ยาโคบหนีไปจากลาบัน

31 ยาโคบได้ยินลูกๆ ของลาบันพูดกันว่า “ยาโคบเอาทุกสิ่งที่เป็นของพ่อเราไป ที่เขาร่ำรวยขึ้นมาทั้งหมดนี้ก็ได้มาจากสิ่งที่เป็นของพ่อของเราแท้ๆ” และยาโคบสังเกตว่าลาบันเมินหน้าหนีตนซึ่งต่างไปจากแต่ก่อน

แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับยาโคบว่า “จงกลับไปยังดินแดนของบิดาของเจ้า ไปหาญาติพี่น้องของเจ้า และเราจะอยู่กับเจ้า”

ยาโคบจึงให้คนไปตามราเชลกับเลอาห์ออกมาพบเขาที่ทุ่งซึ่งเขาเลี้ยงสัตว์อยู่ เขาบอกนางทั้งสองว่า “ฉันเห็นว่าท่าทีของพ่อเธอต่อตัวฉันเปลี่ยนไป แต่พระเจ้าของพ่อฉันสถิตอยู่กับฉัน เธอสองคนก็รู้ว่าฉันพากเพียรทำงานให้พ่อของเธอด้วยสุดกำลัง แต่พ่อของเธอก็ยังบิดพลิ้วผิดสัญญาค่าจ้างของฉันถึงเป็นสิบครั้ง แต่พระเจ้าไม่ทรงยอมให้เขาทำอันตรายฉัน ถ้าเขากล่าวว่า ‘สัตว์ลายด่างจะเป็นค่าจ้างของเจ้า’ สัตว์ทุกตัวในฝูงก็จะตกลูกเป็นลายด่าง และถ้าเขากล่าวว่า ‘สัตว์ลายริ้วจะเป็นค่าจ้างของเจ้า’ สัตว์ทั้งฝูงก็จะตกลูกเป็นลายริ้ว ดังนั้นพระเจ้าจึงทรงยึดเอาฝูงสัตว์จากพ่อของเธอมาประทานแก่ฉัน

10 “ครั้งหนึ่งในฤดูผสมพันธุ์ ฉันฝันไปว่าฉันเงยหน้าขึ้นเห็นแพะตัวผู้ที่กำลังผสมพันธุ์มีลายริ้ว ลายด่าง หรือลายจุด 11 ทูตของพระเจ้ากล่าวกับฉันในฝันว่า ‘ยาโคบเอ๋ย’ ฉันตอบว่า ‘ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่’ 12 และทูตนั้นกล่าวว่า ‘จงเงยหน้าขึ้นดูเถิด แพะผู้ที่กำลังผสมพันธุ์นั้นล้วนมีลายริ้ว ลายด่าง หรือลายจุดเพราะเราได้เห็นทุกอย่างที่ลาบันทำกับเจ้า 13 เราคือพระเจ้าแห่งเบธเอล ที่ซึ่งเจ้าได้เจิมเสาและได้กล่าวปฏิญาณไว้กับเรา บัดนี้เจ้าจงออกจากแผ่นดินนี้ทันทีและกลับไปยังบ้านเกิดเมืองนอนของเจ้า’ ”

14 แล้วราเชลกับเลอาห์ตอบว่า “เรายังมีส่วนแบ่งในมรดกของพ่ออีกหรือ? 15 พ่อไม่ถือว่าเราเป็นเหมือนคนต่างชาติหรอกหรือ? พ่อไม่เพียงแต่ขายเรา แต่ยังใช้เงินส่วนที่เป็นค่าตัวของเราจนหมด 16 แน่ทีเดียวทรัพย์สมบัติทั้งสิ้นที่พระเจ้าทรงเอามาจากพ่อเป็นของเรากับลูกๆ ฉะนั้นเชิญท่านทำทุกอย่างตามที่พระเจ้าตรัสสั่งเถิด”

17 แล้วยาโคบจึงให้ลูกๆ กับภรรยาขึ้นอูฐ 18 ตัวเขาก็ต้อนฝูงสัตว์ทั้งหมดไปข้างหน้าเขา พร้อมกับสิ่งของต่างๆ ซึ่งเขาสะสมไว้ได้ที่ปัดดานอารัม ออกเดินทางกลับไปหาอิสอัคบิดาของเขาในแผ่นดินคานาอัน

