Add parallel Print Page Options

พระวิญญาณบริสุทธิ์มาด้วยฤทธิ์เดช

เมื่อถึงวันเพ็นเทคอสต์ พวกศิษย์ของพระเยซูก็มารวมตัวกันในที่แห่งหนึ่ง จู่ๆก็มีเสียงจากท้องฟ้าคล้ายกับเสียงพายุพัดอย่างแรง ดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วบ้านที่พวกเขากำลังนั่งกันอยู่ จากนั้นพวกเขาก็เห็นบางอย่างคล้ายเปลวไฟที่มีรูปร่างเหมือนลิ้นได้กระจายออกไปอยู่เหนือพวกเขาแต่ละคน แล้วพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ได้เข้าไปอยู่ในตัวพวกเขาอย่างบริบูรณ์ แล้วพวกเขาทุกคนก็เริ่มพูดภาษาต่างๆตามแต่ที่พระวิญญาณบริสุทธิ์จะให้เขาพูดได้

ชาวยิวที่นับถือพระเจ้าจากชาติต่างๆทั่วโลก มาอยู่ในเมืองเยรูซาเล็มเวลานั้น เมื่อได้ยินเสียงอื้ออึง ก็มามุงดูกัน และต่างก็รู้สึกงุนงงสงสัยที่พวกเขาต่างก็ได้ยินศิษย์ของพระเยซูพวกนี้พูดภาษาของพวกเขา พวกเขาทึ่งมากถึงกับพูดว่า “คนพวกนี้เป็นชาวกาลิลีทั้งนั้นเลยไม่ใช่หรือ แล้วทำไมพวกเราถึงได้ยินเขาพูดภาษาบ้านเกิดเมืองนอนของพวกเราล่ะ ซึ่งมีทั้งมาจาก ปารเธีย มีเดีย เอลาม เมโสโปเตเมีย ยูเดีย คัปปาโดเซีย ปอนทัส เอเชีย 10 ฟรีเจียและปัมฟีเลีย อียิปต์และบางส่วนของลิเบียใกล้กับเมืองไซรีน แขกที่มาเยือนจากกรุงโรม 11 (มีทั้งยิวโดยกำเนิด กับคนที่เปลี่ยนมาถือแบบยิว) เกาะครีต และอาระเบีย แล้วเราทั้งหมดต่างก็ได้ยินคนพวกนี้พูดถึงสิ่งยอดเยี่ยมต่างๆที่พระเจ้าได้ทำเป็นภาษาบ้านเกิดเมืองนอนของพวกเราเอง” 12 ผู้คนทั้งหมดรู้สึกสับสนอลหม่าน ถามไถ่กันว่า “นี่มันอะไรกัน” 13 บางคนหัวเราะเยาะศิษย์ของพระเยซู โดยพูดว่า “พวกนี้เมาเหล้าองุ่น”

เปโตรอธิบายให้คนฟัง

14 แล้วเปโตรก็ยืนขึ้นพร้อมกับศิษย์เอกอีกสิบเอ็ดคน เขาตะเบ็งเสียงดังต่อหน้าคนพวกนั้นว่า “เพื่อนๆชาวยิวและทุกคนที่อาศัยอยู่ในเมืองเยรูซาเล็ม ตั้งใจฟังให้ดีในเรื่องที่ผมจะเล่านี้ 15 คนพวกนี้ไม่ได้เมาอย่างที่พวกคุณคิดหรอกนะ ตอนนี้เพิ่งจะเก้าโมงเช้าเอง 16 แต่สิ่งที่คุณเห็นนี้ เป็นสิ่งที่โยเอลผู้พูดแทนพระเจ้า ได้พูดไว้ว่า

17 ‘พระเจ้าพูดว่า ในช่วงสุดท้ายนั้น
เราจะเทพระวิญญาณของเราลงบนมนุษย์ทุกคน
    ทั้งบุตรชายและบุตรสาวของพวกเจ้าจะพูดแทนเรา
    คนหนุ่มจะเห็นภาพนิมิต
    คนแก่จะมีความฝันพิเศษ
18 ในช่วงนั้น เราจะเทพระวิญญาณของเราลงบนทาสของเราทั้งชายและหญิง
    และเขาเหล่านั้นจะพูดแทนเรา
19 เราจะแสดงสิ่งมหัศจรรย์ในท้องฟ้าเบื้องบนและสิ่งอัศจรรย์ในโลกเบื้องล่าง
    ได้แก่เลือด ไฟและหมอกควันหนาทึบ
20 ดวงอาทิตย์จะมืดมิด ส่วนดวงจันทร์จะเป็นสีเลือด
    ก่อนจะถึงวันอันยิ่งใหญ่และรุ่งโรจน์ขององค์เจ้าชีวิต
21 แล้วทุกคนที่ร้องขอความช่วยเหลือจากองค์เจ้าชีวิต ก็จะได้รับความรอด’”[a]

