30 “สิ่งน่าสะพรึงกลัวและน่าตกใจ
ได้เกิดขึ้นในแผ่นดินนี้
31 คือบรรดาผู้เผยพระวจนะพยากรณ์เท็จ
เหล่าปุโรหิตปกครองโดยสิทธิอำนาจของตนเอง
และประชากรของเราก็รักวิถีแบบนี้
แต่พวกเจ้าจะทำอย่างไรในบั้นปลาย?
1 ทิโมธี 4
Thai New Contemporary Bible
เปาโลกำชับทิโมธี
4 พระวิญญาณตรัสไว้ชัดเจนว่า ในภายหลังจะมีบางคนละทิ้งความเชื่อ หันไปติดตามวิญญาณล่อลวงและคำสอนของผีมาร 2 คำสอนเช่นนี้ผ่านมาทางเหล่าคนโกหกหน้าซื่อใจคด ผู้ซึ่งจิตสำนึกตายด้าน 3 เขาห้ามผู้คนแต่งงาน และสั่งให้งดอาหารบางชนิดซึ่งพระเจ้าทรงสร้างไว้ให้ผู้ที่เชื่อและรู้ความจริงรับประทานด้วยการขอบพระคุณ 4 เพราะทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้างนั้นดี ถ้ารับด้วยการขอบพระคุณก็ไม่ห้ามเลยสักสิ่งเดียว 5 เนื่องจากผ่านการชำระแล้วด้วยพระวจนะของพระเจ้าและด้วยคำอธิษฐาน
6 หากท่านชี้แจงสิ่งเหล่านี้แก่พวกพี่น้อง ท่านก็จะเป็นผู้รับใช้ที่ดีของพระเยซูคริสต์ซึ่งเติบโตขึ้นในความจริงแห่งความเชื่อและหลักคำสอนอันดีที่ท่านยึดถือปฏิบัติตาม 7 อย่าไปข้องเกี่ยวกับเทวตำนานหรือนิยายปรัมปรา จงฝึกตนในทางพระเจ้าดีกว่า 8 การฝึกทางกายนั้นมีคุณค่าอยู่บ้าง แต่ทางพระเจ้าย่อมทรงคุณค่าในทุกด้าน เพราะทรงไว้ซึ่งพระสัญญาทั้งสำหรับชีวิตปัจจุบันและชีวิตในเบื้องหน้าด้วย
9 นี่เป็นคำกล่าวที่เชื่อถือได้และควรที่จะรับไว้โดยไม่มีข้อกังขา 10 (ที่เราตรากตรำและฟันฝ่าก็เพื่อสิ่งนี้) คือเราหวังใจในพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ ผู้ทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของมวลมนุษย์ โดยเฉพาะผู้ที่เชื่อ
11 จงกำชับและสั่งสอนสิ่งเหล่านี้ 12 อย่าให้ใครมาดูหมิ่นท่านเพราะว่าท่านยังหนุ่มแน่น แต่จงเป็นแบบอย่างสำหรับผู้เชื่อทั้งในด้านวาจา การดำเนินชีวิต ความรัก ความเชื่อและความบริสุทธิ์ 13 จงอุทิศตนในการอ่านพระคัมภีร์ในที่ประชุม ในการเทศนาและในการสั่งสอนจนกว่าเราจะมา 14 อย่าละเลยของประทานของท่านซึ่งประทานแก่ท่านผ่านทางคำเผยพระวจนะเมื่อคณะผู้ปกครองวางมือบนท่าน
15 จงขยันขันแข็งในงานเหล่านี้ ทุ่มเทให้สุดตัวเพื่อทุกคนจะเห็นถึงความก้าวหน้าของท่าน 16 จงเอาใจใส่ดูแลชีวิตและคำสอนของท่านอย่างใกล้ชิด จงบากบั่นในสิ่งเหล่านี้ เพราะถ้าทำเช่นนั้นแล้วท่านจะช่วยทั้งตัวท่านและผู้ที่ฟังท่านให้รอดได้
Thai New Contemporary Bible Copyright © 1999, 2001, 2007 by Biblica, Inc.® Used by permission. All rights reserved worldwide.