19 เมื่อลาบันออกไปตัดขนแกะ ราเชลก็ขโมยเหล่าเทวรูปประจำบ้านของบิดาติดตัวไปด้วย 20 ยิ่งกว่านั้นยาโคบหลอกลวงลาบันชาวอารัมโดยการไม่บอกว่าเขากำลังจะหนีไป 21 เขาจึงลอบหนีไปพร้อมกับข้าวของทั้งหมดที่มี เมื่อข้ามแม่น้ำยูเฟรติสแล้ว เขาก็มุ่งหน้าไปยังแดนเทือกเขากิเลอาด

ลาบันไล่ตามยาโคบ

22 สามวันต่อมามีคนบอกลาบันให้รู้ว่ายาโคบหนีไปแล้ว 23 เขาจึงพาญาติพี่น้องตามล่ายาโคบไปเป็นเวลาเจ็ดวัน และตามมาทันที่แดนเทือกเขากิเลอาด 24 คืนนั้นพระเจ้าทรงปรากฏแก่ลาบันคนอารัมในความฝันและตรัสว่า “ไม่ว่าอะไรก็ตาม จงระวัง อย่าพูดจาคุกคามข่มขู่ยาโคบ”

25 ขณะที่ยาโคบตั้งเต็นท์อยู่ที่แดนเทือกเขากิเลอาด ลาบันก็ตามมาทันและลาบันกับญาติพี่น้องก็ตั้งค่ายที่นั่นด้วย 26 แล้วลาบันจึงกล่าวกับยาโคบว่า “ทำไมเจ้าทำอย่างนี้? เจ้าได้หลอกลวงเราและกวาดต้อนลูกสาวของเรามาราวกับเป็นเชลยศึก 27 ทำไมเจ้าต้องแอบหนีมาและหลอกลวงเรา? ทำไมไม่บอกเราเพื่อเราจะได้ส่งเจ้ามาด้วยความยินดีด้วยการร้องเพลงพร้อมกับเล่นพิณและรำมะนา? 28 เจ้าไม่ยอมแม้แต่จะให้เราได้จูบลาลูกหลานบ้างเลย เจ้าได้ทำสิ่งที่โง่เขลา 29 เรามีอำนาจที่จะทำร้ายพวกเจ้า แต่เมื่อคืนนี้พระเจ้าของบิดาเจ้ากล่าวกับเราว่า ‘ไม่ว่าอะไรก็ตาม จงระวัง อย่าพูดจาคุกคามข่มขู่ยาโคบ’ 30 ที่เจ้าจากมาเพราะอยากจะกลับไปบ้านบิดาของเจ้า แต่ทำไมเจ้าจึงขโมยบรรดาเทวรูปของเราไป?”

31 ยาโคบตอบลาบันว่า “ฉันกลัว เพราะฉันคิดว่าท่านจะใช้กำลังพรากลูกสาวของท่านคืนไปจากฉัน 32 แต่ถ้าท่านเจอเทวรูปของท่านอยู่กับใคร เขาจะต้องตาย ท่านจงค้นดูต่อหน้าญาติพี่น้องของเราเอาเองเถิดว่ามีสิ่งใดที่เป็นของท่านอยู่กับฉันหรือไม่ ถ้ามีก็จงเอาไปเถิด” ยาโคบไม่รู้ว่าราเชลได้ขโมยเทวรูปมา

33 ดังนั้นลาบันจึงเข้าไปค้นในเต็นท์ของยาโคบ แล้วเข้าไปในเต็นท์ของเลอาห์ และเต็นท์ของสาวใช้ทั้งสอง แต่เขาไม่พบอะไร หลังจากออกมาจากเต็นท์ของเลอาห์ เขาเข้าไปในเต็นท์ของราเชล 34 ฝ่ายราเชลขโมยเทวรูปประจำบ้านมาไว้ใต้กูบอูฐแล้วนั่งทับไว้ ลาบันค้นจนทั่วเต็นท์แต่ไม่พบอะไร

35 ราเชลพูดกับบิดาของนางว่า “ท่านเจ้าข้า ขออย่าโกรธที่ลูกไม่ได้ยืนขึ้นต้อนรับ เพราะลูกกำลังมีประจำเดือน” ดังนั้นเขาจึงค้นแต่ไม่พบเทวรูปประจำบ้าน

