Add parallel Print Page Options

เยฟธาห์ช่วยอิสราเอล

11 เยฟธาห์ชาวกิเลอาดเป็นนักรบผู้เก่งกล้าผู้หนึ่ง แต่เป็นบุตรของหญิงแพศยา กิเลอาดเป็นบิดาของเยฟธาห์ ภรรยาของกิเลอาดได้ให้กำเนิดบุตรชายหลายคนด้วย เมื่อบุตรเหล่านั้นเติบโตขึ้น ก็ได้ขับไล่เยฟธาห์ไปและบอกเขาว่า “เจ้าจะไม่มีส่วนรับมรดกจากพงศ์พันธุ์ของบิดาของเรา เพราะเจ้าเป็นบุตรของหญิงคนอื่น” เยฟธาห์จึงหลบหนีไปจากพี่น้องและอาศัยอยู่ในดินแดนโทบ ซึ่งมีพวกนักเลงรวมกลุ่มกับเยฟธาห์และคอยติดตามเขาไป

จากนั้นต่อมาชาวอัมโมนทำสงครามกับอิสราเอล เมื่อชาวอัมโมนสู้รบกับอิสราเอล บรรดาหัวหน้าชั้นผู้ใหญ่ของกิเลอาดก็ไปพาเยฟธาห์มาจากดินแดนโทบ พูดกับเยฟธาห์ว่า “มาเป็นหัวหน้านำพวกเราเถิด เราจะได้สู้รบกับชาวอัมโมน” แต่เยฟธาห์พูดกับบรรดาหัวหน้าชั้นผู้ใหญ่ของกิเลอาดว่า “พวกท่านไม่ได้เกลียดชังเราและขับไล่เราออกมาจากพงศ์พันธุ์ของบิดาของเราหรอกหรือ ทำไมเดี๋ยวนี้เขาจึงมาหาเรายามมีทุกข์เล่า” บรรดาหัวหน้าชั้นผู้ใหญ่ของกิเลอาดพูดกับเยฟธาห์ว่า “นั่นแหละ เราจึงหันมาหาท่านในเวลานี้ ท่านจะได้ไปกับเราเพื่อต่อสู้กับชาวอัมโมน และเป็นหัวหน้าของทุกคนในกิเลอาด” เยฟธาห์พูดกับบรรดาหัวหน้าชั้นผู้ใหญ่ของกิเลอาดว่า “ถ้าพวกท่านพาเรากลับบ้านอีกเพื่อต่อสู้กับชาวอัมโมน และพระผู้เป็นเจ้ามอบพวกเขาให้แก่เรา เราจะเป็นหัวหน้าพวกท่าน” 10 บรรดาหัวหน้าชั้นผู้ใหญ่ของกิเลอาดพูดกับเยฟธาห์ว่า “พระผู้เป็นเจ้าจะเป็นพยานระหว่างเรา หากว่าพวกเราไม่ทำตามที่ท่านกล่าว” 11 ดังนั้นเยฟธาห์จึงไปกับบรรดาหัวหน้าชั้นผู้ใหญ่ของกิเลอาด ประชาชนตั้งเขาให้เป็นหัวหน้าและผู้นำของพวกเขา และเยฟธาห์ก็พูดกับพระผู้เป็นเจ้าที่มิสปาห์เหมือนที่ได้พูดกับบรรดาหัวหน้าชั้นผู้ใหญ่

12 ครั้นแล้วเยฟธาห์ก็ให้พวกผู้ส่งข่าวไปยังกษัตริย์ของชาวอัมโมน โดยกล่าวว่า “มีสิ่งใดที่ทำให้ท่านต่อต้านพวกเราจนถึงกับโจมตีประเทศเรา” 13 กษัตริย์ของชาวอัมโมนตอบพวกผู้ส่งข่าวของเยฟธาห์ว่า “เพราะเมื่ออิสราเอลแยกตัวออกมาจากประเทศอียิปต์ ก็ได้ยึดดินแดนของเราไป ตั้งแต่อาร์โนนถึงยับบอก และถึงแม่น้ำจอร์แดน บัดนี้จงคืนดินแดนนั้นมาโดยสันติเถิด” 14 เยฟธาห์จึงให้พวกผู้ส่งข่าวไปยังกษัตริย์ของชาวอัมโมน 15 และกล่าวกับท่านว่า “เยฟธาห์กล่าวดังนี้ว่า อิสราเอลไม่ได้ยึดดินแดนโมอับ หรือดินแดนของชาวอัมโมน 16 แต่เมื่อพวกเขาแยกตัวออกมาจากอียิปต์ อิสราเอลผ่านไปทางถิ่นทุรกันดารเพื่อไปยังทะเลแดง และมาถึงคาเดช 17 จากนั้นอิสราเอลจึงให้พวกผู้ส่งข่าวไปยังกษัตริย์แห่งเอโดม โดยกล่าวว่า ‘โปรดให้พวกเราผ่านทางดินแดนของท่าน’ แต่กษัตริย์แห่งเอโดมไม่ฟัง พวกเขาส่งคำขอไปยังกษัตริย์แห่งโมอับด้วย แต่ท่านก็ปฏิเสธ ฉะนั้นอิสราเอลจึงอยู่ที่คาเดช