22 “ฟังให้ดีชาวอิสราเอลทั้งหลาย พระเจ้าได้แสดงให้พวกคุณเห็นชัดว่า พระเยซูชาวนาซาเร็ธเป็นคนพิเศษ เพราะพระเจ้าได้ให้อำนาจกับพระองค์ที่จะทำอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ และการอัศจรรย์มากมายท่ามกลางพวกคุณ อย่างที่พวกคุณรู้กันอยู่แล้ว 23 พระเจ้าได้วางแผนไว้ก่อนล่วงหน้าแล้ว ที่จะมอบพระเยซูให้กับพวกคุณ พวกคุณได้ฆ่าพระองค์ด้วยความช่วยเหลือของพวกคนชั่วนอกกฎหมาย คือได้ตรึงพระองค์ไว้ที่กางเขน 24 แต่พระเจ้าได้ทำให้พระเยซูฟื้นขึ้นมาใหม่ และทำให้พระองค์เป็นอิสระจากความตาย เพราะความตายไม่สามารถที่จะยึดพระเยซูไว้ได้

25 กษัตริย์ดาวิดได้พูดถึงพระองค์ว่า

‘เราเห็นองค์เจ้าชีวิตอยู่ต่อหน้าเราเสมอ
    เราจะไม่หวั่นกลัวเพราะพระองค์อยู่ที่ขวามือของเรา
26 เพราะอย่างนี้นี่เอง หัวใจของเราถึงเบิกบาน
    และคำพูดของเราก็ชื่นชมยินดี
    แม้แต่ร่างกายของเราก็เต็มไปด้วยความหวัง
27 เพราะพระองค์จะไม่ทิ้งเราไว้ในแดนคนตาย
    พระองค์จะไม่ยอมให้องค์ผู้ศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์นั้นเน่าเปื่อย
28 พระองค์ทำให้เรารู้จักทางที่นำไปสู่ชีวิต
    และจะทำให้เรามีความสุขอย่างเต็มที่เมื่ออยู่ต่อหน้าพระองค์’[b]

29 พี่น้องทั้งหลาย ผมมั่นใจว่าดาวิดผู้เป็นบรรพบุรุษของเรา ไม่ได้พูดถึงตัวเองเพราะเขาได้ตายไปแล้ว และหลุมฝังศพของเขาก็อยู่ในเมืองนี้จนถึงทุกวันนี้ 30 แต่ดาวิดเป็นผู้พูดแทนพระเจ้า และเขาก็รู้ว่าพระเจ้าได้ให้คำมั่นสัญญาว่าลูกหลานของดาวิดคนหนึ่งจะได้ขึ้นเป็นกษัตริย์เหมือนเขา 31 ดาวิดก็รู้เหตุการณ์นี้ล่วงหน้า เขาพูดถึงการฟื้นคืนชีพของกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่องค์นั้นว่า

‘เขาไม่ได้ถูกทิ้งอยู่ในแดนคนตาย
    และร่างกายของเขาก็ไม่เน่าเปื่อย’[c]

32 พระเจ้าทำให้พระเยซูฟื้นขึ้นจากความตาย พวกเราทั้งหมดต่างก็เห็นเป็นพยานในเรื่องนี้ 33 พระเยซูถูกรับขึ้นไปนั่งอยู่ทางขวามือของพระเจ้า พระเจ้าก็มอบพระวิญญาณบริสุทธิ์ให้กับพระเยซูตามที่สัญญาไว้ และพระเยซูก็เทพระวิญญาณนี้ลงบนพวกเรา อย่างที่พวกคุณได้เห็นและได้ยินอยู่ตอนนี้ 34 ดังนั้นดาวิดเองไม่ได้ถูกรับขึ้นไปบนสวรรค์ แต่ตัวดาวิดเองได้พูดว่า

‘พระเจ้า องค์เจ้าชีวิต ได้พูดกับพระคริสต์ องค์เจ้าชีวิตของเราว่า
นั่งลงทางขวามือของเรา
35     จนกว่าเราจะปราบศัตรูของท่านให้สยบลงเป็นที่วางเท้าของท่าน’[d][e]

36 ดังนั้นขอให้ชาวอิสราเอลทั้งหลายรู้แน่นอนว่า พระเจ้าได้ตั้งพระเยซูคนที่พวกคุณตรึงไว้ที่กางเขน ให้เป็นทั้งองค์เจ้าชีวิตและพระคริสต์”

37 เมื่อคนพวกนั้นได้ยินอย่างนี้ ก็รู้สึกเหมือนถูกแทงทะลุใจ พวกเขาจึงพูดกับเปโตรและศิษย์เอกคนอื่นๆว่า “พี่ๆน้องๆ พวกเราจะทำอย่างไรดี”