36 ยาโคบก็โกรธและตำหนิลาบันอย่างรุนแรง เขาถามลาบันว่า “ฉันไปก่อเรื่องอะไรไว้หรือ? ฉันไปทำผิดอะไรมา ท่านจึงไล่ล่าฉันอย่างนี้? 37 เมื่อท่านค้นข้าวของทุกอย่างของฉันแล้ว ท่านพบอะไรที่เป็นของท่านบ้าง? จงเอามาวางต่อหน้าญาติของท่านและของฉันเถิด ให้พวกเขาตัดสินเรื่องระหว่างเราทั้งสอง

38 “ฉันอยู่กับท่านมาจนถึงวันนี้ก็ยี่สิบปีแล้ว ฉันไม่เคยทำให้แพะแกะของท่านแท้งลูก ทั้งฉันก็ไม่เคยกินแกะของท่านเลย 39 ตัวไหนถูกสัตว์ร้ายกัดกิน ฉันก็ไม่ได้เอาไปให้ท่าน ฉันรับผิดชอบความสูญเสียนั้นเอง และท่านก็เรียกร้องให้ฉันชดใช้สัตว์ทุกตัวที่ถูกขโมยไป ไม่ว่าจะหายไปตอนกลางวันหรือกลางคืน 40 ตอนกลางวันก็ถูกความร้อนแผดเผา ตอนกลางคืนก็ต้องทนเหน็บหนาวจนหลับตาไม่ได้ 41 เป็นอย่างนี้ตลอดยี่สิบปีที่ฉันอยู่ในครอบครัวของท่าน ฉันทำงานให้ท่านสิบสี่ปีเพื่อจะได้ลูกสาวสองคนของท่าน และอีกหกปีเพื่อจะได้ฝูงสัตว์ และท่านยังเปลี่ยนค่าจ้างของฉันเป็นสิบครั้ง 42 ถ้าพระเจ้าของบรรพบุรุษของฉัน คือพระเจ้าของอับราฮัมและพระเจ้าที่อิสอัคยำเกรงไม่ได้อยู่กับฉัน ท่านก็คงจะให้ฉันมามือเปล่าเป็นแน่ แต่พระเจ้าทอดพระเนตรความยากลำบากและการตรากตรำของฉัน พระองค์จึงทรงว่ากล่าวท่านเมื่อคืนนี้”

43 ลาบันตอบยาโคบว่า “ผู้หญิงเหล่านี้เป็นลูกสาวของเรา เด็กๆ ก็เป็นลูกหลานของเรา ฝูงสัตว์เหล่านี้ก็เป็นฝูงสัตว์ของเรา และทุกอย่างที่เจ้าเห็นอยู่นี้ล้วนเป็นของเรา แต่เราจะทำอะไรลูกสาวของเรา และลูกๆ ที่พวกนางให้กำเนิดได้เล่า? 44 มาเถิดให้เราทำสนธิสัญญาระหว่างเจ้ากับเรา ให้เป็นพยานหลักฐานระหว่างเราทั้งสอง”

45 ดังนั้นยาโคบจึงเอาหินก้อนหนึ่งตั้งขึ้นเป็นเสา 46 แล้วเขาบอกกับญาติว่า “รวบรวมก้อนหินมา” ดังนั้นพวกเขาก็เอาหินมากองรวมกันเป็นพะเนิน และพวกเขาก็รับประทานอาหารด้วยกันข้างกองหินนั้น 47 ลาบันเรียกกองหินนั้นว่าเยการ์สหดูธา[a] และยาโคบเรียกว่ากาเลเอด[b]

48 ลาบันกล่าวว่า “ในวันนี้กองหินนี้จะเป็นพยานระหว่างเรากับเจ้า” นี่เป็นเหตุที่กองหินนั้นได้ชื่อว่ากาเลเอด 49 ทั้งมีชื่อว่ามิสปาห์[c]ด้วย เพราะเขากล่าวว่า “ขอให้องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเฝ้าดูเรากับเจ้าเมื่อเราจากกันไป 50 ถ้าเจ้าข่มเหงบรรดาลูกสาวของเราหรือมีภรรยาใหม่นอกจากลูกสาวของเรา ถึงแม้ไม่มีใครอยู่กับเรา ก็ขอให้จำไว้ว่าพระเจ้าทรงเป็นพยานระหว่างเจ้ากับเรา”