18 แล้วพวกเขาเดินทางผ่านไปทางถิ่นทุรกันดาร และอ้อมดินแดนเอโดมและดินแดนโมอับ มาถึงด้านตะวันออกของดินแดนโมอับ และตั้งค่ายอยู่อีกฟากของอาร์โนน แต่พวกเขาก็ไม่ได้เข้าไปในอาณาเขตของโมอับ เพราะอาร์โนนเป็นพรมแดนโมอับ 19 อิสราเอลจึงให้พวกผู้ส่งข่าวไปยังสิโหนกษัตริย์ของชาวอาโมร์ กษัตริย์แห่งเฮชโบน และอิสราเอลพูดกับท่านว่า ‘โปรดให้พวกเราผ่านดินแดนของท่านเพื่อไปยังประเทศของเราเถิด’ 20 แต่สิโหนไม่ไว้ใจให้อิสราเอลผ่านทางอาณาเขตของท่าน ดังนั้นสิโหนจึงรวบรวมคนของท่านและตั้งค่ายอยู่ที่ยาฮาส และได้ต่อสู้กับอิสราเอล 21 พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอิสราเอลจึงมอบสิโหนและคนของท่านทั้งหมดไว้ในมือของอิสราเอล อิสราเอลได้ชัยชนะ จึงได้ยึดดินแดนทั้งหมดที่ชาวอาโมร์อาศัยอยู่ไว้เป็นเจ้าของ 22 เขาได้ยึดอาณาเขตของชาวอาโมร์ทั้งหมด นับตั้งแต่อาร์โนนถึงแม่น้ำยับบอก และจากถิ่นทุรกันดารถึงแม่น้ำจอร์แดน 23 ฉะนั้น พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอิสราเอลได้ขับไล่ชาวอาโมร์ไปต่อหน้าชาวอิสราเอลคนของพระองค์ แล้วพวกท่านจะมีสิทธิ์ยึดไว้อย่างนั้นหรือ 24 ท่านจะไม่ยึดสิ่งที่เคโมช ซึ่งเป็นเทพเจ้าของท่านมอบให้ท่านเป็นเจ้าของหรือ ส่วนทุกคนที่พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเราได้ขับไล่ออกไปต่อหน้าเรา เราก็จะยึดที่ของเขาไว้เป็นกรรมสิทธิ์ 25 พวกท่านดีกว่าบาลาคบุตรศิปโปร์กษัตริย์แห่งโมอับหรือ ท่านเคยวิวาทกับชาวอิสราเอลหรือ หรือว่าพวกท่านเคยทำสงครามกับพวกเขา 26 เป็นเวลา 300 ปีที่ชาวอิสราเอลอาศัยอยู่ที่เมืองเฮชโบนและชานเมือง และที่เมืองอาโรเออร์และชานเมือง และที่เมืองต่างๆ ที่อยู่บนฝั่งแม่น้ำอาร์โนน ทำไมพวกท่านจึงไม่ยึดไว้ในช่วงเวลานั้นเล่า 27 ฉะนั้น เราไม่ได้กระทำผิดต่อท่าน แต่ท่านเป็นฝ่ายกระทำผิดต่อเราที่ทำสงครามกับเรา พระผู้เป็นเจ้า ผู้เป็นผู้พิพากษาจะตัดสินระหว่างชาวอิสราเอลและชาวอัมโมนในวันนี้” 28 แต่กษัตริย์ของชาวอัมโมนไม่ใส่ใจในคำของเยฟธาห์ที่ส่งไป