38 เปโตรพูดกับพวกเขาว่า “กลับตัวกลับใจเสียใหม่ และเข้าพิธีจุ่มน้ำในนามของพระเยซูผู้เป็นพระคริสต์ เพื่อพระเจ้าจะได้ยกโทษความผิดบาปของคุณ แล้วคุณก็จะได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นของขวัญ 39 เพราะนี่เป็นสิ่งที่พระเจ้าสัญญาไว้กับพวกคุณ ลูกหลานของคุณ และทุกคนที่อยู่ห่างไกล คำสัญญานี้มีไว้สำหรับทุกคนที่องค์เจ้าชีวิตพระเจ้าของเราจะเรียกมา” 40 แล้วเปโตรได้เตือนพวกเขาอีกหลายเรื่องด้วยกัน และได้ขอร้องเขาว่า “ให้เอาตัวรอดจากโทษที่จะเกิดขึ้นกับสังคมที่ชั่วร้ายของยุคนี้” 41 คนทั้งหลายที่ยอมรับสิ่งที่เปโตรพูดได้เข้าพิธีจุ่มน้ำ และในวันนั้นจำนวนศิษย์ของพระเยซู จึงได้เพิ่มขึ้นอีกราวสามพันคน 42 พวกเขาได้ทุ่มเทเวลาในการฟังคำสั่งสอนของพวกศิษย์เอก ในการมาร่วมประชุมกัน ในการหักขนมปังกัน[f] และในการอธิษฐานกัน

การแบ่งปันในหมู่ผู้ศรัทธา

43 ทุกคนเกิดความเกรงกลัว เพราะพวกศิษย์เอกทำสิ่งมหัศจรรย์และการอัศจรรย์หลายอย่าง 44 พวกศิษย์ของพระเยซูได้พบกันอย่างสม่ำเสมอ และเอาข้าวของทั้งหมดที่ตนเองมีอยู่ออกมาแบ่งปันกัน 45 พวกเขาเอาที่ดินและข้าวของต่างๆไปขาย แล้วนำเงินมาแบ่งให้กับคนที่มีความจำเป็นต้องใช้ 46 พวกศิษย์เหล่านี้จะไปประชุมร่วมกันในวิหารทุกๆวัน พวกเขาจะหักขนมปังกันตามบ้านของตน และแบ่งปันอาหารกันกินด้วยความยินดีและเต็มใจ 47 พวกเขาสรรเสริญพระเจ้า และทุกคนก็ชื่นชอบพวกเขา แล้วองค์เจ้าชีวิตก็เพิ่มจำนวนคนที่พระองค์ได้ช่วยให้รอดเข้ามาในกลุ่มของศิษย์พวกนี้ทุกๆวัน

Footnotes

  1. 2:17-21 อ้างมาจากหนังสือ โยเอล 2:28-32
  2. 2:25-28 อ้างมาจากหนังสือ สดุดี 16:8-11
  3. 2:31 อ้างมาจากหนังสือ สดุดี 16:10
  4. 2:35 จนกว่าเรา … ที่วางเท้าของท่าน มีความหมายอีกอย่างว่า “จนกว่าเราจะทำให้ศัตรูของท่านอยู่ใต้อำนาจท่าน”
  5. 2:34-35 อ้างมาจากหนังสือ สดุดี 110:1
  6. 2:42 หักขนมปังกัน อาจหมายถึงอาหารมื้อหนึ่งหรืออาหารมื้อค่ำขององค์เจ้าชีวิต ซึ่งเป็นอาหารมื้อพิเศษ ที่พระเยซูบอกให้ศิษย์ของพระองค์กินเพื่อระลึกถึงพระองค์ (ลูกา 22:14-20)

ผู้ที่เชื่อเปี่ยมล้นด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์

เมื่อถึงวันเทศกาลเพ็นเทคศเต[a] ขณะที่พี่น้องทั้งหลายรวมตัวกันอยู่ในที่แห่งเดียวกัน ในทันใดนั้นมีเสียงเหมือนลมพัดกล้าจากฟ้าสวรรค์ ดังก้องทั่วบ้านที่พวกเขากำลังนั่งกันอยู่ มีเปลวไฟรูปร่างเหมือนลิ้นปรากฏขึ้น และกระจายแยกออกไปอยู่เหนือพวกเขาแต่ละคน ทุกคนจึงเปี่ยมล้นด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ และเริ่มพูดภาษาที่ตนไม่รู้จัก ตามแต่พระวิญญาณบริสุทธิ์โปรดให้พูด