51 ลาบันกล่าวกับยาโคบด้วยว่า “นี่เป็นกองหินและเสาซึ่งเราตั้งไว้ระหว่างเรากับเจ้า 52 กองหินนี้เป็นพยานและเสานี้เป็นพยานว่า เราจะไม่ล่วงล้ำผ่านกองหินไปทางเขตแดนของเจ้าเพื่อทำร้ายเจ้า และเจ้าก็จะไม่ล่วงล้ำผ่านกองหินและเสานี้มาทางเขตแดนของเราเพื่อทำอันตรายเรา 53 ขอให้พระเจ้าของอับราฮัมและเทพเจ้าของนาโฮร์ คือบรรดาพระของบรรพบุรุษ[d]ของพวกเขา ทรงตัดสินระหว่างเราและเจ้า”

ดังนั้นยาโคบจึงกล่าวปฏิญาณในพระนามพระเจ้าผู้ซึ่งอิสอัคบิดาของตนยำเกรง 54 เขาถวายเครื่องบูชาที่นั่น ที่เทือกเขานั้นและเชิญญาติพี่น้องรับประทานอาหาร หลังจากรับประทานอาหารแล้วก็พักค้างคืนที่นั่น

55 เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น ลาบันจูบอำลาและให้พรลูกหลานแล้วก็เดินทางกลับบ้าน

Footnotes

  1. 31:47 เป็นคำภาษาอารเมคแปลว่ากองพยาน
  2. 31:47 เป็นคำภาษาฮีบรูแปลว่ากองพยาน
  3. 31:49 แปลว่าหอสังเกตการณ์
  4. 31:53 หรือพระเจ้าของอับราฮัมและของนาโฮร์ พระเจ้าของบรรพบุรุษ

ยาโคบหลบหนีจากลาบัน

31 ยาโคบได้ยินพวกลูกชายของลาบันคุยกันว่า “ยาโคบเอาทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นของพ่อพวกเราไปหมดแล้ว และที่เขาร่ำรวยอยู่นี้ ก็มาจากของพ่อพวกเราทั้งนั้น” แล้วยาโคบสังเกตเห็นสีหน้าและแววตาของลาบันที่มีต่อเขานั้นเปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิม แล้วพระยาห์เวห์พูดกับยาโคบว่า “กลับไปยังแผ่นดินของบรรพบุรุษเจ้าและครอบครัวของเจ้าได้แล้ว เราจะอยู่กับเจ้า”

ยาโคบจึงเรียกคนไปตามราเชลและเลอาห์ให้มาเจอกันที่ฝูงสัตว์ในท้องทุ่ง ยาโคบบอกกับพวกเขาว่า “พี่สังเกตเห็นสีหน้าของพ่อพวกน้องที่มีต่อพี่นั้นเปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิม แต่พระเจ้าของพ่อพี่อยู่กับพี่ น้องก็รู้ว่าพี่ได้ทำงานให้กับพ่อของน้องอย่างเต็มที่ แต่พ่อของน้องโกงพี่ และเปลี่ยนแปลงค่าแรงของพี่เป็นสิบครั้งแล้ว แต่พระเจ้าไม่ปล่อยให้เขาทำร้ายพี่หรอก

ถ้าลาบันพูดว่า ‘สัตว์ทุกตัวที่เป็นจุดจะเป็นค่าจ้างของเจ้า’ สัตว์ทุกตัวก็ออกลูกมาเป็นจุด ถ้าเขาพูดว่า ‘สัตว์ทุกตัวที่เป็นลายจะเป็นค่าจ้างของเจ้า’ สัตว์ทุกตัวก็ออกลูกมาเป็นลาย พระเจ้าได้เอาฝูงสัตว์ของพ่อน้องไป และเอามาให้กับพี่

10 ในช่วงฤดูที่สัตว์ผสมพันธุ์กันนั้น พี่ได้ฝันเห็นฝูงแพะตัวผู้ที่กำลังผสมพันธุ์กันนั้นเป็นจุด เป็นด่าง และมีลายตามตัว 11 และทูตสวรรค์ของพระเจ้าพูดกับพี่ในความฝันว่า ‘ยาโคบ’ แล้วพี่ก็ตอบว่า ‘ผมอยู่นี่ครับ’