คำสัญญาอันโศกเศร้าของเยฟธาห์

29 ครั้นแล้วพระวิญญาณของพระผู้เป็นเจ้าก็สถิตกับเยฟธาห์ และเขาจึงข้ามไปทางกิเลอาดและมนัสเสห์ แล้วผ่านต่อไปจนถึงมิสปาห์แห่งกิเลอาด จากมิสปาห์แห่งกิเลอาดเขาก็ได้ผ่านต่อไปจนถึงที่ของชาวอัมโมน 30 และเยฟธาห์ให้คำสัญญาต่อพระผู้เป็นเจ้าว่า “ถ้าหากว่าพระองค์จะมอบชาวอัมโมนไว้ในมือของข้าพเจ้า 31 แล้วผู้ใดก็ตามที่ออกมาจากประตูบ้านของข้าพเจ้า มาพบข้าพเจ้าเวลาที่ข้าพเจ้ากลับมาอย่างปลอดภัยจากชาวอัมโมน ผู้นั้นจะเป็นของพระผู้เป็นเจ้า และข้าพเจ้าจะมอบให้เป็นของถวาย” 32 แล้วเยฟธาห์ข้ามไปสู้รบกับชาวอัมโมน พระผู้เป็นเจ้ามอบพวกเขาไว้ในมือของเขา 33 และเขาก็ได้ฆ่าฟันชาวอัมโมนจนราบเป็นหน้ากลอง ตั้งแต่อาโรเออร์ไปจนถึงละแวกใกล้เคียงของมินนิท 20 เมือง และไปไกลจนถึงอาเบลครามิม ดังนั้นชาวอัมโมนจึงอยู่ใต้บังคับชาวอิสราเอล

34 จากนั้นเยฟธาห์ก็กลับไปบ้านที่มิสปาห์ ดูเถิด บุตรหญิงของเขาถือรำมะนาใบเล็กร่ายรำออกมาพบเขา เธอเป็นบุตรคนเดียวของเขา นอกจากเธอแล้ว เขาไม่มีบุตรชายหรือบุตรหญิงอื่นอีก 35 ทันทีที่เขาเห็นเธอ เขาก็ฉีกเสื้อผ้าของตนและกล่าวว่า “อนิจจา ลูกสาวของเรา เจ้าทำให้พ่อเศร้ายิ่งนัก ทำให้พ่อเป็นทุกข์ เพราะพ่อเปิดปากบอกพระผู้เป็นเจ้าแล้ว พ่อจะคืนคำสัญญาก็ไม่ได้” 36 เธอจึงพูดกับเขาว่า “พ่อของลูก พ่อเปิดปากบอกพระผู้เป็นเจ้าแล้ว โปรดทำไปตามสิ่งที่พ่อพูดเถิด ในเมื่อพระผู้เป็นเจ้าได้แก้แค้นชาวอัมโมนที่เป็นศัตรูของพ่อแล้ว” 37 เธอพูดกับบิดาของเธออีกว่า “ขอให้ลูกได้ทำสิ่งหนึ่งเถิด ปล่อยให้ลูกอยู่ตามลำพังสัก 2 เดือน ลูกจะขึ้นไปอยู่ตามแถบภูเขา ไปร้องไห้ถึงความเป็นพรหมจารีกับเพื่อนๆ” 38 เขากล่าวว่า “ไปเถิด” แล้วเขาก็ให้เธอจากไปเป็นเวลา 2 เดือน เธอเดินทางไปพร้อมกับเพื่อนของเธอ และได้ร้องไห้ถึงความเป็นพรหมจารีบนภูเขา 39 เมื่อใกล้เวลา 2 เดือนแล้ว เธอจึงกลับไปหาบิดา เขาก็ปฏิบัติตามคำสัญญาที่ได้ให้ไว้ เธอไม่เคยมีเพศสัมพันธ์กับชายใด และจากนั้นมาก็เป็นธรรมเนียมของอิสราเอล 40 คือหญิงสาวอิสราเอลจะร้องไห้แสดงความเศร้าให้บุตรสาวของเยฟธาห์ชาวกิเลอาดปีละ 4 วัน