มีกลุ่มชาวยิวจากทั่วทุกมุมโลกที่อาศัยอยู่ในเมืองเยรูซาเล็ม คนเหล่านี้ล้วนเกรงกลัวในพระเจ้า เมื่อบังเกิดเสียงอย่างนั้น คนกลุ่มใหญ่จึงพากันเข้ามาและต่างก็ฉงนสนเท่ห์ เพราะแต่ละคนได้ยินพวกเขาพูดภาษาของตน คนทั้งปวงล้วนแต่อัศจรรย์ใจยิ่งนัก จึงถามกันว่า “พวกคนที่กำลังพูดอยู่นี้เป็นชาวกาลิลีมิใช่หรือ แล้วเป็นไปได้อย่างไร ที่พวกเราแต่ละคนได้ยินภาษาของเราเอง ชาวปาร์เธีย มีเดีย และชาวเอลาม คนที่อยู่ในเขตแดนเมโสโปเตเมีย แคว้นยูเดีย แคว้นคัปปาโดเซีย แคว้นปอนทัสและเอเชีย 10 แคว้นฟรีเจีย แคว้นปัมฟีเลีย ประเทศอียิปต์ และบางส่วนของลิเบียใกล้เมืองไซรีน บ้างก็เป็นชาวโรมซึ่งมาเยือน (คือชาวยิวและพวกที่เคยปฏิบัติตามศาสนาของชาวยิว) 11 อีกทั้งชาวเกาะครีตและชาวอาระเบียด้วย พวกเราได้ยินคนเหล่านั้น กล่าวถึงสิ่งมหัศจรรย์ของพระเจ้าในภาษาของเราเอง” 12 ผู้คนเหล่านั้นพากันอัศจรรย์ใจและฉงนสนเท่ห์ จึงถามกันและกันว่า “นี่มันหมายความว่าอย่างไรกัน” 13 แต่มีบางคนที่ได้ล้อเลียนและพูดว่า “พวกเขาดื่มเหล้าองุ่นมากเกินไป”

เปโตรเทศนาครั้งแรก

14 เปโตรจึงยืนขึ้นพร้อมกับอัครทูตทั้งสิบเอ็ด และกล่าวกับผู้คนด้วยเสียงอันดังว่า “ท่านชาวยิวทั้งหลาย และทุกท่านที่อาศัยอยู่ในเมืองเยรูซาเล็ม ขอให้ข้าพเจ้าได้อธิบายบางสิ่งแก่ท่านเถิด จงฟังสิ่งที่ข้าพเจ้าจะพูดให้ดี 15 ผู้คนเหล่านี้ไม่ได้เมาอย่างที่ท่านคิดกัน แล้วนี่ก็ 9 โมงเช้าเท่านั้น 16 แต่สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ เป็นไปตามคำที่โยเอลผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าได้กล่าวไว้ว่า

17 ‘พระเจ้ากล่าวว่า เมื่อถึงช่วงเวลาแห่งวาระสุดท้าย
    เราจะหลั่งวิญญาณของเราสู่มนุษย์ทั้งหลาย
บุตรชายบุตรหญิงของเจ้าจะเผยคำกล่าวของพระเจ้า
    คนหนุ่มจะเห็นภาพนิมิตต่างๆ
    ผู้เฒ่าจะฝันเห็น
18 แม้แต่ผู้รับใช้ของเราทั้งชายและหญิง
    เราก็จะหลั่งวิญญาณของเราในวาระนั้น
    และเขาเหล่านั้นจะเผยคำกล่าวของพระเจ้า
19 เราจะแสดงสิ่งมหัศจรรย์ต่างๆ ที่ปรากฏในสวรรค์เบื้องบน
    และปรากฏการณ์อัศจรรย์ต่างๆ บนโลกเบื้องล่าง
    จะมีเลือด ไฟ และกลุ่มควัน
20 ดวงอาทิตย์จะกลายเป็นความมืด
    ดวงจันทร์จะกลายเป็นเลือด
ก่อนที่จะถึงวันอันยิ่งใหญ่และงามตระการของพระผู้เป็นเจ้า
21 และทุกคนที่ร้องเรียกพระนามของพระผู้เป็นเจ้าจะรอดพ้น’[b]

22 ชาวอิสราเอลเอ๋ย จงฟังเถิด พระเจ้าได้รับรองให้พระเยซูแห่งเมืองนาซาเร็ธ เป็นผู้สำแดงฤทธานุภาพ สิ่งมหัศจรรย์ และปรากฏการณ์อัศจรรย์ต่างๆ ท่ามกลางท่าน ดังที่ท่านทราบกันอยู่ 23 พระเยซูผู้นี้ถูกมอบให้ท่าน ตามแผนการที่พระเจ้าได้กำหนดไว้ล่วงหน้าและทราบดีมาแต่แรก ท่านได้ประหารพระองค์ พวกคนชั่วร้ายให้ความช่วยเหลือท่านในการตรึงพระองค์บนไม้กางเขน 24 แต่พระเจ้าให้พระองค์ฟื้นคืนชีวิตจากความตาย ปลดปล่อยพระองค์ให้หลุดพ้นจากความเจ็บปวดรวดร้าวแห่งความตาย เพราะความตายไม่อาจฉุดรั้งพระองค์ไว้ได้ 25 ด้วยว่าดาวิดได้กล่าวเกี่ยวกับพระองค์ไว้ว่า