12 ทูตสวรรค์พูดว่า ‘มองดูสิ แพะตัวผู้ทุกตัวที่กำลังผสมพันธุ์กันนั้นมีลาย เป็นจุดและเป็นด่าง เพราะเราได้เห็นทุกสิ่งทุกอย่างที่ลาบันได้ทำกับเจ้า 13 เราเป็นพระเจ้าแห่งเบธเอลที่ที่เจ้าได้เจิมเสาหิน และที่ที่เจ้าได้สาบานกับเรา บัดนี้ ลุกขึ้น และไปจากที่นี่ซะ และกลับไปยังแผ่นดินของครอบครัวเจ้า’”

14 แล้วราเชลและเลอาห์ตอบยาโคบว่า “พ่อของเราไม่มีอะไรเหลือให้กับเราทั้งสองคนแล้วเมื่อเขาตาย 15 เขาทำกับเราเหมือนคนต่างชาติ เพราะเขาได้ขายเราให้กับพี่ แล้วใช้เงินที่ควรจะเป็นของเราไปจนหมดแล้ว 16 ความมั่งคั่งทั้งหมดที่พระเจ้าได้เอาไปจากพ่อของเรา อันที่จริงแล้วมันเป็นของเราและลูกๆของเรา ตอนนี้ให้พี่ทำทุกอย่างตามที่พระเจ้าบอกพี่เถิด”

17 แล้วยาโคบก็ลุกขึ้น และให้พวกลูกเมียของเขาขึ้นขี่อูฐ 18 แล้วยาโคบได้ต้อนพวกสัตว์เลี้ยงทั้งหมด รวมทั้งเอาทรัพย์สินทั้งหมดที่เขาหาได้ตอนที่อยู่ปัดดาน อารัม เดินทางไปหาอิสอัคพ่อของเขาในแผ่นดินคานาอัน

19 ในเวลานั้นลาบันได้ออกไปตัดขนแกะจากฝูงแกะของเขา และราเชลได้ขโมยพวกพระประจำครอบครัวของพ่อนางไปด้วย

20 ยาโคบหลอกลาบันชาวอารัม คือไม่ยอมบอกลาบันว่าเขากำลังจะจากไป 21 ยาโคบรีบหนีไปพร้อมกับทุกอย่างที่เขามี เขาเริ่มออกเดินทางและข้ามแม่น้ำยูเฟรติส มุ่งหน้าไปยังแถบเนินเขากิเลอาด

22 ในวันที่สาม มีคนมาบอกลาบันว่ายาโคบได้หลบหนีไปแล้ว

23 ลาบันจึงพาญาติพี่น้องออกไล่ตามยาโคบไปถึงเจ็ดวัน และก็ตามยาโคบทันที่แถบเนินเขากิเลอาด 24 ในคืนนั้นพระเจ้าได้มาหาลาบันชาวอารัมในความฝัน พระองค์พูดกับลาบันว่า “ระวังให้ดี อย่าได้ขู่ทำร้ายยาโคบ[a]

การค้นหาพวกพระที่ถูกขโมยมา

25 ลาบันได้ไล่ตามยาโคบมาทัน ยาโคบตั้งเต็นท์อยู่ในแถบเนินเขา และลาบันได้ตั้งเต็นท์ของเขาอยู่ในแถบเนินเขากิเลอาด

26 ลาบันพูดกับยาโคบว่า “นี่เจ้าทำอะไรลงไป เจ้าหลอกลวงลุงทำไม และเจ้าได้พาลูกสาวของลุงหนีมาเหมือนเชลยศึก 27 ทำไมเจ้าต้องหลบหนีมา และหลอกลวงไม่ยอมบอกลุง ถ้าเจ้าบอกลุง ลุงจะได้จัดงานเลี้ยงส่งเจ้าอย่างสนุกสนานครื้นเครงด้วยเสียงเพลงจากกลองรำมะนาและพิณ[b] 28 เจ้ายังไม่ให้ลุงจูบลาพวกหลานๆและลูกสาวของลุงด้วย เจ้าทำตัวโง่จริงๆ 29 ลุงมีอำนาจที่จะทำร้ายพวกเจ้า แต่เมื่อคืนนี้พระเจ้าของพ่อเจ้าได้มาบอกกับลุงว่า ‘ระวังให้ดี อย่าได้ขู่ทำร้ายยาโคบ’ 30 แต่ตอนนี้ เจ้าก็ได้จากมาแล้ว เพราะคิดถึงบ้านของพ่อเจ้ามาก แต่ทำไมเจ้าถึงต้องขโมยพวกพระประจำบ้านของลุงมาด้วย”