11 เยฟธาห์เป็นชาวกิเลอาด เขาเป็นนักรบที่เก่งกล้า แต่เขาเป็นลูกของโสเภณี กิเลอาดเป็นพ่อของเขา

เมียของกิเลอาดก็เกิดลูกชายหลายคนให้กับเขา เมื่อลูกชายพวกนั้นของนางโตขึ้น พวกเขาก็ไล่เยฟธาห์ออกไป พวกเขาพูดว่า “เจ้าไม่มีส่วนในมรดกของบ้านพ่อเรา เพราะเจ้าเป็นลูกของหญิงอื่น” ดังนั้นเยฟธาห์จึงหนีไปจากพี่น้องของเขา และไปอาศัยอยู่ในแผ่นดินของโทบ พวกนักเลงหัวไม้มั่วสุมอยู่กับเยฟธาห์และติดตามเขา

ต่อมาภายหลัง ชาวอัมโมนไปทำสงครามกับชาวอิสราเอล เมื่อชาวอัมโมนไปทำสงครามกับชาวอิสราเอล พวกผู้นำอาวุโสของกิเลอาดก็มาพาเยฟธาห์ไปจากแผ่นดินโทบ พวกเขาพูดกับเยฟธาห์ว่า “มาเป็นแม่ทัพให้กับพวกเราหน่อย เพื่อเราจะไปต่อสู้กับชาวอัมโมน”

เยฟธาห์พูดกับพวกผู้นำอาวุโสของกิเลอาดว่า “พวกท่านไม่ได้รังเกียจข้าและขับไล่ข้าออกจากบ้านของพ่อข้าหรอกหรือ แล้วท่านจะมาหาข้าทำไมเวลาที่ท่านมีปัญหา”

พวกผู้นำอาวุโสของกิเลอาดพูดกับเยฟธาห์ว่า “สาเหตุที่พวกเรากลับมาหาท่านในขณะนี้ ก็เพื่อให้ท่านไปกับพวกเราและไปสู้รบกับชาวอัมโมน และกลายเป็นหัวหน้าพวกเราปกครองชาวกิเลอาดทั้งหมด”

เยฟธาห์พูดกับพวกผู้นำอาวุโสของกิเลอาดว่า “ถ้าข้ากลับไปเพื่อสู้รบกับชาวอัมโมน และถ้าพระยาห์เวห์ยอมมอบพวกมันให้กับข้า พวกท่านจะให้ข้าเป็นหัวหน้าพวกท่านจริงหรือ”

10 พวกผู้นำอาวุโสของกิเลอาดพูดกับเยฟธาห์ว่า “พระยาห์เวห์เป็นพยาน เราจะทำตามที่ท่านพูดแน่นอน” 11 ดังนั้นเยฟธาห์จึงไปกับพวกผู้นำอาวุโสของกิเลอาด และประชาชนก็ตั้งเขาเป็นหัวหน้าและเป็นแม่ทัพของพวกเขา แล้วเยฟธาห์ก็พูดซ้ำคำพูดของเขาต่อหน้าพระยาห์เวห์ที่มิสปาห์

12 เยฟธาห์ใช้คนส่งข่าวไปถึงกษัตริย์ของชาวอัมโมนว่า “ท่านมีเรื่องอะไรกับข้าหรือ ถึงได้ยกมาต่อสู้กับแผ่นดินของข้า”

13 กษัตริย์ของชาวอัมโมนตอบคนส่งข่าวของเยฟธาห์ว่า “เพราะชาวอิสราเอลได้ยึดครองแผ่นดินของข้าทั้งหมดจากแม่น้ำอารโนน ถึงแม่น้ำยับบอก ถึงแม่น้ำจอร์แดน เมื่อพวกเขาออกมาจากอียิปต์ บัดนี้ขอท่านคืนเมืองเหล่านั้นให้กับข้าซะดีๆ” 14 (ดังนั้นผู้ส่งข่าวกลับมาหาเยฟธาห์[a]) เยฟธาห์จึงส่งคนส่งข่าวกลับไปหากษัตริย์ของชาวอัมโมนใหม่