‘ข้าพเจ้าเห็นพระผู้เป็นเจ้าที่ตรงหน้าข้าพเจ้าเสมอ
    ด้วยว่าพระองค์อยู่ทางขวามือของข้าพเจ้า
    จึงไม่มีผู้ใดทำให้ข้าพเจ้าหวั่นไหวได้
26 ฉะนั้น ใจของข้าพเจ้าแสนจะโสมนัส และลิ้นของข้าพเจ้าจึงชื่นชมยินดี
    ร่างกายของข้าพเจ้าก็จะมีชีวิตอยู่ด้วยความหวัง
27 เพราะพระองค์จะไม่ละทิ้งข้าพเจ้าไว้ในแดนคนตาย
    และจะไม่ปล่อยให้องค์ผู้บริสุทธิ์ของพระองค์เปื่อยเน่าไป
28 พระองค์ได้ให้ข้าพเจ้าทราบถึงวิถีทางแห่งชีวิต
    และจะโปรดให้ข้าพเจ้าปิติอย่างมากล้น ณ เบื้องหน้าพระองค์’[c]

29 พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้ากล่าวกับท่านได้อย่างมั่นใจว่า ดาวิดบรรพบุรุษของเราได้ล่วงลับไปแล้ว และถ้ำเก็บศพของท่านก็ยังอยู่ มาจนถึงทุกวันนี้ 30 ท่านเป็นผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้า และทราบว่าพระเจ้าได้ให้คำปฏิญาณว่า พระองค์จะให้ผู้หนึ่งในบรรดาผู้สืบวงศ์ตระกูลครองบัลลังก์ 31 ท่านเห็นว่าเป็นเช่นนั้น ท่านจึงได้กล่าวถึงการฟื้นคืนชีวิตของพระคริสต์ว่า พระองค์จะไม่ถูกทอดทิ้งอยู่ในแดนคนตาย และร่างของพระองค์ก็จะไม่เปื่อยเน่า 32 พระเจ้าได้บันดาลให้พระเยซูพระองค์นี้ฟื้นคืนชีวิต และพวกเราทุกคนก็เป็นพยานในเรื่องจริงนี้ 33 พระองค์ได้รับการเชิดชู ณ เบื้องขวาของพระเจ้า พระบิดาได้มอบพระวิญญาณบริสุทธิ์ตามพระสัญญาให้แก่พระองค์ เพื่อหลั่งให้แก่พวกเรา ดังที่ท่านเห็นและได้ยินกัน 34 ด้วยว่าดาวิดไม่ได้ขึ้นไปสวรรค์แต่ยังได้กล่าวไว้ว่า

‘พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับพระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้าว่า
    “จงนั่งทางด้านขวาของเรา
35 จนกว่าเราจะทำให้พวกศัตรูของเจ้า
    อยู่ใต้เท้า ดั่งที่วางเท้าของเจ้า”’[d]

36 ฉะนั้น ให้ชาวอิสราเอลทั้งปวงตระหนักว่า พระเจ้าให้พระเยซูเป็นทั้งพระผู้เป็นเจ้าและพระคริสต์ ซึ่งพวกท่านได้ตรึงที่ไม้กางเขนแล้ว”

37 เมื่อผู้คนได้ยินแล้วก็รู้สึกเสียดแทงใจ จึงพูดกับเปโตรและอัครทูตอื่นๆ ว่า “พี่น้องทั้งหลาย พวกเราควรจะทำอย่างไรกันดี” 38 เปโตรจึงตอบว่า “พวกท่านทุกๆ คนจงกลับใจและรับบัพติศมาในพระนามของพระเยซูคริสต์ เพื่อรับการยกโทษบาปของท่าน แล้วท่านจะได้รับของประทานคือพระวิญญาณบริสุทธิ์ 39 พระสัญญานี้เป็นของท่าน ของลูกๆ และทุกท่านที่อยู่ห่างไกล และทุกท่านที่พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเราจะเรียกตัว” 40 ท่านได้เตือนผู้คนหลายต่อหลายสิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งได้เตือนว่า “จงให้ตัวท่านเองรอดพ้นจากคนในช่วงกาลเวลาที่คดโกงนี้เถิด” 41 ผู้ที่ยอมรับคำประกาศของเปโตรก็รับบัพติศมา ในวันนั้นมีจำนวนที่เพิ่มขึ้นอีกประมาณ 3,000 คน