31 ยาโคบตอบลาบันว่า “ที่ผมต้องหนีมาก็เพราะผมกลัว เพราะผมคิดว่าลุงจะต้องยึดเอาลูกสาวทั้งสองคนของลุงคืนไปจากผมแน่ 32 แต่ถ้าลุงเจอพระของลุงอยู่กับใคร คนๆนั้นจะต้องตาย ให้พวกญาติๆของลุงเป็นพยาน ชี้เลยถ้าลุงเห็นอะไรที่เป็นของลุงแล้วมาอยู่ที่นี่กับผม ลุงเอากลับไปได้เลย” แต่ยาโคบไม่รู้ว่าราเชลได้ขโมยพระพวกนั้นมา

33 ลาบันจึงเข้าไปในเต็นท์ของยาโคบ ของเลอาห์ และของสาวใช้ทั้งสองคนด้วย แต่หาไม่เจอ แล้วลาบันออกจากเต็นท์ของเลอาห์ แล้วเข้าไปในเต็นท์ของราเชล 34 ตอนนั้นราเชลได้เอาพระพวกนั้นไปซ่อนไว้ในอานอูฐ และนั่งทับพวกมันไว้ ลาบันคลำหาไปทั่วเต็นท์แต่ไม่พบ

35 ราเชลพูดกับพ่อว่า “อย่าโกรธฉันเลยนะพ่อ ที่ฉันไม่ได้ยืนขึ้นมาต้อนรับพ่อ เพราะฉันกำลังมีประจำเดือนอยู่” ลาบันได้ค้นหาจนทั่ว แต่ไม่พบพระประจำบ้านพวกนั้น 36 ยาโคบจึงโกรธ และได้ต่อว่าลาบัน ยาโคบถามลาบันว่า “ผมได้ทำผิดอะไรร้ายแรงหรือ ผมได้ทำบาปอะไรลงไป ลุงถึงได้ไล่ตามผมมาอย่างนี้ 37 ถึงแม้ว่าลุงได้คลำหาของๆผมจนทั่วแล้ว ลุงก็หาอะไรที่เป็นของลุงไม่พบเลยสักชิ้น ถ้าพบก็เอามันออกมาวางต่อหน้าญาติของผมและญาติของลุงเลย แล้วให้พวกเขาตัดสินระหว่างเราสองคน 38 ตลอดยี่สิบปีที่ผมอยู่กับลุง แกะและแพะตัวเมียสักตัวก็ไม่เคยแท้งลูก และผมก็ไม่เคยกินแกะตัวผู้จากฝูงของลุงเลย 39 ทุกครั้งที่สัตว์ของลุงถูกสัตว์ป่ากัดกิน ผมก็ยอมชดใช้ค่าเสียหายเอง ไม่เคยเอาซากมาให้ลุงดู แล้วบอกว่าผมไม่ผิด ลุงให้ผมต้องรับผิดชอบอยู่ดี ไม่ว่ามันจะถูกขโมยไปจากผมตอนกลางวันหรือกลางคืน 40 ในตอนกลางวันผมถูกแสงแดดแผดเผาจนหมดแรง ในตอนกลางคืนผมก็หนาวเหน็บจนนอนไม่หลับ 41 ตลอดยี่สิบปีนี้ที่ผมอยู่ในบ้านของลุง ผมได้ทำงานอย่างหนัก สิบสี่ปีแรกเพื่อแลกกับลูกสาวสองคนของลุง และอีกหกปีหลังเพื่อฝูงสัตว์ของลุง และลุงก็เปลี่ยนค่าจ้างของผมเป็นสิบครั้ง 42 ถ้าพระเจ้าของพ่อผม พระเจ้าของอับราฮัม พระองค์ผู้ที่อิสอัคเกรงกลัว[c] ไม่ได้อยู่ฝ่ายผมแล้วละก็ ตอนนี้ลุงคงส่งผมกลับไปมือเปล่าแน่ๆ พระเจ้าได้เห็นถึงความยากลำบากและงานหนักที่ผมลงมือทำ พระองค์ถึงได้เตือนลุงเมื่อคืนนี้”