15 เยฟธาห์แจ้งกับเขาว่า

“นี่คือสิ่งที่เยฟธาห์พูด ‘อิสราเอลไม่ได้ยึดแผ่นดินโมอับหรือแผ่นดินของชาวอัมโมน 16 เมื่อพวกอิสราเอลออกจากอียิปต์ พวกเขาได้เข้าไปในถิ่นทุรกันดารถึงทะเลแดงและมาถึงคาเดช 17 แล้วชาวอิสราเอลจึงใช้คนส่งข่าวไปยังกษัตริย์เอโดมว่า “โปรดอนุญาตให้เราผ่านแผ่นดินของท่านด้วยเถิด” แต่กษัตริย์เอโดมไม่ยอมและชาวอิสราเอลก็ได้ใช้คนส่งข่าวไปถึงกษัตริย์โมอับด้วย แต่เขาก็ไม่ยอมเหมือนกัน อิสราเอลก็เลยต้องอาศัยอยู่ที่คาเดช

18 จากนั้นชาวอิสราเอลได้เดินทางในถิ่นทุรกันดารและอ้อมแผ่นดินเอโดม และแผ่นดินโมอับ พวกเขามาทางตะวันออกของแผ่นดินโมอับ และตั้งค่ายบนฝั่งแม่น้ำอารโนน พวกเขาไม่ได้เข้าไปในเขตแดนของโมอับ เพราะมีแม่น้ำอารโนนเป็นพรมแดนของโมอับ

19 ชาวอิสราเอลจึงใช้คนส่งข่าวไปถึงกษัตริย์สิโหนของคนอาโมไรต์ ผู้ครองเมืองเฮชโบนและแจ้งกับเขาว่า “โปรดอนุญาตให้เราผ่านแผ่นดินของท่านด้วยเถิด” 20 แต่สิโหนไม่ไว้ใจที่จะให้อิสราเอลผ่านเข้าไปในเขตแดนของเขา ดังนั้นเขาจึงรวบรวมประชาชนตั้งค่ายที่ยาฮาสสู้รบกับอิสราเอล

21 พระยาห์เวห์พระเจ้าของอิสราเอลได้มอบสิโหนและทหารทั้งหมดไว้ในมือของอิสราเอล แล้วพวกเขาก็พ่ายแพ้ ดังนั้นอิสราเอลจึงยึดครองแผ่นดินทั้งหมดที่ชาวอาโมไรต์อาศัยอยู่นั้น 22 พวกเขายึดเขตแดนทั้งหมดของอาโมไรต์ ตั้งแต่แม่น้ำอารโนนไปจนถึงแม่น้ำยับบอก และตั้งแต่ถิ่นทุรกันดารไปจนถึงแม่น้ำจอร์แดน

23 ในเมื่อพระยาห์เวห์พระเจ้าของชาวอิสราเอลได้ขับไล่ชาวอาโมไรต์ออกไปต่อหน้าชาวอิสราเอลคนของพระองค์ แล้วท่านจะมาขับไล่ชาวอิสราเอลเพื่อยึดครองแทนหรือ 24 แน่นอนว่าท่านจะต้องครอบครองดินแดนที่พระเคโมชพระเจ้าของท่านมอบให้กับท่านแน่ อย่างนั้นพวกเราก็จะครอบครองดินแดนที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของเราได้ยึดมาให้กับพวกเราเหมือนกัน

25 ตัวท่านจะดีกว่ากษัตริย์บาลาคลูกชายศิปโปร์[b]แห่งเมืองโมอับหรือ กษัตริย์องค์นั้นเคยโต้แย้งหรือเคยสู้รบกับชาวอิสราเอลอย่างนั้นหรือ 26 เมื่ออิสราเอลอาศัยอยู่ในเมืองเฮชโบนและชนบทของเมืองนั้น รวมทั้งเมืองอาโรเออร์และชนบทของเมืองนั้น และเมืองต่างๆที่อยู่บนฝั่งแม่น้ำอารโนนถึงสามร้อยปี ทำไมท่านไม่ยึดคืนเสียในเวลานั้น

27 ข้าไม่ได้ทำบาปต่อท่าน แต่ท่านได้ทำผิดกับข้า โดยการทำสงครามกับข้า ขอให้พระยาห์เวห์ พระผู้พิพากษาได้ตัดสินวันนี้ เรื่องระหว่างชาวอิสราเอลกับชาวอัมโมนด้วยเถิด’”