ผู้ที่เชื่อพบปะกันอยู่เสมอ

42 ผู้คนเหล่านั้นล้วนใฝ่ใจทั้งในคำสั่งสอนของเหล่าอัครทูต การร่วมสามัคคีธรรม รวมถึงการบิขนมปัง[e] และการอธิษฐาน 43 ทุกคนเกรงกลัวในสิ่งมหัศจรรย์และปรากฏการณ์อัศจรรย์ต่างๆ ที่พวกอัครทูตกระทำ 44 ทุกคนที่เชื่อต่างก็พบปะกันด้วยความใกล้ชิดอยู่เสมอ และแบ่งปันสิ่งของที่ตนมีให้แก่กันและกัน 45 ต่างขายสมบัติพัสถานของตนเอง เพื่อแบ่งปันให้แก่ทุกคนที่ขัดสน 46 เขาเหล่านั้นร่วมประชุมกันต่อไปทุกวันในบริเวณพระวิหาร บิขนมปังรับประทานกันตามบ้านด้วยความยินดีและความจริงใจ 47 ผู้ที่เชื่อพากันสรรเสริญพระเจ้า และคนทั่วไปล้วนชื่นชมไปกับพวกเขาด้วย พระผู้เป็นเจ้าได้เพิ่มจำนวนผู้รอดพ้นให้ทวีขึ้นเป็นประจำทุกวัน

Footnotes

  1. 2:1 เพ็นเทคศเต เป็นภาษากรีก หมายความว่าวันที่ 50 คือ 50 วันหลังจากเทศกาลวันปัสกา และเป็นวันฉลองเทศกาลวันเก็บเกี่ยวข้าวสาลี ฉบับอพยพ 23:16; 34:22; เลวีนิติ 23:15-21; เฉลยธรรมบัญญัติ 16:9-12
  2. 2:21 โยเอล 2:28-32
  3. 2:28 สดุดี 16:8-11
  4. 2:35 สดุดี 110:1
  5. 2:42 การบิขนมปังคงจะรวมถึงการฉลองอาหารมื้อสุดท้ายที่พระเยซูร่วมรับประทานกับสาวกในคืนที่พระองค์ถูกตรึงบนไม้กางเขน

พระวิญญาณเสด็จมาในวันเพ็นเทคอสต์

เมื่อถึงวันเพ็นเทคอสต์ พวกเขาทั้งหมดมารวมอยู่ในที่เดียวกัน ทันใดนั้นก็มีเสียงจากฟ้าสวรรค์เหมือนเสียงพายุกล้าดังก้องไปทั่วทั้งบ้านที่เขานั่งอยู่ พวกเขาเห็นสิ่งที่ดูเหมือนเปลวไฟรูปร่างคล้ายลิ้นกระจายออกและมาอยู่เหนือพวกเขาแต่ละคน ทุกคนเปี่ยมด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์และเริ่มพูดภาษาต่างๆ[a] ตามที่พระวิญญาณทรงโปรดให้พวกเขาสามารถพูดได้

ขณะนั้นมีพวกยิวผู้ยำเกรงพระเจ้าจากทุกชาติทั่วใต้ฟ้าสวรรค์มาพักอยู่ที่เยรูซาเล็ม เมื่อได้ยินเสียงนี้ฝูงชนก็มาชุมนุมกันด้วยความงุนงงสงสัยเพราะแต่ละคนต่างก็ได้ยินพวกเขาพูดภาษาของตน พวกเขาจึงถามด้วยความอัศจรรย์ใจอย่างยิ่งว่า “คนเหล่านี้ที่กำลังพูดอยู่ล้วนเป็นชาวกาลิลีไม่ใช่หรือ? แล้วเหตุใดเราแต่ละคนจึงได้ยินพวกเขาพูดภาษาท้องถิ่นของเรา? ไม่ว่าชาวปารเธีย ชาวมีเดีย และชาวเอลาม คนที่อยู่ในแถบเมโสโปเตเมีย ยูเดีย คัปปาโดเซีย ปอนทัสและเอเชีย 10 ฟรีเจียและปัมฟีเลีย อียิปต์และส่วนต่างๆ ของลิเบียแถวไซรีน ผู้มาเยือนจากกรุงโรม 11 (ทั้งชาวยิวกับผู้เข้าจารีตยิว) ชาวเกาะครีต และชาวอาหรับ พวกเราได้ยินเขาประกาศความอัศจรรย์ของพระเจ้าด้วยภาษาของเราเอง!” 12 เขาทั้งหลายล้วนอัศจรรย์ใจและฉงนสนเท่ห์จึงถามกันว่า “นี่หมายความว่าอย่างไร?”