ยาโคบกับลาบันทำข้อตกลงกัน

43 แล้วลาบันตอบยาโคบว่า “พวกลูกสาวนี้ก็เป็นลูกสาวของลุง พวกเด็กนี้ก็เป็นเด็กของลุง ฝูงสัตว์พวกนั้นก็เป็นฝูงสัตว์ของลุง ทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าเห็นก็เป็นของลุงทั้งนั้น แต่วันนี้ลุงจะทำอะไรได้กับลูกสาวพวกนี้ของลุง หรือเด็กๆที่พวกเขาเกิดมา 44 มาเถิด ให้เรามาทำข้อตกลงกันระหว่างเจ้ากับลุง[d] และขอให้มีพยานระหว่างเจ้ากับลุง” 45 ยาโคบได้เอาหินมาก้อนหนึ่งตั้งขึ้นเป็นแท่งหิน 46 แล้วยาโคบก็พูดกับญาติๆของเขาว่า “ไปเก็บก้อนหินมารวมกันที่นี่” แล้วพวกเขาได้ไปเก็บก้อนหินมารวมกันจนเป็นกอง แล้วพวกเขาได้กินอาหารกันข้างกองหินนั้น 47 ลาบันจึงเรียกสถานที่นั้นว่า “เยการ์สหดูธา”[e] ส่วนยาโคบเรียกมันว่า “กาเลเอด”[f] 48 แล้วลาบันพูดว่า “ในวันนี้ กองหินนี้ได้เป็นพยานระหว่างเจ้ากับลุง” ดังนั้นมันจึงมีชื่อเรียกว่า “กาเลเอด” 49 และ “มิสปาห์”[g] เพราะลาบันพูดว่า “ขอให้พระยาห์เวห์เฝ้าดูระหว่างเจ้ากับลุง ตอนที่เราแยกจากกัน 50 ถ้าเจ้าทำร้ายลูกสาวทั้งสองคนของลุง หรือถ้าเจ้าเอาเมียอื่นอีกนอกเหนือจากลูกสาวของลุง ถึงแม้จะไม่มีใครอยู่กับพวกเราก็ตาม ให้จำไว้ว่าพระเจ้าได้เป็นพยานระหว่างเจ้ากับลุง” 51 ลาบันพูดกับยาโคบว่า “ดูกองหินและเสาหินที่เราได้ตั้งขึ้นมาไว้ระหว่างเราสิ 52 กองหินนี้ก็เป็นพยาน เสาหินนี้ก็เป็นพยาน ว่าลุงจะไม่ข้ามกองหินนี้ไปฝั่งเจ้า และเจ้าก็จะไม่ข้ามกองหินและเสาหินนี้มาฝั่งลุง เพื่อทำร้ายกัน 53 ขอให้พระเจ้าของอับราฮัมและพระเจ้าของนาโฮร์ (พระเจ้าของบรรพบุรุษของพวกเขา) ตัดสินระหว่างเรา”

ยาโคบได้สาบานในนามของผู้ที่อิสอัคพ่อของเขาเกรงกลัว 54 แล้วยาโคบได้ถวายเครื่องบูชาบนภูเขานั้น และเชิญญาติๆของเขามาร่วมกินอาหารกัน พวกเขาก็ได้มากินอาหารกัน และค้างคืนอยู่บนภูเขานั้น 55 ลาบันตื่นแต่เช้าตรู่ และจูบลาหลานๆและลูกสาวทั้งสองคน และเขาก็อวยพรให้กับพวกเขา แล้วลาบันได้เดินทางกลับไปยังบ้านของตน

Footnotes

  1. 31:24 อย่าได้ขู่ทำร้ายยาโคบ หรือแปลได้อีกอย่างหนึ่งว่า “ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น ไม่ว่าจะดีหรือไม่ดีก็ตาม”
  2. 31:27 ด้วยเสียงเพลงจากกลองรำมะนาและพิณ เหมือนพิธีต้อนรับของชาวไทยที่มักมีขบวนรำกลองยาวและคอยต้อนรับ
  3. 31:42 พระองค์ผู้ที่อิสอัคเกรงกลัว หรืออาจจะแปลได้อีกว่า “พระเจ้าอันน่าเกรงขามของอิสอัค”
  4. 31:44 ทำข้อตกลงกันระหว่างเจ้ากับลุง หรือ “และให้ข้อตกลงนี้เป็นพยานระหว่างพวกเรา”
  5. 31:47 เยการ์สหดูธา ในภาษาอารเมค หมายถึง “กองหินแห่งข้อตกลง”
  6. 31:47 กาเลเอด ในภาษาฮีบรู หมายถึง “กองหินเตือนใจ”
  7. 31:49 มิสปาห์ คำนี้หมายถึง “หอคอยสำหรับเฝ้าดู”