28 แต่กษัตริย์ของชาวอัมโมนไม่ฟังคำพูดของเยฟธาห์ที่เขาส่งไปให้

คำบนบานของเยฟธาห์

29 ดังนั้นพระวิญญาณของพระยาห์เวห์ก็มาอยู่กับเยฟธาห์ เขาจึงยกพลผ่านกิเลอาดและมนัสเสห์ ผ่านมิสปาห์ในกิเลอาด และบุกไปถึงแผ่นดินของอัมโมน

30 เยฟธาห์สาบานต่อพระเจ้าว่า “ถ้าพระองค์ยอมให้ชาวอัมโมนตกอยู่ในกำมือของข้าพเจ้า 31 เมื่อข้าพเจ้ากลับมาอย่างมีชัยจากอัมโมนนั้น ข้าพเจ้าจะยกสิ่งแรกที่ออกมาจากประตูบ้านข้าพเจ้าเพื่อมาพบข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะถวายสิ่งนั้นให้กับพระยาห์เวห์เป็นเครื่องเผาบูชา”

32 แล้วเยฟธาห์ก็ยกไปสู้กับชาวอัมโมน และพระยาห์เวห์ก็มอบพวกอัมโมนไว้ในกำมือของเขา 33 เขาได้โจมตีพวกอัมโมน ตั้งแต่อาโรเออร์ ตลอดไปจนถึงเมืองมินนิท รวมยี่สิบเมือง และไกลไปจนถึงอาเบล-ครามิม ทำให้มีคนตายจำนวนมาก คนอัมโมนจึงอยู่ใต้การปกครองของอิสราเอล

34 เมื่อเยฟธาห์กลับมาที่บ้านในมิสปาห์ ลูกสาวเขาก็ออกมาต้อนรับด้วยการเล่นกลองรำมะนาและเต้นรำ นางเป็นลูกเพียงคนเดียวของเขา เขาไม่มีลูกชายหรือลูกสาวอื่นอีก 35 เมื่อเขาเห็นลูก เขาก็ฉีกเสื้อผ้าตัวเองและพูดว่า “ลูกพ่อ ลูกทำให้พ่อหมดแรง และลูกเป็นสาเหตุให้พ่อเดือดร้อน พ่อได้ให้คำมั่นสัญญาต่อพระยาห์เวห์และจะคืนคำไม่ได้”

36 เธอจึงพูดกับพ่อว่า “เมื่อพ่อสัญญาต่อพระยาห์เวห์ พ่อก็ทำกับลูกตามที่ได้สัญญาไว้เถอะ เพราะพระยาห์เวห์ช่วยกู้พ่อให้พ้นจากชาวอัมโมนพวกศัตรูของพ่อ”

37 เธอยังพูดต่อไปอีกว่า “แต่ขออย่างหนึ่ง ขอไว้ชีวิตลูกสักสองเดือน ปล่อยให้ลูกท่องไปบนภูเขาและร้องไห้กับพวกเพื่อนหญิงของลูก เพราะลูกจะไม่มีวันได้แต่งงาน”[c]

38 เขาจึงตอบว่า “ไปเถอะ” แล้วเขาก็ปล่อยให้นางไปสองเดือน เธอและเพื่อนๆก็ร้องไห้คร่ำครวญอยู่บนภูเขาเพราะเธอจะไม่มีวันได้แต่งงาน

39 เมื่อครบสองเดือนเธอก็กลับมาหาพ่อ และเขาก็ทำกับลูกสาวตามที่เขาได้สาบานไว้ ขณะนั้นลูกสาวเขายังไม่เคยมีเพศสัมพันธ์กับผู้ชายคนไหนเลย และมันได้กลายเป็นธรรมเนียมในอิสราเอล 40 ที่พวกสาวๆในอิสราเอลจะออกไประลึกถึงเรื่องราวของลูกสาวเยฟธาห์ชาวกิเลอาดปีละสี่วัน

Footnotes

  1. 11:14 ดังนั้นผู้ส่งข่าวกลับมาหาเยฟธาห์ ประโยคนี้แปลมาจากสำเนากรีกโบราณ แต่สำเนาฮีบรูไม่มีประโยคนี้
  2. 11:25 กษัตริย์บาลาคลูกชายศิปโปร์ ดูเรื่องนี้เพิ่มเติมได้จากหนังสือกันดารวิถี บทที่ 22-24
  3. 11:37 เพราะลูกจะไม่มีวันได้แต่งงาน หรือแปลตรงๆได้ว่า “เพราะความเป็นพรหมจารีของลูก”