13 แต่บางคนก็ล้อเลียนพวกเขาว่า “พวกนั้นดื่มเหล้าองุ่น[b]มากเกินไป”

เปโตรกล่าวกับฝูงชน

14 แล้วเปโตรจึงยืนขึ้นกับอัครทูตสิบเอ็ดคนและกล่าวกับฝูงชนด้วยเสียงอันดังว่า “พี่น้องชาวยิวและท่านทั้งปวงที่อยู่ในกรุงเยรูซาเล็ม ข้าพเจ้าขอชี้แจงเรื่องนี้แก่ท่านทั้งหลาย โปรดตั้งใจฟังสิ่งที่ข้าพเจ้าจะกล่าว 15 คนเหล่านี้ไม่ได้เมาเหล้าอย่างที่ท่านคิด นี่เพิ่งเก้าโมงเช้า! 16 แต่ทั้งนี้เป็นไปตามที่ผู้เผยพระวจนะโยเอลกล่าวไว้ว่า

17 “ ‘พระเจ้าตรัสว่า ในวาระสุดท้าย
เราจะเทพระวิญญาณของเราลงเหนือประชากรทั้งปวง
บุตรชายบุตรสาวของเจ้าจะเผยพระวจนะ
คนหนุ่มของเจ้าจะเห็นนิมิต
คนชราของเจ้าจะฝันเห็น
18 เมื่อถึงเวลานั้น เราจะเทวิญญาณของเรา
ลงมาเหนือผู้รับใช้ของเราทั้งชายและหญิง
และพวกเขาจะเผยพระวจนะ
19 เราจะสำแดงการอัศจรรย์ในฟ้าสวรรค์เบื้องบน
และหมายสำคัญที่แผ่นดินโลกเบื้องล่าง
มีเลือด ไฟ และกลุ่มควัน
20 ดวงอาทิตย์จะถูกเปลี่ยนเป็นความมืด
และดวงจันทร์จะกลายเป็นเลือด
ก่อนวันอันยิ่งใหญ่และเปี่ยมด้วยพระเกียรติสิริขององค์พระผู้เป็นเจ้าจะมาถึง
21 และทุกคนที่ร้อง
ออกพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้าจะได้รับ
การช่วยให้รอด’[c]

22 “ชนอิสราเอลเอ๋ย ขอจงฟังสิ่งนี้ พระเยซูแห่งนาซาเร็ธคือผู้ที่พระเจ้าทรงรับรองโดยปาฏิหาริย์ การอัศจรรย์ และหมายสำคัญต่างๆ ซึ่งพระเจ้าได้ทรงกระทำผ่านพระองค์ท่ามกลางพวกท่านตามที่ท่านเองทราบอยู่แล้ว 23 พระเยซูผู้นี้ทรงถูกมอบให้พวกท่าน ตามที่พระเจ้าได้ทรงกำหนดไว้และทรงทราบล่วงหน้า และโดยความช่วยเหลือของเหล่าคนอธรรม[d] ท่านได้จับพระองค์ไปประหารด้วยการตอกตรึงที่ไม้กางเขน 24 แต่พระเจ้าทรงให้พระองค์เป็นขึ้นจากตาย พ้นจากความทุกข์ทรมานแห่งความตาย เพราะเป็นไปไม่ได้ที่ความตายจะยึดครองพระองค์ไว้ 25 ดาวิดได้กล่าวถึงพระองค์ว่า

“ ‘ข้าพเจ้าเห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าอยู่ตรงหน้าข้าพเจ้าเสมอ
เพราะพระองค์ประทับอยู่ที่ด้านขวามือของข้าพเจ้า
ข้าพเจ้าจะไม่หวั่นไหว
26 ฉะนั้น จิตใจของข้าพเจ้าจึงยินดีและลิ้นของข้าพเจ้าก็ปรีดา
กายของข้าพเจ้าก็จะอยู่ด้วยความหวังเช่นกัน
27 เพราะพระองค์จะไม่ทรงทิ้งข้าพระองค์ไว้กับหลุมฝังศพ
ทั้งจะไม่ทรงปล่อยให้องค์บริสุทธิ์ของพระองค์เน่าเปื่อย
28 พระองค์ได้ทรงสำแดงหนทางแห่งชีวิตแก่ข้าพระองค์
พระองค์จะทรงให้ข้าพระองค์เปี่ยมด้วยความชื่นชมยินดีต่อหน้าพระองค์’[e]

29 “พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าบอกท่านได้อย่างมั่นใจว่าดาวิดบรรพบุรุษของเราสิ้นชีพและถูกฝังไปแล้ว สุสานของเขาก็อยู่ที่นี่ตราบจนทุกวันนี้ 30 แต่เขาเป็นผู้เผยพระวจนะและรู้ว่าพระเจ้าทรงสัญญากับเขาด้วยคำปฏิญาณว่าพระองค์จะทรงตั้งผู้หนึ่งในวงศ์วานของเขาให้ขึ้นครองบัลลังก์ของเขา 31 เขาทราบล่วงหน้าจึงได้กล่าวถึงการคืนพระชนม์ของพระคริสต์[f]ว่า พระเจ้าจะไม่ทรงทิ้งพระองค์ไว้ในหลุมฝังศพ ทั้งไม่ให้กายของพระองค์ต้องเน่าเปื่อย 32 พระเจ้าทรงให้พระเยซูผู้นี้คืนพระชนม์และพวกเราทั้งหมดเป็นพยานในความจริงข้อนี้ 33 เมื่อทรงรับการเชิดชูสู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าแล้ว พระองค์ทรงได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์จากพระบิดาตามพระสัญญาและได้ทรงเทลงมาตามที่ท่านเห็นและได้ยินอยู่นี้ 34 เพราะดาวิดไม่ได้ขึ้นสู่สวรรค์แต่ยังกล่าวว่า

“ ‘พระเจ้าตรัสกับองค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้าว่า
“จงนั่งที่ขวามือของเรา
35 จนกว่าเราจะทำให้ศัตรูของเจ้า
เป็นแท่นวางเท้าของเจ้า” ’[g]

36 “ฉะนั้นให้ชนอิสราเอลทั้งปวงแน่ใจในข้อนี้ คือพระเจ้าทรงตั้งพระเยซูผู้นี้ซึ่งพวกท่านได้ตรึงที่ไม้กางเขนให้เป็นทั้งองค์พระผู้เป็นเจ้าและพระคริสต์”

37 เมื่อคนทั้งหลายได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกเสียดแทงใจยิ่งนักและกล่าวกับเปโตรและอัครทูตคนอื่นๆ ว่า “พี่น้องเอ๋ย เราจะทำอย่างไรดี?”

38 เปโตรตอบว่า “พวกท่านทุกคนจงกลับใจใหม่และรับบัพติศมาในพระนามของพระเยซูคริสต์เพื่อรับการทรงอภัยโทษบาปของท่าน และพวกท่านจะได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นของประทาน 39 พระสัญญานั้นมีแก่ท่านทั้งหลายและลูกหลานของพวกท่านตลอดจนคนทั้งปวงที่อยู่ไกล คือคนทั้งปวงที่องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของเราจะทรงเรียก”

40 เปโตรกล่าวเตือนและวิงวอนพวกเขาอีกหลายคำว่า “จงรักษาตัวท่านให้พ้นจากคนในยุคที่เสื่อมทรามนี้เถิด” 41 บรรดาผู้ที่ยอมรับถ้อยคำของเปโตรได้รับบัพติศมาและในวันนั้นมีคนราวสามพันคนเข้าร่วมเป็นสาวก

การสามัคคีธรรมของผู้เชื่อ

42 เขาทั้งหลายอุทิศตนในคำสอนของเหล่าอัครทูตและในการร่วมสามัคคีธรรม ในการหักขนมปัง และในการอธิษฐาน 43 และเหล่าอัครทูตทำหมายสำคัญและปาฏิหาริย์หลายอย่าง ทุกคนจึงเต็มไปด้วยความยำเกรง 44 ผู้เชื่อทั้งปวงอยู่รวมกันและถือครองทุกอย่างร่วมกัน 45 พวกเขาขายทรัพย์สิ่งของและนำมาแบ่งปันให้แต่ละคนตามความต้องการ 46 ทุกๆ วันพวกเขามาประชุมกันที่ลานพระวิหาร หักขนมปังตามบ้านของตน และรับประทานร่วมกันด้วยความยินดีและจริงใจ 47 พวกเขาพากันสรรเสริญพระเจ้าและเป็นที่ชื่นชมของคนทั้งปวง ในแต่ละวันองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงให้คนทั้งหลายที่กำลังจะได้รับความรอดมาเข้ากับพวกเขา

Footnotes

  1. 2:4 หรือหลายภาษาเช่นเดียวกับข้อ 11
  2. 2:13 หรือเหล้าองุ่นหวาน
  3. 2:21 ยอล. 2:28-32
  4. 2:23 หรือของบรรดาคนที่ไม่มีธรรมบัญญัติ(คือ คนต่างชาติ)
  5. 2:28 สดด.16:8-11
  6. 2:31 หรือพระเมสสิยาห์ทั้งคำว่า “พระคริสต์” (เป็นคำกรีก) และ “พระเมสสิยาห์” (เป็นคำฮีบรู) แปลว่า “ผู้ที่ทรงเจิมตั้งไว้” เช่นเดียวกับข้อ 36
  7. 2:35 สดด.110:1